http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มกราคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 มกราคม 2548
 
All Blogs
 
B.Day 10 Year Bakery – งานเลี้ยงอำลา 10 ปีแห่งค่ายขนมปัง (1)

โดย merveillesxx



ออนไลน์ครั้งแรก: pantip.com กระทู้ A3171507 (12 ธ.ค. 2547)

//topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3171507/A3171507.html

“ถึงวันนี้เบเกอรี่ไม่ได้เป็นแค่ค่ายเพลง แต่เป็นไอคอน (icon) หนึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งและผมก็หวังว่าสัญลักษณ์ นี้ ผ่านไปอีกสิบ ยี่สิบปีข้างหน้าก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน” – สุกี้ กมล กุโกศล แคลปป์


ก่อนเอาขนมปังเข้าเตาอบ
เบเกอรี่ มิวสิกกับผมทำความรู้จักกันมานานแล้วทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก (สมัย ป.5 ผมก็ฮัมเพลง ‘ก่อน’ ของโมเดิร์นด็อกได้แล้วกัน) จวบจนทุกวันนี้ก็ 10 ปีแล้ว จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่านานก็นาน ระหว่างนั้นเราผ่านอะไรมาหลายอย่างด้วยกัน ผมมีเบเกอรี่เป็นทางเลือกที่ ‘สาม’ (อีกสองที่เหลือ คงไม่ต้องมั้งว่าคืออะไร) ผมมีวงโมเดิร์นด็อกเป็นวงในดวงใจ ผมมีวงพรูที่เป็นวงไทยวงแรกที่ไปดูคอนเสิร์ตกับแฟน(เก่า) ผมบ่นว่าค่ายนี้ซีดีแพง ผมด่าว่าค่ายนี้ชอบออกคอมพิเลชันงี่เง่า ผมประณามว่าค่ายนี้ก็อปเพลงฝรั่ง แล้วดันเรียกว่า inspire แต่ก่อนผมเหยียดหยามนักร้องโดโจซิตี้ว่าร้องเพลงไม่เป็น พอมาตอนนี้ผมฟังโดโจอย่างมีความสุข
…เพื่อนกันก็แบบนี้แหละ มีดีกัน มีทะเลาะกัน…

พอรู้ว่าเพื่อนคนนี้จะจัดงานวันเกิดครบรอบ 10 ขวบชนิดยิ่งใหญ่ ก็อยากจะไปร่วมงาน … เหลียวย้อนมองดูกองซีดีสูงพะเนินของตัวเอง ประมาณด้วยสายตาแล้วก็เจอซีดีของเบเกอรี่เสียส่วนใหญ่ นั่งไล่รายชื่อศิลปินที่ชอบก็อยู่ค่ายนี้เสียเยอะ แถมทุกวันนี้เวลาไปร้องคาราโอเกะทีไรก็ร้องเพลงของเบเกอรี่อยู่ร่ำไป ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไร ที่ผมจะไม่ไปงานวันเกิดของเพื่อนคนนี้ … แต่ก็ต้องมารู้ทีหลังว่าแท้จริงแล้วมันเป็นงาน ‘อำลา’

อวสานเบเกอรี่
ดั่งสายฟ้าฟาดผ่ากลางอก ในวันที่ 7 ธ.ค. 2547 เมื่อผมอ่าน นสพ.มติชน ที่พาดหัวว่า ‘3 ผู้บริหารเบเกอรี่ลาออก’ ความรู้สึกงุนงงกระหน่ำซ้ำให้เหมือนเป็นคนบ้าใบ้ ผมพูดอะไรไม่ออก สมองนิ่งงัน สารคัดหลั่งหยุดชะงัก ตั้งสติอยู่ 2 นาที แล้วก็หยิบบัตรคอนเสิร์ต B.Day ขึ้นมา ผมกำมันแน่น แน่นประหนึ่งจะระบายความโศกเศร้าลงไปในสิ่งนั้น เขามีประโยคเชยๆ ที่ได้ยินกันคุ้นหูว่า “บางทีเราจะรู้ว่ารัก เมื่อเสียสิ่งนั้นไปแล้ว” ประโยคนั้นปรากฏขึ้นจริงต่อหน้าต่อตาผมขณะนั้น
…ผมเพิ่งรู้ตัวว่า ผมรักเบเกอรี่มิวสิกเหลือเกิน…

เหมือนชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง หลังจากข่าวของ ‘จอยซ์ TK’ และ ข่าวฉาวของ ‘โจอี้บอย’ ก็ยังตามติดมาด้วยเรื่องนี้อีก “ทำไมไม่รอให้คอนเสิร์ตผ่านไปก่อน แล้วค่อยลาออกนะ” หรือ “ทำไมไม่ประกาศในงาน B.Day เลยนะ” เสียงในจิตใจของผมกู่ก้องร้องออกมา แต่หลังจากได้ใช้ความคิดกับห้วงเงียบงัน ผมตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ผมลองจินตนาการภาพทุกคนที่กำลังสนุกกับคอนเสิร์ต แล้วทันใดผู้บริหารทั้งสามก็ขึ้นเวทีไปประกาศถึงอวสานของเบเกอรี่ มันคงเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป และการประกาศลาออกก่อนหน้างานนั้น มันทำให้ผมกระจ่างชัดในใจว่าผมกำลังจะไปงานอำลา … เพราะมันสุดแสนจะแตกต่างนัก ระหว่าง ‘งานวันเกิด’ กับ ‘งานอำลา’
…หลังจากจบคอนเสิร์ต ผมคิดว่า ผู้บริหารทั้งสามท่าน ได้ตัดสินใจถูกแล้ว…

ส่วนกระแสที่ว่าทั้งสามลาออกเพื่อจะเพิ่มยอดขายบัตรนั้น ทุกคนมีสิทธิจะเชื่อในตามแบบฉบับของตนเอง แต่ในกรณีนี้ ผมเลือกที่จะ ‘ไม่เชื่อ’

ลงสายพาน เดินทางสู่โรงงานขนมปัง
10 ธ.ค. 2547
ขณะอาบน้ำแต่งตัว เตรียมออกจากบ้าน ช่วงง้างมือจะปิดวิทยุ ลำโพงทั้งสองเปล่งเสียงบรรเลง ‘เพลงแห่งชาติ’ ของวันๆนี้ มันคือเพลง Pass the Love Forward … ผมตัดสินใจเอนตัวนอนลงบนโซฟา ฟังเพลงจนจบ แล้วค่อยก้าวเดินออกจากบ้าน

15.00
ประหนึ่งว่ารัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการว่าวันนี้คือ วัน B.Day เพราะขณะที่ก้าวขึ้นรมเมล์สาย 122 เพื่อไปสนามราชมังคลากีฬาสถาน กระเป๋าสุดเปรี้ยวก็ตะโกนบอกผู้โดยสารที่รอรถอยู่ที่ป้ายว่า “เดอะมอลล์บางกะปิ สนามกีฬาหัวหมาก ม.รามคำแหง จ้าาา~~ คอนเสิร์ตเบเกอรี่คันนี้เลยนะจ๊ะ หกโมงถึงเที่ยงคืนจ้าาา~~” โอ้โห! เล่นเอาผมงงเลยนะเนี่ย พี่กระเป๋าคนนี้ รีเสิร์ชข้อมูลมาดีจริงๆ เจ๊แกพูดแบบนี้เกือบทุกป้ายเลยนะเนี่ย ไม่รู้เป็นชาว ‘เบเกอเรี่ยน’ กับเค้าด้วยหรือเปล่า … กวาดสายตาดูรอบตัวแล้ว ก็คงไปที่งาน B.Day เหมือนกัน ตามคาดพอถึงราชมังคลา ผู้คนก็แห่แหนลงรถพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย

15.45
รถไม่ติดอย่างที่ผมคาดไว้ พอเดินเข้าไปในราชมังคลา ผมก็เห็นซุ้มสีฟ้า-ขาวของงาน B.Day แต่ไกล คนมากันเยอะแล้วเหมือนกัน หน้างานมีบูธเล่มเกมของ DTAC สปอนเซอร์ใหญ่ของงาน มีบูธไฮเนเก้นที่มีศิลปินแนวฮิปฮอปและอิเล็กทรอนิกเล่นอุ่นเครื่องไป ก่อนจะเข้างานต้องไปเอาสายรัดข้อมือก่อน งานนี้เข้าแบ่งเป็นสีๆ ตามราคาบัตร ผมบัตร 3000 ก็ได้เป็นสีฟ้ามา เพื่อนผมบอกว่าเหมือนแบ่งชั้นวรรณะยังไงไม่รู้ ผมแอบสังเกตตามข้อมือชาวบ้าน เอ๊ะ! ทำไมไม่มีสีฟ้าเลยหว่า พวกบัตร 3000 หายไปไหนหมดเนี่ย (ตอนหลังก็ได้คำตอบคือ ยังไม่มากัน เพราะพวกนี้เข้างานเลทสุดๆ)

เดินเข้าไปในงานมีบูธมากมาย ชนิดวนรอบสนามราชมังคลาเลยทีเดียว เบเกอรี่ก็มากับบูธขายซีดี ขายหนังสือ 375 ขายเสื้อ อันหลังนี่รอดตัวสบายกระเป๋าไป เพราะเสื้อใหญ่สุดมีแค่ size L (ความจริงทำ size XL ได้แล้ว ดูจากหุ่น 2 ใน 3 ผู้บริหารค่ายก็ได้) เดินต่อมาข้างๆ เป็นจุดที่ผมชอบมากๆ เพราะมันคือ นิทรรศการแสดงอัตชีวประวัติตลอด 10 ปีของเบเกอรี่มิวสิก มีทั้งภาพศิลปินทุกคน พร้อมข้อมูลและผลงานทั้งหมด, ตู้กระจกแสดงซีดีทั้งหมดของเบเกอรี่ แถมมีข้อมูลบอกด้วย เช่นว่าเป็น ลิมิเตด อิดิชัน หรือว่าเป็น Rare Item หาไม่ได้แล้ว เป็นต้น (เดินผ่านตรงนี้แล้วน้ำลายไหล เพราะบางอันไม่มี) และเด็ดสุดต้องเป็นสมุดเซ็นชื่อปกทอง ที่หนึ่งเล่มก็จะเป็นของศิลปินหนึ่งคน ให้แฟนๆระบายความรักความชอบกันเต็มที่ อันนี้สนุกดีเพราะผมไล่เซ็นเกือบทุกอันเลย อันที่ฮ็อตสุดคงเป็นของโมเดิร์นด็อก เพราะคนเซ็นเยอะมากจนปากกาเมจิกหัวกุดไปเลย มีฮามากๆ คือบังเอิญผมไปเห็นอันของโจอี้บอย มีคนเขียนด้วยว่า “พี่ครับ ผมได้ดูวีซีดีแล้วนะ” (ฮา)

หลังจากบริหารข้อมือไปพอควรแล้ว ผมก็เดินต่อ เห็นคนที่ดูบัตรแบบไม่ fix ที่นั่ง ต่อแถวออกันเต็มไปหมดเลย เดินไปก็เจอบูธของหนังสือ DDT สีเหลืองเด่นไฉไล หน้าปกสามสมาชิกของวงหมาทันสมัย ราคาเอาการอยู่ 80 บาท แต่ก็ซื้อมา อ่านข้างในก็รู้ว่า บก.ก็คือ ป๋าเต้ดนั่นเอง เป็นหนังสือที่เรียกแบบชาวบ้านๆว่าเป็นแนว ‘อินดี้’ นั่นแหละ (ขอโทษนะ ถ้าคุณเอียนคำนี้แล้ว) เพราะ เพลง-หนัง-หนังสือ ที่ลงใน DDT ก็ไปในทางอินดี้เกือบหมด ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้าหนังสือแบบนี้ออกมาสักเมื่อ 2 ปีก่อน ผมคงดีใจกว่านี้ …อ้อ! หวังว่าคงไม่มีใครอุตริไปเรียกว่า ‘หนังสือของเด็กแนว’ อีกนะ อีกอย่างที่ได้มาคือเป้สะพานข้างสีเขียวที่มี quote กวนๆว่า “กรูอ่านหนังสือเพลงไทย” ส่วนบูธที่เหลือก็มีทั้ง DTAC (ที่ใจดีแจกน้ำ, ข้าวโพดคั่วฟรี), สำนักพิมพ์มติชน ขนาด GMM กับ RS ยังมาเลยนะ (ฮามากบูธนึงเปิดเพลงโมเดิร์นด็อก อีกบูธเลยเปิดเพลงของ ‘ไอน้ำ’ ประชันซะเลย)

ตามจริงแล้วในบัตรระบุว่าประตูจะเปิดเวลา 16.00 แต่เอาเข้าจริงๆ ก็มาเปิดตอน 17.30 นู่นเลย งานนี้ดีหน่อยคุณตำรวจตรวจไม่หนักหน่วง (เคยเจอบางงานตรวจเราอย่างกับจะ ‘ตรวจภายใน’) แถมพวกกล้องส่วนใหญ่เขาก็ให้เอาเข้าหมดแหละ เข้าไปข้างในยังมีบูธขายอาหารต่ออีก แหม…ธุรกิจครบวงจรจริงๆ ซื้อนัทเก็ตเติมพลัง 4 ชิ้น (คืนนี้ยังอีกยาวไกล) ก็เดินเข้าไปสนามราชมังคลา
…ผมกำลังไปเข้าในโรงงานอบขนมปังแล้ว…

พอเข้าไปก็ตกใจในความใหญ่โตของสถานที่เหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่มาราชมังคลา เป็นคอนเสิร์ตที่สเกลใหญ่ที่สุดที่ผมเคยดูมา เดินเข้าไปที่นั่ง วันนี้บัตรราคา 3000 โซน BL4 แถว BL ที่นั่ง 55 งานนี้ดูคนเดียวลุยเดี่ยวเดนตาย … พอเห็นเก้าอี้แล้วก็อึ้งๆอยู่เหมือนกัน เพราะตอนงานไมโครที่เป็นเก้าอี้เบาะเหมือนเก้าอี้ในงานศพว่าอึ้งแล้ว คราวนี้เป็นเก้าอี้พลาสติกเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวเลยแฮะ ส่วนพื้นก็ใช้วิธีปูด้วยไม้อัดแล้วแปะเทปกาวเอา เดินเข้าไปพื้นก็ยวบๆ พร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดประกอบ พาลคิดไปว่า “แล้วตอนดูพี่ป๊อด กรูจะเต้นได้มั้ยเนี่ย” ที่นั่งของผมจะอยู่กลางๆงาน เรียกว่าเห็นเวทีครอบคลุมแต่จะเห็นตัวศิลปินเล็กหน่อย (ประมาณ 3 เซนติเมตรได้มั้ง) ลักษณะเวทีงานนี้กว้างมาก ประมาณ 60 เมตร ฉากหลังเป็นจอภาพ 45 จอ เรียงสูงประมาณตึก 5 ชั้น ออกแบบโดย วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ เจ้าเก่าเจ้าเดิม แล้วมีจอโปรเจกเตอร์ให้คนดูอีก 2 จอข้างซ้ายขวา

เช่นเคย…พี่ไทยต้องเข้างานให้เลทเข้าไว้ ไม่รู้ร่ำลาสั่งเสียญาติพี่น้องข้างนอกงานหรือยังไงกัน มาดูคอนเสิร์ตนะ ไม่ใช่ไปเกณฑ์ทหาร นอกจากปัจจัยภายในที่ตัวงานเปิดประตูเลทแล้ว นี่คนดูยังเข้าช้าอีก เฮ้อ! เหนื่อยใจ งานนี้ก็ได้แต่ รอ รอ รอ…จนเลยเวลา 18.00 อันเป็นเวลาเริ่มคอนเสิร์ตตามบัตรไป ประมาณเวลา 18.30 เพลงสรรเสริญพระบารมีก็ดังขึ้น แต่ก็ยังไร้วี่แววที่งานจะเริ่ม ยิ่งไปกว่านั้นเพลงในงานที่เปิดให้คนดูฟังดันเป็นเพลงไทยโบราณอีก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเปิดแบบนี้ (โทรไปคุยกับเพื่อน มันได้ยินเพลง มันยังถามเลยว่า “นี่มรึงอยู่งานเบเกอรี่แน่เหรอวะ กรูนึกว่ามรึงไปงานศพ”)

เวลา 18.56 พิธีกรของงานก็ปรากฏตัว เขาคือป๋าเต้ด-ยุทธนา บุญอ้อม แห่งคลื่น FaT Radio นั่นเอง โผล่มาก็หยอดมุกเลยว่า “วันนี้งานเลิกประมาณตีหนึ่งนะครับ โทรบอกที่บ้านด้วยว่าจะกลับบ้านดึก โดยเฉพาะถ้าใช้ดีแทคคลื่นจะชัดเป็นพิเศษ” จากนั้นป๋าเต้ดก็แจงรายละเอียดในงานว่า คอนเสิร์ตแบ่งเป็น 3 ส่วน ทุก 2 ชั่วโมงจะมีการพัก 10 นาที และสำคัญสุดงานวันนี้มีเพลงถึง 94 เพลง! (เย้----!!) เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ…ก็เพราะเบเกอรี่มิวสิกก่อกำเนิดในปี 1994 น่ะสิ … หลังจากป๋าเต้ดลงไป ก็ตัดเข้าโฆษณาสปอนเซอร์ของงาน และแล้วไฟดับมืดลง เวลา 19.05 วงดนตรีก็เริ่มบรรเลงทำนองเพลง ‘ฤดูที่แตกต่าง’
…สวิตช์เตาอบเปิดขึ้นแล้ว…

ผู้ชายโซลหลังหกโมงเย็น
เพราะกำหนดให้เริ่มหกโมงเย็น งานนี้ก็เลยให้วง Soul After Six ประเดิมเวทีก่อน แต่แหม มาเล่นเอาทุ่มนึงแบบนี้ ชุดหน้าต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘โซล อาฟเตอร์ เซเว่น’ แล้วมั้ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงจู่ๆทำนองเพลง ‘หากคิดจะรักก็รัก’ ก็มาแบบไม่รู้ตัว ตามต่อด้วยเพลง ‘เห็นฉันไหม?’
…เธอนั้นคงจะเห็น ว่ารักของฉันนั้นมีให้เป็นร้อย เป็นพัน…
และ SAS ก็ปิดท้ายด้วยเพลงฮิตอย่าง ‘รู้’ จากนั้นก็ลงเวทีไปทันที ชนิดคนดูก็งงๆ แถมผมก็ตะโกนโวยวายในใจ “อ้าว! เฮ้ย! ไม่เล่นเพลง ก้อนหินละเมอ หรือเนี่ย”

ตรงจุดนี้ในด้านเสียง (sound) ของงานผมว่าค่อนข้างเคลียร์ ดังพอสมควร เสียงของนักร้องไม่ถูกดนตรีกลบ เครื่องดนตรีดังในสัดส่วนพอดีกัน แต่ว่ามีเสียงก้องด้วย (ลักษณะของสถานที่เอื้อต่อการเกิดเอ็คโค่อยู่แล้ว) อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าบริเวณอัฒจันทร์เป็นยังไง แต่ส่วนของผมไม่ได้รับพิษภัยจากเอ็คโค่มากนัก ตอนหลังไม่รู้เพราะชินหรือว่าทีมงานแก้ไขได้ ผมก็ไม่ได้ยินเสียงก้องสักเท่าไรนัก ที่ผมอยากจะติหน่อยก็คือการเปิดงานยังดูไม่ค่อยมีเพาเวอร์นัก เพราะจู่ๆศิลปินก็ขึ้นมาเลย น่าจะมีกราฟฟิกอะไรขึ้นมาบิวด์อารมณ์เสียหน่อย (ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับ ‘ภาพแรกประทับ’ - first impression) … แต่ที่แย่ที่สุดก็คือคนดู ที่นอกจากเข้าช้า แล้วยังเดินกันพลุกพล่านอย่างกับงานวิ่งควาย (แล้วก็เดินกันตลอดงานนั่นแหละ เห็นแล้วเวียนหัวยิ่งกว่าเครื่องเล่นที่ อะเมสซิ่ง ฟันปาร์ค เสียอีก) บางคนก็มายืนเก้ๆกังๆ เพราะหาที่นั่งตัวเองไม่เจอ (เพราะในงานปิดไฟมืดแล้ว) พวกนี้ต้องส่งกลับไปเรียนใหม่ ข้อหารวยเงินแต่ไม่รวย ‘สมอง’

สามชายในเงาจันทร์
นานเท่าไรแล้ว ที่เราไม่เห็นเขาทั้งสามบนเวที ทันทีที่เนื้อร้องท่อนนี้ขึ้นมา…
…คืนเหงายาวนาน ผ่านรักมาไกลไกลอีกโพ้นฟ้า…
อยากจะกรี๊ดถล่มทลาย ใช่แล้วเพลง ‘ผู้ชายในเงาจันทร์’ หนึ่งในเพลงสุดฮิตของวง Tea for Three นั่นเอง แม้พวกเขาจะย้ายบ้านไปแล้ว แต่วันนี้พวกเขาก็ยังมา
…แอบส่งใจให้เธอจากมุมมืดแห่งจันทร์ จากความฝันของชายในเงารักแห่งจันทร์ และในคืนนี้ส่งถึง…
ผมรักเพลงนี้จัง!…และเพลงถัดมา ง่ายยิ่งกว่าคำถามข้อแรกในรายการเกมเศรษฐี แน่นอนเพลงคลาสสิกของวงนี้ เพลง ‘ลมหนาว’ นั่นเอง พอร้องจบทางวงก็มีมุกฮาสุดๆ “เอ่อ…จำพวกเรากันได้มั้ยครับ ถ้าจำได้ให้ส่ง SMS พิมพ์ว่า P เว้นวรรคหนึ่ง ถ้าจำไม่ได้พิมพ์ P เว้นวรรคสอง” เรียกเสียงฮาได้กระจายทีเดียว
คำตอบของคนอื่นเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ของผมเป็น P เว้นวรรคหนึ่ง

ผ่านไปแล้วสองวง ผมคิดว่าช่วงแรกๆ ยังขลุกขลักอยู่เล็กน้อย อย่างเช่นตอนวง Tea for Three มีเสียงลำโพงซ่าบ้าง เสียงไมค์หอนบ้าง บรรยากาศก็ยังวุ่นวายอยู่เพราะคนยังเดินกันทั่วไปหมด แต่หลังจากนี้จะดีขึ้น…

ผู้ชายร่างใหญ่แต่ใจอ้อน
มาแล้วชายหนุ่มเสียงอ้อนสาว บอย ตรัย นั่นเอง พอร่าง(ใหญ่ๆ) ของเขาปรากฏบนเวทีก็เรียกเสียงจากสาวๆ ได้มากอยู่ เริ่มด้วยเพลงเปิดตัวในฐานะ บอย ตรัย อย่าง ‘เขาไม่เกี่ยว’ พร้อมกับท่าเต้นเขย่าไมค์ตามเคย (เมื่อไรพี่จะเลิกเขินบนเวทีล่ะครับเนี่ย แต่เอ๊ะเพราะแบบนี้สินะสาวๆเลยชอบ) ตามด้วยเพลง ‘เพลงเศร้า’
…ปิดทีได้ไหม ไม่อยากได้ยิน เปลี่ยนเพลงได้ไหม ได้โปรดเห็นใจ ได้ยินเพลงนี้ทีไร มันจะละลาย มันจะเป็นจะตาย ได้ยินแล้วจะร้องไห้…
ความจริงผมไม่ค่อยชอบเสียงเขาเท่าไรหรอกนะ ฟังมากๆแล้วบางทีเหมือนมียุงบินในหู อีกอย่างผมชอบ ‘บอย ฟรายเดย์’ มากกว่า ‘บอย ตรัย’ (โดยเฉพาะเพลง ‘ฉันมีความสุข’) แต่ว่าในฐานะ ‘Zentrady’ เขามีคุณูปการต่อผมมากมายเชียวล่ะ เพราะหลายเพลงที่ผมชอบแล้วเขาเป็นคนแต่ง โดยเฉพาะเพลงที่นาเดียร้องและเพลง ‘เผลอ’

ตุ้ยนุ้ยมหัศจรรย์
ผมอยากมอบฉายานี้ให้เขาจริงๆ เพราะคอนเสิร์ตช่วงแรกมาเริ่มสนุกก็เพราะเขาคนนี้แหละ เขาคือ เบน ชลาทิศ เจ้าของเสียงร้องเพลงที่ผมหลงใหลอย่าง Celebration (โมโนโทน) เบนมีความสามารถมากๆ ในการดึงดูดความสนใจของคนดู ด้วยลูกอ้อนชนิดน่ารัก(แกมน่าหมั่นไส้)เนี่ยแหละ เริ่มโชว์พลังเสียงด้วยเพลงตรงชีวิตของใครหลายๆคนอย่าง ‘คนข้างล่าง’ ตรงนี้สนุกดีเพราะเขาใช้วิธีเปลี่ยนเนื้อเพลงมาจิกกัดตัวเองแบบน่ารักน่าชัง อาทิ
“เพราะเธอสูงเกินจะใฝ่ และเธอคงไม่สนใจในคนอ้วนๆ” หรือ “ก็ได้แค่มองดู เพราะหมูทำได้เท่านั้น” เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวได้ตรึม

ถัดมาคือเพลง ‘คะแนนแห่งชีวิต’ ที่เบนก็ยังโชว์พลังเสียงได้ท็อปฟอร์ม อยากจะให้อีกฉายาว่า “เจ้าพ่อพีคแตกศิษย์น้อง นภ พรชำนิ” เหลือเกินกับการอิมโพรไวซ์โชว์พลังเสียง แต่ว่าเบนมีจุดเด่นที่ว่าการอิมโพรไวซ์ของเขาให้คนดูมีส่วนร่วมด้วย เช่นให้กรี๊ดตอบเป็นต้น โชว์ลูกคอ 18 ชั้นไปได้พักใหญ่ เขาก็แบกร่างตุ้ยๆของตัวเองลงไป

จตุเทพธิดาผีเสื้อ
ฉากม่านสีเหลืองขึ้นมาบนจอภาพ พร้อมกับการปรากฏกายของสี่สาวสุดสวยนาม Venus Butterfly พวกเธอโผล่ร่างให้เห็นครั้งแรกในงาน Fat Festival ครั้งที่ 2 แล้วหายไปเลย จนวันนี้พวกเธอก็กลับมาอีกครั้ง นักร้องนำของวงนี้พวกเรารู้จักกันดี เธอคือ โหน่ง พิมพ์ลักษณ์ หนึ่งในศิลปินหญิงของเบเกอรี่มีเสียงมี ‘พาว’ (แม้บางทีเสียงของเธอจะเป็ดๆ ไปหน่อยก็เหอะ) เริ่มด้วยเพลงภาษาอังกฤษก่อน จังหวะร็อค ท่วงทำนองมันดี นี่ยังพิสูจน์อีกว่าพวกเธอไม่ได้แค่สวย แต่มีฝีมือด้วยนะจ๊ะ ต่อด้วยเพลงที่ฮิตที่สุด (แล้ว) ของโหน่ง ก็คือ ‘คนเดียวจริงๆ’ คราวนี้มาในแบบจังหวะร็อค ก็แปลกไปอีกแบบ
…นั่นคือ เธอคนเดียวจริงๆที่ยังอยู่ และอยู่คอยดูแลไม่ว่าจะหันไปเมื่อไรก็เจอ ต่อให้ร้ายสักเท่าไร ไม่เคยโกรธกัน…

ลมหนาวแห่งความเกรี้ยวกราด
ท่ามเสียงความเงียบ จู่ๆ ก็มีเสียงผ่าลำทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า “ปล่อยไปตามหัวใจ…” ใช่แล้ว! อีกหนึ่งวงโปรดที่ผมตั้งใจมาดู Flure นั่นเอง แค่ประโยคแรกคนดูก็กรี๊ดสนั่นแล้ว กับเพลงสุดฮิต (และเป็นเพลงโปรดของผมด้วย) นั่นคือ ‘ปล่อยไปตามหัวใจ’
…แต่หากว่ามันยิ่งนานยิ่งเจ็บ ยิ่งทำร้ายใจทุกข์ทน ต้องมีสักคนที่จะต้องเจ็บ เพื่ออย่างน้อยก็ให้มีคนหลุดพ้น…
เรียกได้ว่าผมติดตามวงนี้มาตั้งแต่ ‘วันแรก’ เลยจริงๆ เริ่มจากงานเปิดตัวที่เซนเตอร์พอยต์-สยาม ที่พอเจอวงนี้เล่นสดให้ดูก็วิ่งไปซื้อซีดีทันที (คนขายยังแซวเลย) … จากนั้นก็เป็นเพลงเปิดตัวของวงนั่นคือ ‘เปลี่ยน’ ถึงตรงนี้ผมขอยืนยันเป็นครั้งที่ห้าร้อยสามสิบแปดว่า Flure เป็นวงที่เล่นสดดีมากๆ โดยเฉพาะ คุณคิวนักร้องนำ และคุณเอิร์ธมือกลอง(ที่บ้าพลังมากๆ)…พวกเขาคือลมหนาวที่เกรี้ยวกราด จริงมั้ย?

ควีนออฟกรันจ์คนเดียวของผม
อรอรีย์ คือหนึ่งในศิลปินหญิงในประเทศไทยที่ผมชอบมากที่สุด พอรู้ว่าวันนี้เธอไม่มาก็เรียกได้ว่า หนึ่งในสี่ห้องของหัวใจสลายไปเลยทีเดียวล่ะ อย่างไรก็ตาม เบเกอรี่ยังไม่ลืมเธอ Venus Butterfly และ Flure จึงเป็นตัวแทนของอรอรีย์ร่วมกันกระหน่ำโน้ตดนตรีในเพลง ‘ระหว่างเรา’…นี่คือเพลงที่ ‘ตรง’ กับชีวิตผมมากที่สุด
…เนิ่นนาน...สักเพียงไหน เธอยังคงจะเป็นส่วนลึกในใจอยู่เสมอ เนิ่นนาน...ฉันจะยังคงรอเธออยู่ เสมอ...เหมือนเดิม…
ถึงแม้เสียงของโหน่งจะไม่ค่อยเข้ากับเพลงนี้นัก แต่ผมก็ยังร้องเพลงนี้อย่างเต็มเสียง เวลาฟังและร้องเพลงนี้ทีไร ภาพอดีตในช่วงชีวิตจะไหลย้อนฉายภาพขึ้นมาทุกที มันคือการระบายสิ่งถัดถั่งคัดข้องอยู่ในใจได้อย่างดี คำสุดท้ายที่อยากจะตะโกนบอกออกไปก็คือ “ผมคิดถึงคุณ ได้ยินมั้ย? ควีนออฟกรันจ์คนเดียวของผม ผมคิดถึงคุณ”




Create Date : 03 มกราคม 2548
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2548 18:35:53 น. 6 comments
Counter : 3582 Pageviews.

 
อ่านแล้ว เพลินจริงๆ คะ ขนาดเพิ่งมาเจอวันนี้นะเนี่ย


โดย: kayyaka IP: 203.113.32.6 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:0:27:18 น.  

 
คุณ คือ ที่1 เสมอ


โดย: สอง IP: 125.26.40.17 วันที่: 17 มิถุนายน 2550 เวลา:14:23:11 น.  

 
สุดยอดจิงๆพี่ ผมก็แฟนเบอเกอรี่ตัวจริงเหมือนกันนา
ชอบมากๆครับ ปล่อยไปตามหัวจายยยย ~ ^ ^


โดย: June IP: 61.19.32.222 วันที่: 19 มิถุนายน 2550 เวลา:15:41:03 น.  

 
สุดยอดครับ


โดย: บี IP: 202.151.184.202 วันที่: 11 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:26:59 น.  

 
ว๊าก ไม่ว่างอ่านอ่ะ พรุ่งนี้สอบ

ติดไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมาอ่าน


โดย: Tenjo_Utena IP: 161.246.1.33 วันที่: 12 ธันวาคม 2550 เวลา:21:16:53 น.  

 
ผมรักbakery musicมากๆครับ
วันที่เวียนเปลี่ยน วันที่เลยผ่าน รักคงมั่น
นายคือทุ กสิ่งของเรา
^^


โดย: เงา IP: 125.24.111.52 วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:13:47:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.