space
space
space
<<
เมษายน 2565
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
8 เมษายน 2565
space
space
space

Tesla M3P vs Mercedes C350e
ในโอกาสที่น้องสโนว์ (Mercedes C350e) มีเจ้าของใหม่ ก็ทำให้เราอยากจะเขียนบล็อกเพื่อรำลึกถึงความดีของน้องสโนว์ก่อนที่เราจะลืมเลือนมันไป โดยบล็อกนี้ก็จะขอเปรียบเทียบกับตี๋โบลต์ (Tesla M3P, เรียกตี๋น้อยเพราะเธอเกิดที่เมืองจีนในเมืองเซี่ยงไฮ้ ถึงจะเกิดแล้วถูกนำไปขายที่อังกฤษก็ตาม สัญชาติยังต้องเป็นจีนอยู่ดี)

การเปรียบเทียบรถสองคัน สองรุ่น อาจจะไม่ค่อยแฟร์นักตรงที่เทคโนโลยีด้วยเงื่อนไขเวลาต่างกันกว่า 5 ปี ขณะที่เปรียบเทียบก็ใช้งานมาไม่เท่ากัน คันนึงเป็นรถ plug-in hybrid อีกคันนึงเป็นรถไฟฟ้าล้วน แต่เนื่องจากเราเป็นเจ้าของ (เคยเป็น สำหรับสโนว์) ก็ขอแชร์ประสบการณ์ในการใช้งานและการดูแลของรถทั้งสองคัน


หน้าตาหล่อพอกัน ตราดาวอาจจะหล่อแบบแก่ ๆ หน่อย ดูภูมิฐาน ใคร ๆ (รปภ.) ก็รู้จัก ไปไหนก็จะมีคนคอยโบกคอยหาที่จอด เข็นรถให้ หายห่วง ส่วนน้องโบลต์ก็อีกแบบ คนไม่ค่อยรู้จัก ดูเผิน ๆ อาจจะนึกว่ารถญี่ปุ่นบ้าน ๆ ซึ่งก็ดี เพราะกลมกลืนดี เวลาไม่ออกแดด ตอนนี้ดูน้องโบลต์จะขาวกว่า แต่พอออกแดดทั้งคู่ก็ดูไม่ต่างกันมากยกเว้นน้องโบลต์เค้าจะมีเหลือบ ๆ เป็นแบบขาวมุก เวลาดูเทียบกันสองคัน จากภายนอกจะรู้สึกว่าน้องโบลต์คันเล็กกว่า ต้องเอาขนาดมายัน ถึงจะเห็นว่าจริง ๆ ขนาดพอกัน โบลต์ใหญ่กว่านิดนึงด้วยซ้ำ เวลานั่งข้างใน โบลต์จะนั่งสบายเพราะรู้สึกกว้างขวาง ทัศนวิสัยก็ดีกว่าเพราะกระโปรงสั้น เห็นไปข้างหน้าดีกว่า เวลานั่งสโนว์เราจะรู้สึกว่าหน้าต่างอยู่ตรงระดับคอเรา ไฟหน้าของสโนว์เค้าจะกลอกไปมาได้ เวลาสตาร์ทรถครั้งแรก จะมีการกลอกตาแบบน่ารักมาก ของโบลต์เค้าดูเหมือนมีขยับได้อยู่อันแต่ก็ไม่เห็นขยับแต่ที่แน่ ๆ คือเป็น matrix LED headlight แต่ไม่แน่ใจว่า software ของรถมาใช้ประโยชน์อะไรจากคุณสมบัตินี้รึยัง แต่เห็นแปรอักษรเป็นคำว่า Tesla ได้อยู่

เริ่มกันที่ราคาก่อนเลย ตอนนั้นเราถอยสโนว์มา ค่ารถอย่างเดียว (ไม่นับเบี้ยประกันธนชาต) ประมาณ 3.2 ล้าน ส่วนน้องโบลต์เรา 4 ล้านทอน 1 หมื่น (3.99 ล้าน) ใครจะไปเชื่อว่ารถเทสล่าจะราคาแพงกว่ารถตราดาวไปได้ไง งง  สำหรับรถในประเทศไทยเทียบราคาตปท. ก็คงแพง เพราะราคารถยนต์ประเทศไทยแพงกว่าประเทศเจริญแล้วหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะรถนำเข้าหรือรถที่ใช้อะไหล่จากตปท.เยอะ เพราะโดนภาษีเยอะ (แต่เรากินข้าวถูกกว่า แรงงานถูกกว่า) ถ้าดูข้อมูล carbuzz.com (ของเมกา) ลองดูรูปภาพข้างล่าง เค้าก็ให้ราคา Tesla แพงกว่าประมาณ 39% ถ้าเราเทียบกับเงินที่เราจ่ายไปในเมืองไทย ก็จะเห็นว่าเราจ่ายค่า Tesla M3P แพงกว่าจ่ายค่า Mercedes C350e ไปประมาณ 7.62 แสน คิดเป็น 23.6% price difference แต่อันนี้ต้องทำใจนิดนึงว่าราคาที่ carbuzz.com แสดงตอนนี้เป็นราคา Tesla M3P ของปี 2022 ซึ่ง Tesla แอบขึ้นราคามากกว่าตอนที่เราซื้อมาเกือบ ๆ $8,000 เราไม่สามารถเลือกรถปีเก่า ๆ ใน carbuzz.com ให้เค้าเอามาเปรียบเทียบได้ เอาเป็นว่า ใครจะเชื่อว่า Tesla จะราคาแพงกว่า Mercedes ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือใน เมกา 


สโนว์ถูกขายอย่างเป็นทางการโดยบ.ธนบุรีพานิช ไม่ต้องกังวลเรื่องบริการหลังขาย เรื่องอะไหล่ บางตัวก็ต้องสั่งจากต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่ อะไหล่ชิ้นที่ใช้บ่อย ๆ เค้าก็มีอยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องรอนานมาก โดยทั่วไป บริษัทตราดาวก็รับผิดชอบค่อนข้างดีใช้ได้ ตอนเริ่มต้นที่เรามีปัญหาเรื่องเสียงประตู ก็มีการแก้ไขโดยการเปลี่ยนยางประตูให้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย การใช้งานช่วงที่ยังอยู่ในประกัน (3 ปีแรก) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร เพราะอะไรเสียเคลมได้หมด ค่าใช้จ่ายเห็นแล้วก็ตกกะใจ ราคาห้าหลักขึ้นไป  พอมาเปรียบเทียบกับน้องโบลต์ เนื่องจากรถไม่ได้ถูกนำเข้ามาอย่างเป็นทางการ จำนวนรถในประเทศไทยก็ยังไม่มาก เวลาจะซ่อมที อย่าหวังว่าจะมีอะไหล่อะไรรออยู่ในประเทศ ก็ต้องสั่งเข้ามา แถมบริษัทก็โขกราคา บวกค่าส่ง ค่าภาษี logistics ขึ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ ไป ๆ มา ๆ ถ้าไม่ใช้โตโยต้าอัสติสหรือกะบะอีซูซุ คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นค่าซ่อมค่าอะไหล่ถูก ๆ หรอก

ในแง่ของตัวรถเอง ขนาดพอ ๆ กัน ถ้าเปรียบเทียบ กว้าง ยาว สูง แต่สโนว์จะมี clearance จากพื้นสูงกว่า แถมยังสามารถยกขึ้นลงได้ประมาณ 1 นิ้ว ด้วย air suspension ถ้าต้องลุยน้ำ ก็กดยกขึ้นสบาย ๆ (อันนี้แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายเวลา air suspension เจ๊ง) ส่วนโบลต์นั้น พื้นค่อนข้างต่ำ ดูเหมือนจะไม่ได้เตี้ยมาก แต่เนื่องจากพื้นหนา เพราะแอบสอดแบตเตอรี่ไว้ที่พื้นรถทำให้ความหนาของพื้นหนากว่าปกติ ส่งผลให้ท้องรถสูงจากถนนขึ้นมาประมาณแค่ 15 cm (เอาไอโฟน Xs max แนวตั้งสอดเข้าไปไม่ได้อะ) เวลาขึ้นเนินก็จะหวาดเสียวหรือจะหาแม่แรงที่สอดเข้ายกรถก็ยากขึ้น แถมแม่แรงก็จะวางมั่วซั่วไม่ได้ ต้องวางให้ตรงจุดที่กำหนด เพราะหากยกมั่วซั่ว ซวยไปกดแบตเตอรี่ยุบตัว อาจเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์เพราะไฟลุก สำหรับเรื่องน้ำหนักรถ โดยทั่วไปรถทรงเดียวกัน รุ่นเดียวกัน รุ่นที่เป็นรถไฟฟ้าล้วนจะแต่จะหนักกว่าเพราะน้ำหนักแบตเตอรี่ แต่บังเอิญว่าสโนว์ก็มีแบต (แบตแค่ 6 kWh) และแบกเครื่องยนต์ไปพร้อม ๆ กัน พอเอาเข้าจริง ๆ น้ำหนักโบลต์เยอะกว่าสโนว์แค่ 62 kg (Mercedes C350e นน. 1,785 kg  กว้าง 2.009 ม. ยาว 4.686 ม. สูง 1.444 ม.)   ถ้าเป็น Tesla M3P  นน. 1,847 kg กว้าง 2.088 ม. ยาว 4.694 ม. สูง 1.443 ม.)  ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของเทสล่า เพราะถ้าเปรียบเทียบรถที่แบตขนาดพอ ๆ กัน และเป็นมอเตอร์สองตัว ไม่มีใครทำน้ำหนักต่ำกว่า 2 ตันได้ (BMW i4 M50 หนัก 2,215 กก, Porcshe Taycan 2,305 กก , Audi e-tron 2,595 กก, Jaguar i-Pace 2,208 กก, Volvo XC40 Recharge 2,111 กก, Volvo C40 2,160 กก, Toyota bZ4X 2,195 กก)  น้ำหนักน้องตี๋น้อยโบลต์จะว่าไปก็หนักกว่าพวกรถแบตก้อนไม่ใหญ่มาก มอเตอร์เดียว อย่าง Ora good cat (1,505 กก), MG ZS EV (1,532 กก) แค่ ประมาณ 300 kg เอง 

เวลาจอดไว้ข้าง ๆ กัน จะดูรู้สึกเหมือนว่าโบลต์คันเล็กกว่าพอควร ทั้ง ๆ ที่ dimension กว้าง x ยาว x สูง สูสีกันมาก โบลต์ออกจะกว้างกว่านิ๊สนึง ยาวกว่านิ๊สนึงด้วยซ้ำ) แต่โบลต์ดูเล็กกว่า ปราดเปรียวกว่า ส่วนใหญ่น่าจะเป็นที่การออกแบบ เนื่องจากโบลต์มีส่วนกระโปรงหน้าที่สั้นกว่า (กระโปรงหน้าน้องสโนว์ยาวมากเสียพื้นที่ไปกับเครื่องยนต์เยอะ) กระโปรงหน้าโบลต์สั้นและเล็กนิดเดียว เวลาล้างนี่ง่ายมากเอื้อมถึงสบาย ๆ แถมเปิดกระโปรงมายังมีที่ใส่ของให้ด้วย เนื้อที่ใส่สัมภาระด้านหน้า (Frunk - Front trunk ความจุ 3.1 cu ft/ 88 L) ไม่เล็กมาก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากมายหากเทียบกับ Model S หรือ Model X แต่ก็ดีกว่าไม่มีซะเลย ส่วนใหญ่พื้นที่ด้านหน้าเราเอาไว้ใส่ภาชนะเก็บอาหารและถุงช๊อปปิ้ง (เป็นพวกต่อต้านถุงพลาสติก เลยต้องมีภาชนะใส่อาหารและถุงผ้าติดรถ) ข้อดีของการเก็บอาหารไว้ส่วนหน้าคือกลิ่นอาหารไม่รบกวนในห้องโดยสาร  พื้นที่ frunk ด้านหน้าช่วยเพิ่มความปลอดภัยหากเกิดอุบัติเหตุ เพราะสามารถยุบตัวลงได้ง่าย เรียกว่าเป็น crumping zone ในส่วนนี้ก็ต้องยกคะแนนให้โบลต์ชนะเลิศ

ในเมื่อความยาวทั้งรถเท่ากันแต่ส่วนกระโปรงหน้าโบลต์สั้นกว่า แปลว่าพื้นที่ภายในรถของโบลต์ดูกว้างกว่า ก็เป็นเยี่ยงนั้นจริง ๆ  ของ Mercedes C350e นี่จะนั่งสบายเฉพาะด้านหน้าส่วนด้านหลังจะค่อนข้างแคบกว่าพอควร พื้นที่ใช้สอยภายในรถของ Tesla model 3 มีกว้างกว่า นั่งแล้วจะค่อนข้างสบาย ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ด้านหน้ายังไงก็สบายกว่า) ด้านหลังดูอึดอัดน้อยกว่าสโนว์เพราะโบลต์ไม่มีเพลา เลยไม่มีสันตรงกลางสูงขึ้นมาด้านหลัง พื้นด้านหลังเรียบ เวลาคนขับเราซิ่งเลี้ยวโค้งเร็วมาก สมบัติที่วางไว้ที่พื้นจะถูกเหวี่ยงจากด้านนึงไปอีกด้านนึงสบาย ๆ  นอกจากนี้พื้นที่กระโปรงหลังของโบลต์ก็เยอะกว่ามาก เนื่องจากสโนว์จะเสียพื้นที่ส่วนหนึ่งไปกับแบตเตอรี่ พื้นของกระโปรงหลังส่วนหน้าจะสูงขึ้นมาประมาณ 1.5-2 นิ้วและไม่มีพื้นที่ใต้กระโปรง ทั้งสโนว์ทั้งโบลต์ไม่มียางอะไหล่มากับรถ แต่ยางของสโนว์เป็น run flat tires ส่วนของโบลต์เป็นยางธรรมดา สร้างความวิตกกังวลให้เราพอควร ถึงกับต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ปะยาง อุปกรณ์ฉีดโฟม/น้ำยา slime อุดรอยรั่ว ติดรถไว้ เคยพกแม่แรงด้วย แต่ตอนนี้เก็บขึ้น  การที่พื้นด้านในกระโปรงหลังของโบลต์สามารถยกขึ้นได้และมีพื้นที่เก็บสัมภาระอีกเยอะทำให้มีพื้นที่เก็บสมบัติมากมาย (ขนาดรวม trunk & frunk ไม่พับเบาะได้ 425 ลิตร เทียบกับ สโนว์ ซึ่งไม่มี frunk มีพื้นที่ 335 ลิตร) และไม่รกหูรกตา เมื่อเทียบกับสโนว์  เปิดกระโปรงมาดู กระโปรงหลังของโบลต์จะเรียบร้อยกว่าเยอะ เพราะขี้หมูขี้หมา เอาใส่ไว้ที่ช่องใต้พื้นกระโปรง

ในแง่ของการขับขี่ ไม่มีทางที่สโนว์จะเร่งสู้โบลต์ได้เลย แรงม้าน้อยกว่า เร่ง 0-100 ได้ 5.4 วินาที สู้โบลต์ที่สปีดจาก 0-100 ได้ใน 3.3 วินาทีไม่ได้แน่นอน ตอนมาจากน้องเล็ก Lexus CT100h เร่ง 0-100 เกิน 10 วินาที มาเจอน้องสโนว์ก็ว่าเร็วแล้ว แต่พอจากสโนว์มาเป็นโบลต์กลายเป็นสโนว์นี้อืดเลย น้องโบลต์จะปราดเปรียว กระฉับกระเฉงกว่าเยอะ แถมเงียบฉี่ ของสโนว์นี่เหยียบแรง ๆ เครื่องยนต์จะพาลติดขึ้นมาด้วย ของโบลต์เหยียบให้ตายก็ไม่มีเครื่องยนต์ติดไม่มีเสียงเครื่อง มีแต่เสี้ยงวี๊ ๆ ซึ่งต้องเงี่ยหูฟังพอควรจึงจะได้ยิน รถหนักพอกันแต่โบลต์ขี้โกงเล็กน้อยที่เอาน้ำหนักส่วนใหญ่ (ก้อนแบตเตอรี่) ไปไว้ที่พื้นท้องรถทำให้ค่า CG (center of gravity) ต่ำ เวลาเข้าโค้งแล้วจะรู้สึกไม่หลุดถนน ส่วนช่วงล่างหากเทียบกันจริง ๆ คงต้องยกให้สโนว์เพราะของเค้าเป็น air suspension ซึ่งจะให้ ride comfort ที่ดีกว่าและสามารถปรับได้ตามโหมดการขับขี่   แต่พอเจอที่ขรุขระ ขนาดให้เป็นแบบ comfort ความกระเทือนก็ยังส่งเข้ามาถึงห้องโดยสารได้ไม่ยากจากความแข็งของยาง run flat เทียบกับโบลต์วิ่งพื้นขรุขระอาจจะรู้สึกนุ่มนวลกว่าจากสองสาเหตุคือหนึ่งยางไม่แข็ง ไม่ใช่ run flat tire เป็นยางปกติ สองแก้มยางหนา เพราะเราไปเปลี่ยนลดขนาดลงเหลือ 18" ก็เลยมีความเด้งดึ๋งมากขึ้น  เวลานั่งสโนว์ ถ้ามีการปีนหลังเต่าทางโค้ง คือล้อหน้าสองข้างปีนหลังเต่าไม่พร้อมกัน จะเกิดอาการเหวี่ยงคนนั่งไปมาเนื่องจาก air suspension ของโบลต์ไม่เป็น  มีบางคนไม่ชอบช่วงล่างสปริงของ Tesla model 3 ไปเปลี่ยนเป็น coil spring ที่ปรับความนุ่มได้ หรือบางคนก็เปลี่ยนเป็น aftermarket air suspension ไปเลย อย่างพี่แถมในยูทูปที่เราดูเค้าก็เปลี่ยน ส่วนเรายังค่อนข้างโอเค ถ้าจะอยากได้ air suspension จะมีแค่เหตุผลเดียวคือเอาไว้ยกรถหลบหนีน้ำท่วม เอ้ย น้ำรอระบายในซอย เด้วถ้าได้ผู้ว่าคนใหม่เป็นพี่ชัช ถ้าเฮียแกเก่งจริง อาจจะไม่มีน้ำรอระบายอีกก็ได้นะ

สมัยตอนใช้สโนว์มีบางวันคนขับเราเค้าก็คึกขึ้นมาลองขับในสปอร์ตโหมดบ้าง ก็ได้ความรู้สึกสปอร์ตตรงที่พวงมาล้ยจะตอบสนองไวขึ้น stiff ขึ้น ช่วงล่างถุงลมก็จะโหลดเตี้ยลง ออกแข็ง ๆ ขึ้นนิดนึง และเครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาเสมอพร้อมใช้งาน เราก็ขำว่าจะซิ่งอะไรนักหนาก็ซิ่งได้แค่แบบคุณลุงไม่ได้เร็วอะไรมากมาย แน่นอน ว่าคุณลุงก็ไม่เคยเอาไปสนามแข่งที่ไหน มันรถบ้านเห็น ๆ อยู่แล้ว ตอนเพิ่งจะอัพเกรดมาจาก Lexus CT250h มันก็รู้สึกว่ารถสโนว์มันแรงดีอยู่หรอก 5.4 วิ นะจ๊ะ เร็วนะจ๊ะ  พอเปลี่ยนมาเป็นโบลต์ก็คนละอารมณ์ทีเดียว ขนาดยังไม่ได้เข้า track mode (ป่านนี้ยังไม่เคยเล่นเลย) รถมันก็เร่งแรงมาก ๆ แต่ก็เหมือนเดิม ซิ่งกันอยู่ในซอย ในถนน กทม.ดี ๆ นี่แหละ จะได้ซักแค่ไหนกัน เวลาเค้ารีบ ๆ แล้วขับเร็ว ๆ หน่อย เราจะรู้สึกหวาดเสียวไม่ค่อยชอบ คนชอบซิ่งนี่คงสนุกพิลึก มันปราดเปรียวกระฉับกระเฉงอย่างไม่น่าเชื่อ agile , agile มาก ๆ ตอนช่วงปีสองปีแรกของสโนว์ คนขับเราเค้าบ่นเรื่องเกียร์กระตุกตอนเปลี่ยนจาก D1->2, 2->3 มาก เรื่องนี้จะไม่เป็นประเด็นถ้าไม่สะเหร่อหาเรื่องไปขับ sport mode เพราะถ้าขับไปทำงาน ไปกลับ 10 โล ปกติก็ขับไฟฟ้าตลอดเวลา มีเฉพาะเวลาไปไกลหรือตอนเธออยากจะขับ sport mode ขึ้นมา เครื่องยนต์ก็ต้องติด คนขับเราเค้าบ่นตะหงิดตะหงิดว่า Mercedes 7G-Tronic transmission สู้ transmission บ้าน ๆ ของญี่ปุ่นไม่ได้สักยี่ห้อ (เค้าหมายถึง Honda, Toyota, Lexus อะไรทั้งหลายที่คุณเธอเคยขับ เพราะเค้าบอกว่ารถญี่ปุ่นไม่เคยกระตุกเวลาเกียร์ออโต้เปลี่ยนเกียร์) ตอนนั้นจำได้ว่ามีการเอาเข้าอู่ตราดาวแล้วให้เค้าดูเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ ปรากฎขับไปขับมาผ่านไปสักสองสามปี อาการกระตุกที่เวลาเปลี่ยนเกียร์ต่ำ ๆ มันก็เบาลงไป เราไม่แน่ใจว่าทำไม อาจจะเป็นช่วง tune in หรือเปล่าไม่ทราบ เพราะตอน Lexus นี่ถอยรถออกมาใหม่ ๆ ต้องเอาไปเข้าอู่ตอน 6 เดือน ของตราดาวนี่ปีนึงเลยถึงจะได้เข้า แต่เรื่อง transmission กับเครื่องยนต์ก็เป็นเรื่องอดีตสำหรับเราไปซะละ ชาตินี้คงจะไม่ได้ขับขี่รถ ICE อีก น้องตี๋โบลต์เราไม่มีปัญหาเกียร์กระตุก เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ แต่ยังมี transmission ที่เป็น single speed, fixed gear 9:1 ratio

ถ้าเทียบเวลาขับไฟฟ้า (สโนว์ก็ขับไฟฟ้าล้วน ๆ ได้ ระยะสั้น ๆ) ด้วยกัน แน่นอนว่าโบลต์จะประหยัดกว่า ทั้ง ๆ ที่เป็นมอเตอร์คู่หน้า-หลัง ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักจะมากกว่านิดนึง เราคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องเทคโนโลยีหรือความสามารถของ Tesla ในการทำรถให้วิ่งได้มีประสิทธิภาพประหยัดไฟฟ้ากว่ารถยี่ห้ออื่น ๆ น้องสโนว์เราที่มีแบต 6 kWh ตอนมาใหม่ ๆ นี่วิ่ง 20-30 กม. สบาย ๆ เวลาไปกลับที่ทำงานจะได้ประมาณ 1 รอบครึ่ง คือ ไป-กลับ-ไป  หลังจากผ่านไป 6 ปี ความเสื่อมของแบตเตอรี่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ก็คือหลัง ๆ นี่จะได้แค่ประมาณ ไป-กลับที่ทำงานรอบเดียว เหลือแบตกลับบ้านประมาณ 15-20% วิ่งไปอีกรอบไม่ไหวแน่  เวลาแบตก้อนเล็กแล้วใช้หมดรอบบ่อย ๆ cycle count มันก็จะเร็ว แต่ตราดาวเค้ารับประกันแบตใหญ่ 8 ปี (ในเอกสารเขียนว่า 8 ปี แต่คนขายของเวลาขายจะชอบพูดว่า 10 ปี) จะ 8 หรือ 10 ปี เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะไม่เสื่อมพอที่จะเคลมประกันได้เมื่อเวลามาถึง เพราะเค้ากำหนดเงื่อนไขความเสื่อมไว้ที่ 70% มันยากที่จะเสื่อมไปถึงขนาดนั้นเพราะสโนว์เค้าก็ใช้ liquid cooling แถมไม่เคยได้สัมผัส DC charging โบลต์นี่เราคาดหวังว่าจะเห็นแบตเสื่อมยากกว่ามาก เพราะปริมาณประจุที่ใช้เทียบกับขนาดก้อนมันน้อยกว่ากันมาก กว่าจะได้แต่ละ cycle count ต้องขับทีเกือบ 500 กิโล

เรื่องการเลี้ยวที่แคบหรือเข้าจอดต้องยกให้สโนว์ชนะ เพราะ turning diameter ที่แคบกว่า 2 ฟุต ฟังดูเหมือนไม่เท่าไหร่ แต่ก็ส่งผลมากทีเดียว เวลาหักเลี้ยว ถ้ามองจากข้างนอกรถจะเห็นได้ชัดว่าสโนว์จะมีการบิดล้อมากกว่า นอกจากนี้ Tesla model 3 ไม่มีกล้องที่ปลายจมูกรถด้านหน้า กล้องส่องด้านหน้าเค้าอยู่ตรงด้านในตรงกระจกส่องหลังตรงกลางในห้อง cabin ด้วยเหตุนี้ Tesla model 3 ไม่สามารถประกอบภาพ bird eye view 3 มิติให้ได้ เวลาเข้าโหมดถอยหลัง เค้าก็จะขึ้นภาพกล้องรอบ ๆ คันให้ดู แต่ไม่มี composite รถแบบ 3 มิติแบบมองจากด้านบนเช่นรถยุโรปยี่ห้ออื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกันน้องโบลต์เค้าก็ชดเชยด้วยการที่จอภาพใหญ่มาก น้องสโนว์เราเอาภาพ 3 มิติ bird eye view ขึ้นมาได้ แต่จอเล็กนิดเดียว ไม่ใหญ่ตระการตาเหมือน audi e-tron พอเทียบกันก็เลยไม่รู้สึกต่างกันมากนัก

สำหรับระบบเสียง เราว่า Burmester surround system มูลค่า Euro 2,270 ในสโนว์กินขาด เสียงดีกว่า (14 speakers, 590W, 9-channel digital amplifier) ซึ่งเราไม่ได้จ่ายเพิ่มตะหาก มันมากะรถ Mercedes C350e ที่เป็น trim AMG dynamic อยู่แล้ว (บวกไปแล้ว)  ถึงแม้ระบบเสียงใน Tesla M3 LR/PF จะไม่ได้แย่ขนาดนั้น (unbranded 14 speakers, 630W, 1 subwoofer, 2 amps) แต่พอเทียบกับ Burmester ด้วยหูระดับเรา เราว่าเสียง Burmester ดีกว่า fun facts คือมีคนปล่อยข่าวลือว่า Tesla จ้างวิศวกรที่เคยทำงานกับ Bang and Olufsen มาออกแบบระบบและจัดหาอุปกรณ์  พวก tesla fanboy บางคนเคลมว่าเสียงดีกว่าระบบเสียง BEO บน Audi A8 ซะอีกนะ (ไม่เชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์) สำหรับระบบ infotainment สโนว์ก็สู้ Bolt ไม่ได้แน่นอน รถมันเก่ากว่ากันต้ัง 6-7 ปี แถม Mercedes ก็ไม่มี internet connectivity (จริง ๆ ต่อได้ผ่าน wifi) แต่ CPU เค้าอืดมาก ขนาดระบบ navigation ที่มากับรถ คนขับเรายังไม่ยอมใช้เพราะรำคาญที่มันช้ามาก เค้าก็มักจะควักโทรฯ ขึ้นมาเปิด google map เหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไปทำกัน อีกเหตุผลหนึ่งก็คือระบบ infotainment ในรถมักจะล็อกไม่ทำงานขณะรถวิ่ง ในแง่ของความปลอดภัยอาจจะใช่ แต่บางทีผู้โดยสารที่นั่งไปด้วย (เรา) จะเป็นคนกดก็กดไม่ได้ ทำให้การใช้งานมันด้อยค่าไปเฉย ๆ นอกจากนี้ Tesla ยังมี spotify, youtube, netflex เกมส์ และบ้าบอคอแตกสารพัดจะพึงมี ยังไม่นับแอพ การใช้งานสั่งเปิดแอร์ การติดตามดูตำแหน่งรถ การล็อกข้อมูลจิปาะ และก็อัพเดตกันแบบบ่อยมาก ซึ่งสโนว์ก็ทำไม่ได้แน่นอน รถมันคนละ generation กัน คงเทียบกันยาก ถ้าเอาแต่คุณภาพเสียงอย่างเดียวก็ต้องยกนิ้วให้ Burmester ส่วนตัวเลือกในการฟังรวมถึงเกมส์และ infotainment อื่น ๆ ยกให้ Bolt ไปซะ เหลืออยู่ 2 อย่างที่สโนว์มีแต่โบลต์ทำไม่ได้คือ 1. ช่องใส่แผ่นกลม ๆ ที่เรียกว่า ซีดีเพลง ของโบลต์ไม่มีช่องให้ใส่ เราก็สงสัยว่ารถยี่ห้ออื่น ๆ ที่ขาย ๆ กันในปีปัจจุบัน (2022 หรือ พ.ศ. 2565) เค้ายังจะมี CD player กันไม๊น๊อ  2. ที่หายไปในโบลต์อีกอย่างก็คือ AM radio ใครจะฟังหมอลำซิ่ง ข่าวท้องถิ่น อดจ้า ในสโนว์ยังมี AM radio แต่เราก็ไม่ได้ฟัง AM radio มานานมาก (สมัยเด็ก ๆ ต่อวิทยุแร่ฟังจากรางน้ำ จำได้ว่าเค้าเป็น FM radio อยู่ดีอะนะ) เรื่อง insulation การป้องกันเสียงจากนอกรถ อันนี้จะเทียบกันยากมากเลย เนื่องจากน้องโบลต์เค้าไม่มีเครื่องยนต์ เค้าจะไวต่อเสียงจากข้างนอกเป็นพิเศษ เราคิดว่าทั้ง Mercedes C350e และ Tesla Model 3 น่าจะพอ ๆ กัน คือ ไม่ได้ดีอะไรเป็นพิเศษ สู้พวก Mercedes S class หรือ Model S ที่รุ่นปรับโฉมใหม่ที่มีระบบ noise cancelling ไม่ได้แน่นอน  ทั้งสองคันเวลาวิ่งเร็ว บนถนนใหญ่ เช่นเวลาออก ตจว. เสียงลม เสียงภายนอกจะค่อนข้างดัง ต้องปรับ volume เสียงเพลงขึ้นไปพอสมควร ถ้าน้องโบลต์จะแอบเงียบกว่า ก็น่าจะเป็นแค่ตรงที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เพิ่มเติมแค่นั้นเอง ไอ้เจ้ากระจก insulation double-pane คู่หน้าของโบลต์ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่

ในแง่ของการดูแล เริ่มตั้งแต่การล้าง เราก็ยังคิดว่า โบลต์ล้างง่ายกว่า เนื่องจากรถเตี้ยกว่า กระโปรงก็ไม่ได้ยื่นซะยาวเหมือนของสโนว์ ข้อเสียของโบลต์คือก่อนล้างรถ จะต้องเปิดกระโปรงหน้าขึ้นมาแล้วเอาผ้าหนา ๆวางไว้ตรงช่องแอร์ เพราะเวลาฉีดน้ำ น้ำอาจจะเข้าไปในช่องแอร์ได้ ปรากฎการณ์น้ำเข้ากระโปรงหน้าไม่ได้มีเฉพาะตรงช่องแอร์ ซอกระหว่างกระจกหน้ากับฝากระโปรงมันเกือบ ๆ เหมือนจะกันน้ำอะไรไม่ได้เอาซะเลย หลาย ๆ ครั้งที่เราล้างรถ ถ้าเปิดฝาครอบขึ้นมาเช็คดูจะพบว่าน้ำที่เราฉีดล้างรถสามารถเล็ดลอดมาถึงบนฝาแบตเตอรี่ 12V ได้สบาย ๆ หวาดเสียวจะเกิด short circuit เป็นที่สุด  ขนาดไอ้เจ้า autofrunk ที่เราซื้อมาตะหากจาก Hansshow ให้ทางวสุธาติดตั้งให้ อันนี้ก็เป็นความเสียใจอย่างหนึ่งที่ไม่ติดตั้งซะเอง เพราะหลังจากใช้งานไปได้สัก 1-2 เดือน frunk เราก็มีอาการงอแง เปิดมั่งไม่เปิดมั่ง พอเอาไปให้วสุธาเค้าดู เค้าบอกน้ำเข้ากล่อง (น่าจะเป็นกล่องที่มีมอเตอร์ดึงสลิง เพราะเราแอบเห็นสนิมขึ้นที่สลิง) แล้วเค้าก็บอกว่าตอนนี้เค้าใส่ถุงหรืออะไรให้กันน้ำให้ละ แต่เรายังไม่เคยแงะแผ่นพลาสติกแผ่นนั้นขึ้นมาดูว่างานเรียบร้อยแค่ไหน  ตอนที่เราค้นพบว่าน้ำมันสามารถเล็ดลอดมาถึงช่องลมเข้าสำหรับระบบแอร์ได้เป็นเพราะเรามีการแอบติดแผ่นกรอง 1 แผ่นตรงทางเข้าแล้วก็พบว่ามันเปียก หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ล้างรถ ก็จะต้องเอาผ้าไปขวางไว้ตรงนั้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันน้ำเข้าช่องแอร์ แต่หลังจากไปตรวจงานละเอียด เราก็พบว่าตรงส่วนล่างสุดของช่องแอร์เค้ามีรูระบายน้ำไว้ดักรออยู่แล้ว จริง ๆ ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมชอบมีคนบ่นเรื่องแอร์มีกลิ่นอับ  ของ Mercedes ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำเข้าห้องเครื่อง เค้าทำฝากระโปรงกับยางขอบตรงส่วนที่เค้าต้องการกันน้ำเข้าได้ดีกว่า Tesla 

ก่อนจะล้างรถของ Tesla มีสิ่งที่เรียกว่า car wash mode ซึ่งจริง ๆ แล้วเค้าตั้งใจไว้สำหรับเวลาเอารถไปล้างเครื่อง (ฝรั่งมีเยอะ) แต่ของสโนว์ไม่มี mode นี้ ปัญหาอย่างหนึ่งเวลาล้างรถคือก้านปัดน้ำฝน ของ Mercedes นี่ถ้าจะยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นมาจากกระจกจำเป็นจะต้องให้ก้านปัดมันเคลื่อนที่มาอยู่ตรงกลางกระจก แล้วมันถึงจะยกตั้งขึ้นมาได้ ไม่ติดขอบฝากระโปรงด้านกระจก เราเคยทำเป็นรอยมาแล้วเพราะพยายามยกขึ้นจากตำแหน่งปกติที่เค้าอยู่ (ล่างสุด) แล้วก็ทำขอบด้านในฝากระโปรงเป็นรอย เป็นบทเรียน เวลาคนขับรถเราเค้าเตรียมล้างสโนว์เค้าจะออกแรงขยับก้านปัดขึ้นมากลางกระจกดื้อ ๆ ก่อนจะตั้งยกก้านขึ้นมาจากกระจก แต่สำหรับเรา เราจะใช้วิธีเปิดที่ปัดน้ำฝนจากในรถแบบสปีดที่ช้าที่สุด แล้วพอมันอยู่ตรงกลางก็ power off แล้วมันก็จะค้างอยู่อย่างนั้น พอล้างรถเสร็จ สตาร์ทรถเพื่อขยับเข้าที่จอดประจำ ก้านเค้าก็จะลงไปเอง ทั้งสโนว์และโบลต์จะมีท่อนำน้ำยาฉีดกระจกมาพ่นที่ก้านปัดโดยตรง ไม่เหมือนพวกรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่มักจะมีหัวฉีดน้ำอยู่บนฝากระโปรง  ที่ประหลาดของโบลต์เรื่องที่ปัดน้ำฝนอีกอย่างก็คือของโบลต์จะยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นมาตั้งฉาก 90 องศาไม่ได้ ไม่มีข้อต่อให้งอได้ ได้แต่หยิบขึ้นมาตรง ๆ เล็กน้อยเช็ดกระจกใต้เค้า แล้วก็วางลงไปเหมือนเดิม  ทั้งสโนว์ทั้งโบลต์ตอนมาใหม่ ๆ เวลาปัดน้ำฝนจะมีเสียงอี๊ดอ๊าด  ตอนสมัยสโนว์นี่คนขับเราบ่นประจำ ให้ศูนย์ตราดาวเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนกี่ทีกี่ทีก็ไม่หาย นาน ๆ ไปมันก็หายไปเอง ส่วนโบลต์นี่ ไม่มีศูนย์เป็นทางการ อยากเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนก็ต้องจ่ายตังค์เอง (จริง ๆ คนขับเราเค้าเข้าไปช๊อป ๆ ดู ๆ ซิลิโคนเบลดยี่ห้อ kim blade ราคามหาโหด แต่ป่านนี้ยังไม่ได้ซื้อ) ของโบลต์ทุกวันนี้หลังล้างรถเสร็จเราจะเอาซิลิโคนสเปรย์กระป๋องฉีดตามแนวยางปัดน้ำฝน เพื่อลดอาการเสียงอี๊ดอ๊าด เนื่องจากกระจกด้านหน้ามีแผ่น windshield protection film ราคา 17K แปะอยู่ และทาง CTS เค้าบอกว่าใช้ได้แค่ 1-1.5 ปี แล้วจะเป็นรอย ก็เลยต้องพยายามให้มันโดนขูดขีดให้น้อยที่สุด จะได้ใช้ให้คุ้ม ๆ หน่อย

   
Tesla Model 3 แผงด้านใน frunk ตรงที่มีช่องให้อากาศเข้ารถเราเอาขอบโฟมไปแปะไว้ทำเป็นเขื่อนเพราะไม่งั้นน้ำจะเข้าช่องแอร์ได้ ดูหลักฐานจากทางฝั่งขวามือ ไม่มีเขื่อน เวลาล้างรถทีไรก็จะเห็นรอยคราบน้ำมาตรงนี้ทุกครั้ง ตรงทางเข้าเดิมเค้าไม่มีตะแกรงอะไร แต่เราไปแอบซื้อถาดเป็นรูกลม ๆ มาวางไว้ กันเศษใบไม้ เศษละอองเกสร หรือถุงพลาสติก ปลิวเข้าไปในช่องแอร์ ซึ่งเดิมเราไม่รู้ว่าข้างในเค้ามีตะแกรงอยู่แล้ว คิดว่าแผงรูกลม ๆ นี้คงจะไม่ได้บล็อกทางเข้าอากาศมากนัก คงจะไม่ได้ทำให้ระบบทำงานหนักขึ้นเท่าไหร่ ได้ความอุ่นใจนิดนึง


 
กระนั้นก็ยังโรคจิตไม่พอ เพราะชอบมีคนบ่นว่ามีน้ำเข้าไปในระบบแอร์และมีกลิ่น เราก็เลยไปหาซื้อ filter ถูก ๆ (อันนี้บน shopee ยังมีขายเลย) มาวางไว้อีกชั้น อันนี้น่าจะเพิ่มแรงต้านทานลมภายในระบบพอควร แต่ก็ช่วยให้อุ่นใจเพราะถ้าน้ำมาถึงตรงนี้ได้ อันนี้มันจะต้องเปียกก่อนและต้องขอรายงานว่ามีเปียกเป็นระยะ ๆ เวลาล้างรถก็เรื่องนึงเพราะเราเอาผ้าวางขวางไว้บนแผนตะแกรงข้างบนเลย แต่เวลารถวิ่งตอนฝนตกหนัก ๆ มันไม่ต่างอะไรจากการล้างรถ เพราะฉะนั้นน้ำก็ยังจะเข้าไปได้อยู่ดี  ตรงขั้วแบตก็มีน้ำกระจายมาถึง มิน่าเทสล่าถึงต้องมีฝาครอบไว้อีกที


  
ไม่ใช่เฉพาะขั้วบวกที่น้ำมาถึง ขั้วลบด้านขวามือก็มาถึงเหมือนกันจ้า เหลือตรงกลางอีกนิดนึงก็คงช็อตแระ แต่เทสล่าเค้าก็คงมีแผงวรจร VCfront ไว้คอยจัดการ หวังว่า แต่เดิมทีเราก็ไม่เคยสอดโทรฯ มือถือลงไปถ่ายรูปเพิ่งจะมาลองดูทีหลัง ก็พบว่าจริง ๆ แล้วในส่วนที่ต่ำสุดของช่องให้อากาศเข้า เค้ามีรูอีกอันนึงตรงก้นปล่อง คงจะเอาไว้ให้ระบายน้ำที่เล็ดลอดเข้ามา แล้วก็ยังมีตะแกรงในแนวตั้งอีกตะหาก ป้องกันใบไม้ แผ่นพลาสติกอะไรกระเด็นเข้าไป ก็หวังว่าจะโอเคนะ ดังนั้นถ้า filter กระดาษข้างบนมันอุด ๆ ตัน ๆ หน่อย ลมมันก็ยังเข้าจากจุดนี้ได้อยู่  ถ้าใครไม่ผวาโรคจิตกลัวน้ำเข้ามาก ก็ลองไม่ต้องใส่อะไรดู ดูสิว่าผ่านไปสัก เดือน ๆ ปี ๆ จะมีกลิ่นอับ ๆ ไหม


อีกสาเหตุหนึ่งที่โบลต์ออกจะล้างง่ายกว่าอาจจะเป็นเพราะนางมี paint protection film แปะอยู่ด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ ดูเหมือน ๆ จะเลอะยากกว่าหน่อยทั้ง ๆ ที่เป็นสีขาวเหมือนกัน เวลามียางมะตอยมาเกาะ มียางต้นไม้ขี้นกอยู่ แค่ล้างแล้วก็เอาเล็บขูด ๆ ก็ออก ของสโนว์นี่บางทียางต้นไม้สีส้ม ๆ หยดลงมา เอาเล็บขูดออกยังเป็นรอยเหลือง ๆ จาง ๆ  แต่ปัญหาอีกอย่างของโบลต์คือช่องลมด้านหน้าตรงที่กันชน (ที่ไปเลียนแบบ Porsche) เค้ามา ช่องนี้ช่วยให้ลมระบายความร้อนให้ระบบเบรก ใช่ฮะ เวลาฝนตก ขี้โคลน ขี้ดิน ก็จะวิ่งไปกะลมและแปะไปบนตัวถังด้านประตูทั้งสองด้านด้วยเป็นของแถม เลอะเป็นพิเศษ  ส่วนล้อนี่เราว่าของโบลต์ล้างล่ายกว่าเพราะซี่ล้อห่าง เป็นล้อของ Martian wheels ซึ่งเป็น forged wheel ที่เราเคยเล่าไปก่อนหน้านี้ ซี่ล้อเค้าจะห่าง ล้างง่าย ซี่ล้อของสโนว์จะถี่ ล้างยากกว่าเยอะ

เรื่องภายในรถ ในแง่ของการรักษ์โลก เบาะหนังวัวแท้ก็คงจะไม่เป็นที่โปรดปรานเพราะไม่ใช่ Vegan อันนี้คือเบาะของสโนว์ เป็นหนังวัวแท้ สีแดง มีความแข็งแรง สกปรกยาก ทำความสะอาดง่าย นั่งแล้วลื่นไหล ทนทาน  ส่วนเบาะของโบลต์เค้าเป็นเบาะหนังเทียม vegan ซึ่งจะดูมีความบอบบางกว่า ดูจะทะลุหรือฉีกขาดได้ง่ายกว่า นั่งแล้วจะไม่ไหลลื่นเท่าไหร่ บังเอิญว่าเราดันไปถอยหนังเทียมคลุมเบาะสีขาวมาครอบทับอีก ตอนนี้เวลาล้างรถเสร็จก็เลยต้องมาเช็ดทำความสะอาดคราบ สีขาวก็คือสีขาว รอยอะไรนิดหน่อย ก็เห็นหมด ขึ้นอยู่กับจะขัดหรือไม่ขัด แต่เราก็จะปลอบคนขับรถเราเสมอว่าอย่าไปบ้ากับมันมาก เด้วเหลืองมาก เป็นรอยมากก็ถอดทิ้งไป เป็นขยะโลกอีก แต่เบาะขาวนี่มันช่วยให้ภายในดูสว่างดี แล้วก็ทำให้ภายในรถดูดีกว่าเบาะสีเข้ม

คงจะไม่ต้องบอกก็เป็นที่ทราบกันว่าภายในของ Tesla นั้นไม่มีปุ่มอะไรมากนอกจากจอ ขนาดจะเปิดไฟก็ไม่มีปุ่มต้องกดที่ไฟนั่นแหละ ตัวไฟกลม ๆ เป็นปุ่มไปในตัว ตรงเพดานด้านข้าง ๆ เหนือประตูที่รถคันอื่นปกติเค้าจะมีที่สำหรับมือจับ ที่อากงอาม่ามักจะยกมือขึ้นไปจับ ลักษณะเดียวกับเวลายืนบนรถเมล์ ของ Tesla ไม่มีฮะ ไม่มีที่ให้จับ ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ราบเรียบ สำหรับใครที่ปกติใช้ตรงนี้เป็นที่แขวนเสื้อ ไม่ต้องตกกะใจ เค้ามีตะขอพับได้เล็ก ๆ ให้เฉพาะด้านหลัง ข้างละอัน อีกเรื่องก็คือตรงประตูของโบลต์ด้านหลังไม่มี latch สำหรับเปิดประตูแบบรถอื่น ๆ ทั่วไป มีแต่ปุ่มให้กดเปิด (ไม่มีแบบ manual) แบบ manual มีเฉพาะด้านหน้า และเทสล่าเค้าก็ไม่อยากให้ใช้อันนี้ ถ้ายกคันโยกเปิดประตู จะมีข้อความเตือน เรียกว่าทางเทสล่าอยากให้ใช้ปุ่มเปิดประตู manual เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ถ้าผู้โดยสารด้านหลังจะออกฉุกเฉิน หรือประมาณว่าแบต 12V ตาย หรือถูกลักพาตัวอุ้มขึ้นรถ จะเปิดประตูออกกลิ้งบนถนนขณะรถวิ่งแบบในหนังก็ทำไม่ได้ ต้องปีนมาออกที่ประตูด้านหน้า  จริง ๆ แล้ว ทุก ๆ ประตูจะมีปุ่มให้กดเพื่อเปิดประตูอยู่ แต่ทุกครั้งที่รับคนแปลกหน้าขึ้นรถมาเค้าจะต้องทำทุกครั้งว่าประตูเปิดยังไง  บางคนก็ติติงว่า Tesla ไม่มี child protection door lock (รถทั่วไป ตรงสันด้านข้างจะมีปุ่มให้เลื่อนสำหรับโหมดนี้ ถ้า activate แล้ว คนในรถ กรณีเป็นเด็กซน ๆ จะไม่สามารถดึง latch เปิดประตูได้) จริง ๆ แล้วมี child protection อยู่เป็น software บนจอ ต้องสั่ง เลือกได้ว่าจะเอาประตูเดียวหรือทั้งสองประตู สะดวกกว่าไปเลื่อนปุ่มตรงสันประตูซะอีก ในความเป็นจริงเวลารถ Tesla วิ่งอยู่ มันจะกดปุ่มเปิดประตูไม่ได้อยู่แล้วฮะ ที่น่าจะสะพรึงกลัวก็เป็นกรณีนำรถเทสล่ามาเป็นแท๊กซี่ (ไม่รู้จะได้เห็นในเมืองไทยรึเปล่า) อันนั้นหมายความว่าถ้าคนขับเค้ากดล็อกไว้ที่ screen มีการ activate child protection door lock ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างหลังจะไม่สามารถหนีลงจากรถได้เลย น่ากลัวดีเหมือนกันนะ  เรื่องเข็มขัดนิรภัยของสโนว์จะมี belt tensioner คือเวลาเราใส่ครั้งแรก เค้าจะมีมอเตอร์ขึงให้สายตึงขึ้น ทำให้รู้สึกกระชับดี เวลามีอุบัติเหตุ (ยังไม่เคย) เค้าก็จะรั้งให้แน่นก่อนจะปล่อย airbag ออกมา ของโบลต์ก็มี belt tensioner (อันนี้ไปอ่านเจอในคู่มือ กะตอนหลังแกะเจอ) แต่เค้าไม่ดึงให้ตึงตอนรัดเข็มขัด คงจะเอาไว้รัดเวลาเกิดอุบัติเหตุอย่างเดียว แถม seat belt ของโบลต์ยังร้องน่ารำคาญมาก ถอดปุ๊บร้องปั๊บ ของสโนว์เค้าจะไม่ร้องถ้ารถวิ่งช้า ๆ ดีกว่าเยอะ ระบบ HVAC เคยบ่นไปหลายรอบ ของสโนว์ดีกว่า แทบจะไม่เคยเป่าลมอุ่นใส่เรา ของโบลต์นี่ถ้าตั้งอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิภายนอกน้อยกว่า 6 องศา มีอาการเป่าลมอุ่นทุกครั้ง (คงอยากจะอวด heat pump ละมัง) ภายในของสโนว์จะออกแนวมีความหรูหรามากกว่า ละลานตาไปด้วยปุ่มเปิ่มเต็มไปหมดเมื่อเทียบกับโบลต์ อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ หรือความชิน คนที่มาจากรถ ICE ใหม่ ๆ ก็คงงงเล็ก ๆ กับโบลต์ เพราะคลีนไปหมด ไม่มีปุ่ม มีจอยักษ์อันเดียว สำหรับเราไม่มีอะไรติดใจมากสำหรับปุ่มเปิ่มที่หายไป ยกเว้นแต่ว่าสมัยนั่งน้องสโนว์ เค้ามีนาฬิกา analog อยู่ตรงกลางอันนึง แล้วเราติดดูนาฬิกาอันนั้นมาก ตอนมาเป็นน้องโบลต์ นาฬิกาเป็นตัวหนังสือดิจิตอลเล็ก ๆ อยู่บน screen ดูยาก ไม่ชอบ คิดถึง นาฬิกาของตราดาว โบราณดี 

ในแง่ของงานเชิงระบบ ถ้าไม่นับความเลิศล้ำของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายของเทสล่า  ในแง่ของประสบการณ์คนใช้รถเราว่า Mercedes ดีกว่า Tesla จมเลย คือเราคิดว่า Mercedes เค้าทำรถมาช้านานมากแล้ว (ถึงจะเป็นรถ ICE)  มันยากที่บริษัทรถเมกันน้องใหม่อายุ 18 ขวบจะเอาความเก๋าอะไรไปสู้กับ บริษัทตราดาวสัญชาติเยอรมันอายุอานามบริษัทปาเข้าไป 95 ปี ในเรื่องแบบนี้ได้ (มันถึงต้องไปล้วงลูกเปิดโรงงานในเยอรมัน) เทสล่ายังค่อนข้างแบเบาะในเรื่องการประกอบรถ มีดีแค่ตรงที่เป็นบริษัทผลิต EV เอาตัวอย่างเรื่อง seat belt ก็ผิดกันไกล ที่บ่นไป เรื่อง seat belt tensioner เราพอให้อภัยได้ แต่เรื่องร้องสะเปะสะปะเอะอะโวยวายไม่ว่ารถจะขับความเร็วเท่าไหร่ มันแสดงให้เห็นว่าตราดาวเก๋ากว่า เค้ารู้ว่าผู้โดยสารอาจจะขึ้นรถมายังไม่ทันรัดเข็มขัด (แต่ตูดถึงเบาะแล้ว) หรือขาลงรถ เค้าก็ต้องปลดเข็มขัดเตรียมตัวลงตอนรถชะลอตัว เรื่องแค่นี้ เทสล่าคิดไม่ได้ หรือไม่ได้ใส่ใจ

ที่เคยเล่าให้ฟังว่าในตราดาวมีแบต 12V สองก้อน ซึ่งเดิมเราก็สงสัยนักเชียวว่ามีไปทำไม ตอนหลังนึกเอาเองว่า แบต 2 ก้อนเค้าคงจะทำงานกันคนละระบบ ตอนสมัย Lexus CT200h แบต 12V เค้าตายที่ประมาณ 5 ปีกว่า (ก่อนจะเอาไปให้ปะป๊าใช้น่ะ) ตอนนั้น สตาร์ทรถไม่ได้ เราคิดว่าตราดาวเค้าเผื่อแบต 12V ก้อนเล็กกับก้อนใหญ่ โดยที่ก้อนใหญ่คงจะป้อนไฟ 12V ให้กับระบบวิทยุ ระบบไฟ และอื่น ๆ ที่อาจจะถือว่าไม่สำคัญมาก แบบว่าแบตตายไปก็ยังขึ้นรถ ล็อกรถและขับรถได้ ส่วน 12 V ก้อนเล็กน่าจะสำหรับ critical functions เช่น เปิดปิดประตู สตาร์ทรถหรือช่วยแบ๊คอัพจิปาถะ  โอกาสที่มันจะตายพร้อมกัน 2 ตัวก็เป็นเรื่องยาก  เรื่องเหมือนไม่สำคัญแต่คนเยอรมันเค้าก็คิดไว้ก่อนแล้ว

เรื่อง keyfob เป็นอีกเรื่อง ตราดาวจะรับรู้ว่า keyfob อยู่ใกล้รถ หรืออยู่ในรถ และมีกี่อัน สมัย Lexus CT200h จำได้ว่าทุกครั้งที่เราลงจากรถและจะทิ้ง backpack เราไว้ในรถ เราต้องควักเอา keyfob (ของเรา - คนขับเราเค้าพกอีกอันนึง) ใน backpack ลงไปด้วยเสมอ ไม่งั้นประตูจะไม่ยอมปิด  แต่ตราดาวนี่ไม่ต้องเลย นางรู้ว่ามีสองอัน และอันนึงอยู่นอกรถแล้ว นางก็ล็อกรถให้หน้าตาเฉย ยังเคยสงสัยว่าถ้าใครแอบเปิดประตูน่าจะขับรถไปได้เลยเพราะเจ้าของทิ้งกุญแจอันที่สองไว้ในรถ แต่คิดว่านางก็คงมีระบบอะไรจะรับรู้อีก อันนี้ไม่เคยลอง เคยลองเล่น ๆ กับคนขับเรา แกล้งล็อก keyfob ทิ้งไว้ในกระโปรงหลัง นางก็รู้อีก ก็ไม่ยอมล็อกรถ แต่ถ้ามี keyfob อีกอันอยู่ข้างนอก ล็อกให้ สุดยอดแสนรู้

หลังจากเราได้โบลต์มาตั้งแต่ส.ค. ปี 64 ก็ใช้สโนว์น้อยลงมาก เรียกว่าสัปดาห์นึงต้องพานางออกมาวิ่งสักทีนึง ทำให้เราไม่ได้พก keyfob ของตราดาวไว้กับตัวอีกต่อไป แบตข้างใน keyfob เค้าก็อ่อนลงมาก แต่แม้กระนั้น เราพบว่า keyfob ที่แบตอ่อน รถเค้าก็เปิดประตูให้ได้ แต่เวลาจะ power on เค้าจะเตือนว่าแบตอ่อน หา keyfob ไม่พบ แล้วเราก็พบว่าตัว keyfob ของตราดาวเค้าทำมาให้เสียบเข้าไปในช่องหลังปุ่ม power แล้วหมุนสตาร์ทรถกรณีนี้ได้ ตรงที่เป็นปุ่มวาว ๆ เหมือนโลหะ(แต่จริง ๆเป็นพลาสติก) ปุ่ม power น่ะ มันแงะออกมาได้ แล้วก็เสียบตัว keyfob ที่แบตอ่อน ๆ เนี่ยเข้าไป แล้วก็บิดไปทางขวาเหมือนใช้กุญแจสตาร์ทรถแบบปกติเลย นี่ยังไม่ได้สาธยายเรื่องลูกกุญแจที่เสียบซ่อนอยู่ใน keyfob ที่ดึงออกมาใช้ไขเปิดประตูได้เหมือนกุญแจปกติ เพราะไม่เคยได้ใช้กะเค้าเลย แต่ก็แสดงให้เห็นว่าระบบแบ็คอัพกันไว้หลายชั้น ความใส่ใจในรายละเอียดเชิงระบบของตราดาวก็เป็นที่ประทับใจเราเสมอ และมันสะท้อนให้เห็นถึงความเก๋าของเค้าในการทำรถยนต์ ประกอบรถยนต์

ทีนี้น้องโบลต์เธอมาแหวกแนว เธอให้ใช้โทรฯ มือถือหรือไอแพดก็ได้เป็นกุญแจ (ได้ทั้งหมด 19 อัน)  ส่วน keyfob ต้องซื้อตะหาก ซึ่งคนขายเราก็อย๊ากอยากได้ ก็ยอมซื้อตะหาก  ถ้าเราพก keyfob ของเทสล่าเดินมาที่รถก็จะทำให้เราเปิดประตูรถได้เหมือนกับกรณีพกมือถือมาก็คือกดเปิดประตูเปิดรถได้ พอเดินจากไปเค้าก็จะล็อกเองหากเรา enable walkaway lock ไว้  แต่ถ้าเราเปิดประตูรถโดยใช้วิธีกดเปิดที่ keyfob พอลงจากรถเดินไป เค้าจะไม่ล็อคให้ ต้องกดล็อกเอง (กดเปิดก็ต้องกดปิดด้วย) ที่ลำบากกว่าสโนว์คือกรณีรถหลับไปแล้ว (คนใช้รถ ICE อาจจะไม่รู้ว่ารถหลับคืออะไร ช่าย แต่ก่อนเราก็ไม่เคยรู้ว่ารถมันหลับได้ด้วยเหรอ  กรณีรถ EV อย่างเทสล่า เนื่องจากใช้คอมพ์ มี CPU มีงานระบบอยู่ ถ้าเครื่องคอมพ์ติดตลอดเวลาก็จะแอบกินไฟไปเรื่อย ๆ ที่เรียกว่า phantom drain ดังนั้นพอจอดรถทิ้งไว้ ถ้าไม่เปิดโหมดหมา โหมดแคมป์ โหมด sentry ไม่ดึงข้อมูลตลอดเวลา สักประมาณ 15 นาที รถเค้าจะหลับไป คล้าย ๆ กับคอมพ์เข้าโหมด sleep) บางทีกว่าจะยอมเปิดรถให้ ก็ต้องรออึดใจนึง ดังนั้นการมี keyfob ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มเติมอะไรมาก นอกจากนี้เทสล่าเค้าให้ keycard มาอยู่แล้ว 2 อัน (ต้องแตะตรง B pillar เวลาจะเปิด เวลาจะขับรถต้องวางตรง console ตรงกลาง ส่วนใหญ่เราไม่ได้ใช้ keycard เอาไว้ให้ที่ร้านเวลาไป valet หรือเวลาเอารถไปเข้าอู่)  เราก็เลยอยากจะบอกเจ้าของใหม่ถ้าใครอยากได้ keyfob ให้คิดดี ๆ เพราะได้มาก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่ แถมต้องมานั่งเปลี่ยนถ่านกระดุมอยู่เรื่อย ๆ ประหยัดเงินซะดีกว่า

ความดีของโบลต์อาจจะอยู่ที่ใช้โทรฯ มือถือเป็นกุญแจได้ เราก็ไม่ต้องพก keyfob เวลาเดินมาที่รถ ก็เอามือกดที่ด้ามจับประตูซึ่งจมอยู่ให้กระดกขึ้น แล้วรถก็ควรจะตื่น unlock และยอมให้เราเปิดประตูได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปตามสคริปต์ จนกระทั่ง....วันดีคืนดี บางทีตี๋น้อยโบลต์ก็จะเกิดอาการงอแง ไม่ยอมตื่น นอนขี้เซาสุด ๆ กว่าจะยอมตื่น หรือทำเป็นไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักโทรฯ เราขึ้นมา คนขับเราบ่นเป็นเนือง ๆ ไม่ถึงกับบ่อยมาก แต่ของเราเคยมีครั้งนึง ตี๋โบลต์ลืมโทรฯ เราจริง ๆ เนื่องจากเราไม่ใช่คนขับ เป็นคนนั่งเฉย ๆ ลืมเราสนิท ไม่ยอมเปิดให้ จนเราต้องไปลบโทรฯ ตัวเองออกแล้วตั้งเข้าไปใหม่ แล้วถึงจะจำเราได้ (เคยมีคนบอกว่าแค่ปิด bluetooth ในโทรฯ แล้วเปิดใหม่ก็เวิ้ค) ขาลงจากรถนี่ล็อกประตูไม่ได้ แตะก้านประตูก็ไม่ล็อก ไม่มี sensor รับรู้เหมือนสโนว์ เราต้องไปตั้งใน setting ให้รถล็อกตัวเอง when walk away คือลงจากรถ ปิดประตูแล้วก็เดินจากไป แล้วประตูก็จะล็อก  ถ้าดันทิ้งไอแพดหรือโทรฯมือถือที่ตั้งเป็นกุญแจไว้ในรถ เค้าจะไม่ล็อกให้เวลาเดินจากไป ต้องหยิบโทรฯ ขึ้นมาสั่งล็อก อันนี้เป็นรายละเอียด ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ 

การเปิดกระโปรงหลังของตราดาวก็ง่ายสะดวกกว่า (ถ้ามี keyfob) เพราะตราดาวมี kick sensor ของโรงงานมาพร้อมกับรถ  ของโบลต์นี่ไม่มี kick sensor ให้ เราต้องซื้อมาติดเอง (ซื้อมา $75 ให้วสุธาช่วยติดให้) ก็ work แบบไว ๆ ไปหน่อย คือ เดินผ่านไม่ตั้งใจจะเปิด นางก็เปิด มันไวไปหน่อย อีกอย่างคือเวลาถือของมาพะรุงพะรังสองมือ ถ้าเป็นตราดาวเรามี keyfob อยู่กะตัว ก็เดินไปที่กระโปรงหลังเตะขาออกเขี่ย ๆ กระตุ้น kick sensor กระโปรงก็จะเปิดให้เลยสะดวกมาก ส่วนตี๋โบลต์ถ้าถือของมาสองมือ มีโทรฯมือถือติดตัวอยู่ก็จริงแต่เดินมาเตะ ๆ เขี่ย ๆ ใต้กระโปรง จ้างก็ไม่เปิดเพราะนางหลับอยู่ ต้องวางของลงก่อน ควักโทรฯ ขึ้นมากดให้เปิด หรือไม่ก็ต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิด หรือกดตรงด้ามประตูให้นางตื่นก่อน แล้ว kick sensor ถึงจะทำงานได้  เรียกว่าสองคันคนละอารมณ์  ถ้าจะให้เลือก เราก็คงยอมเลือกโบลต์ล่ะมัง เพราะการไม่ต้องพก keyfob นี่มันชนะอย่างอื่นหมด   อีกอย่างที่อาจจะไม่สะดวกบ้างก็คือกระโปรงหน้า เนื่องจากสโนว์เค้ากระโปรงหน้าเป็นห้องเครื่อง ไม่ได้ใช้เก็บของ เค้าก็ต้องไปดึงคันโยกเปิดตรงด้านคนขับ ของโบลต์มีที่เก็บของ ซึ่ง frunk ของ Tesla ที่มาจากโรงงานเค้าไม่เป็น motorized ขนาด Tesla Model S/X ซึ่งเป็นรุ่นแพง ก็ไม่ motorized (Rivian R1T, Lucid เค้า motorised นะจ๊ะ) เราก็เลยต้องเสียเงินไปติดตั้ง auto frunk ก็สะดวกขึ้นเยอะ แต่มันก็ไม่มีปุ่มให้กดเปิดจากด้านนอกรถ  ต้องควักโทรฯ ขึ้นมากด ถ้าใครอยากเก๋ ก็ลง app แล้วสั่งงานผ่าน Siri ผ่าน นาฬิกายี่ห้อผลไม้นี่ได้เหมือนกัน เวลาปิดฝากระโปรงหน้า กดปุ่มด้านในได้เลย ไม่ยากมาก

คิดว่าที่พูด ๆ มาทั้งหมดก็น่าจะหมดเท่าที่พอนึกออก ของบางอย่างอาจจะต้องรอใช้ Bolt ไปก่อนสักพัก หรือให้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เช่น ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบำรุงรักษา เป็นต้น ยังไม่มีข้อมูลดีพอ ไว้ถึงตอนที่ Bolt อายุ 5 ขวบ เด้วเราจะมานั่งระลึกอีกรอบว่าหมดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเท่าไหร่ และประสบการณ์ใช้งานระยะยาวเป็นอย่างไร ถึงป่านนี้ก็ยังคิดถึงน้องสโนว์อยู่ รถตราดาวคันแรกและอาจจะเป็นคันสุดท้ายของเรา หวังว่าเจ้าของใหม่จะดูแลหนูดี ๆ






















 


Create Date : 08 เมษายน 2565
Last Update : 27 กันยายน 2565 17:50:51 น. 0 comments
Counter : 699 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space