ใกล้จะจบทริปสังเวชนียฯ แล้วจริงๆค่ะ วันสุดท้ายแล้ว ที่จริงจะรวบรัดตัดความเลยก็ได้ แต่แบ่งทีละนิด จะอ่านง่ายกว่า เช้ามืดล่องเรือแม่น้ำคงคา กลับที่พัก อาบน้ำ ทานอาหาร จากพาราณสี เราไป เมือง สารนารถ ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร เมืองสารนารถ เป็นเมืองพุทธศาสนา มีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน - ป่าที่เป็นที่อยู่ของฤาษีและกวาง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือป่ากวางในอดีตนั้น ปัจจุบันคือ ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี ซึ่งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย และที่เรียกว่า “สารนาถ” (Sarnath) นั้น สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “สารังคนาถ” แปลว่า ที่พึ่งของเนื้อ เหตุเพราะในป่าแห่งนี้บรรดาเนื้อทั้งหลายอยู่ด้วยความปลอดภัย เพราะมีพระโพธิสัตว์และพระราชาเป็นที่พึ่ง
สิ่งก่อสร้างที่ยังคงโดดเด่นที่สุดใน บริเวณพุทธสถานแห่งนี้ คือ ธรรมเมกขสถูป รอบบริเวณมีพุทธศาสนิกชนจากหลายชาติ บ้างกระทำประทักษิณาวัตร บ้างสวดมนต์ บ้างทำสมาธิ
สถูปมีขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงสร้างขึ้นตรงจุดที่เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในคืน 15 ค่ำเดือน 6 เสวยวิมุตติสุข 49 วันแล้ว ทรงเล็งหาผู้จะรับฟังคำสั่งสอน อาฬารดาบสและอุทกดาบส พระอาจารย์ทั้งสอง เสียชีวิตไปแล้ว ทรงนึกถึงปัญจวัคคีย์ ทรงดำเนินมาทางพาราณสีซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของฤาษีทั้งหลาย และได้แสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ที่บริเวณนี้ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ทำให้ ท่านอัญญาโกณทัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน ทูลขอบวชเป็นภิกษุสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา เป็นการเริ่มต้นหมุนของธรรมจักร คือ มีองค์ พระรัตนตรัยครบในวัน อาสาฬหบูชานี้
ปฐมเทศนา นั้น คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งมีใจความสำคัญกล่าวถึงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการ คือ ก. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้ได้บรรลุถึงจุดหมายในการแสวงหาทางพ้นทุกข์ มิใช่การดำเนินชีวิตสุดโต่ง ๒ ทาง กล่าวคือบรรพชิตไม่ควรประพฤติปฏิบัติที่สุด ๒ อย่างคือ (๑) กามสุขัลลิกานุโยค คือ การหมกมุ่นอยู่ในกามสุข มัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ถือว่าจะดับทุกข์ได้ด้วยการบริโภคกามให้เต็มเปี่ยม เป็นการหลงใหลเข้าใจผิด ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเพิ่มกำลังให้กับกิเลส มีแต่โทษหาประโยชน์มิได้เลย (๒) อัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนให้ได้รับความลำบาก คอยหวังพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยคิดว่าจะสามารถช่วยให้พ้นทุกข์ได้ ถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติที่เคร่งครัดจนเกินไป ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งทำให้หลงใหลงมงายมากขึ้นและไม่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติพ้นทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละเว้นจากการปฏิบัติผิด ๒ ทางนี้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไป ทรงให้หันกลับมาดำเนินในทางสายกลาง เพราะพระองค์เคยผ่าน ๒ ทางนี้มาแล้ว ทรงเห็นว่าไม่ได้ผลและไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง ทางสายกลางที่ถูกต้องสมบูรณ์นั้นต้องประกอบด้วย อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต ๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน ข. อริยสัจ ๔ หรือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่ ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ, สมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์, นิโรธ คือความดับทุกข์ และ มรรค คือข้อปฎิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ความเป็นมาของธัมมเมกขสถูปนี้ ไม่แน่ชัดว่าเริ่มสร้างขึ้นในสมัยใด สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ.๒๖๙-๓๑๑) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุด และอาจมีการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อเติมขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะ (ราวปี พ.ศ.๙๐๐-๑๑๐๐) จากการขุดค้นสำรวจพบว่า แผ่นอิฐด้านในพระสถูปนั้น มีอายุเก่าแก่กว่าแผ่นอิฐด้านนอก และลวดลายที่ปรากฏบนองค์พระสถูปด้านนอกนั้นเป็นลวดลายใบไม้ ดอกไม้ นก และรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งเป็นศิลปะที่นิยมมากในสมัยคุปตะ ธัมมเมกขสถูปเป็นสถูปขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนที่เนิน มีความสูง ๓๓ เมตรครึ่ง และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๘ เมตรครึ่ง ส่วนล่างก่อด้วยหินมีภาพสวัสดิกะเป็นแผ่นหินอยู่โดยรอบ สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งทำเป็นช่องๆ แต่ละช่องประดิษฐานพระพุทธรูปแบบต่างๆ ช่องเหล่านั้นมีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างคละกันไป สำหรับช่องใหญ่รอบองค์พระสถูปนั้นมี ๘ ช่อง ซึ่งมีความหมายถึงมรรคมีองค์ ๘ ประการ (อัฏฐังคิกมรรค)
VIDEO