10 อันดับไม่ควรพลาดเมื่อไป...สวิสเซอร์แลนด์
10 อันดับไม่ควรพลาดเมื่อไป ...สวิสเซอร์แลนด์, Switzerland
เกริ่นนำ - สวิสเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่แปลกและมีเอกลักษณ์มาก ประเทศเล็กๆแค่นี้แต่มีภาษาราชการถึงสี่ภาษานั่นก็คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน และโรมาเนสก์ จึงเป็นที่มาของประเทศที่มีชื่อเรียกถึง 4 แบบซึ่งก็คือ Schweiz, Suisse, Svizzera และ svizra อยากรู้ว่าคนสวิสเค้าคุยกันเองยังไง ก็ต้องลองตามไปดูสิคะ .....หวังว่า10 อันดับดังต่อไปนี้ จะพอเป็นGuideฉบับรวบรัดให้กับทุกคนที่กำลังจะไปเที่ยวหรือใครก็ตามที่สนใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำส่วนตัวล้วนๆ รู้สึกเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ 1. Local Eating: จิ้มจุ่มชีส Swiss Fondue อันเนื่องมาจากสวิสขึ้นชื่อเรื่องชีส ดังนั้นอาหารประจำชาติจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง !! สวิสฟองดู คือต้นตระกูลของฟองดูทั้งปวงซึ่งคำว่าฟองดูนั้นเพี้ยนมาจากภาษาฝรั่งเศส(Fondre)ที่แปลว่าละลายนั่นเอง เมื่อเอ่ยถึงฟองดูคนไทยอาจนึกไปถึงฟองดูแบบญี่ปุ่นที่เป็นการเอาเนื้อชิ้นๆไปจุ่มในกระทะมากกว่า อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเข้าใจอย่างไหนมันก็คือกริยาการจุ่ม เหมือนๆกัน ต่างกันที่ของต้นตำรับนั้นเค้าจุ่มในหม้อต้มชีสสสล้วนๆ.. ฟองดูสวิสเป็นอาหารที่เกิดจากการผสมสุดยอดของชีสเนื้อแข็งของสวิสอย่างชีสเอมเมนทาล(Emmental)และชีสกรูริแยร์(Gruyere)เข้ากับเหล้าเชอรรี่(Kirsch)หรือไวน์ขาว นำทั้งหมดมาผสมผสานกันแล้วต้มด้วยไฟอ่อนๆในหม้อทองเหลือง พอเริ่มร้อน ส่วนผสมทุกอย่างก็จะละลายคละเคล้ากลายเป็นของเหลวสีเหลืองทอง วิธีการรับประทานก็คือให้ใช้ส้อมจิ้มขนมปังหั่นลูกเต๋าลงไปจุ่มชีสแล้วเอาขึ้นมาทานได้เลย จะเห็นว่ามื้อนี้ไม่มีเนื้อสัตว์เลยซักนิดมีแต่ชีส,ขนมปังและแอลกอฮอล์จากเหล้าเคียร์ชซึ่งจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นในหน้าหนาวของสวิสได้ดีนัก แต่ถ้ากินมาก..ความอบอุ่นนั้นอาจไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นจากห่วงยางรอบตัวแทน!!!! Guide: หลังกินฟองดูจนอืดได้ที่ ปิดท้ายด้วยการจิบเหล้าเคียร์ชที่มีดีกรีแอลกอฮลล์40% สักหนึ่งชอต... รับรองหลับสบายทั้งคืน How to go: ร้านอาหารทั่วไป หรือทำกินเองที่บ้านก็ได้ง่ายจัง ที่ซูริคก็มีร้านฟองดูดีดีหลายร้าน 2. Chill out : ทัวร์ชีสสิ ..Tour Cheesy ! ลิ้มลองรสชาติของชีสอันดับหนึ่งของสวิสกันไปแล้ว งั้นไปบุกถิ่นที่มาของชีสที่ว่านี้กันต่อเลยดีกว่า Gruyeres เป็นชื่อของหมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดไฟร์บอร์กที่สามารถส่งออกชีสกรูแยร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกได้ ฟังแค่นี้ก็น่าสนใจแล้วใช่มั๊ยล่ะคะ เมืองกรูแยร์มีประชากรไม่ถึง2000 คนซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำอาชีพเกี่ยวกับอุตสาหกรรมชีสตั้งแต่ผู้เลี้ยววัวไปจนถึงคนทำชีส บรรยากาศนั้นดูเป็นแบบชาวบ้านแสนคลาสสิกจริงๆ ถึงแม้คนที่มาเที่ยวกรูแยร์ส่วนใหญ่นั้นจะตามกลิ่นชีสมา หวังว่าอยากมาสัมผัสวิธีการผลิตที่มาของรสชาติชีสนุ่มละมุนลิ้น แต่ไม่เพียงแค่พิพิธภัณฑ์และโรงงานผลิตชีส กรูแยร์ยังเป็นเมืองยุคกลางขนาดย่อมเยาที่มีทิวทัศน์อันทรงเสน่ห์ และมีกลิ่นชีสโชยในอากาศตลอดเวลาที่เราเดินไปตามถนนหินกรวดกลางเมืองอีกด้วย How to go : นั่งรถไฟมาลงที่Fribourg แล้วต่อรถประจำทาง ไปลงเมืองBulle จากนั้น ขึ้นรถประจำทางสาย 263 หรือ 2 A อีกหนึ่งต่อ หรือจากเมืองBulle ไปได้อีกทางด้วยรถไฟท้องถิ่นด้วย Guide : แนะนำcheck สายรถและเวลาเดินทางอีกทีที่//www.sbb.ch/en/ สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่กรูแยร์ 1. ดูการทำชีส - Prinky อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ จะให้ดีต้องไปก่อน 11 โมง -โรงงานชีส La Maison du Gruyère ดูข้อมูลเพิ่มที่//www.lamaisondugruyere.ch เสียค่าเข้าชม 2. ปราสาท Gruyères ปราสาทยุคศตวรรษที่ 13 ช่วยประดับให้เมืองนี้ดูงดงามขึ้นอีก เปิดให้เข้าชม 3. Museum HR Geiger พิพิธภัณฑ์ของ HR Geiger ผู้สร้างตัวประหลาดในภาพยนตร์เอเลี่ยน ตั๋วเข้าชมสามารถซื้อแบบแพคคู่กับปราสาทได้ 3. Chill out ตามกลิ่นชอคโกแลต.. Chocolate factory ด้วยเหตุผลแบบเดียวกับข้างบน นึกถึงสวิส ก็ต้องนึกถึงช๊อคโกแลตด้วยจริงมั๊ยคะ ? สวิสไม่ได้ผลิตชอคโกแลตเป็นอันดับหนึ่งของโลกและสวิสก็ไม่ได้ปลูกโกโก้ซะด้วย แต่เพราะคนสวิสบริโภคชอคโกแลตมากติดอันดับต้นๆของโลกตังหาก อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกว่าสวิสไม่ได้ผลิตชอคโกแลตเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ใครก็รู้ว่า ครั้นเอ่ยถึง Swiss chocolate นั่นหมายถึงชอคโกแลตชั้นเยี่ยม รสชาติดีค่ะ สวิสได้ผลิตชอคโกแลตออกสู่ตลาดโลกอย่างที่เรารู้จักกันดีเช่น ชอคโกแลตสามเหลี่ยมToblerone, Nestle, Lindt&Sprüngli, Wernli และ Frey เป็นต้น แค่ยกตัวอย่างก็น้ำลายไหลแล้ว และคิดดูว่าถ้าไปทัวร์โรงงานที่อบอวลไปด้วยกลิ่นชอคโกแลต จะเคลิบเคลิ้มขนาดไหน Guide : -โรงงาน Lindt and Sprungli - เข้าชมฟรีแต่เค้าจัดเป็นmuseum เล็กๆไม่ใช่ทัวร์โรงงาน ข้อดีคือเข้าฟรีและได้ชิมชอคโกแลตด้วย Howtogo: ขึ้นสาย 165 (Bürkliplatz- Schooren) จนเห็นตึกโรงงาน ลงที่หน้าโรงงานเลย ที่นั่นขายชอคโกแลตราคาถูกกว่าด้วย -โรงงานFrey chocolate : อยู่ที่เมือง Buch ได้ทัวร์โรงงานเลย 3 ชั่วโมงเต็มจันทร์-พุธเช้า แต่ต้องเข้าเป็นกรุ๊ปไม่น้อยกว่า 12 คน อายุมากกว่า 14 และต้องลงทะเบียนติดต่อขอเข้าชมก่อน มีค่าเข้าชมค่ะ //www.chocolat-frey.com - Cailler's (Nestle) : อยู่ที่เมืองBroc ใกล้กับกรูแยร์ ถ้าไปดูชีสแล้วก็มาต่อที่นี่ได้ ทัวร์มีให้ชิมชอคโกแลตเล่นเดียวกัน เข้าฟรี !! 4. Natural : ล่องทะเลสาบ 4แคว้น Lake Lucerne Crusing หนึ่งในทะเลสาบที่ดีที่สุด สวยที่สุดของสวิส ที่ซึ่งผู้คนกว่า2ล้านคนไหลหลั่งมาท่องทะเลสาบต่อปี เรือนำเที่ยว 20 ลำรวมทั้งหมดจุคนได้กว่า 13,000 คนและจุดแวะชมกว่า 30 สถานีรอบทะเลสาบลูเซิร์นแห่งนี้ บ่งบอกถึงความอลังการและความยอดนิยมของที่นี่ได้เป็นอย่างดี ทะเลสาบลูเซิร์นหรือชื่อภาษาเยอรมันเรียกว่า Vierwaldstättersee ซึ่งvier แปลว่า สี่ หมายถึงการที่ทะเลสาบมีอาณาเขตเชื่อมต่อกันของสี่แคว้นภาคกลางของสวิส (แคว้นลูเซิร์น, แคว้นชวิซ, แคว้นยูริ และแคว้นอุนเทอร์วาลเด็น) นั่นบ่งเป็นนัยถึงความสำคัญของสายน้ำกับการดำรงชีวิตของผู้คนท้องถิ่นในภาคกลางนี้อีกด้วย รอบทะเลสาบลูเซิร์นนี้โอบล้อมไปด้วยสวิสแอลป์ ซึ่งน้ำในทะเลสาบก็เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขาในแถบนี้นั่นเอง น้ำสีฟ้าใสราวกับกระจกรายล้อมด้วยความเขียวขจีของป่าเขาในหน้าร้อนหรือขาวราวกับสำลีในหน้าหนาว กับไออากาศแสนบริสุทธ์จากธรรมชาติ หมู่นกนางนวลโผบิน บรรยากาศสุดยอดอย่างนี้ ที่เราสามารถใช้เวลาผ่อนคลายได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย .... Guide: Recommended route จากฉันเอง - ล่องเรือจากLuzern - Alpnachstad แล้วนั่งรถไฟขึ้นยอดเขา Pilatus ต่อ เส้นทางนี้จะได้ทั้งการล่องเรือและสัมผัสสวิสแอลป์ไปในคราวเดียวกัน ระยะเวลาล่องทะเลสาบประมาณ 1.30 ชม. ขากลับเพื่อให้เป็นการไม่เสียเวลาอาจนั่งรถไฟ S-bahnจาก Alpnachstad- Luzern เอาก็ได้ ค่าล่องเรือประมาณ 23 CHF ไปกลับ 38 CHF - อีก route คือตามรอยWilliam Tell ซึ่งสามารถซื้อเป็นทัวร์เฉพาะ นั่งเรือ William Tell express ไปตามรอยโดยเฉพาะ Howtogo : เมืองลูเซิร์น //www.lakelucerne.ch 5. Sightseeing : เก้าอี้สามขา..ที่..เมืองหลวงของโลก (Center of the world) เจนีวา เมืองหนึ่งในสวิสที่ไม่ได้มีศักดิ์เป็นเมืองหลวงของชาติ แต่นี่คือเมืองหลวงศูนย์กลางของสหประชาชาติตังหาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเมืองเจนีวาเมืองเดียวนี้มีสำนักงานระหว่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 200 แห่ง ชื่อย่อ สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป(UNOG- the United Nations Office at Geneva), สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR- United nations High Commissioner for Refugees), องค์การอนามัยโลก (WHO- World Heath Organization), องค์การการค้าโลก (WTO- World Trade Organization) เป็นต้น ย้อนรำลึกไปสมัยเด็กๆที่เรายังแต่งชุดสีฟ้าผูกผ้าพันคอ ก็เคยร่ำเรียนมาว่าแหล่งกำเนิดของสภากาชาดเกิดขึ้นที่นครเจนีวานี่เอง (ICRC -International Committee of the Red Cross) และหากยังจำกันได้ข่าวโด่งดังเมื่อปีที่แล้วที่มีการทดสอบเครื่องเร่งอนุภาคขนาดยักษ์ใต้พื้นดินยุโรป โปรเจคยักษ์ขององค์กรเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (CERN- European Council for Nuclear Research) สำนักงานCERN ก็ตั้งอยู่ที่เจนีวาเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ฉันคิดว่าหากมาถึงเจนีวาแล้ว ไม่ได้มาเห็นเก้าอี้สามขา (the Broken Chair) ปฎิกรรมเก้าอี้ขนาดยักษ์ก็นับว่าพลาด!ทีเดียว เก้าอี้ที่ไม่ได้สวยสะอะไร หลายคนมาถึงแล้วก็มองข้ามไป แท้จริงแล้วก็เพราะไม่รู้ความหมายของมันตังหาก! เก้าอี้สามขาถูกสร้างขึ้นในปี 1997 ตั้งอยู่ที่จัตุรัสPlace des Nations ด้วย ตัวเก้าอี้ตั้งประชันหน้าประตูทางเข้าสำนักงานสหประชาชาติ สร้างขึ้นโดยDaniel Berset ซึ่ง Paul Vermeulen อดีตประธานสมาคมHandicap international ที่ให้สร้างขึ้นหลังจากการประชุมนานาชาติที่เมืองOttawa แคนาดา ความหมายของมันก็เพื่อเป็นการต่อต้านสงครามและเก้าอี้สามขาก็เปรียบเสมือนผู้เคราะห์ร้ายจากสงครามนั่นเอง ตอนแรกเก้าอี้ตั้งใจจะวางอยู่แค่ 3 เดือนแต่ด้วยเพราะความสำคัญจึงกลายเป็นตั้งอยู่ที่จัตุรัสPlace des Nations ตลอดไป นี่แค่ตัวอย่างที่หยิบยกกันขึ้นมาเท่านั้น ความเป็นศูนย์กลางของนานาชาติยังมีองค์กรชื่อย่อต่างๆอีกมากเช่น UNHCHR, ILO, WIPO, WEF, EBU, GEN,UIT, AELE หรือ EFTA, ISO, OMPI เป็นต้น เท่านี้คงไม่ต้องสงสัยว่า เมื่อคนทั้งโลกต้องมาที่นี่ แล้วเราจะพลาดไปได้อย่างไร Note : จัตุรัสPlace des Nations - รอบจัตุรัสห้อมล้อมไปด้วยสำนักงานองค์กรระหว่างประเทศรวมถึงสำนักงานUNด้วย Guide: เยี่ยมเยือนสำนักงานระดับโลก 1. United nation Building ทัวร์ตัวอาคารซึ่งจะได้เห็นที่ทำการรวมถึงห้องประชุมหากในวันนั้นไม่มีการประชุมอีกด้วย เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 10โมง-4โมงเย็น ปิดพักเที่ยง ค่าเข้าชม 10 CHF เด็กนักเรียน 5 CHF และอย่าลืมนำ passport ไปด้วย จองก่อนล่วงหน้าที่www.unog.ch How to go : นั่งรถเมล์สายใดก็ได้ที่จะมา UN (สาย8,18, F, V, Z) รอที่ประตู pregny14 และอนุสาวรีย์เก้าอี้สามขาอยู่ด้านหน้าUN เลยค่ะ 2. International Red Cross and Red crescent museum ประวัติความเป็นมาของกาชาดและเรื่องราวที่น่าสนใจ เปิดให้เข้าชมส่วนของพิพิธภัณฑ์ทุกวัน 10.00- 17.00 น. เที่ยง ค่าเข้าชม 10 CHF เด็กนักเรียน 5 CHF How to go : รถเมล์สาย 8 ลงที่ Appia 3. CERN เด็กไทยหัวใจวิทยาศาสตร์ทั้งหลายไม่ควรพลาดมาชมที่นี่ ซึ่งจะได้ทัวร์เมืองขนาดย่อมที่ตั้งขององค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปงานนี้ ฟรี !! ทัวร์ใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ควรจองก่อนล่วงหน้านานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จองก่อนล่วงหน้า 3 เดือนยิ่งดี //www.cern.ch How to go : รถเมล์สาย 9 คันที่ป้ายหน้ารถเขียนว่าไป CERN วิ่งประมาณ 30 นาที 6. Sightseeing : ลิ้มรสอิตาเลี่ยน สไตล์สวิส Take a Italien Taste ไม่มีที่ไหนในสวิส ที่จะกินพิซซ่าได้อร่อยเท่ากับที่Lugano อีกแล้ว ก็แน่หล่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นร้านที่อร่อยขนาดไหนในสวิส ก็คงไม่มีทางได้บรรยากาศแบบนี้แน่ จริงๆแล้วฉันก็พูดอาจจะพูดเว่อร์ไปเล็กน้อย แต่คำกล่าวนี้มาจากความเป็นจริงที่ว่า สวิสจะมีดินแดนทางตอนใต้ที่ใช้ภาษาอิตาเลี่ยนเป็นภาษาหลัก(Italien Switzerland) ซึ่งเป็นที่ตั้งของแคว้น Ticino แคว้นที่ตั้งของเมืองลูกาโนนั่นเอง ทิซิโน่มีความเป็นอิตาเลี่ยนมาก ไม่ใช่แค่มีชายแดนติดอิตาลี แต่เพราะเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอิตาลีมาก่อนประกอบกับสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ช่างแตกต่างกับส่วนอื่นของสวิสเซอร์แลนด์อย่างสิ้นเชิง ทำเอาคนที่เพิ่งลงยอดเขาจุงเฟรามาอาจงงเป็นไก่ตาแตก ว่านี่เป็นประเทศเดียวกันจริงหรือนี่!! ดังนั้นบรรยากาศที่ว่าแตกต่างของฉัน ก็เพราะว่าคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ในอิตาลีเลยล่ะ ย้อนกลับมาที่ลูกาโนกันต่อ ลูกาโนมีเสน่ห์เป็นเมืองตากอากาศชื่อดังของสวิส มีทะเลสาบทอดยาวเป็นองค์ประกอบ ผู้คนส่วนใหญ่นิยมเดินเลียบเลาะไปตามแนวโค้งทอดยาวของทะเลสาบ หรือจะเลือกล่องเรือชิวๆก็ยังได้ ในขณะที่อีกกลุ่มอาจเลือกนั่งจิบกาแฟเอสเพรสโซพร้อมดื่มด่ำความมีชิวิตชีวาสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนกลางจัตุรัส Piazza Della Riformaเสร็จแล้วก็ออกสำรวจสถาปัตยกรรมลัดเลี้ยวไปตามซอกตึก ครั้นหลุดปากเผลอทักทายหนุ่มเป็นภาษาอิตาเลี่ยนก็ไม่ว่ากัน ...!!! Guide: - ที่ลูกาโน หรือเมืองอื่นๆในแคว้นทิซิโน ไม่เพียงแต่จะได้ลิ้มรสพิซซ่าแบบ original แล้วแต่รวมไปถึงอาหารอิตาเลี่ยนเมนูอื่นที่หาทานยากนอกประเทศอิตาลีอีกด้วย - อยากได้บรรยากาศดีแบบประหยัด แนะนำว่าให้ซื้อPizzaจากร้านข้างถนนทั่วไป แล้วเอาไปนั่งกินที่เก้าอี้ริมทะเลสาบ จากพิซซ่าธรรมดาๆ จะกลายเป็นพิซซ่าอร่อยสุดยอดเลยล่ะ - จัตุรัส Piazza Della Riforma มีตลาดนัดทุกวันอังคารกับศุกร์ ช่วง 8.00-12.00 น. How to go: นั่งรถไฟมาโลด มีหลายขบวนหลายเวลาให้เลือกจากเมืองใหญ่ทั่วสวิส และมีขบวนเชื่อมต่อกับ Florence และ Venice ของอิตาลีด้วย 7. Sightseeing : แซงค์ มอริทซ์ สถานที่พักผ่อนของมหาเศรษฐี St Moritz .. A Millionaire choice สถานที่แบบนี้มันก็เหมาะกับฐานะของเราๆอยู่แล้ว ดินแดนติดอันดับรีสอร์ตฤดูหนาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลก เป็นสถานที่โปรดปรานของมหาเศรษฐีและดาราฮอลลีวูด แม้แต่เจ้าฟ้าชายชาลส์ก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นี่เช่นกัน แซงค์มอริทซ์เป็นเมืองมีภูมิทัศน์ที่งดงามปกคลุมไปด้วยภูเขาหิมะตลอดทั้งปี มีเส้นทางสกีที่ยาวและตื่นเต้นแสนดึงดูดใจ ใจกลางเมืองประดับด้วยทะเลสาบแซงค์มอริทซ์อันใสสะอาด(ถึงแม้จะแข็งกลายเป็นน้ำแข็งอยู่บ่อยครั้งก็ตาม) ซึ่งนอกจากภูมิทัศน์ทางธรรมชาติ แซงค์มอริทซ์ยังมีบรรยากาศความเป็นเมืองซึ่งมีร้านค้าBrand Name ระดับโลกมากมายที่ยกcollection ขึ้นเขามาให้ช๊อปกันถึงที่และยังขึ้นชื่อเรื่องnightlifeที่แสนสนุกสนานเร้าใจอีกด้วย เอกลักษณ์ของแซงค์มอริทซ์ อีกอย่างหนึ่งที่จะลืมไปไม่ได้ก็คือ ที่นี่คือหนึ่งในดินแดนส่วนน้อยขอสวิสที่ยังคงใช้ภาษาโรมาเนสก์ในการสื่อสาร (ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่จะพูดภาษาเยอรมันได้) ทำให้เราได้อีกอรรสรสหนึ่งของการเที่ยวสวิสด้วยค่ะ Guide : ไม่ต้องตกใจ ต่อให้แซงค์มอริทซ์ จะหรูเริ่ดแค่ไหน ก็ยังมีที่ให้คนธรรมดาอย่างเราๆพอซุกหัวนอนได้บ้างเช่น Youth hostel (Jugendherberge) St. Moritz คืนละ 36 SF ในช่วง low season หากเป็นหน้าฤดูกาล คืนนึงตกประมาณหัวละ 50 SF 8.View on Top: เมืองหลวงในอ้อมกอดของสายน้ำ Capital in a hug เมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์ไม่ใช่เมืองซูริค อย่างที่หลายคนเข้าใจ แท้จริงคือ เมืองเบิร์น ตังหากค่ะ มันก็น่าแปลก เป็นเมืองหลวงของประเทศทั้งที แต่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเดินทาง และสนามบินกลับอยู่ที่ซูริคทั้งสิ้นก็เพราะที่สวิสเซอร์แลนด์ เค้าไม่สนใจหรอกว่าเมืองไหนจะโมเดินซักเท่าไหร่ เพราะเมืองเบิร์นคือเมืองหลวงเก่าแก่ของพวกเขามานานแสนนาน ตลอดช่วงอายุประวัติศาสตร์การรวมรัฐจนกลายเป็นประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั่นแหล่ะค่ะ เมืองเบิร์นยังมีเสน่ห์ต้องตาเพราะเป็นเมืองยุคกลางที่ยังคงความงามไว้ได้อย่างน่าทึ่งสมกับตำแหน่งเมืองมรดกโลกของยูเนสโกที่ได้รับมาตั้งแต่30 ปีก่อน ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองเบิร์นนั้นโอบล้อมด้วยแม่น้ำแอร์(Aare) ซึ่งการจะชมเมืองเบิร์นให้ได้งดงามที่สุดนั้นจะต้องชมวิวจากมุมสูง ซึ่งมองลงมาจากสวนพฤกษชาติ (Botanical garden) ทางตอนเหนือหรือที่สวนกุหลาบ (Rosengarten) ทางตะวันออกของเมือง เท่านี้ คุณก็จะได้ภาพเมืองยุคกลางในคุ้งน้ำ ที่สวยเริดกลับมาอวดคนอื่นให้อิจฉาจนตาร้อนผ่าว และยังกลับมาอวดคนอื่นได้อีกว่ามาเมืองเบิร์นไม่ได้เห็นแค่บ่อหมีเท่านั้น Howtogo: - Botanical garden อยู่ทางตอนเหนือของเมือง เดินข้ามสะพาน Lorrainebrüke ไปหรือไม่ก็ข้ามสะพาน Kornhaus brükeซึ่งอยู่ใกล้ตัวเมืองกว่าแล้วเดินเลี้ยวไปทางซ้าย - Rosengarten อยู่ทางตะวันออกของเมือง เดินเลยบ่อหมีขึ้นเนินไปแล้วเดินเลี้ยวไปตามถนน ถ้าไปหน้ากุหลาบบาน ก็จะมีกุหลาบสวยๆให้ถ่ายรูปด้วย 9. Sight seeing : Tour สวิสด้วยรถไฟ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า รถไฟสวิส เป็นระบบที่ดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ไม่ว่าเราจะไปแห่งหนตำบลใดของสวิส เราก็สามารถใช้บริการรถไฟนี้เพื่อไปถึงยังจุดหมายได้อย่างสะดวกรวดเร็วหรือแม้แต่การเชื่อมต่อไปยังรสบัส เรือ รถกระเช้าขึ้นเขาก็ทำได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นไปเที่ยวสวิสเมื่อใด พกสวิสพาส(Swiss pass)ไว้ สะดวกสบายไปกว่าครึ่ง อย่างเช่น หากลงเครื่องรับอรุณที่ซูริคแต่เช้า แล้วอยากไปดูน้ำพุJet dEauที่เจนีวาก่อนเที่ยง ก็ทำได้เพียงนั่งรถไฟไปแค่3 ชั่วโมงเท่านั้น ตอนเย็นนึกได้ว่ามีนัดกับเพื่อนที่ลูเซิร์น แค่นั่งรถไฟกลับมาก็สามารถมาทันดินเนอร์ได้สบายๆ ฉันขอบอกว่านอกจากความสะดวกแล้ว การนั่งรถไฟที่สวิสนั้นก็ไม่น่าเบื่อเลยเพราะตลอดเส้นทางยังได้เพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์สองข้างสุดอลังการ ภาพทุ่งหญ้าเขียวขจีแต้มด้วยสีขาวของดอกหญ้าประดับด้วยวัวนมตัวใหญ่และภูเขาหิมะสีขาวโพลนที่ตัดกับความเขียวของทุ่งหญ้าเป็นฉากหลัง วิวสวยสุดขาดใจจริงๆ ดูยังไงก็ไม่เบื่อ !!! Guide : เส้นทางสายท่องเที่ยวที่เค้า recommend มาแล้วว่า วิวเริ่ด 1 .Glacier Express เส้นทาง Zermatt - Brig - Andermatt - Chur - Davos/St-Moritz ใช้เวลาตลอดเส้นทาง 7 ½ ชม. เส้นนี้ recommend ว่าสวยจริง เมืองต่างๆตลอดเส้นนี้ล้วนแต่เป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ต ซึ่งรถจะวิ่งท่ามกลางภูเขาหิมะ ไปตามเส้นทางคดเคี้ยวต่างๆ รับรองวิวอลังการมาก หากใครจะไปแซงค์มอริซท์ ก็ต้องใช้บริการรถชมวิวขบวนนี้เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนไปถึงจุดหมายอยู่แล้วค่ะ 2. GoldenPass Panoramic เส้นทาง Lucerne - Interlaken Ost - Zweisimmen - Montreux เส้นทางท่องเที่ยวแสนฮิตตอนกลางของสวิส ที่จะได้นั่งรถชมวิวทะเลสาบและวิวสวยๆตลอดเส้นทาง และเป็นเส้นทางที่นักเดินทางนิยมนั่งเพื่อต่อไปยอดเขาจุงเฟรา 3.William Tell Express เส้นทาง Lucerne - Lake Lucerne - Flüelen - St. Gotthard - Bellinzona - Lugano or Locarno ขบวนนี้จะวิ่งจากลูเซิร์นไปสุดที่เมืองลูกาโน นั่นหมายถึงจะวิ่งจากเมืองสวิสที่ใช้ภาษาเยอรมันเข้าสู่ดินแดนสวิสอิตาเลี่ยน แนะนำให้ฟังวิทยุท้องถิ่นขณะนั่งอยู่บนรถไฟขบวนนี้ สิ่งที่ได้ยินผ่านหูฟังจะเปลี่ยนจากเยอรมันเป็นภาษาอิตาเลี่ยนโดยไม่รู้ตัว 4. Bernina Express เส้นทาง Chur/Davos/St. Moritz - Berninapass - Poschiavo - Tirano วิวเส้นทางนี้ก็หรูเริ่ดอลังการเกินคำบรรยายเช่นกันเพราะวิ่งผ่านแคว้นGraubünden ซึ่งถือว่าเป็นดินแดนเทือกเขาแอลท์ของสวิส 5. Chocolate Train เส้นทาง : Montreux - Broc ขบวนนี้จะใช้รถหน้าตาเก่าๆเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศคลาสสิคและกลิ่นไอของช๊อคโกแลต ก็ถ้าอ่านข้างบนมาแล้วตัดสินใจจะไปชิมชีสกรูแยร์ และบุกโรงงานเนสเล่ก์ล่ะก็ ให้จองขบวนนี้เลยค่ะ ลองดูข้อมูลเพิ่มสำหรับคนที่จะไปจริงๆเพราะเค้ามีจัดเป็นแพคเกจทัวร์รถไฟด้วย 6. Palm Express เส้นทาง St. Moritz - Lugano เส้นทางแสนพิเศษสุดๆ เพราะจะได้วิ่งเข้าดินแดนตอนบนของอิตาลี (Lake Como- Italy) เป็นการเที่ยวสองประเทศในคราวเดียว ส่วนวิวก็ยังสวยๆสุดๆเป็นบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนเลยล่ะค่ะ ถ้าจะนั่งเส้นทางนี้ต้องมีวีซ่าเข้าอิตาลีด้วยนะคะ ดูให้ดีดีว่าวีซ่าเช็งเก็นที่มีเป็น multiple entry ถ้าเป็นsingle entry ก็อดค่ะ !! 10. Culture: สกีกับหิมะ Snow and Ski สกีกีฬาที่ประเทศไทยไม่มี เพราะถ้าหิมะตกในบ้านเราได้ โลกคงกลับตลปัตรไปแล้ว !! ดังนั้นเมื่อเป็นของหายากสำหรับพวกเรา ครั้นไปเยือนดินแดนแห่งหิมะ ก็เลยเป็นกิจกรรมที่ห้ามพลาดเป็นอันขาด !! สวิสเซอร์แลนด์ประเทศที่มียอดเขาสูงปกคลุมอยู่ทั่วประเทศ ฉะนั้นไม่ว่าจะไปมุมไหนของประเทศก็มีให้เล่นทั้งนั้นแหละค่ะ ฤดูเล่นสกี จริงๆแล้วจะเริ่มในหน้าหนาวช่วงประมาณต้นเดือนธันวาคมไปจนถึงปลายๆมีนาหรือก็เมื่อหิมะหนาตัวพอประมาณนั่นแหล่ะค่ะ แต่จริงๆแล้วที่สวิสนั้นสามารถเล่นสกีได้ทั้งปีแม้กระทั่งในหน้าร้อน ขึ้นอยู่กับว่าหิมะที่อยู่บนยอดยังหนาตัวพอรึเปล่าซึ่งจะเป็นภูเขาลูกไหนอาจต้องสอบถามเป็นช่วงๆไป ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจไปหรอกนะคะ หัวอกคนไทยเหมือนกันฉันเข้าใจดีว่า กว่าจะลางาน เก็บตังค์ ขอวีซ่าแล้วมาถึงสวิสได้มันยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน แต่ยังไงก็ตาม ขอให้มาให้ถึงสวิสเหอะไม่ว่ามาฤดูกาลไหน ก็ได้เห็นหิมะ..สัมผัสสกีแน่นอน!!! Guide : - แนะนำสำหรับคนอยากเรียนสกี มีclass ระยะสั้น 1-5 วันสำหรับผู้เริ่มต้น ราคาเริ่มที่ประมาณ 130 SF ถ้าช่วงหน้าหนาวจะมีคอร์สมากกว่านี้ บางทีก็มีคอร์สแค่ครึ่งวันด้วย ถ้าอยากรู้เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www. snowsports.ch ในนี้จะมีข้อมูลแต่ course เรียนที่ update และสถานที่เรียนตลอดทั้งปี แต่เอ่อ สำหรับคนรู้ภาษาเยอรมันกะฝรั่งเศสเท่านั้นนะค่ะ - แนะนำกิจกรรมอีกอย่างที่น่าสนใจไม่ต้องใช้ skill เค้าเรียกว่า Snowtubing หรือนั่งยาง เอ๊ย นั่งห่วงยางแล้วลื่นปรื๊ดค่ะ หาเล่นตามเนินเขาเตี้ย ดังต่อไปนี้ Skilift Survih, Samedan/Engadin Grotzenbüel, Braunwald Untertrübsee, Engelberg/Titlis ** อันนี้ใกล้ๆ คนไทยชอบไป**** Bussalp, Grindelwald Fun Park, Les Diablerets Tobagganing Park, Leysin Driving Range, Crans-Montana - ปิดท้ายด้วยรายชื่อ Top Ski Resort ของสวิส (ข้อมูลจาก lonely planet) Arosa , Graubünden Crans-Montana, Valias Davos, Graubünden Grindelwald, Bernese Oberland Klosters, Graubünden Saas Fee, Valais St Moritz, Graubünden Verbier, Valias Wengen, Bernese Oberland Zermatt, Valias" ขอบคุณทุกcomment และทุกคนที่เข้ามาอ่านจ้า" ติดตาม 10 Don't Miss ที่กำลังจะตามมา ... โซล, เกาหลีใต้ ลาวเหนือ เวียงจันทร์ วังเวียง หลวงพระบาง ฮานอย เวียดนาม มิวนิค เยอรมนี ลอนดอน, อังกฤษ ปราก, เชค © 2009 ALL RIGHTS RESERVED
Create Date : 16 กันยายน 2552
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 1:02:33 น.
14 comments
Counter : 4292 Pageviews.
โดย: CrackyDong วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:4:12:25 น.
โดย: Pk12th IP: 125.27.231.128 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:8:26:37 น.
โดย: Polball วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:11:05:36 น.
โดย: lucky (ปูเป็น ) วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:13:53:09 น.
โดย: CindyD วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:15:17:56 น.
โดย: merecat วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:1:07:27 น.
โดย: เด็กอายุ11 IP: 222.123.196.126 วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:14:52:21 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ] ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาพัก ในห้องรับแขกของมาย © All Rights reserved 2009 ข้อความและรูปภาพทั้งหมดในwww.memiles.bloggang.com