อย่างที่ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้วนะคะว่า การจูบ เป็นวัฒนธรรมการแสดงความรัก ไม่ใช่แค่กับคนรักเท่านั้น แต่รวมไปถึง แม่จูบลูก พ่อจูบลูก ยายจูบหลาน อะไรทำนองนี้ เป็นการแสดงความรักทางการสัมผัสที่มากกว่าการกอด และลึกซึ้งมากกว่า
แต่ก็อย่างที่ว่า ในปัจจุบันนี้มีเชื้อโรคต่างๆ แพร่พันธุ์มากมาย การจูบจึงไม่ได้สวยหรูเหมือนแต่ก่อน เพราะเชื้อโรคพวกนั้นมันอาจติดต่อผ่านทางน้ำลายก็เป็นได้ โดยเฉพาะโรคนี้ค่ะ
โรค Kissing Disease
หรือโรคโมโน (Infectious Mononucleosis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Epstein-Barr Virus หรือ EBV เป็นเชื้อเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดพวกเริม อีสุกอีใส นั่นเอง
นอกจากโรคนี้จะแพร่เชื้อด้วยการจูบแล้ว ก็ยังอาจติดได้ทางอื่นด้วย เช่น การใช้แปรงสีฟัน หลอดดูด หรือช้อนส้อม ร่วมกัน
หากเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว มันน่ากลัวตรงไหนรู้ไหมคะ?
ตรงที่มันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต!
ถึงอาการมันจะไม่เกิดอาการรุนแรงกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง แต่มันก็สามารถแพร่พันธุ์ไปหาคนอื่นได้ (โดยเฉพาะผ่านทางการจูบ)
ระยะฟักตัวของโรคนานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน อาการจะคล้ายไข้คออักเสบทั่วๆ ไป ที่มักพบบ่อยคือ ไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต อาจมีอาการอื่นๆ ด้วย นั่นคือ อาการอ่อนเพลีย ตับโต ม้ามโต มีจุดเลือดออกที่เพดานฝ้าในปาก ขี้แตก อ้วกแตก (แค่คิดภาพก็จะอ้วกแล้วใช่ไหมคะ)
ถึงแม้ว่าอาการพวกนี้จะหายไปภายใน 2 อาทิตย์ แต่วันดีคืนดี อาการจะกลับมาตอนไหนก็ได้ แถมถ้าใครมีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย ไอ้เชื้อนี้ก็จะทำให้เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตามมาด้วย
ส่วนการรักษา ก็เหมือนๆ การรักษาโรคทั่วไป คือ การกินยาปฏิชีวนะ พวกยาต้านไวรัส เช่น ยา Acyclovir (ยาที่รักษาโรคเริม) หรือไม่ก็กินยาแก้ปวด แก้ไข้ ประคับประคองอาการไม่ให้ทรุดลงก่อน แล้วก็พักผ่อนมากๆ เพราะอย่างที่บอกว่าโรคนี้สามารถดีขึ้นและหายเองได้ (แม้ไม่หายขาด)
ยังค่ะคุณผู้อ่าน
บทความนี้ยังไม่จบ
คุณรู้ไหมคะว่า การจูบไม่ได้เสี่ยงแค่โรคโมโนอย่างเดียว ตั่งเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ อีก โรคอะไรรู้ไหมคะ?
คำตอบคือ
โรคเอดส์ค่ะ
อันที่จริงการติดเชื้อนี้ผ่านการจูบนั้นน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย อย่างในกรณีถ้าคนที่คุณจูบด้วยมีเชื้ออยู่แล้ว และมีอาการเลือดออกตามไรฟัน เชื้อนี้จะสามารถผ่านออกมาทางน้ำลายและเลือดที่ออกตามไรฟันของเขาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางป้องกันเลย อย่างถ้าจูบแบบแลกลิ้น หากมีปริมาณเชื้อในน้ำลายและเลือดที่ออกตามไรฟันของคนที่คุณจูบด้วยมากพอ เชื้อก็จะสามารถอยู่รอดได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่หากมีปริมาณน้อยก็อาจถูกน้ำลายทำลายไปจนหมด ซึ่งการจูบกันต้องสัมผัสโดนน้ำลายของกันและกัน ซึ่งในน้ำลายมีสภาพเป็นกรดทำให้เชื้อให้ด้อยคุณภาพลงไป และปริมาณน้ำลายและเลือดที่ออกตามไรฟันของคนที่คุณจูบด้วย อาจไม่เพียงพอที่จะสามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ แต่หากภายในช่องปาก เช่น ลิ้น เหงือก หรือภายในช่องคอ ของคุณไม่มีแผล มีเพียงรอยเลือดออกตามไรฟันเชื้อย่อมมีโอกาสน้อยที่จะเข้าสู่ร่างกายคุณได้
นอกจากนี้ การจูบยังเสี่ยงต่อพวกโรคหูดหงอนไก่ โรคหนองในแท้ หนองในเทียม โรคเริม โรคไวรัสตับอักเสบ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หูดข้าวสุก และโปลิโอ
หูยยยยย น่ากลัวอ่ะ
แต่ว่าที่เรากล่าวมาทั้งหมดทั้งมวล เราไม่ได้ตั้งใจจะขู่ให้กลัวนะคะ และเราไม่ได้บอกด้วยว่า ถ้าอยากป้องกันโรคก็คือ การเลิกจูบ (ซึ่งเราก็เลิกไม่ได้เหมือนกันค่ะ)
เพราะสุดท้าย
ก่อนจะจบบทความนี้ไป (และพบกันใหม่ในบทความหน้า) ที่เราอยากจะบอกจริงๆ ก็คือ อยากจะเตือนให้ทุกคนระวังค่ะ แม้ว่าการจูบจะเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคติดต่อทางน้ำลายยังไงก็ช่าง ทุกคนก็ยังคงอยากจูบกันอยู่ใช่ไหมคะ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ต้องไม่ประมาท ไม่จูบใครมั่วซั่ว ไม่ใช่คิดจะจูบกับใคร ก็จูบ ที่สำคัญคือ เราต้องดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง เพื่อไม่ให้พวกโรคร้ายมัยแทรกซึมเข้ามาง่ายๆ
และอย่าไปจูบกับใครง่ายๆ ไม่อย่างนั้นถ้าโรคมันแพร่เข้าร่างกายของคุณแบบง่ายๆ เหมือนกับที่คุณมักง่ายจูบกับใครก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็อย่าหาว่าไม่เตือนนะคะ ตัวใครตัวมันค่ะ บอกไว้แลย!