Every generation blames the one before
คนทุกรุ่นเคยกล่าวโทษใครสักคนก่อนนั้น
And all of their frustrations come beating on your door
และความข้องใจที่มีพลัน เคาะทักทายตรงหน้าประตู
I know that I'm a prisoner to all my father held so dear
รู้ตัวว่า ฉันเป็นนักโทษที่ขึ้นตรงกับพ่อสุดแสนบูชา
I know that I'm a hostage to all his hopes and fears
ความคาดหวังหวาดหวั่นของท่าน จับฉันเป็นตัวประกัน
I just wish I could have told him in the living years
หวังแค่เพียงได้บอกท่านไปเมื่อครั้งยังมีชีพอยู่
Crumpled bits of paper filled with imperfect thought
เศษกระดาษยับปะปนด้วยความคิดไม่สมบูรณ์
Stilted conversations I'm afraid that's all we've got
เจรจาเฉยชากัน ฉันหวาดกลัวไม่อยากพบพาน
You say you just don't see it
คุณบอกว่าคงไม่เข้าใจ
He says it's perfect sense
พ่อพูดได้ไร้ที่ติ
You just can't get agreement in this present tense
เรื่องราวปัจจุบัน คุณคงไม่เห็นด้วยกับมัน
We all talk a different language talking in defense
เราคุยต่างภาษา ต่างคนแก้ต่างใส่กันไม่ลงรอย
-
* Say it loud, say it clear
พูดให้ดัง ให้เข้าใจ
You can listen as well as you hear
คงได้ยินและได้ฟังเท่าที่รู้
It's too late when we die
เมื่อตัวตาย ก็สายไป
To admit we don't see eye to eye
ที่จะรับรู้สิ่งที่เห็นกระจ่าง
-
So we open up a quarrel
เราจึงเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน
Between the present and the past
ระหว่างปัจจุบันและเมื่อวันวาน
We only sacrifice the future
เราได้สังเวยอนาคตกาล
It's the bitterness that lasts
คือความขมฝาดคงไว้นาน
So don't yield to the fortunes
อย่าหลีกทางให้โชคชะตา
You sometimes see as fate
บางคราเห็นชะตากรรม
It may have a new perspective on a different date
คงจะมีมุมมองใหม่ในวันที่ต่างไปจากที่เคย
And if you don't give up, and don't give in
ถ้าหากคุณไม่ยอมแพ้และไม่ล้มเลิก
You may just be O.K. (*)
คุณอาจจะไม่เป็นไร (*)
-
I wasn't there that morning when my father passed away
อรุณนั้นฉันไม่อยู่ยามที่พ่อฉันสิ้นลมหายใจ
I didn't get to tell him all the things I had to say
ฉันไม่ได้บอกท่านไปในเรื่องทั้งหลายที่อยากเอ่ยคำ
I think I caught his spirit later that same year
ณ ปีเดียวกันคิดไว้ ฉันจับวิญญาณพ่อได้
I'm sure I heard his echo in my baby's new born tears
เสียงก้องจากพ่อถึงน้ำตาทารกใหม่ ได้ยินแน่นอน
I just wish I could have told him in the living years (*)
หวังแค่เพียงได้บอกท่านไปเมื่อครั้งยังมีชีพอยู่ (*)
-----
ถ้าอยากจะเอ่ยความในใจให้ใครสักคนที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
ใช้เวลานั้นพูดออกไปเลย อย่าปล่อยให้สายเกินไป
"ครอบครัวก็เช่นกัน"
.
"The Living Years" เป็นเพลงของวงร็อกจากเมืองผู้ดี Mike + The Mechanics (อ่านว่า Mike and The Mechanics เป็นอีกผลผลิตจากวง Genesis ที่ Mike Rutherford สมาชิกร่วมตั้งวงนี้ ตั้งวงใหม่เมื่อปี 2528 โดยมี Paul Carrack เป็นนักร้องนำคนแรกของวง) วางแผงเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2531 เป็นผลงานการแต่งเพลงของ Rutherford และ B. A. Robertson
.
เนื้อหาของเพลงนี้กล่าวถึงความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่งที่มีปัญหาค้างคากับพ่อ อีกทั้งไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จนในที่สุด เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิต เขาเสียใจที่ไม่ได้เปิดใจปัญหากันและกัน
ไม่นานนัก เขาก็มีลูกชายเกิดใหม่ และเขาก็พร้อมที่จะสอนเขาให้รู้จักใช้ชีวิตร่วมกัน ในวันที่คนสำคัญคนนั้นมีชีวิตอยู่
.
เพลงนี้มีที่มาจากเรื่องจริงของ Rutherford ที่เสียคุณพ่อไปในช่วงที่วง Genesis ออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ตในอเมริกา เมื่อปี 2529 (ณ ช่วงนั้น เพลง Invisible Touch ของวง Genesis กำลังโด่งดัง) ซึ่งคุณพ่อของเขาเป็นผู้สนับสนุนให้เขาเข้าสู่วงการดนตรีในช่วงก่อตั้งวง Genesis
และ Rutherford ก็เสียใจอย่างมากที่ไม่ได้บอกรักท่านไป เพราะในตอนนั้นเขายุ่งกับงานเพลงที่กำลังไปได้สวย "จนไม่ได้มีเวลาติดต่อคุณพ่อเลย"
ซึ่งเหตุการณ์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่เคยลืมเลือน
.
เพลงนี้ติดอันดับที่ 2 บน UK Singles Chart และอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และ Billboard Adult Contemporary ในปีถัดมา
.
เป็นเพลงที่กระตุกต่อมคิดให้เราว่า
จงแบ่งเวลาสนใจคนใกล้ตัวให้มากๆ
ก่อนที่จะไม่มีโอกาสล้ำค่านี้อีกต่อไปแล้ว
.
... แหล่งข้อมูล ...
https://en.wikipedia.org/wiki/The_Living_Years
https://www.popmatters.com/feature/191338-genesis-mike-rutherford-on-writing-his-latest-memoir-and-touring-mik/
----
Thank you reading and visiting my blog.
See you
----