วัดเขา........ แห่งนี้ เป็นวัดค่อนข้างใหญ่มีสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ มากมาย
ส่วนใหญ่เน้นไปทางเทวรูปต่าง ๆ ก็อย่างที่เคยเล่า หลวงพ่อท่าน
เป็นพระสายนี้ ทั้งวัดมีพระหรอมแหรม แต่ขอโทษนะ พองานสมโภชน์ที
ลูกศิษย์ลูกหาท่านมากมายล้นวัดเชียวนะจะบอกให้ หลวงพ่อรูปเดียว
ว่าหมดทุกอย่าง ทั้งดีด สี ตี เป่า ญาติโยมใช้ท่านซะคุ้มมาก
แต่เวลาหลวงพ่อไม่ได้จำพรรษาที่นี่ บรรยากาศคงจะวังเวงน่าดูชม
ทางเข้าวัดก็อยู่ลึกจากถนนใหญ่ค่อนข้างไกล แถมคดเคี้ยวไปมา
ในขณะที่ข้าพเจ้าไปบวชยังเป็นดินลูกรัง นั่งรถเข้าไปทีรถโยกหัวสั่นหัวคลอน
ใครท้อง 8 เดือนขึ้นไปมีสิทธิคลอดได้ในทันใด แต่ปัจจุบันเมือง
ได้ขยายไปจนถึงตัววัดแล้ว ความวิเวกวังเวงน่าจะลดน้อยลง
สมัยก่อนตอนสร้างวัดใหม่ ๆพื้นที่แถวนี้ส่วนใหญ่ยังคงมีป่าทึบ ประกอบกับ
ใกล้กับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบ่อยครั้งที่คณะผู้สร้างวัดในสมัยนั้นขณะกำลังตอก ๆ ไส ๆอยู่
ก็ได้ยินเสียงเสือคำราม เห็นว่ากันว่า ถึงขนาดทิ้งเครื่องมือวิ่งกันป่าราบ
แต่ตอนที่ข้าพเจ้าไปนั้น น่าจะผ่านมาเวลาที่เล่ามาไม่เกิน 20 ปี ไม่มีสัตว์ป่าใหญ่ ๆ
ให้เห็นอีกแล้ว นอกจากกบ เขียด อึ่งอ่าง คางคกมด แมลง กิ้งกือ ไส้เดือน ตุ๊กแก
และปลิงควาย โดยเฉพาะปลิงควายนี่ช่างหาที่อยู่ได้บรรเจิดมาก อยู่ในส้วมของเรานี่แหละ
ข้าพเจ้าเคยเปิดประตูผ่างสายไปฉายเข้าไป เจอนอนตัวอวบเปล่งปลั่งอยู่กลางพื้นปูนขัดมัน
เห็นแล้วสยองไม่หายส่วนสัตว์ใหญ่กว่านี้ก็คงหมา แมว อยู่กันเป็นฝูงเต็มวัดไปหมด
การไปบวชครั้งนี้ของข้าพเจ้าได้เกิดเรื่องน่าตื่นเต้นขึ้น ตื่นเต้นยิ่งกว่าปลิงควาย
เรื่องของเรื่องจำพี่สาวคนสวย ที่เป็นช่างตัดเสื้อ ที่เคยเล่าให้ฟัง
ตอนที่แล้วได้มั๊ย คุณพี่ท่านนี้อายุประมาณ 40 หน้าตาสวยแบบผู้ดี๊ ผู้ดีเรียบร้อย พูดเพราะ
มากับน้องสาว 2 คน สำหรับน้องสาวออกจะลุย ๆ กว่าพี่สาวจึงสนิทสนมกับข้าพเจ้ามาก
เหตุเกิดบ่ายวันนึง ขณะที่คุณพี่คนสวยเข้าห้องส้วมอาบน้ำอยู่ จู่ ๆ ผนังด้านหลัง
ด้านบนที่อิฐจะเป็นช่อง ๆ ไว้ระบายอากาศ แบบส้วมทั่ว ๆ ไป ปรากฏลูกตาแป๋วแหวว 1 คู่
กำลังจ้องมองคุณพี่คนสวยอย่างเมามันส์
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
คุณพี่คนสวยกรีดร้อง พร้อมสาดน้ำใส่ลูกกะตาคู่นั้นไม่ยั้ง
ขณะนั้นบรรดาชีพราหมณ์ทั้งหลายต่างถกผ้านุ่งวิ่งปุเลงปุเลงไปยังต้นเสียง
ส่วนผู้ชายพอทราบเรื่องก็วิ่งอ้อมไปด้านหลัง ซึ่งเป็นชายป่า
และสามารถตะครุบตัวผู้ร้ายได้โดยละม่อม จึงจับผู้ร้ายได้พร้อมหลักฐานมัดตัว
คือจีวรที่เปียกชุ่มโชกไปด้วยน้ำที่คุณพี่คนสวยประเคนใส่อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ "จีวร" จริง ๆ
ก็จะใครที่ไหน หลวงพี่ที่เคยเล่าว่าไม่ปกติหน่อยๆ
แต่โยมแม่มีที่ดินมากมาย แล้วได้ถวายที่ดินสร้างวัด
พร้อมกับยกลูกชายถวายวัดให้บวชพระมัดมือชกไปเลยนั่นแหละค่ะ
แน่นอนเหตุการณ์นี้ "อาบัติ" อย่างไม่มีข้อแก้ตัว จึงต้องสึกให้ในทันใด
โชคดีที่คุณพี่คนสวยไม่ติดใจเอาความ อดีตหลวงพี่ของเราเลยรอดคุกไปได้หวุดหวิด
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้พระสงฆ์ในวัดเหลือแค่หลวงพ่อรูปเดียวจริง ๆ
กับเณรน้องชายของข้าพเจ้าอีกรูป ส่วนอดีตหลวงพี่ พอสึกตอนบ่าย
ตกเย็นก็เดินโอบเอวลูกสาวคนงานก่อสร้างในวัด ชนิดที่หัวยังล้าน ๆ
กลิ่นผ้าเหลืองยังไม่ทันจาง เฮ้อ!
พูดถึงบรรยากาศในวัด ก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องผีๆ ในวัดนี้ก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ
เกิดขึ้นมากมายพอให้ครึ้มอกครึ้มใจ
เรื่องแรก ข้าพเจ้าฟังเค้าเล่ามาอีกทีบรรดาชีพราหมณ์ผู้ชายจะนอนในกุฏิหลวงพ่อ
รวมทั้งน้องเณรของข้าพเจ้าด้วยเนื่องจากผู้ชายมีไม่มาก กุฏิของหลวงพ่อก็กว้างขวาง
สะดวกสบาย สะอาดสะอ้านแถมมีห้องน้ำในตัว สว่างไสว ไม่มีปลิงควายให้ตื่นเต้น
ส่วนผู้หญิงนอนรวมกันที่ศาลาอเนกประสงค์ ลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้ารีบคว้าแขนข้าพเจ้า
ไปนอนด้านหน้าใกล้พระพุทธรูปทันทีส่วนชีพราหมณ์อื่น ก็จับกลุ่มนอนกันไป
มีแก๊งค์หนึ่งมากัน 4 - 5 คน เป็นคุณป้าอายุประมาณ 60 นิด ๆ มาจากภาคเดียวกัน
จับกลุ่มนอนกันตรงปลายศาลาฝั่งตรงข้ามกับที่ข้าพเจ้านอน ปกติชีพราหมณ์จะถือศีล 8
ไม่รับประทานอาหารยามวิกาลแต่คุณป้าแก๊งค์นี้คงอดทนไม่ไหวแอบกินขนมตอนกลางคืน
ได้ผลสิคะคืนนั้นคุณป้าไม่เป็นอันหลับอันนอนทั้งแก๊งค์ว่ากันว่าหางตาจะเห็นคนมายืนชะโงกหน้าต่างฝั่งแกนอนกันตลอดทั้งคืนไม่ได้นอนกันจนความดันขึ้นกันไปเลย
ซึ่งลูกพี่ลูกน้องข้าพเจ้าเล่าว่า ที่ต้องรีบฉุดกระชากลากถูให้ข้าพเจ้ามานอนฝั่งนี้
เพราะฝั่งที่แก๊งค์คุณป้าจับจอง เป้นจุดที่ใช้ตั้งศพเวลาสวดศพกันซึ่งน้านนานจะมีซักครั้ง
ไม่รู้ที่คุณป้าแจ๊คพ็อตเพราะแอบกินขนมหรือเพราะไปนอนทับที่ทับทางกันแน่
เรื่องที่สอง คราวนี้เกิดกับเณรน้องข้าพเจ้าเองคืนก่อนวันงานสมโภชน์ทุกคนต่างก็ขึ้นไป
เตรียมงานทำบายศรี จัดดอกไม้กันบนภูเขาส่วนใหญ่นั่งจัดดอกไม้กันหน้าโบสถ์ชั้นบนสุด
ทุกคนตกลงกันว่าคืนนี้จะค้างกันบริเวณหน้าถ้ำชั้น 2 ซึ่งเป็นลานกว้างมีหลังคากันน้ำค้างได้
ช่วงหัวค่ำทุกคนต่างก็ไปรวมตัวกันจัดดอกไม้หน้าโบสถ์ชั้น 3 โดยมีหลวงพ่อเทศน์ออกไมค์
ให้กำลังใจเป็นระยะๆ คุณป้าร่างทรงพระแม่อุมาเทวีที่เคยเล่าแกมีฝีมือในการจัดดอกไม้
และการทำบายศรีชนิดหาตัวจับยากกรวยบายศรีของแกนี่แหลมเปี๊ยบ เรียวแหลมเท่ากันทุกอัน
ไม่มีอ้วนบ้างผอมบ้างแกก็นั่งทำบายศรีไปซักพักก็ส่งเสียงเรออกมาดังเอิ๊กอ้าก
จากนั้นเสียงพูดของคุณป้าก็เปลี่ยนเป็นเสียงแหลมเล็ก พร้อมปล่อยคำด่ามาเป็นระยะ
ไม่ได้ด่าใครนะ ด่าลมด่าแล้งของแกไปเรื่อย มือที่ทำบายศรีก็ยังทำเป็นระวิงลูกพี่ลูกน้อง
กระซิบบอกว่า เจ้าแม่กาลีมาลงแก ป้าดดดดดด ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ข้าพเจ้าเห็นการเข้าทรง
แบบจะๆ ขณะนั้นมีชีพราหมณ์ผู้ชายคนนึงเห็นเณรน้องข้าพเจ้าไม่มีไรทำก็เลยชวนกันไปนั่งสมาธิ
ในถ้ำชั้น 2 ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามผู้หญิงห้ามเข้าบริเวณถ้ำจะอยู่ด้านหลังของบรรไดทางขึ้น
จึงค่อนข้างเงียบสงัด น้องชายเล่าว่า นั่งๆ ไปตอนแรกก็เงียบสงบ มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไรระงม
จากนั้นก็เริ่มมีอาการแปลก ๆรู้เห็นแสงวูบทางซ้ายที ขวาที ทั้ง ๆ ที่หลับตา เท่านั้นแหละ
เจ้าน้องชายตัวดีเริ่มผวา เหงื่อแตกท่วมตัว หลับตาทีไรก็วูบวาบตลอดซ้ายบ้างขวาบ้าง
พอกลัวมาก ๆ หายใจก็ดังฟืดฟาดคราวนี้ชีพราหมณ์ชายที่มานั่งด้วยกันต้องเข้าไปประคอง
ตบซ้ายตบขวา "เณรเป็นอะไรตั้งสติดี ๆ" เมื่อเห็นท่าไม่ดีเลยต้องประคองขึ้นไปหาหลวงพ่อที่โบสถ์ชั้น 3 จากนั้นก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อทำอะไรต่อนะแต่เมื่อวันสองวันนี้มาถามน้องชายอีกทีว่าตอนนั้น
เห็นอะไร มันตอบว่าไม่มีไรหรอกน่าจะจิตตก หวาดระแวงไปเองมากกว่า
เรื่องที่สาม คืนเดิมที่หน้าถ้ำเดิมหลังจากที่จัดดอกไม้กันเสร็จ ดึกมากแล้ว ชาวคณะก็ชวนกัน
ลงไปนอนหน้าถ้ำกลางดึกทุกคนหลับสนิทมีเสียงกรนดังมาเป็นระยะ ข้าพเจ้าเกิดปวดฉี่ขึ้นมา
แต่เจ้ากรรมส้วมบนเขาไม่มี จะมีก็ส้วมตามกุฏิว่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เปิดคัทเอ๊าท์ไว้ดังนั้น ใครจะขี้จะเยี่ยว
ก็ต้องไต่บันไดลงไปข้างล่างสถานเดียวมันช่างเป็นบรรยากาศเกินบรรยายเสียนี่กระไร
พอข้าพเจ้าเริ่มลุกระสับกระส่ายทันใดนั้น น้องสาวของคุณพี่คนสวยก็ลุกขึ้นมาในทันใด
นางฟ้ามาโปรดโดยแท้พี่เค้าก็ปวดฉี่เหมือนกัน เราเลยตกลงกันจะลงไปเข้าส้วมแถวข้างล่างด้วยกันขณะที่กำลังจะลุกเดินออกมาใส่รองเท้า จู่ ๆ ก็เห็นชีพราหมณ์เดินมา 1 คน ไกล ๆเราก็พยายาม
เพ่งมองว่าเป็นใคร ชีพราหมณ์นั้นก็เดินใกล้เข้ามา รอบ ๆบริเวณนั้นก็ไม่ได้มืด มีแสงไฟที่เปิดไว้
ทั้งคืนลมบนเขาพัดโกรกมาจนแลเห็นผ้าขาวปลิว ชีพราหมณ์นั้นก็เดินเข้ามาห่างกันประมาณ
20 - 30 ก้าว ด้วยความสัตย์จริงข้าพเจ้าเกิดเห็นว่าชีพราหมณ์คนนั้นไม่มีหัวขึ้นมาจะรออะไรล่ะคะ ข้าพเจ้าและพี่ที่จะไปด้วยกันต่างสะบัดรองเท้ากระโดดข้ามบรรดาป้า ๆที่นอนอยู่โครมเดียว
ลงกลางวงเอาสะไบคลุมหัวกันเลยแต่ชีพราหมณ์คนนั้นก็ยังคงเดินต่อมาเรื่อย ๆ
จนถึงที่ที่เรานอน ข้าพเจ้าจึงได้เห็นว่าเป็นคุณป้าคนนึงที่บวชด้วยกันตอนเช้าจึงมีเรื่องโจ๊กเล่าสู่กันฟังด้วยความขบขัน แต่เมื่อข้าพเจ้าสอบถามพี่คนที่จะลงไปส้วมด้วยกันนางเล่าว่า เห็นคุณป้าไม่มีหัวเหมือนกัน เท่าที่รู้มาคุณป้าท่านนั้นแกเป็นคนมีอันจะกิน ขณะที่มาบวชพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งขั้นไหนก็ไม่ทราบ แต่เรื่องนี้เล่นเอาข้าพเจ้าฉี่หดตดหายกันไปเลย จะว่ากันไปแล้วคงตาฝาดกันมากกว่าสินะ
เรื่องสุดท้าย วันสมโภชน์กลางวันมีงานครึกครื้นกันทั้งวัน บรรดาร่างทรงต่างก็ประทับทรงกันแต่ไม่มีใครออกมาเต้นแร้งเต้นกาให้ดูนะ มีแต่นั่งพูดโดยเสียงเปลี่ยนบางคนก็ร้องไห้ อย่างคุณพี่คนสวยที่ถูกอดีตหลวงพี่แอบดูอาบน้ำก็ประทับทรง จู่ ๆก็นั่งร้องไห้ กราบหลวงพ่อไม่หยุด ตกบ่ายทุกคนลงมาอาบน้ำอาบท่ากันวันนี้จะทำวัตรเย็นกันบนเขา ถึงเวลาประมาณ 6 โมง ตอนนั้นเริ่มโพล้เพล้ แต่ยังไม่มืดยังมีแดดแสงสุดท้ายเรือง ๆ สีส้ม ๆ ที่เค้าเรียก "ผีตากผ้าอ้อม" ประมาณเนี้ย เริ่มมีคนทะยอยขึ้นเขากันไปบ้าง ข้าพเจ้ากับลูกพี่ลูกน้องคุณป้าขาใหญ่ที่ใคร ๆ ก็กลัว (แต่เอ็นดูข้าพเจ้ามากกกก) น้าชีพราหมณ์ผู้ชายที่ข้าพเจ้าสนิทด้วยมากคนนี้ว่างเป็นไม่ได้ ชวนข้าพเจ้ากวาดวัด ล้างส้วม กันทุกวัน เล่นเอาบุญเคลือบกันไปเลยและคนอื่นอีก 2 - 3 คนกำลังจะขึ้นเขาไปสมทบเหมือนกัน ทันใดนั้นคุณป้าขาใหญ่ก็นึกได้ว่าลืมธูปเทียนไว้ในศาลานอน จริง ๆแล้วจากจุดที่พวกเรายืนกับศาลาไม่ได้ไกลมาก ห่างไปแค่ 20 - 30 ก้าวได้ แถมเป็นทางโล่ง ๆมีซุ้มดอกการะเวกส่งกลิ่นหอมกรุ่น
โดยมีม้าหินตั้งไว้เผื่อใครมานั่งดมดอกไม้ซุ้มการะเวกดังกล่าวตั้งอยู่ระหว่างทางเดิน
ข้าพเจ้ากลัวคะแนนความนิยมตกแล้วคุณป้าจะไม่ทำถั่วลิสงต้มน้ำเกลือให้กินก็เลยขันอาสา
เดินไปเอาให้ ซึ่งก็ยังไม่มืด บรรยากาศก็ไม่น่ากลัวเลยคนก็อยู่มองเห็นกันเยอะแยะ
แต่คุณป้าขาใหญ่แกไม่ยอมให้ข้าพเจ้าเดินไปคนเดียวแกยืนกรานว่าจะให้น้าผู้ชายที่สนิทกับข้าพเจ้าไปเป็นเพื่อนน้าก็ตกลงเดินตามมาด้วยเงียบ ๆเราก็รีบเข้ามาเอาธูปเทียนแล้วก็รีบขึ้นเขา
ไปทำวัตรเย็นกัน ข้าพเจ้าเพิ่งรู้มาภายหลังว่าเมื่อหลายปีมาแล้ว ขณะมีงานสมโภชน์
ลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ชายวัยกลางคนขณะขี่จักรยานยนต์จะมาวัดได้เกิดอุบัติเหตุ
รถเสียหลักล้มกลิ้งทั้งคนทั้งรถศรีษะคงไปกระแทกอะไรบางอย่างจึงขาดออกจากลำตัว
กลิ้งอยู่แถวนั้นโดยลูกศิษย์หลวงพ่อคนนั้นชอบมานั่งบนม้หินใต้ซุ้มการะเวกริมทางเดินนี้มาก
และมักจะปรากฏตัวให้เห็นกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะในวันนั้น ที่คุณป้าขาใหญ่ไม่ยอมให้ข้าพเจ้า
เดินไปศาลานอนคนเดียวก็เพราะทุกคนเห็นลูกศิษย์ดังกล่าวนั่งไม่มีหัวอยู่ใต้ซุ้มการะเวก
มุมโปรดของแก ทั้งนี้ นับเป็นบุญจริง ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นแกนั่งชิว ๆไม่งั้นป่านนี้ไม่รู้จะเป็นไงบ้าง
สำหรับประสบการณ์การบวชชีพราหมณ์ ถือศีล 8 ครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้านับว่าได้สร้างความประทับใจให้กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ทั้งสนุก ตื่นเต้นรวมทั้งขนพองสยองเกล้า ได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆแม้ว่าจะไม่ได้มีการนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมเลยก็ตาม แต่การสวดมนต์
โดยเฉพาะคาถาพาหุงฯ ที่พวกเราตะโกนสวดกันจนคอแหบคอแห้งก็ได้สร้างสมาธิให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีทำให้สติของเราต้องจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ที่แสนยืดยาวชนิดลืมเหนื่อยลืมเมื่อยกันไปเลย ข้าพเจ้าจึงคิดว่าทำอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาแค่เรามีสติ มีสมาธิ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นเอง Good Bye นะจ๊ะ แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าจะพาไปถือศีล 8 วัดที่ดังมากวัดหนึ่ง
บายนะเจ้าคะ