#สร้างพอร์ตเงินล้านด้วยหุ้นโตเร็ว “สิ่งที่นักลงทุนหุ้นโตเร็ว (Growth Investing) ต้องสนใจมีอะไรบ้าง”

การลงทุนหุ้นเราต้องสังเกตและมองให้ออกว่า กิจการเหล่านั้นเติบโตได้ด้วยอะไร มีอะไรเป็นแรงขับ แรงผลักดันให้กิจการเติบโต ทั้งจากภายนอก และภายใน สิ่งที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต สำหรับผมมันคือ “โมเดลธุรกิจ” เรามาดูว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเติบโตของหุ้นมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่นักลงทุนหุ้นโตเร็ว (Growth Investing) ต้องสนใจมีอะไรบ้าง ติดตามกันครับ

ปัจจัยแรก “ขนาดของกิจการ หรือ Market Capitalization”

ปัจจัยแรกๆ สำหรับนักลงทุนหุ้นโตเร็ว (Growth Investing) ที่ต้องติดตามก็คือ ขนาดของกิจการที่เราคิดจะลงทุน … แน่นอนที่สุดว่า กิจการที่ยังมีขนาดเล็กย่อมดูน่าสนใจกว่า และมีแนวโน้มโตเร็วกว่ากิจการที่มีขนาดใหญ่ในความรู้สึกของคนทั่วไป

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ กิจการที่มีขนาดใหญ่ก็ยังสามารถเติบโตได้ แม้จะโตได้ไม่เร็วเท่ากิจการขนาดเล็ก แต่หลายกิจการขนาดใหญ่มีความมั่นคง ก็จะปลอดภัยกว่ากิจการขนาดเล็กที่ยังต้องวัดกับอนาคตอีกยาวไกลว่าจะเติบโตจริงหรือไม่อย่างไร

สำหรับนักลงทุนหุ้นโตเร็ว (Growth Investing) ต้องติดตามดูการเติบโตของขนาดกิจการ หรือ Market Cap อย่างใกล้ชิด ต้องประเมินให้ออกว่ากิจการที่เราสนใจ “มันเล็กเกินไปหรือเปล่า” หากดูแล้วมันเล็กเกินไป อนาคตจะเติบใหญ่กว่าเดิมมาก เราต้อง List รายชื่อเก็บไว้ในสมุดบันทึกการลงทุนของเราทันที

ปัจจัยที่สอง “การเติบโตของยอดขาย”

สิ่งที่ต้องดูต่อมาก็คือ การเติบโตของยอดขาย หากกิจการใดการตามีการขยับปรับขึ้นของยอดขายทุกปี กิจการนั้นเข้าข่ายหุ้นเติบโต หากการขยับปรับตัวของยอดขายขึ้นอย่างรวดเร็ว กิจการนั้นเข้าข่ายหุ้นโตเร็ว แต่สิ่งที่เราต้องพึงระวังก็คือ บางกิจการยิ่งขายยิ่งขาดทุน (Run Loss) บางกิจการยิ่งขายกิ่งกำไร (Run Profit)

หากเราเจอกิจการที่ยิ่งขายยิ่งขาดทุน เราต้องไปดูว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร หากสาเหตุเป็นเพราะมันอยู่ในช่วงลงทุน หรือ Investing Phase แบบนี้ก็คงต้องติดตามไปเรื่อยๆ ยังไม่ต้องรีบร้อนเข้าซื้อ แต่หากมันยิ่งขายยิ่งกำไร แบบนี้อาจอยู่ในช่วงการเติบโต หรือ Growth Phase แบบนี้เข้าข่ายเก็บสะสมหุ้น

ปัจจัยที่สาม “ดูคุณภาพของการเติบโต”

เมื่อเราพบกิจการที่มีขนาดกิจการยังเล็ก และมียอดขายที่เติบโต ขั้นตอนต่อมาที่ต้องคิดพิจารณาก็คือ การดูคุณภาพของการเติบโตของยอดขาย ด้วยการดูสินค้า และบริการที่ธุรกิจเหล่านั้นทำ หรือผลิตออกมา หากสินค้าและบริการเป็นที่นิยม และมีแนวโน้มได้รับความนิยมต่อเนื่องนั่นเป็นสัญญาณที่ดี

ยกตัวอย่างเช่น หุ้น SPA ที่คนนิยมนวดเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า และมีแนวโน้มที่คนจะกลับไปใช้บริการซ้ำๆ หากกิจการนั้นบริการดีประทับใจลูกค้า แบบนี้ถือว่าคุณภาพของการเติบโตค่อนข้างดี หากเขาไปขยายกิจการที่ไหนก็มีแนวโน้มจะมีคนไปใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจีน ที่ชอบการนวดแผนไทยมาก เป็นต้น

ปัจจัยที่สี่ “ดู ROE หรือส่วนตอบแทนของผู้ถือหุ้น”

กิจการดีก็ต้องดีต่อผู้ถือหุ้นด้วย การดู ROE (Return on Equity) หรือส่วนตอบแทนของผู้ถือหุ้นจะเป็นตัวตอกย้ำคุณภาพของหุ้นที่เราคิดจะลงทุน หุ้นทีดี ROE ควรสูง โดยปกติแล้วเรามักใช้เกณฑ์ 15% ขึ้นไป จะเป็นตัวบ่งบอกว่ากิจการนั้นดีมีคุณภาพ ลงทุนแล้วคุ้มค่า แต่ข้อพึงระวังก็คือ ROE ที่สูง ไม่ควรมาจากหนี้สินที่สูง หากค่า ROE สูง แต่หนี้สินต่อทุนต่ำ อันนี้เข้าข่ายหุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนหุ้นโตเร็ว

ปัจจัยสุดท้าย “ดูความคงทนของกิจการ”

คำว่า “ความคงทนของกิจการ” นักลงทุนบางท่านจะเรียกมันว่า Moat หรือ คูเมืองที่แข็งแกร่ง หากกิจการใดมีความคงทนของกิจการสูง ซึ่งเปรียบเหมือนเมืองที่มีคูเมืองที่แน่นหนา ศัตรู ก็จะเข้ามาทำลายเมืองได้ยาก

ศัตรูที่ว่า ได้แก่ คู่แข่งขัน และสินค้าทดแทน หากกิจการที่เราลงทุนมีความสามารถสูงกว่าคู่แข่งขัน โอกาสที่จะเติบโตต่อก็มีมาก และยิ่งเป็นกิจการที่ทำสินค้า และบริการที่มีอะไรมาทดแทนได้ยาก ยิ่งดีต่อหุ้นตัวนั้น

ตัวอย่างของ วอเรนต์ บัฟเฟฟต์ นักลงทุนระดับโลกรู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี หุ้นที่เขาลงทุนส่วนใหญ่จะมีคูเมืองที่แข็งแกร่งติดต่อกันหลายปี เช่น หุ้นโคคาโคล่า เป็นต้น

ปัจจัยที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมดที่นักลงทุนหุ้นโตเร็วต้องหมั่นฝึกฝนวิทยายุทธ์ให้เข้าขั้น อันความสำเร็จนั้นต้องอาศัยระยะเวลาในการสะสม และทบทวนตัวเองบ่อยๆ

คนเราหากทำอะไรซ้ำๆ เกินหมื่นชั่วโมงเราจะกลายเป็นสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราเป็นนักเก็งกำไร และทำแบบเดิมซ้ำๆ เราก็มีแนวโน้มเป็นนักลงทุนระยะสั้นๆ ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว และฝึกฝนตนเองกับหุ้นที่ถูกต้องเหมาะสม เราก็จะเป็นสิ่งนั้นเช่นกันครับ

#นายแว่นลงทุน

แนะนำหนังสือ “สร้างพอร์ตเงินล้าน ด้วยหุ้นโตเร็ว”

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผมได้เขียนบันทึกการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังเปลี่ยนจากตลาดหมี เป็นตลาดไซค์เวย์ และกลายเป็นตลาดกระทิง! ดังนั้นเมื่อคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้คุณจะได้รับหลายอรรถรส ตั้งแต่ความรู้สึกหวาดกลัว ความรู้สึกอึดอัดในตลาดหมี จนกระทั่งได้เห็นเดือนเห็นตะวัน เห็นเช้าวันใหม่ในตลาดกระทิงเลยทีเดียว เนื่องจากเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงบันทึกการลงทุนส่วนบุคคล ผู้อ่านควรนำข้อมูลไปพิจารณาให้รอบคอบก่อนนำไปประยุกต์ใช้ หรือถ้าจะอ่านเล่นๆ สนุกๆ ก็ไม่ว่ากันครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ #นายแว่นลงทุน