space
space
space
<<
ตุลาคม 2564
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
space
space
18 ตุลาคม 2564
space
space
space

ประสบการณ์ใช้งาน Tesla model 3 Performance ขึ้นเดือนที่ 3
เวลาผ่านไปรวดเร็ว ช่วงฟื้นตัวจากโควิด กลับมายุ่งอิ๋บอ๋าย ไม่มีเวลาจะเขียนอะไรเท่าไหร่ แพร๊บเดียวน้องโบลท์เราขึ้นเดือนที่ 3 ซะแล้ว แอบดูตัวเลขกิโล 1800 แปลว่าไม่ค่อยได้ไปไหน เด้วขอร่ายไปเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1. Driving efficiency ขอยืนยันว่าในเรื่องนี้ถือว่า Tesla เป็นเลิศที่สุด ดูเหมือนว่าขับสั้น ๆ แบตจะหมดไปกับการจอดรถมากกว่าการขับขี่ ถึงแม้ว่ารถไฟฟ้า หรือรถยนต์เครื่องสันดาปที่มีมอเตอร์+แบตเป็นแบบไฮบริดไม่ว่าจะ plug-in hybrid หรือแบบเทคโนโลยี (เก่าแล้ว)ไฮบริดบ้าน ๆ ที่พี่โต และพี่ฮอนผลิตออกมาขายและเพิ่งจะได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในประเทศไทย  ขับในเมือง ยังไงยังไงก็ยังสู้ขับนอกเมืองไม่ได้ ถึงเค้าจะประหยัดกว่ารถน้ำมันอย่างเดียวเยอะ แต่ถ้าขับทางไกล (ถ้าไม่ขับเร็วเกินไป) ก็จะประหยัดพลังงานกว่า  จะว่าไปก็เป็นที่น่าทอดถอนใจอย่างมากในขณะที่เรากำลังลุ้นว่าน้ำจะท่วมไม่ท่วม เราเห็นวิกฤตปรากฎการณ์หายนะทางธรรมชาติที่ทุก ๆ คนยอมรับว่าเป็นผลพวงจาก climate changes พี่ไทยเราก็ยังตามหลังฝรั่งเป็นเต่าคลาน ในขณะที่ฝรั่งเค้าไป pure EV กันแล้วมีนโยบายลด carbon footprint กันสารพัด เราก็ยังเห็นคนออกรถใหม่ป้ายแดง เป็นรถดีเซลบ้าง รถยนต์เบนซินแบบไม่ไฮบริดบ้าง หลาย ๆ คนกลุ่มนี้เป็นพวกมีฐานะทั้งนั้น เป็นแพทย์ก็มี แต่ไม่มีสามัญสำนึกพอจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม 

    Tesla-Fi จะรายงาน driving efficiency ที่สูงกว่าที่รายงานในรถ แต่ข้อดีคือความสะดวก ตอนนี้ค่าเฉลี่ยของเราที่รายงานโดย Tesla-Fi จะอยู่ที่ 152 Wh/km ซึ่งตัวเลขนี้เท่าที่สังเกตดูช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ตัวเลขน้อย ๆ คือดี ถ้าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะตัวเลขจากผู้ใช้งานจริง ตามบล็อกต่าง ๆ ก็จะพบว่าสูสีหรือดีกว่าเค้าเล็กน้อย ปัญหาของพวกฝรั่งคือตัวเลขค่านี้เค้าจะเพิ่มสูงขึ้น (ตัวเลขสูงคือใช้ไฟเปลือง ตัวเลขน้อยคือประหยัดดี ใช้ไฟมีประสิทธิภาพ) ของเมืองไทยช่วงนี้ (ต.ค.-พย.) อากาศไม่ร้อนเกินไป กำลังดี ถ้าช่วงหน้าร้อน ตัวเลขคงจะสูงขึ้นเพราะต้องเปิดแอร์แรงขึ้น แบตเองอาจจะต้องได้รับการ cool down ตัวเลขที่พวกฝรั่งเค้าแชร์กันก็ประมาณ 140-150 Wh/km ส่วนใหญ่จะเป็น SR+ หรือ Long range กันบางคนก็ aero wheels ด้วย แล้วทุกคนก็พูดเหมือนกันว่าขับระยะทางไกล ได้ตัวเลขดีกว่าขับในเมือง ส่วนพวก Model S นี่ตัวเลขจะอยู่ใกล้ ๆ 200 Wh/km โดยเฉพาะพวกมอเตอร์ 3 อัน (Model S plaid) ก็เลยเป็นความภูมิใจของชาว Model 3 ว่าคันเล็กกว่า ประหยัดพลังงานและประสิทธิภาพดีกว่า ในส่วนของเราก็ยิ่งแอบดีใจเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะของเราเป็น Performance การที่เราได้ตัวเลขใกล้เคียงพวกมอเตอร์อันเดียว (SR+) หรือพวก Long range + aero wheels ก็ต้องยกเครดิตให้คนขับเรา และให้กับล้อ martian wheel 18" ซึ่งจนถึงป่านนี้ เดือน ต.ค. แล้ว ก็ยัง out of stock อยู่ ไม่น่าเชื่อว่าขายดีขนาดนั้น


ภาพ screen capture แสดงผลงานของวันนี้ เมื่อเช้านี้เอง ทุก ๆ วัน TeslaFi เค้าจะบันทึกไว้ข้อมูลต่าง ๆ ของรถ เราก็ใช้เวลานานกว่าจะหาสมดุลย์ของการดึงข้อมูลกับการไม่ให้แอพไปกวนปลุกรถให้ตื่นบ่อยเกินความจำเป็น ข้อมูลบางอย่างก็ดีจนไม่อาจจะเชื่อถือได้ อย่างเช่นว่า วันนี้ ขับรถจากบ้านมาที่ทำงานระยะทาง 6.38 กม. ใช้เวลา 13 นาที แต่อ้างว่าใช้แบตไปแค่ 1% อันนี้ก็ดีเกินเหตุ แต่พอมาจอดทิ้งไว้ 1 ชม.3 นาที ตั้งแต่ 6:48-7:51AM แบตหายไปอีก 1% อันนี้มันทำใจยาก แต่พอเค้าหลับไปแล้วก็โอเค แบตคงที่อยู่ที่ 69% ถ้าจะเอาจริง ๆ เราคิดว่าตอนขับรถมาน่าจะกินไฟไป 2% มากกว่า  ในชีวิตจริง เราพบว่าเวลาขับรถมาที่ทำงาน ตอนเย็นหรือดึก ๆ กลับบ้าน ถ้าไม่มีแวะที่ไหน รถไม่ติดจนเกินเหตุ เค้าจะใช้ประมาณ 3-4% ไม่ว่าจะหายไปตอนจอดหรือตอนขับ  แต่การที่ TeslaFi ชอบรายงานแบบนี้ มันเลยทำให้เกิดความรู้สึกว่าจอดรถทิ้งไว้เสียพลังงานไฟฟ้ามากกว่าวิ่ง


เราก็พยายามหาตรงที่เค้าสรุป driving efficiency แบบทั้งหมด หาไม่เจอ จนต้องส่งข้อความไปถามทาง TeslaFi เค้าบอกให้กดเข้ามาดูตรงคำว่า Lifetime Map ซึ่งเค้าจะแสดงแผนที่ของพื้นที่ที่เราขับมาทั้งหมด  รวมถึงตัวเลขแบบองค์รวม ของเราก็ ณ วันนี้ขับมาทั้งสิ้น 1732.11 กม. แต่ที่ TeslaFi มีข้อมูลคือ 1638 กม.เพราะช่วงประมาณ 100 กม.แรกที่รถอยู่ที่อังกฤษและอยู่บนเรือขนส่ง เรายังไม่ได้สมัคร TeslaFi แต่เค้าก็คำนวณให้ดูว่าเราใช้พลังงาน 152 Wh/km ซึ่งคิดเป็น 88.75% Efficiency หมายความว่าถ้าเอาตามตัวเลขที่ทางเทสล่าเค้าอ้าง เราควรจะขับจริงได้ 1845 กม. แต่เอาเข้าจริง เราได้แค่ 1638 กม. สำหรับเรื่องนี้ก็เหมือนกับรถเผาน้ำมันเพราะ fuel efficiency ที่บริษัทโม้ไว้ หรือความนานของแบตที่บริษัทผลไม้หรือแซมซังหรือหัวเหว่ยโม้ไว้ พอผู้ใช้ใช้จริง ก็ไม่เคยได้ถึงสักที  ก็เหมือนกัน คือถ้าจะให้ถึงตามที่โฆษณา ก็คงต้องขับช้า ๆ ปิดแอร์ ปิดวิทยุ ประมาณนั้น


ในขณะที่ TeslaFi ให้เรา 152 Wh/km แอพในรถบันทึกไว้ว่าค่าเฉลี่ย 50 กม. สุดท้ายคือ 156 Wh/km แต่หาส่วนที่เขียนว่า Lifetime efficiency ไม่เจอ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอะนะ รับได้


    ส่วนเรื่อง speed นี่ ใช้มาเกือบ 3 เดือนแระ คนขับเรายังไม่เคยลองเล่น track mode หรือไม่เคยแม้แต่จะลองเหยียบแรง ๆ ให้หลังติดเบาะ (แอบไปทำรึเปล่าไม่รู้ แต่เวลาเรานั่งด้วยไม่เคยเหยียบแรง ๆ ขนาดนั้น เคยถามเค้าตรงๆ ว่าไม่อยากเล่นดูเหรอ เค้าบอกว่าเหยียบนิดเเดียวมันก็จะปลิวไปอยู่แล้ว เค้าจินตนาการไม่ออกว่าเหยียบแรง ๆ มันจะขนาดไหน) เราก็เลยไม่เคยมีประสบการณ์เลย จนป่านนี้ ไม่เคยลองจับเวลาว่าเค้า 0-60 ได้ใน 3.1 วินาทีจริงรึเปล่า อีกอย่างช่วงนี้รถติดเหมือนก่อนโควิด หาที่จะทำก็ยากเพราะรถก็เริ่มกลับมาติดเหมือนก่อนโควิด ใช้รถมาเกือบ 3 เดือน ยังไม่เคยใช้แบบ performance ตามชื่อเค้าเลย ใช้เหมือน standard range - long range จริง ๆ เป็นการซื้อของไม่เหมาะสมกับการใช้งาน

2. ประสบการณ์การขับขี่จริง  เรามีโอกาสได้ขับน้องโบลต์แล้ว 2 ครั้ง  ครั้งแรกคือลองขับไปที่ทำงาน ระยะแค่ 6 กม. โดยมีคนขับเรานั่งไปด้วย อันนี้เป็นวันก่อนที่เราจะต้องขับจริงระยะทาง 25 กม. (วันรุ่งขึ้น) ขับครั้งแรกก็ยอมรับว่างงเล็ก ๆ แต่เค้าก็เป็นรถที่ขับง่าย แค่กระโดดขึ้นไปนั่งด้านคนขับ (เคยนั่งแล้ว แต่ไม่ได้ขับ) กดชื่อคนขับเป็นชื่อเรา เลื่อนเบาะ ปรับกระจก ปรับพวงมาลัยให้เรียบร้อย กดให้เค้าจำไว้ เหลืออันที่ปรับให้จำไม่ได้คือกระจกส่องหลัง เพราะมันไม่เป็นมอเตอร์ ก็ต้องปรับเอาเอง  พอเหยียบเบรกเค้าก็จะพร้อมออกแล้ว แค่กดคันโยก (ฮ่า ๆ ยังมีคันโยกอยู่) ว่าเราจะไปข้างหน้า แล้วก็เหยียบได้ ที่จะไม่ชินก็คือ การผ่อนคันเร่ง = การหน่วงทันที อันนี้มันมีให้ปรับได้ในจอ แต่ด้วยความงก เราก็ต้องให้มัน regen เยอะ ๆ แล้วเราก็มาฝึกใหม่เอง สรุปว่าเราถอดรองเท้าขับ จะได้ความรู้สึกดีกว่า ก็ต้องฝึกเพิ่มเพราะเวลาจะชลอรถช้าลง เช่น เวลาเจอเนินหลังเต่า แทนที่จะปล่อยคันเร่งแล้วเหยียบเบรค กลายเป็นว่าต้องค่อย ๆ ผ่อนคันเร่ง รถเค้าก็จะชลอเอง  เอาเป็นว่าขับไปขับมา แทบจะไม่ต้องเหยียบเบรคเลย เพราะพอเลิกเหยียบคันเร่ง รถเค้าก็จะช้าลงจนหยุดเอง ที่ไม่คุ้นก็จะเป็นเวลารถจอดนิ่ง เดิมทีเราเป็นพวกชอบเหยียบเบรคเวลารถจอดนิ่ง มันให้ความรู้สึกปลอดภัยดี เพื่อมีใครมาเสยข้างหลัง ตอนนี้ก็เลยต้องปรับใหม่
     วันรุ่งขึ้น (วันอังคาร) เราก็ได้ขับโบลต์เป็นครั้งที่สอง รอบนี้ขับยาว ขับไปวสุธาเอาโบลต์ไปเปลี่ยนกระจกประตู (ที่ร้าวไง อ่านบล็อกก่อนหน้านี้ดู) รอบนี้ ต้องขับคนเดียว (ขับคอนวอยตามหลังสโนว์ไป) ปรากฎว่าตอนเอารถออกจากที่จอดที่คอนโด หักเลี้ยวซ้ายอีท่าไหนไม่ทราบ ได้ยินเสียงครืด ๆ (สีข้างไปขูดเสา) โชคดีว่าเสามันกลม แล้วมันก็ผิวลื่น ๆ เราได้ยินเสียง แต่พอลงมาดูมองเกือบไม่เห็น สรุปว่ามันไปขูดเอา paint protection film เป็นรอย  นี่ถ้าไม่มี PPF คงเป็นรอยที่สีรถไปแล้ว ว่าเด้วจะไปเอาเครื่องเปล่าลมร้อนมาเป่าดูสิว่าจะหายไหม เห็นโฆษณานักว่าว่าขูดเป็นรอยก็หายได้ ถ้าหายได้จริงก็รอดไป
     รอบนี้เราได้ขับยาว แถมขับคนเดียว (จริง ๆ ขับตามหลังคนขับรถเรา คนขับสโนว์ -Mercedes C350e ขับตามกันไป เพื่อเอารถไปส่งซ่อม กลับมาคันเดียว) เราก้อลุ้นแทบแย่ ใจก็เสีย (จากการขูดรถตอนออกจากที่จอด) ดีใจที่ขับรอบนี้ เนื่องจากขับยาว แอบดูผลงานตัวเอง เหลือ 140 Wh/km เป็นความภูมิใจว่าเราขับประหยัดไฟกว่าคนขับเราอีก (แหม ก็ขับทางไกลกว่าอะนะ) พอไปถึงวสุธา เราแทบจะไม่อยากถอยเข้าที่จอด (เพิ่งจะขูดมานี่) ถึงเวลานั่งสโนว์กลับมากับคนขับรถเรา แอบนึกในใจว่าทำไมเรานี่ชอบทำร้ายน้องโบลต์จัง (กระจกร้าว ก็เราทำ  ขูดรถก็เราทำ) นึกในใจว่าตรูจะไม่ขับรถอีกแล้วล่ะ




3. คนขับเราเปลี่ยนนิสัยการขับรถ  หลังจากนั่งโบลต์มาได้เกือบ 3 เดือน  เราสังเกตว่าคนขับรถเราเค้าขับรถ aggressive ขึ้น  aggressive ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าขับเร็ว แต่เค้าจะเปลี่ยนเลน แทรกตัว หรือปิดช่อง หรือเร่งในบางจังหวะ เช่น ตอนใกล้ไฟแดง หรือตอนเข้าโค้ง โหดกว่าเดิม  อันนี้เราฟีดแบ็คกลับไปให้เค้าแล้วว่าตอนนั่งสโนว์ เราว่าเค้าขับนุ่มนวลกว่า พอนั่งโบลต์ เค้าก็ขับอีกแบบ เค้าก็ยอมรับว่าใช่ เพียงเพราะว่าโบลต์มัน can  มันทำได้ ช่าย เค้าตอบแบบนี้เลย ก็รถมันทำได้ มันเหยียบไหล มันเกาะถนนกว่า ช่วงล่างมันหนึบ มัน maneuverable กว่า ถึงขั้นว่าเด้วนี้ผ่านเนินหลังเต่า บางทีก็ไม่ยอมชลอ เรางี้รู้สึกเลย ต้องแอบด่าจัดไปสักดอก เวลาเข้าซอย สมัยก่อนจะขับช้าลงมาก เพราะในซอยบ้านเรา รถจอดมั่วสองข้าง เวลามีรถสวนกันต้องผลัดกันหลบ แล้วบางทีมันก็ไม่รู้จังหวะกัน ไม่รู้ใครจะหลบให้ใคร แต่ก่อนก็มักจะชลอความเร็วลง แล้วค่อย ๆ เนิบ ๆ นาบ ไป เด้วนี้พอเป็นโบลต์เค้าไม่ชะลอ เค้ายังหลบให้รถสวนทางอยู่ แต่เป็นการหลบแบบว่าเร่งไปซอกอันหน้า ไปซุกอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่หลบโดยการหยุดรออยู่ตรงนี้  เป็นซะยังงี้ เราล่ะหวาดเสียวแทน เอาเป็นว่ารถมันสามารถเปลี่ยนนิสัยหรือวิธีการขับรถของคนคนหนึ่งได้  ช่วงที่น้องโบลต์ไปซ่อมทำกระจกก็ต้องกลับมาขับสโนว์อยู่เกือบสัปดาห์ คนขับเราก็มีอาการแบบว่าปรับนู่น ปรับนี่ตลอดเวลา (คือเค้าพยายามจะปรับสโนว์ให้มันขับได้เหมือนโบลต์) แหม ๆ รถมันไม่เหมือนกันมันทำไม่ได้หรอก อยากจะแอบบอกว่า สำหรับคนนั่ง นั่งสโนว์สบายกว่านั่งโบลต์ นั่งโบลต์บางทีหวาดเสียว มีกระฉึกกระฉัก (เวลาเค้าปล่อยคันเร่ง รีเจน แล้วเร่ง) เค้าไม่ถอดรองเท้าขับ ตอนเราขับเอง เราว่าเราผ่อนเท้าดีกว่าเค้า แต่ก็ไม่รู้สินะ ตัวเองขับเองมันก็รู้ว่าตอนไหนรถจะชลอ ตอนไหนจะเร่ง เอาเถอะ เค้าขับให้ก็บุญแระ

4. ไม่สามารถสร้างสันติกับระบบ HVAC ได้ ไม่รู้เป็นไงนัก ไอ้เจ้าระบบแอร์ของน้องโบลต์นี่มันกวน(-ีน) เหมือน CEO ของมันเลย  ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรถผลิตตั้งใจให้ใช้ที่อังกฤษรึเปล่า คือเราเป็นพวกขี้หนาว เดิมเราก็จะปรับอุณหภูมิแถว ๆ 25-26 องศาในสโนว์ แต่คันนี้ถ้าเมื่อไหร่ปรับสูงกว่า 23 ลมออกมาอุ่น ๆ  บางทีอากาศมันไม่ร้อน หรือเราเพิ่งออกมาจากห้องแอร์ (คือที่ทำงานเรา คนที่เค้าทำงานด้วยเค้าจะปรับแอร์ 18 องศา ประเภทว่าเราต้องใส่เสื้อหนาวและเป่าลมอุ่นส่วนตัวเพิ่ม) พอออกมาก็มาเจอน้องโบลต์อยากได้แอร์เบาหรือไม่ต้องมีแอร์ แต่ไม่เอาลมอุ่น แต่มันปรับยาก ถ้าลมด้านเราอุ่น คนขับรถเราเค้าจะเอามือมาอังดู เพราะเค้าขี้ร้อน ด้านเค้าปรับ 20-21 องศา ลมอุ่นเค้าไม่รู้จัก  เราไม่ได้อยากได้ลมอุ่นในรถ (มันไม่ได้หนาวเหมือนในห้องผ่าตัด) เราอยากได้ลมธรรมดา แต่เค้าก็เป็นซะยังเงี้ย ให้เลือกระหว่างลมเย็น กับลมร้อน ไม่มีลมธรรมดา  อีกปัญหาที่คนขับเราเจอ แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะสโนว์ก็เป็น คือ เวลาจอดรถไว้แล้วขึ้นมาขับระบบแอร์เค้าจะไปอยู่โหมดหมุนเวียนกับอากาศข้างนอก ซึ่งทำให้แอร์มันเย็นช้า สำหรับเราไม่มีปัญหา แต่เค้าขี้ร้อน ฉะนั้นทุกครั้งเวลาขึ้นรถเปิดแอร์ ก็ต้องเข้าไปกดให้ลมมันหมุนเวียนเฉพาะในรถ ทีนี้กรณีสโนว์ มันกดปุ่มเดียวได้เลยเพราะมันมีปุ่มให้กด แต่สำหรับโบลต์ ต้องแตะจอประมาณ 2-3  ที เพียงเพื่อที่จะสั่งอันนี้ ก็เลยรำคาญ อาจจะต้องใช้ voice command คราวหน้า

5. Spotty spotify เรื่องน่าหงุดหงิดก็ยังดำเนินต่อไปเล็กน้อยคือคีย์ภาษาไทยไม่ได้ ดังนั้นการฟังเพลงไทยก็จะถูกจำกัดมาก ก็เลยฟังเพลงต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาเพิ่มคือบางทีเค้าก็แฮงก์เฉยเลย ก้อต้องปิดโปรแกรมไปแล้วเข้ามาใหม่ เราเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับ spotify เท่าไหร่ แต่เราคิดว่า UI (User interface) ของ spotify ในแอปบนเครื่องผลไม้เรา ดีกว่า UI บนรถ  แถมบางทียังมีรายการเน็ตหลุด คือเวลาจอดอยู่ที่คอนโด เค้าจะเชื่อมต่อสัญญาณ wifi ที่บ้านเอง รู้จักกัน พอออกรถมา wifi มันหลุดไป เค้าก็ควรจะต่อ LTE แต่บางจังหวะก็เหมือนจะหาไม่เจอ ทั้ง ๆ ที่เป็นสัญญาณของบริษัทมือถือที่มีลูกค้ามากที่สุดในประเทศไทย เบอร์ 1 หุ้นแพงที่สุด ก็ยังหลุดนาน ๆ กว่าจะเชื่อมได้ อันนี้ไม่รู้เกี่ยวกับการไม่ใช้ไม่ใช้ e-sim ด้วยรึเปล่า ไม่แน่ใจ

6. Squeaky rain wiper sound and too speedy wiper blade strokes  มาด้วยกันเลย ตอนนั้นสโนว์มาใหม่ ๆ ก็เป็น คือเวลาปัดน้ำฝน ขาลงจะมีเสียง เป็นเสียงของความฝืดของยางที่เคลื่อนตัวขณะโดนกดกับกระจก ตอนนู้นใช้เวลาอยู่นาน เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนไปหลายรอบ หลัง ๆ จู่ ๆ ก็เงียบไป  ของโบลต์ เนื่องจากมีแผ่นฟิล์มกระจกหน้า (เป็นแบบหนา กันหินกระเทก) แปะอยู่ ก็โดนขู่ว่าอยู่ได้ปีเดียวเพราะมันจะเป็นรอย (จากใบปัดน้ำฝนนี่แหละ) ราคาตั้ง 17,000 บาท งกอะ อยากให้มันอยู่ได้สักสองปี  ตอนนี้เราก็เลยต้องเอาซิลิโคนสเปรย์ แบบที่เค้าไว้พ่นบานพับฝืด ๆ น่ะ ไปสเปรย์ให้เค้าทุกครั้งที่ล้างรถ ไม่งั้นก็มีเสียงทุกครั้ง  ส่วนอีกปัญหาซึ่งก็อีกแระ ตอนสมัยสโนว์ก็เป็น ก็คือ rain sensor auto wiper จะบอกว่ามันปัดจังหวะเร็วเกินไปมาก ๆ อยากให้ปัดช้าลงสัก 70-75% เลย  สรุปว่างานนี้ manual เอาตลอด และกลายเป็นหน้าที่เราด้วย เราต้องคอยกดให้เค้าเพื่อให้เค้าขับรถได้เต็ม 100% ไม่ต้องว่อกแว่ก

7. Autopilot  คนขับเราเค้าไม่ชอบใช้ แทบจะเรียกว่าไม่ใช้เลย เรามีโอกาสได้ขับสองครั้ง เราใช้ทั้งสองครั้งเลย แล้วก็พบปัญหาดังนี้ คือเค้าจะ auto ให้จริงในแง่ของการชลอตามคันหน้าจนหยุด ถ้่คันหน้าหยุด เค้าจะเว้นระยะห่างมากกว่าปกติที่มนุษย์จะเว้น เวลาคันหน้าขยับออกตัว เค้าก็ออกตัวตามคันหน้า แต่เค้ามักจะทำช้ากว่าเมื่อเทียบกับกรณีเราขับเอง แล้วมันก็เกิดความสงสัยว่าตกลงเค้าจะทำให้รึไม่ทำ  บ้านเรามอเตอร์ไซค์เยอะ แล้วมอเตอร์ไซค์เค้าก็จะชอบอยู่ทางซ้ายของเรา ดังนั้นกรณีมีสองเลน คนขับเลนขวามือมักจะขับชิดขวาเพราะมีมอไซค์วิ่งทางซ้าย (พวกนี้เค้าจะชอบวิ่งตรงกลางระหว่าง 2 เลน หรืออยู่ซ้ายสุดของถนน) พอใช้ autopilot เค้าจะพยายามดึงพวงมาลัยให้รถอยู่ตรงกลางเลน ก็เลยเกิดอาการทะเลาะกัน เพราะพอเราออกแรงที่พวงมาลัยให้รถชิดขวา เค้าก็จะงอนสลัดเราหลุดจาก autopilot เวลาถือพวงมาลัยเบาๆ เค้าไม่รู้สึกว่าเราถือ มีการขึ้นข้อความเตือนว่าให้ออกแรง torque นิดนึง จะได้รู้ว่าเราถืออยู่ เรียกว่าทะเลาะกับเราตลอด  สงสัยว่าอนาคตคงจะไม่ได้ enhanced autopilot หรือ full-self driving แน่เลย คนขับเราเค้าชอบขับเอง และตราบใดที่เค้าขับให้เราตลอด เราก็เสมือนหนึ่งมี full self driving อยู่แล้วก็คือเรานั่งอย่างเดียว ไม่ต้องขับ จะไปไหนก็บอกเค้าเป็น voice command  แถม auto summon ก็ได้ เสร็จงานก็เรียกให้มารับ ก็มา ด่าก็ได้ด้วยถ้ามาช้าหรือขับไม่ดี เราเรียก full self driving แบบใช้คนอื่นขับให้  ดี๊ย์ ดีย์

8. ได้ป้ายขาวมาแล้ว เย้  คันนี้เป็นคันที่ได้ป้ายขาวช้าที่สุดเพราะโควิด ใช้เวลา 2 เดือนครึ่งตั้งแต่ได้รถมา เหมือนที่แจ้งให้ทราบบล็อกที่แล้วว่าเราสองคนไปจองหมายเลขทะเบียนเรียบร้อย ก็นึกว่าจะได้ป้ายขาววันที่เอารถไปตรวจสภาพ ปรากฎว่าก็ไม่ได้เพราะเค้าปิดกรมการขนส่งไป แต่ตัวเลขทะเบียนใหม่ออกเรื่อย ๆ แบบออนไลน์โดยที่ไม่มีการจดทะเบียนรถใหม่และออกป้ายจริง เพิ่งจะมาเริ่มเปิดให้จดทะเบียนได้ทีหลัง แล้วเราก็รอคิวมาตั้งแต่ 2ขฒ ฒ ผู้เฒ่าเดินย่อง มา 2ขณ ณ เณรเล็ก ๆ ปรากฎว่ามาถึง 2ขด (ของเรา) ด เด็กแข็งแรง เร็วมาก พอสัปดาห์ที่ 2ขด เริ่มเปิดให้จดทะเบียนจริง เราก็บอกคนขับเราแจ้งทางวสุธาไป เค้าตอบว่า อ๋อ ยังไปรับป้ายขาวไม่ได้เลยค่ะ แผนกป้ายทะเบียนผลิตป้ายขาวออกไม่ทัน เครื่องผลิตมีปัญหา  รอบนี้ตอนเอารถไปทำกระจกร้าว เค้าเองก็คงอยากได้ป้ายแดงคืนมาก  พอไปรับรถเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ป้ายแดงก็หายไป เย้ ได้ป้ายขาวมาเรียบร้อย ดีใจถึงดีใจที่สุด ได้เสียภาษีประจำปีและได้ใช้รถอย่างถูกกฎหมายไม่ไปเตะลูกกะตาใคร ค่าธรรมเนียมก็แสนถูก สรุปว่า ได้ป้ายขาว ได้สมุดสีน้ำเงินมา เราก็แอบถามหาหลักฐานการเสียภาษีรถยนต์นำเข้าที่ถูกต้อง กลัวโดนตามจับทีหลังเหมือนกรณีผกก.โจ้ เค้าบอกว่ามีแค่นี้แหละค่า ทางบริษัทเราถูกกฎหมายแน่นอน ส่วนที่เคยแจ้งว่าว่าค่าจดทะเบียน 2 หมื่นกว่าบาทนั่น ท้ายที่สุดก็ไม่ต้องเสียอะไรเลย (ไปจ่ายค่าซ่อมกระจกแทน)


เห็นใบเสร็จแล้วก็ต้องรักเมืองไทยขึ้นมาทันที ค่าธรรมเนียมคำขอ 5 บาท (ตอนนี้ซื้ออะไรได้บ้าง) ค่าตรวจสภาพรถ 50 บาท ค่าป้ายขาวตกอันละ 100 บาท น่ารักขนาดนี้ ส่วนค่าภาษี จริง ๆ ควรจะลดให้เราในฐานะที่เราไม่ได้ปล่อยก๊าซมลพิษเลย ควรจะจ่ายเงินให้เราด้วยซ้ำ

9. กระจกร้าว เปลี่ยนแล้ว ช่ายฮะ หลังจากเคราะห์ซ้ำกรรมซัดปิดประตูทำกระจกร้าวอันเป็นผลพวงจากการมือซนไปเปลี่ยน puddle light เสริมความเท่ เราก็นั่งดูกระจกที่มีรอยร้าวค่อยๆ วิ่งมาเป็นเวลา 2 เดือน รอยร้าวเค้าก็วิ่งช้า ๆ มาเรื่อยจนกระทั่งประมาณช่วงต้นเดือน จู่ ๆ ก็วิ่งพรวดเดียวจมหายไปในประตูเลย (ก็ดี จะได้ไม่ต้องมานั่งขีด) บัดนี้ทางวสุธาก็บอกว่ากระจกใหม่มาถึงแล้ว นัดไปซ่อม ต้องมีการถอดคิ้วกระจกไปทำสีด้วย ใช้เวลา 3 วัน แต่เนื่องจากช่างติดฟิล์มจะเข้ามาได้ในวันที่ 4 แล้วก็มีวันคล้ายวันสวรรคต อยู่ตรงกลางอีกวัน (เรานั่งฟังเพลงในหลวงทั้งวัน น้ำตาซึมเลย) ก็เลยได้รถคือวันเสาร์ที่ 16 (รถเข้าไปเช้าวันอังคารที่ 12) ที่ผ่านมา แบบคุ้มค่าเพราะได้ป้ายขาวมาด้วย และก็ได้ให้เค้าเช็ค auto-frunk ให้ด้วย ได้ key fob ที่ติดค้างไว้มาด้วย เรื่อง key fob นี่เราก็เคยคุยกับคนขับเราแล้วว่าไม่ต้องมีก็ได้ แต่เค้าก็ดั๊นอยากได้นักหนา ไอ้เจ้า key fob อันนี้เค้าเคยขายตะหาก $150 (ตอนนี้แอบขึ้นราคาเป็น $175) เราก็แอบบอกคนขับเราให้ลองถามวสุธาดูว่าถ้าเปลี่ยนใจไม่เอานี่ เค้าเอาไปขายคนอื่นต่อได้ไหม เราจะได้คืนไปได้เงินคืนมาแอบถือเป็นส่วนลดค่าซ่อมกระจก  คำตอบคือไม่ได้ มันผลิตมาจากโรงงานสำหรับรถเราแล้ว เอาไปใช้กับคันอื่นไม่ได้  ไม่ได้ก็ไม่ได้ (ฟระ) ลูกผู้ชายบอกเค้าแล้วว่าจะเอา ก็ต้องเอา  พอรับมาเสร็จก็งง ๆ กันสองคน เราก็อยากจะเทสต์ว่ามันเวิ๊คจริง ปรากฎมันใส่อยู่ในกล่อง แบตก็ยังไม่ได้ใส่ลงไป ก็เลยส่งคืนกลับให้เค้า เค้าก็เอาไปให้ช่าง ช่างก็จัดการใส่แบตแล้วก็ขอคีย์การ์ด เดินดุ่ม ๆ มากดปึ๊ง ๆ ในรถ เอาเป็นว่าต้องมีการจูน key fob กับรถโดยใช้คีย์การ์ดอันเดิมที่เรามี  ท่ามกลางความงง เค้าก็กดเร็วมาก แล้วก็ยื่นกลับมาให้แล้วบอกเสร็จแล้ว ที่เรางงแล้วคิดตามไม่ทันก็คือ แล้วถ้ายังงี้เอาไปจูนกับรถคันอื่นได้ไหม คำตอบคือ จูนได้ครั้งเดียวจบ เป็นของคันนี้ไปตลอดชีวิต ใช้กับคันอื่นไม่ได้  แหม แหม แหม ถ้าบอกกันก่อน จะได้บอกว่าไม่ต้องจูน เราจะได้ไปขายต่อในตลาดมืด  เฮ้อ ทำเร็วจนคิดตามไม่ทัน ห้ามไม่ทัน สรุปว่าจูนไปเรียบร้อย 

  
ภาพกระจกร้าวที่เริ่มจากนิดนึง แล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จังหวะสุดท้ายนี่วิ่งรวดเดียวถึงฐานเลย  ขวามือเป็นรหัสกระจกใหม่ ความที่เราไปรับรถค่อนข้างเย็น ลืมดูว่ากระจกเป็นแบบ laminate รึเปล่า ที่ตรงใกล้ ๆ ฐานเค้าจะมีรหัสบอกถ้าเป็นแบบสองชั้นเขียนว่า >PVB< laminated

10. ทำใจเรื่อง Frunk แล้วมันก็ดีขึ้น ตามที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้ทว่า Hannshow auto-frunk ของเราออกอาการลูกผีลูกคน เปิดไม่ขึ้นบ้าง ปิดไม่ลงบ้าง รอบนี้ที่ไปซ่อมเปลี่ยนกระจกที่วสุธา ก็เลยขอให้เค้าช่วยดู คุณน้องผู้ชายคนที่เค้าจูน key fob ให้เรา เค้าบอกว่าเค้าได้ดูให้แล้วเค้าอธิบายว่ามันมีน้ำเข้าไปในกล่องมอเตอร์ทำให้มันรวน คนขับเราเค้าข้องใจว่า น้ำมันเข้าไปได้ยังไง (เราเองก็ข้องใจ) เค้าสงสัยว่ามันเข้าไปทางรูไหน เค้าจะไปอุดรูนั่น น้องช่างเค้าบอกว่าเข้าจากข้างล่างของรถนี่แหละคับ แต่เค้าบอกว่าเค้ากันน้ำให้แล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าทำยังไง เราได้แต่ข้องใจว่า เค้าวางกล่องมอเตอร์ที่ว่าไว้ตรงส่วนใด เป็นไปได้ไหมที่จะขยับไปไว้ตรงที่มันมีโอกาสโดนละอองน้ำได้ยาก ๆ เราสงสัยเรื่องความเรียบร้อยของสายไฟต่าง ๆ นานา เคยชวนคนขับที่บ้านว่าเรารื้อแกะ frunk ออกมาดูกันเถอะ แต่ความที่เพิ่งจะทำกระจกประตูร้าวไป ก็ไม่ค่อยอยากจะมือบอนมาก ตอนนี้ก็เลยรอรวบรวมความกล้าบ้าบิ่นอีกที แต่จริง ๆ แล้วตั้งแต่ประมาณปลาย ๆ เดือนที่แล้ว เราเองก็หมั่นทดสอบเรื่อง frunk ดูอยู่เรื่อย ๆ เค้าก็ปิด เปิด ได้ดีมาเรื่อย ๆ นะ สรุปว่าตอนนี้จุดประสงค์หลักการใช้งานคือเก็บภาชนะใส่อาหารและถุงช็อปปิ้ง เนื่องจากเราสองคนไม่นิยมถุงหรือภาชนะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทำให้เวลาไปทานข้าวข้างนอกต้องพกเอาภาชนะ (คนขับเค้าโปรดภาชนะแก้วแบบฝาปิดแน่นมาก) ไปทุกครั้ง พอใส่มาเสร็จก็เอาใส่ไว้ใน frunk นี่แหละ กลิ่นเค้าไม่รบกวนในรถดี ส่วนการเปิดก็ทำความคุ้นเคยกับการควักโทรฯออกมากดเปิดจากแอพ หรือพูดสั่งสิริด้วยนาฬิกายี่ห้อผลไม้ผ่านทางแอพ stats app for tesla ที่จ่ายไป 1600 บาท ส่วนการปิดก็ไม่ยาก กดปุ่มปิดจากด้านใน frunk

 
จะว่าไป keyfob เค้าก็มีความเท่ห์แต่ตามสไตล์เทสล่า ไม่มีปุ่มอะไรให้เห็น ต้องแอบถามน้องช่างวันเวิ้คยังไง สรุปว่ามันกดได้สามที่ กดกระโปรงหน้า กดหลังคา แล้วก็กดกระโปรงหลัง เวลาจะเปิดกดสองที เวลาปิดกดทีเดียว ถ้าทีเดียวไม่ปิดก็กดสองที  keyfob อันนี้ไม่ทำหน้าที่ keyless entry เหมือนของสโนว์ หมายความว่าถ้าเราไม่เอาโทรฯ มา ถือแต่ keyfob มา เดินมาใกล้รถ รถเค้าไม่ unlock ให้ เราต้องกดปุ่มบนหลังคาสองทีเพื่อ unlock เวลาเดินไป เค้าก็จะไม่ล็อครถให้เอง ต้องกดล็อครถตะหาก ตอนนี้เอาแขวนไว้เฉย ๆ ส่วนที่เป็นพวงกุญแจ อันนี้ซื้อมาจาก aliexpress ตั้งนานแระ ใส่แล้วก็ดูดีขึ้นมาชะ แต่ไม่พกหรอก ในกล่องเค้าให้ถ่านกระดุมมาสองก้อน ถึงเวลาใช้งาน ใส่จริง ๆ แค่ก้อนเดียว

11. พูดเรื่อง keyfob เสร็จก็ต้องขอกล่าวถึงการใช้งานอื่นของ Tesla model 3 บ้าง การไม่ต้องพกกุญแจรถถือเป็นเรื่องดีถึงดีที่สุดสำหรับเรา เมื่อเปรียบเทียบกับแบบโบราณคือการที่ต้องถือ keyfob ไปไหนมาไหน ถึงแม้เราจะไม่ได้ขับรถเอง แต่บางครั้งก็ต้องไปเอาของ เอาของไปใส่รถ หรือบางโอกาส บางทีเรานัดกันไปเจอที่รถ ถ้าเราเข้ารถไม่ได้ ก็ได้แต่ยืนรอเท้งเต้งอยู่อย่างนั้น  บางโอกาสก็จะมีเหตุการณ์ให้ จนท. ที่ทำงาน เอาของไปเก็บที่รถให้บ้างไรบ้าง สมัยก่อนก็ต้องให้กุญแจเค้าไป เด้วนี้ก็สะดวกสะบาย กดแอพเปิดให้เค้า กดล็อกรถได้ (ต้องปลุกตื่นก่อนนะ) สั่งนู่นนี่ได้  ถึงจะดี ๆ หลายอย่าง แต่บางอย่างก็อาจจะเป็นปัญหาหรือเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง เช่น บางทีคนขับรถเราเค้าลืมโทรฯ ปรากฎว่าเราสามารถขึ้นรถได้ ขับรถออกจากบ้านได้ด้วยโทรฯของเราซึ่งถูกตั้งเป็นกุญแจเหมือนกัน แต่พอนึกได้ว่าเค้าลืมโทรฯ ก็จะเกิดปัญหาว่าแล้วตอนกลับ เค้าจะขับรถยังไง เพราะโทรฯเราก็ต้องเอาของเราไป จริง ๆ แล้วถ้าคนขับเราเค้าตั้ง iPad เค้าไว้เป็นกุญแจด้วยก็จะจบ แต่ตอนนี้เราสองคนกำลังดีเบตว่าควรจะทิ้งคีย์การ์ดอันนึงไว้ในรถดีมั้ย ก็กลัวอยู่ว่าเกิดใครเปิดประตูรถขึ้นมาได้ รู้ว่าเรามีคีย์การ์ดซ่อนไว้อยู่ อาจจะเอามาวางถูกตำแหน่งแล้วก็ขับรถไปได้  แต่ถ้าเราไม่พกคีย์การ์ด หรือไม่ซ่อนไว้ในรถเลย สมมุติว่าเวลาไปจอดรถแบบ valet parking ก็จะมีปัญหาแระ เพราะเราคงจะไม่เอาโทรฯ ให้เค้าไป บนแอพในรถมี valet mode ให้ขับได้โดยไม่มีกุญแจ แต่มันก็ยังมีปัญหาเรื่องเปิดปิดประตูอยู่ดี ในคู่มือของเทสล่าเค้าแนะนำว่าให้พกคีย์การ์ดไว้เสมอ ถึงแม้จะใช้โทรฯ เป็นหลัก

      การลงจากรถและล็อกประตู ทั้งสโนว์และน้องเล็ก (Lexus CT250h) และเราเชื่อว่ารถสมัยนี้ เค้ามีระบบเอามือแตะปิดกับเกือบหมดแล้วเราก็ชิน คือพอลงจากรถก็เอามันแตะด้านนอก รถเค้าก็จะล็อกให้ ของโบลต์ไม่มีเช่นนั้น เราสองคนก็เลย enable สิ่งที่เรียกว่า walkaway door lock คือลงจากรถแล้วเดินไปเลย พอรถเค้าจับสัญญาณบลูธูทเราไม่ได้เค้าก็จะล็อกให้  เดิมทีสมัยใช้สโนว์เราไม่เคยเปิดเสียง ปุ๊ด ปิ๊ด อะไรทั้งสิ้น เงียบฉี่ เพราะพอลงจากรถก็แตะด้านนอกมือจับ เค้าก็ล็อกให้เลย แต่ตอนนี้เป็น Bolt - Tesla M3P ถ้าไม่เปิดเสียง ก็ต้องคอยดูว่ากระจกมันหุบหรือเห็นว่าไฟมันติดเวลาล็อก  และบางทีก็เดินเร็วมาก ไปซะไกลแล้วเข้าหลืบ เลี้ยวเข้าซอกไป ไม่สามารถเห็นรถอยู่ในลานสายตาได้ ก็เลยต้องยอมเปิดเสียง เพื่อให้ได้ยินว่ามันปิ๊ดนิดนึง  ปรากฎว่าพอได้คีย์ฟ็อบมา เราก็พบว่าถ้าเราเปิดประตูด้วยคีย์ฟ็อบ เค้าจะ disable walkaway door lock ต้องกดล็อกเอาเองทุกครั้ง  อีกอย่างจะว่ารถเค้าไม่ฉลาดพอหรือเค้าไม่แคร์อาจจะเหมาะกว่า กล่าวคือ รถสโนว์เค้าจะรับรู้ด้วยว่าเราทิ้งกุญแจไว้ในรถหรือไม่ หรือแม้แต่กระโปรงท้าย อันนี้เคยลองเล่นแระ คือถ้าแกล้งโยนกุญแจไว้ในรถหรือไว้ในกระโปรงหลัง รถเค้าจะไม่ยอมล็อค แต่ถ้ากุญแจมีสองอัน อีกอันอยู่ข้างนอก อีกอันอยู่ข้างใน เค้าจะล็อกให้ อันนี้เป็นส่วนที่ฉลาดกว่าน้องเล็ก สมัยเล็กซัสเราจำได้ว่าเราไม่สามารถทิ้งกุญแจรถอันที่สอง (ที่เราพกไว้ใน back pack) ไว้ในรถได้ ทุกครั้งที่ลงจากรถ เราต้องควักกุญแจรถติดมือไปด้วยทุกครั้ง ไม่งั้นรถจะไม่ยอมล็อก เค้าเรียกว่าเหมือนกับจะฉลาด แต่ไม่ฉลาดจริง  สำหรับเทสล่า พอเราได้ keyfob มาก็ทดสอบทันที อยากให้ล็อกเค้าก็ล็อกให้เฉยเลย จะทิ้ง keyfob ไว้ในรถ ในกระโปรง ล็อกรถได้หมด  ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเค้ารู้ว่าเรายังมีโทรฯอยู่หรือเค้าไม่แคร์  คือถ้าอยากรู้จริง คงต้องลองโยนโทรฯ และ ipad ทุกเครื่องที่ตั้งเป็นกุญแจไว้ในรถแล้วลองล็อกรถดู

      อีกเรื่องที่เป็นที่น่ารำคาญเล็กๆ ก็คือ seat belt alarm น้องโบลต์นี่พอเราขึ้นรถปุ๊บ พอรถออกวิ่งเค้าจะร้อง alarm ทันทีขณะที่เรายังคาดเข็มขัดไม่เสร็จ เค้าเหมือนกะจะบังคับว่าถ้าขึ้นรถ ต้องคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วค่อยออกตัว ในความเป็นจริง บางทีคนขับเราเค้าแวะรับเราในที่ที่มันจอดนานไม่ได้ (กลางถนนก็มี) เรียกว่ากระโดดขึ้นรถแล้วก็ต้องออกรถเลย เรายังไม่ทันคาดเข็มขัด เค้าก็ร้องซะละ สมัยสโนว์นี่ ถ้ารถวิ่งช้าระดับนึงเค้าจะยังไม่ร้อง ให้เวลาเรา เวลาจะลงก็เหมือนกัน สมมุติว่าเค้าขับมาหย่อนเราลงตรงประตู เราไม่สามารถปลดเข็มขัดเตรียมพร้อมจะลงได้เพราะมันจะร้องอีก เหมือนเดิม คือถ้าเป็นสโนว์ รถวิ่งช้า ปลดเข็มขัดได้ เค้ารู้ว่าช้าสปีดนี้ ขับให้ชนอะไรก็ไม่ตาย Tesla ยังฉลาดสู้ Mercedes ไม่ได้หรืออาจจะไม่ได้แคร์ตรงจุดนี้

     อีกเรื่องที่สุดแสนจะรำคาญคือวิทยุ ตอนใช้สโนว์ความรำคาญของอันนู้นคือเวลาขึ้นรถออกสตาร์ท เสียงวิทยุจะเริ่มด้วยเสียงที่ดังเสมอ ต้องปรับลดลงมา  ของโบลต์นี่ความน่ารำคาญไม่ได้เกิดตอนจะขับรถ เกิดตอนไม่ขับ เช่น เวลาเปิดรถเพื่อเข้าไปนั่งรอ แต่ไม่ขับ ไม่ว่าจะนั่งเล่น หรือนั่งทำอะไรก็ตาม พอเปิดประตู หน้าจอก็จะติดเสียงเพลงก็จะมา ไม่ว่าจะ spotify หรืออะไรก็ตามที่เปิดไว้ เราขึ้นไปนั่ง (ด้านผู้โดยสาร) พอปิดประตูปุ๊บจอดับ เสียงหาย พอคนขับรถเค้าเปิดประตูด้านเค้าบ้าง จอติด เสียงมา พอเค้าปิดประตู (ถ้าเค้าไม่ขึ้นมานั่งด้านเค้า) จอจะดับและเสียงจะหายอีกแระ ทั้ง ๆ ที่เราก็ยังนั่งอยู่ในรถ เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ทำให้เราต้องติดนิสัยว่า ถ้าเราขึ้นมาในรถ ถ้าอยากจะฟังเพลงต่อ ต้องไม่ปิดประตู หรือต้องเอามือแตะจอซะที ปรับนู่นปรับนี่ เค้าถึงจะไม่ดับ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เป็นเรื่องน่ารำคาญนิดหน่อย

     ความตลกเล็ก ๆ อีกเรื่องก็คือเวลาเรานั่งรถไปยังบางสถานที่ที่เค้าชอบมีคนเปิดประตูรถให้ งานนี้ พอโบลต์วิ่งมาถึง ก็มักจะเห็นภาพพนักงานที่ตรงประตูทางเข้า มองรถด้วยสายตาเลิ่กลั่ก ตอนแรกเราก็ไม่เก็ท พอตอนหลังเลยรู้ว่าเค้าไม่รู้จะเปิดประตูให้ยังไง ไม่เคยเห็นมือจับประตูรถแบบนี้มาก่อน แอบฮาเล็ก ๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะสมัยก่อนเราก็รำคาญเวลาเค้าเปิดประตูให้ มักจะเริ่มคำสนทนาว่า "เอารถเข็นไหมคับ"  อยากจะตอบไปว่า "ไม่เห็นรึไงฟระ ว่าตรูเดินได้" อะไรประมาณเนี้ยะ

     สรุปว่า ถึงแม้คนขับรถเราจะขับโบลต์อย่าง aggressive ร้ายกาจ เปลี่ยนเลน แซง เร่งไฟแดง เร่งในซอย แต่เค้าก็ไม่ได้ขับซิ่งเร็ว ไม่ได้เอาไป race track ถึงเราจะทำกระจกร้าว แต่ก็ซ่อมแล้วตอนนี้ดีเหมือนเดิม ทำลืม ๆ ว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ถึงในรถจะไม่มีปุ่มอะไรให้กดเท่าไหร่ เราสองคนก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่ได้ขับหรือได้นั่ง Tesla Model 3 คันนี้ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกดีที่ไม่ได้เผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป รู้สึกดีที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างมลพิษหรือทำให้เกิดหายนะกับโลกมนุษย์ใบนี้อีก เราสองคนหยุดการเผาพลาญน้ำมันแค่ตรงนี้ อยากให้ทุก ๆ คนหันมาใช้พลังงานสะอาด  ล่าสุดคนขับรถเราเค้าก็มาแจ้งข่าวว่ากลุ่มเพื่อนสาธิตฯ เค้ามีคนนึงก็เพิ่งสั่งจอง Ora good cat ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกดีใจที่มีคนเห็นปัญหาและเริ่มทำในสิ่งที่เค้าทำได้ เลยฝากบอกให้เค้าไปสร้างกระแสรักษ์โลกในกลุ่มเพื่อนสาธิตฯเค้า แล้วสักวันเราอาจจะได้ e-rally ไปท่องสถานที่ธรรมชาติเพื่อปลูกป่า ปลูกปะการัง เก็บขยะพลาสติก ฯลฯ อะไรที่มันดีย์ ดีย์ ต่อโลกใบนี้น่ะ  ต้องทำสิคับ


ดีใจที่ได้ป้ายขาวซะที สรุปว่าบ้านนี้เกาะติดตัวเลข 570 มาตลอด น้องโบลต์น่าจะเป็นรถที่เราครองป้ายแดงนานที่สุดที่ผ่านมา เสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้สอยป้ายประมูลเป็นกราฟฟิกสวย ๆ มาแปะ แต่คิดไปคิดมา ดีแล้วล่ะ เสียดายเงิน น้องที่ทำงานคนนึงเค้าจะชอบพูดว่า มีเงินอย่างเดียวไม่พอนะพี่ ต้องโง่ด้วย  แหม แหม น้องอาจจะไม่เข้าใจหัวอกของคนที่เค้ามีสตางค์จริง ๆ ว่าเค้าคิดยังไง มันก็ไม่ได้ถือว่าโง่หรือว่าฉลาด ป้ายกราฟฟิกมันก็สวยเก๋น่าหมั่นไส้ดี สำหรับคนมีตังค์เหลือเฟือ เค้าก็คุ้มค่าของเค้า เพราะมันทำให้เค้ามีความสุขและเป็นสิ่งที่เค้ายินดีจะจ่ายเพื่อความสุขอันนั้น สำหรับเราถ้าจะให้ควักจ่ายตรงนี้เราก็พอไหว เพียงแต่เรารู้สึกว่าเอาเงินไปซื้ออย่างอื่นน่าจะมีประโยชน์มากกว่า คิดง่าย ๆ ว่าจ่ายค่าซ่อมกระจกร้าวไปละกัน นั่นน่ะ อาจจะพอดี พอดีกับค่าป้ายประมูลกราฟฟิก


Create Date : 18 ตุลาคม 2564
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2564 9:10:25 น. 1 comments
Counter : 2696 Pageviews.

 

ติดตามอ่านนะครับ เขียนสนุกดีจัง

ร้องโวยวายคาดเบลท์ ผมเคยวางเป้ไว้เบาะหลังมันก็ร้องบอกว่ามีเด็กนั่งหลังไม่คาดเบลท์ 55 ผมนี่หลอนเลย

เรื่องจอดับหงุดหงิดเหมือนกันครับ ของผมนี่เวลาแวะจอดชาร์จหากลงจากรถไปทำธุระ ให้คุณแม่บ้านมานั่งเล่นฝั่งคนขับอย่างเดียว ไม่งั้นปิดประตูดับ ปล่อยไว้นานๆก็ดับนะครับถ้าไม่แตะจอเลย ลำบากแท้ 55

**อีกอารมณ์นึงนอกจากคนที่ไม่รู้จะเปิดประตูยังไงก็คือ "พี่ครับๆ รถพี่ยี่ห้ออะไรนะครับ?"

รอติดตามตอนต่อไปครับผม


โดย: Audiophilos (สมาชิกหมายเลข 1130313 ) วันที่: 9 พฤศจิกายน 2564 เวลา:9:12:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space