ตอน...น้องเล็กไม่ร้ายนักมาถึงน้องนุชสุดท้องของพวกเรา...ลูกสาว'หล้า'* ตัวจริงของพ่อกับแม่'น้อง'เป็นน้องเล็กที่มีลักษณะนิสัยที่ตรงตามแบบฉบับของ 'น้องเล็ก' ทั่วไปควรจะเป็นแทบจะทุกประการ นั่นคือ ทั้งดื้อทั้งรั้น ทั้งแสนงอน เอาแต่ใจตัวเอง...แต่ที่เพิ่มมาก็คือ น้องเป็นเด็กช่างคิดช่างฝัน รุ่มรวยจินตนาการกว้างไกล และมีอารมณ์ศิลปินค่อนข้างสูงทีเดียวในบรรดาลูก ๆ ทั้งหกของพ่อ น้องจัดได้ว่าเป็นลูกที่สบสมใจ และได้ดั่งใจพ่อมากที่สุด เพราะน้องเป็นคนที่มีแววศิลปินมากที่สุดในกลุ่มพวกเรา...แววศิลปินของน้องนั้นฉายชัดมาตั้งแต่น้องยังตัวเล็ก ๆ นั่นทีเดียว...น้องเกิดมาในช่วงที่กระแสการฟื้นฟูวัฒนธรรมพื้นบ้านกำลังเฟื่องฟู และพ่อของเราก็เป็นหนึ่งในผู้นำกระแสนั้น ๆ ในชุมชนของเราในสมัยที่พ่อยังไม่ได้แต่งงานกับแม่นั้น พ่อเคยร่วมกับอาวและเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งจัดตั้งวงดนตรีพื้นเมืองขึ้นในหมู่บ้าน รับเล่นดนตรีในงานศพบ้าง งานบุญอื่น ๆ บ้าง ตามแต่จะมีคนมาขอให้ไปเล่น (เคยเล่าไว้แล้วในเรื่องของพ่อตอนที่ ๗)แต่หลังจากที่พ่อมีครอบครัว พ่อก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการก่อร่างสร้างตัวและการดูแลลูก ๆ วงดนตรีของพ่อมีอันต้องแยกย้ายสลายวงไปในช่วงนั้นจนเมื่อพ่อมีลูกถึงหกคนแล้ว และพ่อก็ค่อนข้างแน่ใจว่า...คงพอแค่นี้จริง ๆ ประกอบกับในช่วงนั้นพ่อเริ่มจะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะพ่อได้ลาออกจากงานเดิมที่ทั้งหนักและเหนื่อย มาทำงานตามเวลาราชการ และช่วยแม่ค้าขายอยู่กับบ้านลูก ๆ ก็โต ๆ กันเกือบหมดแล้ว พี่ ๆ ก็พอจะช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลน้องได้แล้ว(น้องเกิดมาตอนที่พี่สาวคนโตของเราอายุ ๑๖ ปีแน่ะ )...พ่อจึงหวนนึกถึงวงดนตรีของพ่อขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพ่อเร่ไปชวนอาว ชวนเพื่อน ๆ กลุ่มเดิมนั่นแหละให้มาตั้งวงด้วยกันอีก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอันดีจากเพื่อนรุ่นเก่า ๆ ของพ่อหลายคน รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่เป็นรุ่นน้องของพ่อก็มาขอเข้าร่วมวงด้วยอีกเป็นจำนวนมาก... ทำให้จากเดิมที่พ่อตั้งใจจะทำเล่น ๆ เพลิน ๆ กลายเป็นขยายเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ ผสมผสานกันทั้งวงพื้นเมืองแบบสะล้อซอซึงและวงดนตรีสมัยใหม่ที่เล่นเพลงร่วมสมัย...พ่อตั้งชื่อวงดนตรีของพ่อเสียเพราะพริ้งว่า..."...(ชื่อหมู่บ้านเรา) ภิรมย์" มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วอำเภอของเราในยุคนั้นพ่อจับพวกเราทุกคน รวมทั้งลูก ๆ ของลุง ลูก ๆ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหญิงทั้งชายมาเป็นนักร้องหมด...พวกเราจะมีเพลงประจำตัว (เพลงหากิน)กันคนละเพลงสองเพลง แต่จะมีเพลง ๆ หนึ่งซึ่งต้องร้องหมู่...เรียกว่าเพลงมาร์ชทหารไทยสี่เหล่า ใช้ร้องตอนเปิดเวที...ฉันจำเนื้อได้กระท่อนกระแท่น จะขอคัดมาลงไว้ตอนนี้เพียงนิดหน่อย...เพลงนี้ขึ้นต้นเหมือนเพลงชาติ..."ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยร่วมจิตร่วมใจรักไทยให้คงมั่นหากมีศตรูจู่โจมมาโรมรุกรานพวกเราร่วมกันพร้อมทุกเหล่าเชื้อเผ่าไทย...ไทย...เชื้อชาติไทย ทหารไทย เก่งกาจใจฉกรรจ์...ฯ"น้องยังเล็กมากในตอนนั้น...แต่น้องก็เหมือนพวกเราทุกคนคือ...ตอนเล็ก ๆ จะติดพ่อมากกว่าติดแม่ เพราะพ่อเราใจดี เล่านิทานก็เก่ง เล่นดนตรีก็เก่ง...ในขณะที่แม่คอยแต่จะสอน จะดุ แล้วก็คอยห้ามนั่นห้ามนี่...พ่อเองก็ค่อนข้างจะโอ๋น้องเล็กเป็นพิเศษเช่นกัน ไปไหน ๆ ต้องเอาน้องขี่คอไปด้วยเสมอ จนบางครั้งแม่เขาจะค่อนว่า...ไม่รู้ใครติดใครกันแน่ ลูกติดพ่อหรือพ่อติดลูก...?เวลาพ่อไปเล่นดนตรี ส่วนใหญ่แล้วพ่อจะเล่นระนาดเอก พ่อก็จะให้น้องนั่งตักดูพ่อดีระนาด วันหนึ่งในวัยสี่ขวบเศษ ๆ น้องก็จับมือพ่อตีระนาด และไล่เรียงเสียงได้ออกมาเป็นทำนองเพลง...นั่นเอง...พ่อจึงจับได้ถึงแววศิลปินในตัวน้อง แล้วพ่อก็ปลื้มเปรมเกษมศานต์เหลือเกินที่รู้ว่าน้องสนใจในการเล่นดนตรีตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบ...เพราะนับแต่พี่คนโตลงมา พวกเราเกือบทุกคนแม้จะเล่นเครื่องดนตรีกันได้บ้างด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับมันมา และพ่อก็คอยกระตุ้นให้พวกเราหมั่นฝึกซ้อม แต่พวกเราก็เล่นได้ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะพวกเราไม่มีใจรักเพียงพอก็เป็นได้...'เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม...ดนตรี'...เป็นฉันใด พวกเราก็เป็นฉันนั้นแหละ มีอย่างอื่นอีกมากมายที่ดึงความสนใจของพวกเราไปเสียจากการมานั่งพับเพียบเรียบร้อยสีซอหรือดีดซึงก๋อง ๆ แก๋ง ๆ แต่น้องไม่เป็นอย่างนั้น...นิสัยของน้องที่พ่อรู้สึกเป็นปลื้มอีกอย่างหนึ่งก็คือ น้องเป็นคนมีความพยายามและขยัน...ตอนน้องเรียนอยู่ชั้นป.หนึ่ง พ่อก็ซื้อระนาดรางเล็ก ๆ ให้น้อง และจับให้น้องฝึกตีทุกวันหลังเลิกเรียน และน้องคงมีใจรักทางด้านนี้อยู่แล้วก็สามารถนั่งตีระนาดอยู่กับพ่อได้เป็นเวลานาน ๆ จนตีได้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญไม่แพ้พ่อในเวลาต่อมาน้องเป็นหนอนหนังสือตัวยงอีกคนหนึ่ง...น้องอ่านนิยายเล่มหนาปึกตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก...น้องจึงเป็นคนเจ้าสำบัดสำนวนมาแต่เล็กแต่น้อย...ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นน้องเรียนอยู่ชั้นประถมสอง น้องทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่งในชั้นเรียน...เพื่อนคนนั้นวิ่งไปฟ้องครูว่าน้องแช่งเขา แต่เขาไม่รู้หรอกว่าน้องแช่งเขาว่ายังไง รู้แต่ว่าให้ไปตาย...เมื่อคุณครูมาสืบสวนทวนความ น้องก็ยอมรับว่าได้แช่งไปจริง...น้องบอกเพื่อนว่า..."ขอให้เธอตายอย่างอเนจอนาถ !"คุณครูมาเล่าให้พ่อฟังด้วยความ...กึ่งขันกึ่งฉิวว่า...น้องช่างไปจำสำนวนแบบนี้มาจากที่ไหน เพราะเด็ก ๆ ในวัยแค่นี้ไม่น่าจะรู้จักถ้อยคำแบบนี้ได้เลย พ่อก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ กับครู แต่ในใจพ่อนั้นหัวร่อก๊ากทีเดียว...ตอนเล็ก ๆ น้องเป็นคนกินยากมาก อาหารโปรดสุด ๆ ของน้องคือข้าวเหนียวหน้าสังขยา ดังนั้นทุก ๆ เช้าพ่อต้องปั่นจักรยานไปตลาด ซื้อข้าวเหนียวหน้าสังขยามาให้น้องกินเป็นอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียน ถ้าวันไหนพ่อไปตลาดสายหน่อย แล้วข้าวเหนียวหมด หรือเหลือเพียงห่อหรือสองห่อ พ่อก็ต้องรีบคว้ามาให้น้อง และพวกเราที่เหลือก็ต้องอดกันตามระเบียบ...เรียกได้ว่าน้องโตขึ้นมาได้เพราะข้าวเหนียวหน้าสังขยาเลยทีเดียวน้องเป็นคนมีจินตนาการสูงมาก ตอนนั้นน้องกำลังเรียนอยู่ชั้นป.ห้า วันหนึ่งน้องนั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงขั้นบันไดบ้าน เมื่อพ่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น...น้องก็บอกพ่อว่า...น่อยบอกน้องว่าอีกห้าสิบปีโลกก็จะแตก แล้วพวกเราก็จะตายกันหมด...น้องบอกพ่อว่า...อีกห้าสิบปีน้องก็จะมีอายุหกสิบเท่านั้นเอง...ถ้าโลกแตกน้องจะทำยังไง จะหนีไปอยู่ที่ไหนได้...ว่าแล้วน้องก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว...พ่อจึงเรียกน่อยมาดุว่าทีหลังอย่าเอาเรื่องเหลวไหลแบบนี้มาพูดให้น้องฟังอีกนะ น่อยก็เถียงว่าที่โรงเรียนน่อยเขาพูดกันออกครึกโครม ไม่เห็นใครเขาจะใส่ใจ เก็บมาร้องไห้ร้องห่มอย่างนี้เลย ว่าแล้วน่อยก็หัวเราะ พลางชี้หน้าน้องร้อง เย๊...เย๊...ด้วยท่าทีสะใจพ่อจึงจับพวกเรามานั่งอบรมว่าด้วยเรื่องของการตื่นข่าวลือว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง เราควรจะเอาเวลาที่ตื่นเต้นหรือเสียอกเสียใจเรื่องโลกแตกนั้นไปทำอะไรอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ...และอีกห้าสิบปีข้างหน้ามันก็อีกยาวไกล ถึงตอนนั้นเราอาจจะใช้ชีวิตจนคุ้มแล้ว เห็นโลกจนเบื่อแล้วก็เป็นได้ทางที่ดีเราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ต่อให้โลกจะแตกในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ เราก็จะไม่เสียดายว่าเราได้ใช้เวลาบนโลกโดยเปล่าประโยชน์...แล้วพ่อก็หยิบยกเอาสาธกนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูมมาเล่าให้พวกเราฟังเป็นที่สนุกสนาน...ลืมความหวาดกลัวเรื่องโลกจะแตกไปโดยสิ้นเชิงน้องยังคงฝึกซ้อมเล่นดนตรีกับพ่ออย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัด น้องก็พุ่งเป้าไปเรียนดนตรีไทยในวิทยาลัยนาฏศิลป์ทันที...สมดังความปรารถนาของพ่อแต่หลังจากเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป์ได้สามปี น้องก็รู้สึกว่า...เหมือนโลกของตัวเองจะแคบลง...เพราะในขณะที่วิทยาลัยมีกฏมีกรอบและระบอบระเบียบอะไรมากมายจุกจิกหยุมหยิมจนน้องรู้สึกอึดอัด...แต่ที่นั่นไม่ได้เน้นในเรื่องของวิชาการสักเท่าไหร่นัก...ดังนั้น แม้จะรักวิชาที่เรียนอยู่แต่น้องก็อยากจะเรียนรู้และเห็นโลกที่กว้างกว่าขอบรั้ววิทยาลัย...เมื่อน้องมาปรึกษาพ่อและพ่อไม่ขัดข้อง...พอเรียนจบปีที่สามน้องจึงหันเหมาเรียนสาขาดนตรีสากลในสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่ง จนจบปริญญาตรี น้องก็สอบบรรจุเข้ารับราชการครูเหมือนพี่ ๆ และแฟนหนุ่มของน้องน้องสอบบรรจุได้เป็นครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย...เมื่อน้องเรียนจบ และแต่งงานมีครอบครัวหลังจากเป็นครูได้หนึ่งปี พ่อก็ตัดสินใจออกบวช ...ตามคำร้องขอของหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใกล้บ้าน ท่านขอให้พ่อบวชเพียงหนึ่งหรือสองพรรษา แล้วจะให้พ่อสึกออกมาเป็น "อาจารย์วัด"**แต่เมื่อพ่อได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อันคุ้นเคย...จากหนึ่งปีเป็นสองปี...สามปี...พ่อก็ไม่ยอมสึก ทางวัดจึงต้องแต่งตั้ง "พ่อหนาน"*** คนอื่นมาเป็นอาจารย์วัดแทน...น้องไม่ได้เดินทางกลับมาร่วมงานบวชของพ่อ เพราะเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ น้องไม่สามารถลางานได้...แล้วน้องก็เพลินกับงานจนออกจะลืมเลือนไปแล้วว่าพ่อบวชเป็นพระแล้วเรียบร้อยวันหนึ่ง...ย่างเข้าเดือนที่สามของภาคเรียนนั้น...น้องตื่นมาแต่เช้า เตรียมตัวไปโรงเรียนตามปกติ ภารโรงของโรงเรียนซึ่งพักอยู่ในบ้านพักบริเวณเดียวกับน้องก็มาเรียกน้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น บอกว่ามีพระมาหาครูน้องที่หน้าโรงเรียน น้องจึงรีบแต่งตัวแล้วออกไปดู...ภาพที่น้องเห็นก็คือ พระภิกษุรูปหนึ่งกำลังยืนนิ่งสงบอยู่ใต้ต้นหางนกยูง แสงแดดยามเช้าที่ทอลอดกิ่งไม้ลงมายังศีรษะพระภิกษุรูปนั้น ส่งประกายวาววับราวกับแสงทองระยิบระยับ จับนัยน์ตาน้องจนพร่าพราย...ในมือของท่านมีถุงหิ้ว มีห่อใบตองอยู่ในนั้นสองสามห่อ...คงจะเป็นอาหารที่ท่านได้มาจากการบิณฑบาตในเช้าวันนั้น...น้องทรุดตัวลงกราบหลวงพ่อกับพื้น...เสียงของหลวงพ่อที่เอ่ยทักทายน้องในเช้าวันนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของน้องจนตราบทุกวันนี้...หลวงพ่อถามน้องด้วยคำถามที่แสนจะอบอุ่นว่า..."น้อง กินข้าวงาย****หรือยังลูก...พ่อเอาข้าวเหนียวสังขยามาฝาก?"
ผมมาจองที่นั่งก่อนคนอื่นก่อนนะครับ