'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
เรื่องของ "พ่อ" (๑๖)

ตอน...น้องเล็กไม่ร้ายนัก


มาถึงน้องนุชสุดท้องของพวกเรา...ลูกสาว'หล้า'* ตัวจริงของพ่อกับแม่
'น้อง'เป็นน้องเล็กที่มีลักษณะนิสัยที่ตรงตามแบบฉบับของ 'น้องเล็ก' ทั่วไปควรจะเป็นแทบจะทุกประการ
นั่นคือ ทั้งดื้อทั้งรั้น ทั้งแสนงอน เอาแต่ใจตัวเอง...แต่ที่เพิ่มมาก็คือ น้องเป็นเด็กช่างคิดช่างฝัน รุ่มรวยจินตนาการกว้างไกล และมีอารมณ์ศิลปินค่อนข้างสูงทีเดียว

ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหกของพ่อ น้องจัดได้ว่าเป็นลูกที่สบสมใจ และได้ดั่งใจพ่อมากที่สุด เพราะน้องเป็นคนที่มีแววศิลปินมากที่สุดในกลุ่มพวกเรา...

แววศิลปินของน้องนั้นฉายชัดมาตั้งแต่น้องยังตัวเล็ก ๆ นั่นทีเดียว...

น้องเกิดมาในช่วงที่กระแสการฟื้นฟูวัฒนธรรมพื้นบ้านกำลังเฟื่องฟู และพ่อของเราก็เป็นหนึ่งในผู้นำกระแสนั้น ๆ ในชุมชนของเรา

ในสมัยที่พ่อยังไม่ได้แต่งงานกับแม่นั้น พ่อเคยร่วมกับอาวและเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งจัดตั้งวงดนตรีพื้นเมืองขึ้นในหมู่บ้าน รับเล่นดนตรีในงานศพบ้าง งานบุญอื่น ๆ บ้าง ตามแต่จะมีคนมาขอให้ไปเล่น (เคยเล่าไว้แล้วในเรื่องของพ่อตอนที่ ๗)

แต่หลังจากที่พ่อมีครอบครัว พ่อก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการก่อร่างสร้างตัวและการดูแลลูก ๆ วงดนตรีของพ่อมีอันต้องแยกย้ายสลายวงไปในช่วงนั้น
จนเมื่อพ่อมีลูกถึงหกคนแล้ว และพ่อก็ค่อนข้างแน่ใจว่า...คงพอแค่นี้จริง ๆ ประกอบกับในช่วงนั้นพ่อเริ่มจะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะพ่อได้ลาออกจากงานเดิมที่ทั้งหนักและเหนื่อย มาทำงานตามเวลาราชการ และช่วยแม่ค้าขายอยู่กับบ้าน
ลูก ๆ ก็โต ๆ กันเกือบหมดแล้ว พี่ ๆ ก็พอจะช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลน้องได้แล้ว(น้องเกิดมาตอนที่พี่สาวคนโตของเราอายุ ๑๖ ปีแน่ะ )...

พ่อจึงหวนนึกถึงวงดนตรีของพ่อขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

พ่อเร่ไปชวนอาว ชวนเพื่อน ๆ กลุ่มเดิมนั่นแหละให้มาตั้งวงด้วยกันอีก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอันดีจากเพื่อนรุ่นเก่า ๆ ของพ่อหลายคน
รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่เป็นรุ่นน้องของพ่อก็มาขอเข้าร่วมวงด้วยอีกเป็นจำนวนมาก...
ทำให้จากเดิมที่พ่อตั้งใจจะทำเล่น ๆ เพลิน ๆ กลายเป็นขยายเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ ผสมผสานกันทั้งวงพื้นเมืองแบบสะล้อซอซึงและวงดนตรีสมัยใหม่ที่เล่นเพลงร่วมสมัย...
พ่อตั้งชื่อวงดนตรีของพ่อเสียเพราะพริ้งว่า..."...(ชื่อหมู่บ้านเรา) ภิรมย์" มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วอำเภอของเราในยุคนั้น

พ่อจับพวกเราทุกคน รวมทั้งลูก ๆ ของลุง ลูก ๆ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหญิงทั้งชายมาเป็นนักร้องหมด...
พวกเราจะมีเพลงประจำตัว (เพลงหากิน)กันคนละเพลงสองเพลง แต่จะมีเพลง ๆ หนึ่งซึ่งต้องร้องหมู่...เรียกว่าเพลงมาร์ชทหารไทยสี่เหล่า ใช้ร้องตอนเปิดเวที...
ฉันจำเนื้อได้กระท่อนกระแท่น จะขอคัดมาลงไว้ตอนนี้เพียงนิดหน่อย...
เพลงนี้ขึ้นต้นเหมือนเพลงชาติ...

"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
ร่วมจิตร่วมใจรักไทยให้คงมั่น
หากมีศตรูจู่โจมมาโรมรุกราน
พวกเราร่วมกันพร้อมทุกเหล่าเชื้อเผ่าไทย...

ไทย...เชื้อชาติไทย ทหารไทย เก่งกาจใจฉกรรจ์...ฯ"

น้องยังเล็กมากในตอนนั้น...แต่น้องก็เหมือนพวกเราทุกคนคือ...ตอนเล็ก ๆ จะติดพ่อมากกว่าติดแม่ เพราะพ่อเราใจดี เล่านิทานก็เก่ง เล่นดนตรีก็เก่ง...
ในขณะที่แม่คอยแต่จะสอน จะดุ แล้วก็คอยห้ามนั่นห้ามนี่...
พ่อเองก็ค่อนข้างจะโอ๋น้องเล็กเป็นพิเศษเช่นกัน ไปไหน ๆ ต้องเอาน้องขี่คอไปด้วยเสมอ จนบางครั้งแม่เขาจะค่อนว่า...ไม่รู้ใครติดใครกันแน่ ลูกติดพ่อหรือพ่อติดลูก...?

เวลาพ่อไปเล่นดนตรี ส่วนใหญ่แล้วพ่อจะเล่นระนาดเอก พ่อก็จะให้น้องนั่งตักดูพ่อดีระนาด

วันหนึ่งในวัยสี่ขวบเศษ ๆ น้องก็จับมือพ่อตีระนาด และไล่เรียงเสียงได้ออกมาเป็นทำนองเพลง...
นั่นเอง...พ่อจึงจับได้ถึงแววศิลปินในตัวน้อง แล้วพ่อก็ปลื้มเปรมเกษมศานต์เหลือเกินที่รู้ว่าน้องสนใจในการเล่นดนตรีตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบ...

เพราะนับแต่พี่คนโตลงมา พวกเราเกือบทุกคนแม้จะเล่นเครื่องดนตรีกันได้บ้างด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับมันมา และพ่อก็คอยกระตุ้นให้พวกเราหมั่นฝึกซ้อม
แต่พวกเราก็เล่นได้ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะพวกเราไม่มีใจรักเพียงพอก็เป็นได้...

'เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม...ดนตรี'...เป็นฉันใด พวกเราก็เป็นฉันนั้นแหละ มีอย่างอื่นอีกมากมายที่ดึงความสนใจของพวกเราไปเสียจากการมานั่งพับเพียบเรียบร้อยสีซอหรือดีดซึงก๋อง ๆ แก๋ง ๆ

แต่น้องไม่เป็นอย่างนั้น...นิสัยของน้องที่พ่อรู้สึกเป็นปลื้มอีกอย่างหนึ่งก็คือ น้องเป็นคนมีความพยายามและขยัน...
ตอนน้องเรียนอยู่ชั้นป.หนึ่ง พ่อก็ซื้อระนาดรางเล็ก ๆ ให้น้อง และจับให้น้องฝึกตีทุกวันหลังเลิกเรียน
และน้องคงมีใจรักทางด้านนี้อยู่แล้วก็สามารถนั่งตีระนาดอยู่กับพ่อได้เป็นเวลานาน ๆ จนตีได้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญไม่แพ้พ่อในเวลาต่อมา

น้องเป็นหนอนหนังสือตัวยงอีกคนหนึ่ง...น้องอ่านนิยายเล่มหนาปึกตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก...
น้องจึงเป็นคนเจ้าสำบัดสำนวนมาแต่เล็กแต่น้อย...
ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นน้องเรียนอยู่ชั้นประถมสอง น้องทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่งในชั้นเรียน...
เพื่อนคนนั้นวิ่งไปฟ้องครูว่าน้องแช่งเขา แต่เขาไม่รู้หรอกว่าน้องแช่งเขาว่ายังไง รู้แต่ว่าให้ไปตาย...
เมื่อคุณครูมาสืบสวนทวนความ น้องก็ยอมรับว่าได้แช่งไปจริง...
น้องบอกเพื่อนว่า..."ขอให้เธอตายอย่างอเนจอนาถ !"

คุณครูมาเล่าให้พ่อฟังด้วยความ...กึ่งขันกึ่งฉิวว่า...น้องช่างไปจำสำนวนแบบนี้มาจากที่ไหน เพราะเด็ก ๆ ในวัยแค่นี้ไม่น่าจะรู้จักถ้อยคำแบบนี้ได้เลย
พ่อก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ กับครู แต่ในใจพ่อนั้นหัวร่อก๊ากทีเดียว...

ตอนเล็ก ๆ น้องเป็นคนกินยากมาก อาหารโปรดสุด ๆ ของน้องคือข้าวเหนียวหน้าสังขยา ดังนั้นทุก ๆ เช้าพ่อต้องปั่นจักรยานไปตลาด ซื้อข้าวเหนียวหน้าสังขยามาให้น้องกินเป็นอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียน
ถ้าวันไหนพ่อไปตลาดสายหน่อย แล้วข้าวเหนียวหมด หรือเหลือเพียงห่อหรือสองห่อ พ่อก็ต้องรีบคว้ามาให้น้อง และพวกเราที่เหลือก็ต้องอดกันตามระเบียบ...เรียกได้ว่าน้องโตขึ้นมาได้เพราะข้าวเหนียวหน้าสังขยาเลยทีเดียว

น้องเป็นคนมีจินตนาการสูงมาก ตอนนั้นน้องกำลังเรียนอยู่ชั้นป.ห้า วันหนึ่งน้องนั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงขั้นบันไดบ้าน เมื่อพ่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น...น้องก็บอกพ่อว่า...น่อยบอกน้องว่าอีกห้าสิบปีโลกก็จะแตก แล้วพวกเราก็จะตายกันหมด...
น้องบอกพ่อว่า...อีกห้าสิบปีน้องก็จะมีอายุหกสิบเท่านั้นเอง...ถ้าโลกแตกน้องจะทำยังไง จะหนีไปอยู่ที่ไหนได้...ว่าแล้วน้องก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว...

พ่อจึงเรียกน่อยมาดุว่าทีหลังอย่าเอาเรื่องเหลวไหลแบบนี้มาพูดให้น้องฟังอีกนะ น่อยก็เถียงว่าที่โรงเรียนน่อยเขาพูดกันออกครึกโครม ไม่เห็นใครเขาจะใส่ใจ เก็บมาร้องไห้ร้องห่มอย่างนี้เลย
ว่าแล้วน่อยก็หัวเราะ พลางชี้หน้าน้องร้อง เย๊...เย๊...ด้วยท่าทีสะใจ

พ่อจึงจับพวกเรามานั่งอบรมว่าด้วยเรื่องของการตื่นข่าวลือว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง เราควรจะเอาเวลาที่ตื่นเต้นหรือเสียอกเสียใจเรื่องโลกแตกนั้นไปทำอะไรอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ...
และอีกห้าสิบปีข้างหน้ามันก็อีกยาวไกล ถึงตอนนั้นเราอาจจะใช้ชีวิตจนคุ้มแล้ว เห็นโลกจนเบื่อแล้วก็เป็นได้
ทางที่ดีเราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ต่อให้โลกจะแตกในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ เราก็จะไม่เสียดายว่าเราได้ใช้เวลาบนโลกโดยเปล่าประโยชน์...
แล้วพ่อก็หยิบยกเอาสาธกนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูมมาเล่าให้พวกเราฟังเป็นที่สนุกสนาน...ลืมความหวาดกลัวเรื่องโลกจะแตกไปโดยสิ้นเชิง

น้องยังคงฝึกซ้อมเล่นดนตรีกับพ่ออย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัด น้องก็พุ่งเป้าไปเรียนดนตรีไทยในวิทยาลัยนาฏศิลป์ทันที...สมดังความปรารถนาของพ่อ

แต่หลังจากเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป์ได้สามปี น้องก็รู้สึกว่า...เหมือนโลกของตัวเองจะแคบลง...
เพราะในขณะที่วิทยาลัยมีกฏมีกรอบและระบอบระเบียบอะไรมากมายจุกจิกหยุมหยิมจนน้องรู้สึกอึดอัด...แต่ที่นั่นไม่ได้เน้นในเรื่องของวิชาการสักเท่าไหร่นัก...
ดังนั้น แม้จะรักวิชาที่เรียนอยู่แต่น้องก็อยากจะเรียนรู้และเห็นโลกที่กว้างกว่าขอบรั้ววิทยาลัย...
เมื่อน้องมาปรึกษาพ่อและพ่อไม่ขัดข้อง...พอเรียนจบปีที่สามน้องจึงหันเหมาเรียนสาขาดนตรีสากลในสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่ง จนจบปริญญาตรี น้องก็สอบบรรจุเข้ารับราชการครูเหมือนพี่ ๆ และแฟนหนุ่มของน้อง

น้องสอบบรรจุได้เป็นครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย...

เมื่อน้องเรียนจบ และแต่งงานมีครอบครัวหลังจากเป็นครูได้หนึ่งปี พ่อก็ตัดสินใจออกบวช ...ตามคำร้องขอของหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใกล้บ้าน ท่านขอให้พ่อบวชเพียงหนึ่งหรือสองพรรษา แล้วจะให้พ่อสึกออกมาเป็น "อาจารย์วัด"**
แต่เมื่อพ่อได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อันคุ้นเคย...จากหนึ่งปีเป็นสองปี...สามปี...พ่อก็ไม่ยอมสึก ทางวัดจึงต้องแต่งตั้ง "พ่อหนาน"*** คนอื่นมาเป็นอาจารย์วัดแทน...

น้องไม่ได้เดินทางกลับมาร่วมงานบวชของพ่อ เพราะเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ น้องไม่สามารถลางานได้...
แล้วน้องก็เพลินกับงานจนออกจะลืมเลือนไปแล้วว่าพ่อบวชเป็นพระแล้วเรียบร้อย
วันหนึ่ง...ย่างเข้าเดือนที่สามของภาคเรียนนั้น...น้องตื่นมาแต่เช้า เตรียมตัวไปโรงเรียนตามปกติ ภารโรงของโรงเรียนซึ่งพักอยู่ในบ้านพักบริเวณเดียวกับน้องก็มาเรียกน้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น บอกว่ามีพระมาหาครูน้องที่หน้าโรงเรียน น้องจึงรีบแต่งตัวแล้วออกไปดู...

ภาพที่น้องเห็นก็คือ พระภิกษุรูปหนึ่งกำลังยืนนิ่งสงบอยู่ใต้ต้นหางนกยูง แสงแดดยามเช้าที่ทอลอดกิ่งไม้ลงมายังศีรษะพระภิกษุรูปนั้น ส่งประกายวาววับราวกับแสงทองระยิบระยับ จับนัยน์ตาน้องจนพร่าพราย...

ในมือของท่านมีถุงหิ้ว มีห่อใบตองอยู่ในนั้นสองสามห่อ...คงจะเป็นอาหารที่ท่านได้มาจากการบิณฑบาตในเช้าวันนั้น...

น้องทรุดตัวลงกราบหลวงพ่อกับพื้น...เสียงของหลวงพ่อที่เอ่ยทักทายน้องในเช้าวันนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของน้องจนตราบทุกวันนี้...
หลวงพ่อถามน้องด้วยคำถามที่แสนจะอบอุ่นว่า..."น้อง กินข้าวงาย****หรือยังลูก...พ่อเอาข้าวเหนียวสังขยามาฝาก?"






ศัพท์
* ลูกหล้า = ลูกคนสุดท้อง
**อาจารย์วัด = มัคทายก - มีหน้าที่นำทายกทายิกาประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ อันเกี่ยวข้องกับวัด ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้ต้องผ่านการอุปสมบทเป็นพระมาก่อนเท่านั้น)
*** หนาน = ทิด
**** ข้าวงาย = ข้าวเช้า



(เรื่องของ"พ่อ" ยังไม่จบ เดี๋ยวกลับมาอ่านกันต่อนะค๊าาาาา...... )








Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 15:58:45 น. 27 comments
Counter : 839 Pageviews.

 

ผมมาจองที่นั่งก่อนคนอื่นก่อนนะครับ


โดย: ห่วงใย วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:07:36 น.  

 
^
^
ขอบคุณเจ้า


โดย: แม่ไก่ วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:14:02 น.  

 

ประทับใจกับความรักของคุณพ่อคุณแม่ไก่จังค่ะ

" หลวงพ่อถามน้องด้วยคำถามที่แสนจะอบอุ่นว่า..."น้อง กินข้าวงาย****หรือยังลูก...พ่อเอาข้าวเหนียวสังขยามาฝาก? "

อบอุ่นซาบซึ้งประทับใจจังค่ะ คิดถึงคุณพ่อขึ้นมาจับใจเลยค่ะ น้ำตาพาลจะไหลเลยค่ะ



โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:28:07 น.  

 
ซึ้ง...

Happy Chinese New Year !
มั่ง มี ศรี สุข


โดย: ปลิวตามลม วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:57:50 น.  

 

ซินเจียยู่อี่
ซินนี้ฮวดไช้

เงินทองไหลมาเทมาค่ะ




โดย: โสดในซอย วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:38:29 น.  

 
แม่ไก่คะ
ตอนท้ายเล่นเอาเปิ้ล
น้ำตาซึมเพราะความซึ้งเลยง่ะ

แม่ไก่ต้องรับผิดชอบน้า อิอิอิ



สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะแม่ไก่
ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ
เงินทองไหลมาเทมาเลยจ้า


โดย: ดอกคูณริมฝั่งโขง วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:33:18 น.  

 
มานั่งอ่าน...


เอาอั่งเปาแห่งความรักและความห่วงใยมาฝากค่ะ



โดย: treehouse วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:49:28 น.  

 
กราบสวัสดีคุณแม่ไก่ด้วยนะเจ้าคะ

ขอให้สุขภาพแข็งแรง รวยๆค๊า


โดย: ช่อชบา IP: 58.9.93.33 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:51:51 น.  

 
อ่านจบก็ นั่งน้ำตาไหล คิดถึงพ่อ มากที่สุด


โดย: dalanda วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:08:09 น.  

 
สวัสดียามเช้าค่ะคุณแม่ไก่

ยังไม่ได้อ่านแต่เห็นเม้นข้างบนว่าซึ้งกันใหญ่
ต้องการทิชชู่มาเตรียมไว้ก่อนซะแล้วววว




โดย: BeCoffee วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:14:38 น.  

 
อ๊ะ เม้นท์ของโมกหายไปไหนคะ

เมื่อวานเรามาก่อนด้วยอ่ะ

คุณแม่ไก่ใจร้ายเขียนซะโมกร้องไห้ หยิบผ้าเช็ดหน้าแทบไม่ทัน ซาบซึ้ง

คิดถึงค่ะ


โดย: โมกสีเงิน วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:53:01 น.  

 
สวัสดียามบ่ายครับ แม่ไก่

แล้วเปิ้นบอกว่า
"ลูกหล้าคนเก๊า"
มันแป๋ว่าอะหยังครับ


โดย: ดอกเสี้ยวขาว วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:50:19 น.  

 
ปีหนูมาถึงแล้ว มาอวยพรวันตรุษจีนจ้า

新年快樂!! 恭喜 恭喜 恭喜!!

新正如意,新年發財!!

天天向上,蜜運成功,心想事成,事事順利!!


โดย: LEE (lyfah ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:44:33 น.  

 


หากพ่อมีญาณวิถี
คงรู้ดีลูกรำลึกและนึกถึง
สิ่งที่พ่อทำให้นั้นยังตราตรึง
และลึกซึ้งสนิทในใจนิรันดร์



โดย: เมณี วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:11:17 น.  

 
Glitter น่ารักๆ มีอีกเพียบ

น้ำตารินน้ำตารื้น
รับรู้มาตลอดเรื่องความรักระหว่างพ่อลูกคู่นี้
แต่ไม่เคยรู้ถึงเรื่องนี้ใสก่อนเลย
น้องคนเล็กของน้าไม่เคยเล่าให้ฟัง

ปีใหม่นี้ ซินเหนียน คว่ายเล่อ นะคะ
คำแปลหาได้จากหลานชายน้าเน่อเจ้า (ลูกของน้องคนหล้า ของน้า ลูกศิษย์หนูเอง 555)


โดย: kuakul วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:12:44 น.  

 

นำอั่งเปาความสุขมาฝากค่ะ

มั่งมีศรีสุขนะคะ



โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:59:48 น.  

 
มานั่งซึ้งอีกรอบ
แม่ไก่ไปเที่ยวไหนรึเปล่าคะเมื่อวาน
เปิ้ลไปนั่งทานจิ้มจุ่มมาค่ะ
อร่อยมากเลย อิอิ


โดย: ดอกคูณริมฝั่งโขง วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:45:45 น.  

 
ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ
แวะมาเยี่ยมครับผม


โดย: sak (psak28 ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:39:27 น.  

 
สรีสวัสดีเจ้าปี้สาว

ปี้สาวเจ้า
อ่านแล้วกั๊ดอกขนาด
มองหันภาพเลยหนา
โดยเฉพาะย่อหน้าสุดต๊าย

มีความฮู้สึกว่า
อยากหื้อรวมเล่มขนาดเลยเจ้า
เอาบ๋อเจ้า?



โดย: เจ๋วะรัฐถะ IP: 124.157.158.39 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:46:45 น.  

 
เดี๋ยวจะรอชิมนะคะแม่ไก่
แต่ถ้าไม่อร่อยเปิ้ลบ่ รับผิดจ้า
ฮ่าๆๆ


โดย: ดอกคูณริมฝั่งโขง วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:50:35 น.  

 
งายแปลว่าอะไร หรือครับ
คิดว่าเป็นภาษาเหนือ

ลูกไม้บ่ทันงาย**
จำงายราชอดยืน
คิดใดมาคืนค่ำ
อยู่จรหล่ำต่อกลางคืน
ฤาเห็นกูโหดหืน
มาดูแคลนกูกลใด

(มหาชาคิคำหลวงกัณฑ์ มัทรี)


โดย: กวินทรากร วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:04:25 น.  

 


หลังจากจองที่ไว้นาน

ขอโทษนะครับงานเยอะ

แวะมาอ่านวันนี้นะครับ


โดย: ห่วงใย วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:39:39 น.  

 
มาอ่านแล้วค่ะ คุณแม่ไก่

อ่านแล้วซึ้ง ปน อมยิ้ม
คิดถึงน้องสาวหน่ะค่ะ
มีน้องสาวกับเค้าคนนึงเหมือนกัน
เป็นแบบน้องเล็กที่ไม่งอแงแต่ว่ายอมพี่ไปซะทุกอย่างเลยแบบว่าเลี้ยงมาดีหน่ะค่ะ

ปล.ที่บ้านคุณแม่ไก่เลี้ยงทั้งหมาทั้งแมวเลยรึคะ คงคึกคักน่าดูเลยเนอะ


โดย: BeCoffee วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:59:06 น.  

 
อ้อ ลืมบอกไปว่าภาพแมวที่นำไปมากน่ารัก มากๆ เลยค่ะ



โดย: BeCoffee วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:00:09 น.  

 
ขอขอบคุณเพื่อนพ้องน้องพี่ กัลยาณมิตรทุกท่านที่มาอ่าน...
และขอบคุณทุก ๆ คอมเมนต์ที่เป็นทั้งกำลังใจอันสำคัญและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของแม่ไก่ค่ะ


โดย: แม่ไก่ วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:15:06 น.  

 
แวะมาอีกที ยามราตรีนี้ช่างสงบสงัด เห้อ


โดย: กวินทรากร วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:46:44 น.  

 
แวะมาเยี่ยมกะเจ้า


โดย: โบ๊ท IP: 58.9.18.175 วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:13:54:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.