ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
|||||
เวลาที่หายไป - บทที่ 44 วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์และเป็นวันที่เขาและลลิตา จะเดินทางกลับสหรัฐฯในช่วงกลางคืน คริสขับรถออกจากบ้านตั้งแต่สิบนาฬิกา แวะเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้บ้าน เลือกได้ของที่ต้องการแล้วก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนของกร เขารู้จากทิพย์สุรางค์ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วว่าผู้ปกครองหรือญาติพี่น้อง สามารถไปขอพบเด็กนักเรียนได้ทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงสิบเจ็ดนาฬิกา เมื่อถึงโรงเรียนคริสเข้าไปติดต่อแจ้งความจำนงค์ขอพบกร เขานั่งรออยู่ประมาณสิบห้านาทีเด็กชายผู้นั้นก็โผล่หน้าออกมา ท่าทางของเขาเลิ่กลั่ก ขณะมองไปรอบห้องซึ่งมีคนหลายคนนั่งอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก เมื่อเห็นเขากรก็ทำท่าตกใจคาดไม่ถึง “โอ๊ะ!..เคนนี่เอง!” เขาร้องอย่างดีใจแล้วรีบเดินเข้ามาหา หน้าตาของเขาเปลี่ยนจากเลิ่กลั่กเป็นตื่นเต้น “โอ๊ย! ดีใจจังเลย นึกว่าจะไม่ได้เจอคุณซะแล้ว” คริสสังเกตว่าเด็กชายโตขึ้นกว่าเดิมมาก ร่างที่เคยผอมเกร็งของเขาดูมีเนื้อมีหนังขึ้น เขาสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่อย่างอื่นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ชายต่างวัยทั้งสองจับไม้จับมือกันอย่างยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันนานกว่าหนึ่งปี “คุณโตขึ้นมาก ใกล้จะเป็นหนุ่มแล้วนะ” คริสเป็นฝ่ายทักก่อน เด็กชายทำหน้าเขิน “อะไรกัน ผมยังเป็นเด็กอยู่เลย อย่ามาอำผมดีกว่า” แล้วเขาก็ถามคริสบ้างว่า “คุณมาเมืองไทยเมื่อไรเนี่ย จะกลับไปที่โน่นอีกหรือเปล่า” “ผมมาได้ครึ่งเดือนกว่าแล้วละ มาฝึกทหาร คืนนี้ก็จะกลับแล้ว” เขาตอบคำถามของกรแล้วถามว่า “คุณออกไปข้างนอกได้ไหม? ถ้าได้..ผมอยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อหนึ่ง ว่าไง?” เด็กชายทำท่าดีใจจนออกนอกหน้า “คงได้มั้ง แต่ผมต้องไปขออนุญาตอาจารย์ก่อน” แล้วเขาก็ตั้งท่าจะออกวิ่ง แต่พอนึกขึ้นได้ก็หันมาร้องบอกคริสว่า “รอผมแป๊บหนึ่งนะ” ขณะนั่งรถไปด้วยกัน ชายหนุ่มถามว่า “คุณอยากทานอะไร?” “หมายความว่าถ้าผมอยากทานอะไรคุณก็จะพาผมไปทานหรือ?” กรถามตามสไตล์เดิมๆของเขา ชายหนุ่มยิ้มอย่างขันๆ รู้สึกว่าอารมณ์ที่หม่นหมองหดหู่มาหลายวัน เริ่มดีขึ้นบ้างเมื่อได้พูดคุยกับเด็กชายคนนี้ เขาไม่เคยลืมน้ำใจไมตรีของกรต่อเขา สมัยที่อยู่เวียงพุกามเลย “แน่นอน ว่าแต่คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า อาหารฝรั่ง ไทย จีน บอกมาได้เลย” กรนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ในโรงแรมมีอาหารขายไหม?” คริสเปลี่ยนสายตาที่กำลังมองถนนข้างหน้ามาที่เด็กชาย “มีสิ มีห้องอาหารโก้ๆด้วยนะ คุณอยากไปทานอาหารที่โรงแรมใช่ไหม?” “เปล่า แต่อยากไปนั่งดูอะไรๆที่โรงแรมมากกว่า” เขาสารภาพพร้อมกับทำหน้าเปิ่นๆ ชายหนุ่มหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา “ตกลง เดี๋ยวผมจะพาไป ว่าแต่คุณต้องกลับเข้าโรงเรียนกี่โมง?” “ไม่เกินห้าโมงเย็น ถ้าสายกว่านั้นจะถูกทำโทษ” “ทำโทษแบบไหน ให้ยืนคาบไม้บันทัดหรือเปล่า?” คริสถามเขาล้อๆด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่งขึ้น เด็กชายทำตาโต ตะแคงหน้ามามองเขา “ใครว่า? คาบไม้บันทัดน่ะจิ๊บจ๊อย ที่โรงเรียนเก่าผมน่ะสิถึงจะทำโทษแบบนั้น แต่ที่นี่น่ะเขาทำโทษยังไงคุณรู้ไหม” แล้วเขาก็พูดต่อไปโดยไม่รอคำตอบ “เขาให้วิ่งรอบสนามรักบี้เลยนะ คุณคงนึกออกนะว่าสนามนั่นน่ะมันใหญ่แค่ไหน” “งั้นหรือ? แล้วคุณถูกให้วิ่งรอบสนามนั่นบ่อยไหมล่ะ?” กรทำหน้าเบ้ “ตอนมาเรียนที่นี่ใหม่ๆ ผมถูกทำโทษให้วิ่งรอบสนามรักบี้บ่อยมากเลยละ ก็ผมมาจากต่างจังหวัดไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่เลยนี่นา พวกเพื่อนผมสิมันเก่ง เอาตัวรอดได้ แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยถูกทำโทษแล้วละ ผมอยู่นี่มาปีกว่าแล้ว รู้วิธีพลิกแพลงไม่ให้ถูกจับได้” เขาก็ยังไม่ทิ้งนิสัยขี้คุยเหมือนเดิม คริสพากรเข้าไปนั่งในห้องอาหารของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่เดินผ่านล็อบบี้เข้าไปยังห้องอาหารที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในด้านที่ติดกับแม่น้ำ เด็กชายเหลียวหน้าเหลียวหลังดูโน่นดูนี่ไปตลอดทาง บางครั้งก็หยุดเดินเสียเฉยๆเมื่อเห็นสิ่งที่เขาสนใจ ชายหนุ่มปล่อยเขาตามสบาย รู้ว่ากรคงไม่ค่อยมีโอกาสได้มาตามสถานที่แบบนี้บ่อยนัก หรืออาจจะไม่เคยมาเลยก็ได้ ชีวิตของเขาอาจจะมีแค่บ้านกับโรงเรียนประจำเท่านั้น หลังจากนั่งลงด้วยกันที่โต๊ะอาหารตัวหนึ่ง คริสก็รับเมนูจากพนักงานเสิร์ฟมาส่งให้กร “คุณอยากทานอะไรก็สั่งได้เลย” เด็กชายคว้าเมนูมาอ่านรายการอาหาร อ่านไปได้หน่อยเดียวก็ทำหน้าตกใจ “โอ๊ย!! ทำไมอาหารที่นี่ถึงแพงขนาดนี้ล่ะ ไม่มีอะไรราคาต่ำกว่าหนึ่งร้อยเลย ห้าหกร้อย...พันนึง ยังมีเลย คริสหัวเราะ “เอาเถอะ คุณอยากทานอะไรก็สั่งเลย” “อ้าว! ถ้าผมเกิดอยากกินไอ้จานละหลายร้อยนี่ขึ้นมา คุณจะทำยังไงล่ะ? มีเงินจ่ายหรือ?” เขาท้วง “สั่งไปเถิดน่า ไม่ต้องห่วงหรอก ก็ผมตั้งใจอยู่แล้วนี่ว่าจะเลี้ยงอาหารดีๆอร่อยๆให้คุณ มันจะแพงไปมั่งก็ช่างเถิด เราไม่ได้ทานอาหารนอกบ้านทุกวัน ถือว่าผมเลี้ยงฉลองที่ได้พบคุณอีกครั้งไง” คริสคะยั้นคะยออีกสองสามครั้ง ในที่สุดเด็กชายก็เลือกได้อาหารราคาพอประมาณ ระหว่างที่นั่งรออาหารชายหนุ่มก็สอบถามทุกข์สุขของกร “โรงเรียนใหม่เป็นไงบ้าง ชอบไหม?” กรนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน เสียแต่ระเบียบจัดไปหน่อย คุณรู้ไหมว่าผมต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่แน่ะ ตื่นไปทำไมรู้ไหม? ตื่นไปวิ่ง! บางวันผมหลับตาวิ่งด้วยซ้ำเพราะมันแสนจะง่วง วิ่งเสร็จก็ต้องมาอาบน้ำทานข้าวเช้า สวดมนต์ อะไรๆแบบนี้แหละ แถมต้องทำที่นอนให้ตึงเปรี๊ยะอีกด้วยนะ ถ้ารุ่นพี่มาตรวจเอาเงินเหรียญโยนลงไปบนที่นอน เหรียญไม่กระเด้งละก้อ แน่นอนถูกทำโทษ” เด็กชายร่ายยาวแล้วหยุดหายใจคว้าแก้วน้ำมาดื่ม ก่อนจะบรรยายต่อว่า “แถมยังบังคับให้เรียนดนตรี เล่นกีฬาอีกด้วย ไม่เรียนก็ไม่ได้” “ก็ดีแล้วนี่ เล่นกีฬาจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ดนตรีก็ทำให้จิตใจอ่อนโยน คุณต้องพยายามมองในแง่ดีบ้างสิ” ชายหนุ่มสั่งสอน แต่กรทำหน้าเบ้ “เล่นกีฬาก็พอไหวหรอก ผมชอบอะไรที่มันโลดโผนอยู่แล้ว แต่เรื่องดนตรีนี่สิไม่ค่อยถูกกับผมเลย สมัยก่อนเวลาได้ยินคุณหนูเล่นเปียโนทีไร ผมทนฟังไม่ไหวเลย เพลงอะไรก็ไม่รู้ ยังกับเพลงงิ้วแน่ะ” เขาบ่นไปได้เรื่อยๆ “ตอนนี้คุณอยู่ชั้นไหนแล้วล่ะ?” “มอหนึ่งเอง” กรทำหน้าเบื่อหน่าย “ผมอยากให้ถึงมอสามเร็วๆจังเลย” “ทำไมล่ะ? ทำไมต้องรีบขนาดนั้น” ชายหนุ่มรู้สึกว่าคุยกับเด็กอย่างกรก็เพลินดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องส่วนตัว ที่กำลังปวดหัวใจอยู่ในขณะนี้ “อ้าว! จบมอสามแล้วผมจะได้ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารไงล่ะ” กรแถลงความฝันของเขาออกมา “อ้อ..คุณอยากเป็นทหารหรือ? ต้องฝึกหนักมากนะ ร่างกายก็ต้องสมบูรณ์แข็งแรงด้วย ไม่งั้นสู้ไม่ไหวหรอก” เขาพูดจากประสบการณ์ของตัวเอง “นึกยังไงถึงอยากเป็นทหาร” “ผมก็เพิ่งคิดเมื่อตอนที่พบคุณครั้งที่แล้ว ที่คุณไปเยี่ยมผมที่โรงเรียนเก่านั่นแหละ พอผมรู้ว่าคุณเป็นทหารผมก็เลยอยากเป็นมั่ง ผมอยากเป็นเหมือนคุณไง ผมว่าเวลาแต่งเครื่องแบบคงโก้ดีนะ” แล้วไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบ เด็กชายก็มีคำถามใหม่ “เออ! เคน คุณแต่งงานหรือยังน่ะ?” “ยังเลย” ความจริงเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลย “ถามทำไม?” “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ถามไปงั้นแหละ ตกลงคุณมีแฟนหรือยัง สงสัยมีแล้วมั้ง คุณทั้งหล่อทั้งรวย แถมยังเป็นทหารอีกด้วย” เด็กชายรำพันไปเรื่อยๆ คริสไม่อยากตอบคำถามของกร แล้วก็เหมือนโชคช่วยเพราะอาหารที่สั่งมาพอดี ทำให้เด็กชายเลิกสนใจเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ ตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารจานนั้นอย่างเอร็ดอร่อย เมื่ออาหารหมดจานแล้วเขาก็ขออนุญาตสั่งเพิ่มอีกจานหนึ่ง หลังจากอาหารคาวผ่านไป เด็กชายก็ขอสั่งไอศครีมช็อคโกเลตหนึ่งถ้วย ระหว่างนั่งรอไอศครีม คริสหยิบของในถุงที่ถือติดมือมาด้วยออกมาวางลงบนโต๊ะ บอกกรว่า “ผมมีของมาฝากคุณ ซื้อที่กรุงเทพฯนี่แหละ” กรทำท่าดีอกดีใจ ยื่นมือออกไปคว้ากล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไปดู พอเห็นรูปโทรศัพท์มือถือที่ปรากฏอยู่บนกล่อง เด็กชายก็ร้องว่า “โอ๊ย! โทรศัพท์มือถือซะด้วย!” เขารีบแกะกล่องหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กๆ พร้อมอุปกรณ์ออกมา “ให้ผมจริงๆหรือ? จริงแน่นะ !” กรย้ำถามแล้วถามอีก เขาอยากได้โทรศัพท์มือถือมานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกวุฒิเลิศหรือทิพย์สุรางค์ เขาก้มหน้าก้มตาเก็บเบี้ยเลี้ยงที่ทิพย์สุรางค์จ่ายให้ทุกสองสัปดาห์ ตั้งใจว่าเมื่อมากพอแล้วจะเอาเงินที่เก็บได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือสักเครื่องหนึ่ง เพราะใครๆเขาก็มีกันทั้งนั้น ชายหนุ่มสอนวิธีใช้โทรศัพท์ให้เด็กชายแล้วบอกเขาว่า “ทางคนขายเขาเปิดเครื่องให้แล้ว คุณใช้ได้เลย แต่คุณต้องใช้บัตรเติมเงินไปก่อนนะ ผมไม่มีเอกสารส่วนตัวของคุณ เลยจดทะเบียนหมายเลขให้คุณไม่ได้ “ไม่เป็นไร ใช้แบบเติมเงินก็สะดวกดี ไม่ต้องเสียค่าบริการรายเดือน” กรทำท่ารู้ดี “คุณมีเงินซื้อบัตรเติมเงินหรือเปล่าล่ะ ถ้าเงินที่ผมเติมไว้ให้หมด คุณก็ต้องซื้อบัตรใหม่” “ไม่มีปัญหา ผมมีเงินตั้งเยอะ เก็บจากเบี้ยเลี้ยงที่คุณหนูจ่ายให้นั่นแหละ ปกติผมก็ไม่มีเรื่องต้องใช้เงินหรอก” “ผมจะบันทึกหมายเลขมือถือของผมไว้ให้ ถ้าคุณมีธุระอะไรก็โทรหาผมได้ตลอดเวลา” เขาบันทึกหมายเลขของเขาลงในเครื่องโทรศัพท์ แล้วส่งให้กร “คุณเคยให้ผมไว้แล้วไม่ใช่หรือ?” กรจำได้ว่าคริสเคยจดหมายเลขโทรศัพท์ไว้ให้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้เขาก็พูดต่อด้วยเสียงอ่อยๆว่า “แต่ผมทำหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” “นั่นสิ คุณถึงไม่เคยโทรหาผมสักครั้ง” ชายหนุ่มต่อว่ายิ้มๆ “แต่คราวนี้คงไม่หายหรอก ผมบันทึกชื่อกับเบอร์ของผมให้คุณแล้ว” ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของเขามาบันทึกหมายเลขของกรลงไป “เรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณอยากคุยหรือมีเรื่องอะไรอยากจะให้ผมช่วย ก็โทรหาผมได้เลยนะ” แต่พอนึกถึงทิพย์สุรางค์ขึ้นมาได้ เขาก็รีบถามว่า “ว่าแต่คุณหนูจะห้ามหรือเปล่า เรื่องโทรศัพท์มือถือน่ะ?” เด็กชายทำท่าคิดก่อนตอบว่า “คงไม่มั้ง แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมจะพยายามไม่ให้เธอเห็น” “ถ้าเธอเห็นคุณก็บอกไปตามตรงก็ได้นี่ ว่าผมให้คุณเป็นของขวัญ” “เอางั้นก็ได้” แล้วกรก็เฝ้าลูบๆคลำๆ โทรศัพท์เครื่องนั้นอย่างตื่นเต้นดีใจ ต่อจากนั้นคริสก็หยิบของอีกชิ้นหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง ส่งให้เด็กชาย ของในกล่องนี้เป็นของที่เขาตั้งใจว่าจะมอบให้ทิพย์สุรางค์ แต่แล้วก็ไม่ได้ให้ แม้แต่เมื่อวานนี้ที่ไปพบเธอเป็นครั้งสุดท้ายเขาก็เอาติดตัวไปด้วย แต่แล้วในที่สุดก็ไม่ได้ให้เพราะรู้ว่าเธอคงไม่ยอมรับแน่ “แล้วก็นี่....” คริสพูดยังไม่ทันจบกรก็ทำตาโต ร้องออกมาว่า “โอ๊ะ ! ให้ผมอีกหรือนี่?” ชายหนุ่มหัวเราะขันท่าทางตื่นเต้นของเด็กชาย “เปล่า เสียใจด้วยนะ นี่เป็นของขวัญที่ผมจะฝากคุณเอาไปให้คุณหนู ความจริงมีของอีกชิ้นหนึ่งที่จะฝากคุณไปให้เธอ แต่กล่องมันใหญ่ผมเลยเก็บไว้ในรถ เดี๋ยวตอนที่ผมไปส่งคุณที่โรงเรียนจะให้คุณเอาไปด้วย ให้คุณหนูไปทั้งสองชิ้นนะ อย่าลืมล่ะ” “ให้คุณหนู?” เด็กชายทำท่าตกใจ “จะให้บอกเธอว่าไง? บอกว่าคุณฝากมาให้เธอเหรอ แล้วผมมิถูก..” กรกำลังนึกถึงเอื้องป่าช่อนั้นและคุกกี้ แต่แล้วก็ชะงักกึกเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า 'ไม่ควรฟื้นฝอยหาตะเข็บ’ “ทำไม? มีอะไรหรือ” คริสชักสงสัยเมื่อเห็นท่าทางของเด็กชาย “เปล่า ไม่มีอะไร แต่คุณแน่ใจนะว่าถ้าผมบอกคุณหนูว่าเป็นของขวัญจากคุณ เธอจะไม่โมโหหาว่าผมเสนอหน้าเป็นตัวแทนของคุณอีก” กรทำหน้าซีเรียสทีเดียวเมื่อพูดเช่นนั้น “คงไม่เป็นไรมั้ง เธอรู้แล้วว่าผมจะมาเยี่ยมคุณ คุณหนูเป็นคนบอกผมเองด้วยซ้ำว่าคุณเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ จะกลับบ้านอีกทีก็ต้องอาทิตย์หน้า เธอคงไม่ว่าอะไรคุณหรอก” “งั้นเหรอ?” กรนิ่งคิดแล้วถามทันทีที่นึกได้ “งั้นคุณก็พบกับคุณหนูแล้วสิ ใช่ไหมล่ะ?” “พบกันแล้ว พบคุณหมอประสพชัยแล้วก็พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเธอด้วย” แล้วเขาก็ขยายความต่อไปอีกหน่อย เมื่อเห็นสายตาสงสัยของกร “คุณใหญ่ชวนผมไปทานข้าวที่บ้านเมื่อหลายวันก่อน” “อ๋อ! งั้นคุณก็พบสิงห์แล้วสิ” คำพูดของเด็กชายทำให้ชายหนุ่มเกือบสะดุ้ง ไม่แน่ใจว่าเด็กชายที่ฉลาดเป็นกรดคนนี้ รู้อะไรแค่ไหนเกี่ยวกับเขา ทิพย์สุรางค์และเด็กชายตัวเล็กๆคนนั้น “เปล่า ยังไม่เคยพบ” แล้วคริสก็ถือโอกาสซักกรทันที “คุณรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นลูกใคร” กรทำท่าอึกอัก ตอบแบบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำว่า “ก้อ..กำลังจะเป็นลูกของคุณใหญ่กับคุณน้อยไง” คริสไม่แน่ใจว่าเด็กชายรู้หรือไม่ว่าสิงห์เป็นลูกของทิพย์สุรางค์ เขาไม่รู้จริงๆหรือเขาถูกผู้ใหญ่ในบ้านสั่งให้พูดเช่นนั้น แต่ก็คิดว่าไม่ควรบีบคั้นเอาคำตอบจากเด็ก แต่กรพูดต่อไปว่า “ถ้าได้พบสิงห์คุณจะชอบ เขาน่ารักมากเลย” ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่จะมีโอกาสได้รู้เรื่องเกี่ยวกับลูกน้อย ที่เขาคงไม่มีโอกาสได้แสดงตัวเป็นพ่อ ปกป้องคุ้มครองเขาเหมือนพ่อทั่วไป ถึงเขาจะตัดใจเรื่องทิพย์สุรางค์ไปแล้ว และให้สัญญาว่าจะพยายามไม่มาวุ่นวายกับเด็กชายสิงห์อีก แต่สัญชาติญาณของความเป็นพ่อที่เขาเพิ่งรู้จัก ไม่สามารถขวางกั้นความอยากรู้อยากเห็นเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็กชายตัวเล็กๆคนนั้นได้ “เขายังเล็กมากแต่ก็ฉลาดจริงๆ" กรพูดถึงสิงห์ต่อไป "นี่นะ..เคน เวลาผมกลับไปบ้านนะ เขาจะร้องให้ผมอุ้ม สงสัยเขาชอบผม ขนาดคุณน้อยหรือคุณหนูอุ้มเขาอยู่นะ พอเขาเห็นผมเขาก็ดิ้นจะหาผม ถ้าผมไม่อุ้มเขาก็จะร้องกรี้ดๆเลย แสงดาวบอกผมว่าเขาชอบให้ผู้ชายอุ้มเขา อย่างผมงี้ คุณใหญ่งี้” คริสซึ่งกำลังฟังเพลินถามว่า “แสงดาวน่ะใคร?” “อ้าว! ก็พี่เลี้ยงของเขาไง” “คุณใหญ่กับคุณน้อยรักเขาไหม?” คำถามนี้หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่มันคงจะซุกซ่อนอยู่ในใจเขา ตั้งแต่วันที่รู้ว่าทิพย์สุรางค์อาจจะยกลูกให้คนทั้งสอง “แหงแซะ” นี่แหละสำนวนของกรคนเดิม “รักมากด้วย เพราะแต่งงานกันตั้งหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีลูก” แม้จะกลัวว่ากรอาจจะสงสัย แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถห้ามความอยากรู้ได้ เขายอมรับว่าอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกของเขา เพื่อจะเก็บมันเอาไว้เป็นความทรงจำในวันข้างหน้า “สิงห์เป็นยังไงบ้าง งอแงไหม ไม่สบายบ่อยไหม?” โชคดีที่กรไม่สงสัย ท่าทางเขาเต็มอกเต็มใจที่จะพูดถึงเด็กชายคนนั้น “ผมเคยได้ยินคุณหนูกับคุณน้อยคุยกันว่าเขาเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย สุขภาพแข็งแรง แต่นี่เคน รู้ไหม สิงห์น่ะอยู่เฉยๆไม่เป็นหรอกนะ ซนมากๆเลย ขนาดเพิ่งเดินได้ไม่นานนะ เขาชอบเดินเตาะแตะไปทั่วบ้าน หกล้มหกลุกประจำ แต่ก็ไม่ยักร้องไห้ บางทีก็เอานิ้วไปแหย่ปลั้กไฟเล่น แสงดาวเลยต้องตามเขาแจตลอดเวลา” คริสใจหายวาบ นึกถึงเด็กชายคนนั้นด้วยความเป็นห่วงในความปลอดภัยของเขา นี่คงจะเป็นเพราะความเป็นพ่อที่อยากคุ้มครองป้องกันภัยให้ลูกน้อยกระมัง เขาอยากให้กรเล่าเรื่องสิงห์ให้ฟังอีก แต่เด็กชายก็เปลี่ยนเรื่องเสียแล้ว “ตกลงว่าคุณให้ผมเอาของขวัญนี่ไปให้คุณหนูใช่ไหม?” “ใช่ คุณช่วยผมได้ไหมล่ะ? ถ้าเธอถามคุณก็บอกไปตรงๆแล้วกันว่าเป็นของขวัญจากผม” แต่กรยังมีคำถาม “ถ้าเกิดเธอถามว่าเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสอะไร คุณจะให้ผมบอกเธอว่ายังไง?” “เธอคงไม่ถามหรอก เห็นแล้วเธอก็จะรู้เอง” กรพยักหน้าหงึกหงัก เก็บของขวัญกล่องเล็กๆ ที่ห่อมิดชิดด้วยกระดาษห่อของขวัญสีสวยลงในถุงผ้าเล็กๆ “กว่าคุณจะให้เธอได้ก็คงอาทิตย์หน้า ระหว่างนี้คุณช่วยเก็บมันไว้ในที่ปลอดภัยได้ไหม มันเป็นของมีค่าที่ผมอยากให้คุณหนูเก็บเอาไว้” “ยอหอ..อย่าห่วง เดี๋ยวกลับไปถึงโรงเรียนผมจะเอาไปฝากไว้ในตู้พิเศษ นักเรียนที่เอาของมีค่ามาจะเก็บเอาไว้กับตัวไม่ได้ ต้องเอาไปฝากโรงเรียนไว้ แล้วค่อยไปเบิกคืนตอนที่จะกลับบ้าน” กรอธิบายยืดยาว แต่ก็ช่วยให้คริสโล่งใจ เมื่อรู้แน่ว่ามันจะถึงมือของทิพย์สุรางค์โดยสวัสดิภาพ เด็กชายรับประทานไอสครีมถ้วยที่สองหมดไปแล้ว ก็มีเรื่องใหม่มาเล่า “เคน คุณจำคุณชาคริตได้ไหม คนหล่อๆที่แต่ก่อนชอบมาหาคุณหนูที่เวียงพุกามบ่อยๆน่ะ” คริสชะงักกึก ถามอย่างสงสัยว่า “ มีอะไรหรือ?” เด็กชายวางท่าเป็นคนสำคัญขึ้นมาทันที “เขาชอบคุณหนูน่ะสิ เขามาที่บ้านบ่อยมากเลย บางทีก็นั่งคุยกันในห้องรับแขกมั่ง ที่เก้าอี้สนามมั่ง บางครั้งคุณหนูก็แต่งตัวสวยออกไปเที่ยวข้างนอกกับเขา” แล้วโดยห้ามใจตัวเองไม่ทัน ชายหนุ่มรู้สึกถึงความหึงหวงที่พุ่งพรวดขึ้นมา หน้าของเขาบึ้งขึ้นมาทันทีจนกรสังเกตเห็น “เป็นอะไรหรือ? หน้าคุณบึ้งเชียว” คริสพยายามฝืนยิ้มทั้งๆที่ใจเหมือนถูกไฟลวก “เปล่า ไม่มีอะไร” แล้วเลยถือโอกาสถามต่อว่า “คุณว่าเขาชอบกันหรือ?” เด็กชายยักไหล่ “ไม่รู้สิ คุณชาคริตน่ะชอบคุณหนูแน่ ผมเคยได้ยินคุณน้อยกับคุณใหญ่คุยกันว่าอยากให้สองคนนี่แต่งงานกัน แต่ผมไม่รู้นะว่าคุณหนูคิดยังไง ผมเห็นเธอเฉยๆ ไม่เห็นทำท่าหวือหวาอะไรกับคุณชาคริตเลยนี่” “ท่าหวือหวาที่คุณว่าน่ะมันเป็นยังไงหรือ?” ตอนนี้เขาชักอยากรู้แล้วสิว่าทิพย์สุรางค์คิดอย่างไรกับชาคริตกันแน่ ถึงเธอจะบอกว่าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้นก็ตาม กรนิ่งคิดแล้วตอบว่า “ก็แบบคุณชาคริตไง เขาชอบเอาดอกไม้สวยๆมาฝากคุณหนู บางทีก็เป็นน้ำหอมแพงๆบ้าง ผ้าตัดเสื้อบ้าง ถ้าเธอไม่ยอมรับเขาก็ทำท่าหวือหวาคุกเข่าเลยนะ อ้อนวอนให้เธอรับเอาไว้ ถ้าเป็นดอกไม้ก็ไม่มีปัญหาหรอก คุณหนูชอบดอกไม้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นของอื่นบางทีเธอก็รับ บางทีก็ไม่รับ” ชายหนุ่มฟังคำบรรยายของเด็กชายแล้วชักรู้สึกปวดหัวใจ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ เขาเริ่มคิดว่าหรือลูกของเขาจะมีพ่อเลี้ยงในอีกไม่ช้านี้แล้ว และถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ชายคนนี้จะรังเกียจลูกของเขาหรือไม่ แล้วกรก็สนองตอบความอยากรู้ของเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเล่าต่อว่า “คุณน้อยบอกว่าคุณชาคริตเป็นคนดี เขาชอบเด็กด้วย เวลามาที่บ้านเขาก็จะอุ้มสิงห์ บางครั้งก็พาสิงห์ออกไปข้างนอกด้วยกันสามคน แล้วบางทีก็ซื้อของเล่นแพงๆให้ด้วย” คราวนี้ใจของคริสเดือดปุดๆ รู้สึกแค้นใจทิพย์สุรางค์ขึ้นมาอีก สำหรับเขาอย่าว่าแต่จะมีโอกาสได้อุ้มเด็กชายคนนั้นเลย แม้แต่จะขอเห็นหน้าสักครั้งเธอยังกีดกัน แล้วนี่มันอะไรกัน? ไหนว่าไม่มีอะไรกับนายชาคริตนั่นไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่มีจริงทำไมต้องควงกันออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันสามคน ทำอย่างกับว่าเป็นพ่อแม่ลูกกันอย่างนั้นแหละ ชายหนุ่มคิดอย่างพาลๆ หมดอารมณ์อยากรู้ไปในบัดดล เด็กชายกรกามเทพตามท้องเรื่องค่ะคุณตุ้ย
โดย: หอมกร วันที่: 5 สิงหาคม 2567 เวลา:7:37:47 น.
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
การที่ คริสไปเยี่ยมกร ก็ได้ข้อมูลของทิพย์สุรางค์และสิงห์ ทำให้คริส ตัดใจจากเมีย จากลูก ยากขึ้นอีก น่ะนะ อิอิ ก็เป็นธรรมดาของ คนเป็นพ่อ ก็ต้องห่วงลูกเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องจะลงเอยด้วยประการใด ครูจะรอติดตามตอนต่อไป จ้ะ โหวดหมวด งานเขียนฯ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 5 สิงหาคม 2567 เวลา:9:09:44 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |