|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
อัฏฐฤาษีหรือฤาษีทั้ง ๘ องค์ |
|
อัฏฐฤาษีหรือฤาษีทั้ง ๘ องค์ ผู้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญและนิยมบูชานั้นมีประวัติความเป็นมาแตกต่างกันออกไป ค้นพบประวัติโดยย่อดังต่อไปนี้
๑) พระฤาษีนารอท หรือพระฤาษีนารท เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวด้านการรักษาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ พระฤาษีนารอทนั้นเป็นพี่ชายของพระฤาษีนาเรศร์ แต่บำเพ็ญตบะอยู่กันคนละแห่ง โดยที่พระฤาษีนารอทบำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้ง หนุมานไปถวายแหวนให้กับนางสีดา แล้วเหาะเลยกรุงลงกาไป จนไปพบพระฤาษีนารอทโดยบังเอิญ หลังจากนั้นได้ทำการสู้รบกัน ฝ่ายหนุมานเป็นฝ่ายปราชัย จึงยอมอ่อนน้อมต่อพระฤาษีนารอทแต่โดยดี ภายหลังเมื่อครั้งหนุมานไปเผากรุงลงกา แล้วหางไหม้ติดไฟดับไม่ได้ จึงขอให้พระฤาษีนารอทช่วยทำการดับไฟให้จนหมดสิ้น ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูทางการวินิจฉัยโรคและรักษาอาการป่วย ๒) พระฤาษีสัชนาไลย หรือพระฤาษีนารายณ์ เป็นพระฤาษีที่ได้รับการยอมรับในศาสตร์แทบทุกด้าน อาทิเช่น ไสยศาสตร์ นาฏศิลป์ ดนตรี หรือแม้กระทั่งหมอนวดแผนโบราณ จากเมื่อครั้งพระนารายณ์ได้กระทำเทวฤทธิ์ อวตารลงมาเป็นพระกบิล บำเพ็ญตบะอยู่ใต้พิภพ ก็สร้างอิทธิฤทธิ์ใช้ไฟกรดอันแรงกล้าปราบพระกุมารทั้งหกหมื่นให้มอดไหม้ไป ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูทางการรักษโรคภัยไข้เจ็บโดยใช้ศาสตร์และศิลป์ทางวิชาการแพทย์แผนไทย ๓) พระฤาษีตาไฟ เป็นเพื่อนสนิทกับพระฤาษีตาวัว พระฤาษีตาไฟมีนิสัยดุดันขึงขัง มีดวงตาที่ ๓ อยู่ที่กลางหน้าผากเช่นเดียวกับพระอิศวร ซึ่งดวงตานี้จะปิดสนิทตลอดเวลา ถ้าหากว่าเผลอเปิดเปลือกตาที่ ๓ นั้นออกมา หรือลืมตาขึ้นมาครั้งใดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านก็จะต้องมอดไหม้เป็นจุลมหาจุลลงไปในที่สุด ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูทางการรักษาด้วยไฟ สมุนไพรรสร้อน และกรรมวิธีต่างๆ ที่ใช้ความร้อน ๔) พระฤาษีตาวัว เป็นฤาษีที่ตาบอดทั้งสองข้าง สำเร็จวิชาแร่ปรอท ชอบเล่นแร่แปรธาตุ เล่นปรอท หุงปรอท วันหนึ่งได้ให้ลูกศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะทำการเปลี่ยนดวงตา แต่ไม่พบกลับนำศพวัวตายมาให้ พระฤาษีจึงควักตาวัวและใช้วิชาปรอทเปลี่ยนดวงตาได้สำเร็จ จึงได้ชื่อว่า ฤาษีตาวัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในทางการแพทย์แผนไทยถือเป็นบรมครูทางการรักษาด้วยแร่ธาตุ และเภสัชตำรับ ๕) พระฤาษีบรรไลโกฏ หรือพระฤาษีประไลยโกฏิ เป็นพระฤาษีผู้ซึ่งเริ่มนำข้าวสาลีที่ปลิวมาตกบนอาศรมมาทำเป็นอาหาร แล้วขยายพันธุ์ต่อมอบให้แก่มนุษย์ผู้ยากไร้และขาดแคนอาหารในยุคนั้น ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูทางการปรุงอาหารและยาเพื่อรักษาโรค ๖) พระฤาษีกัสยปะ คือ พระกศยปมุนี, พระฤาษี กษยศฤงค์, พระฤาษีหน้าเนื้อ, หรืออิสีสิงค์ เป็นพระฤาษีองค์หนึ่งจากฤาษีทั้ง ๕ องค์ที่ท้าวทศรฐได้นิมนต์ไปบวงสรวงทำพิธีอัศวเมธ คือ ปล่อยม้าอุปการเพื่อขอบุตร จึงเกิดร่างอวตานของพระนารายณ์มาเป็นโอรส คือ พระรักษ์และพระราม ฤาษีทั้ง ๕ ที่ร่วมบวงสรวง ประกอบด้วย พระฤาษีกศป พระฤาษีชาวาลี พระฤาษีรามเทพมุนี และไม่ปรากฏชื่ออีก ๒ ตน ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูในด้านคาถาและพิธีกรรมต่างๆ ๗) พระฤาษีอมรสิทธิดาบส หรือพระฤาษีพรหมประสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญในอาคมไสยศาสตร์และความรอบรู้ในด้านวิชาการแขนงต่างๆ เป็นผู้ที่ถ่ายทอดวิชาการต่างๆ ให้แก่ มนุษย์ เทวดา อสูร คนธรรพ์ วิทยาธร และผู้ที่มีความต้องการจะศึกษาหาความรู้ ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูทางการให้คำปรึกษาและการถ่ายทอดความรู้ ๘) พระฤาษีสิงขะ หรือพระฤาษีโคศก ผู้บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าแห่งเมืองสิงขร เป็นผู้ที่ได้รับคำสั่งจากพระอิศวร ให้มาบอกวิธีกำจัดท้าวอุณาราชผู้ซึ่งไม่มีวันตาย โดยให้ใช้ต้นกกทำเป็นศรปักตรึงหน้าอกยักษ์ไว้กับแท่นหิน และห้ามนำน้ำส้มสายชูไปราดลดถูกศรธนูที่ทำจากต้นกกนั้นโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะทำให้ยักษ์หลุดออกมาได้อีก ในทางการแพทย์แผนไทยจึงถือว่าเป็นบรมครูทางการดูแลรักษาไข้ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก
Create Date : 23 เมษายน 2562 |
Last Update : 23 เมษายน 2562 8:57:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 277 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|