1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
สามขาพาทัวร์....ศรีลังกา 6...กราบนมัสการพระเขี้ยวแก้ว... ชมสวนพฤษศาสตร์โบตานิค เมือง แคนดี้
visit Candy and Royal botanic Gadens วันนี้เป็นวันคล้ายวันครบรอบวันเกิดของมิเชล และเพื่อนอีกคนที่เดินทางมาด้วยกัน เมื่อวานก่อนกินข้าวมื้อเย็น แม่บุญแอบเข้าไปคุยกับผู้จัดการโรงแรม บอกเขาว่าอยากจะทำอาหารเอง โดยขอให้เขาซื้อปลามาให้ขนาดตัวละครึ่งกิโลกรัม ๖ ตัว และเครื่องเคราอย่างอื่น พร้อมกับเค้กอีก ๒ ปอนด์ คนละอย่างกัน เขาพยักหน้าน้อมรับบอกว่าจะจัดให้ แม่บุญกระหยิ่มยิ้มย่องว่า จะได้ทำปลาผากับสลัดกินอย่างที่ชอบ ไม่ใช่ปลาทอดจนแข็งปาหัวหมาแตกอย่างทุกวัน หลังอาหารเช้า คนขับกับชามูร์รออยู่แล้วที่ข้างล่าง เพราะทั้งสองคนนอนที่ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จข้างล่างเพื่อความสะดวก วันนี้เขาจะพาไปเที่ยวชมเมืองแคนดี้ ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราจะเข้าไปกราบนมัสการพระเขี้ยวแก้ว ที่ศรีลังกาเคยให้ประเทศไทยยืมไปสักการะเมื่อหลายสิบปีก่อน คราวนี้แม่บุญมีบุญจริงๆ ที่จะได้มากราบถึงที่ และไปชมสวนโบตานิค ของศรีลังกา สถานที่สำคัญในเมืองแคนดี้ ศรีลังกา วัดพระเขี้ยวแก้ว ดาลดา มัลลิกาวะ (Dalada Valigawa) เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลังกา พระเขี้ยวแก้วเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์โดยมีหลักฐานรองรับความถูก ต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศา ด้วยว่าพระทันตธาตุหลังจากการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ และ นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๙ พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้มาโดยตลอด มิเคยถูกนำออกนอกดินแดนเลยตั้งแต่ถูกอัญเชิญมาจากชมพูทวีปโดยเจ้าหญิงเหมมาลาแห่งแคว้นกาลิงคะเมื่อ กว่า ๑,๗๐๐ ปีก่อนชาวศรีลังกาต่าง ถวายเคารพต่อพระทันตธาตุอย่างสูงสุด โดยเชื่อกันว่าหากเมื่อใดพระเขี้ยวแก้วถูกนำออกนอกเกาะลังกาแล้ว จะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติและยังเชื่อว่าหากเมื่อใดที่เกิดทุกข์ภัยขึ้น การเปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกให้ผู้คนสักการบูชาจะสามารถขจัดเภทภัยต่างๆ ได้ วัดบุปผาราม หรือวัดพระอุบาลี ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแคนดี้ เป็นวัดที่พระอุบาลีและคณะสมณฑูตจากกรุงศรีอยุธยามาทำการบรรพชาให้ภิกษุชาวศรีลังกา ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ ลัทธิสยามวงศ์ สวนพฤกษชาติเปราดีนิยา แห่งเมืองแคนดี (Royal Peradeniya Botanical Garden) : สวนแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก เพราะเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่ดีที่สุดในเอเซียใต้ มารู้จักประวัติคร่าวๆ กันก่อนที่จะไปชมของจริงกันค่ะ เมืองแคนดี้ : เมืองหลวงเก่าของประเทศศรีลังกา แคนดี มาจากคำว่า kanda เป็นภาษาสิงหล แปลว่า เนินเขา เนื่องจากแคนดี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,600 ฟุต ชื่อเดิมคือ ศิริวัฒนานคร หรือ สิงหขันธนคร ตามชื่อของฤาษีตนหนึ่งที่เชื่อกันว่าเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ชาวเมืองสิงหลเรียก ขันธะ หมายถึง กองหินหรือภูเขา ต่อมาเมื่ออังกฤษเข้าครองเมือง การเรียกขันธะ จึงออกเสียงสำเนียงตามฝรั่งว่า แคนดิ หรือ แคนดี้ เมืองแคนดีเคยเป็นที่มั่นสุดท้ายของกษัตริย์สิงหล ก่อนการเสียดินแดนให้กับจักรวรรดิอังกฤษในปี พ.ศ.2358 หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโปโลนนารุวะ จนถึงประมาณ พ.ศ. 2085-2124 โปรตุเกสได้เข้ายึดดินแดนที่ราบชายฝั่งแถบเมืองโคลัมโบ ในขณะที่กษัตริย์สิงหลผู้ปกครอง Kotte และ Sitawaka ได้อพยพและย้ายราชธานีไปยังดินแดนภายในบริเวณศิริวัฒนบุรี หรือเมืองแคนดี สถาปนาแคนดีเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์แคนดียัน ในปี พ.ศ.2133 ต่อมาอีก 225 ปี โปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ได้เข้ามาถึงแคนดีโดยต่างก็หมายปองจะยึดแคนดีด้วยกันทั้งสิ้น ในที่สุดอังกฤษก็เป็นฝ่ายยึดครองแคนดีได้สำเร็จ แคนดีจึงตกเป็นของอังกฤษจนกระทั่งประเทศศรีลังกาได้รับเอกราชใน พ.ศ.2491 ด้วยอิทธิพลของพุทธศาสนาในศรีลังกา วัดวาอาราม ในเมืองแคนดียังคงรักษาขนบประเพณีของพุทธศาสนิกชน เมืองแคนดีจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชนในศรีลังกาและทั่วโลก เพราะเป็นที่ตั้งของ วัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งประดิษฐานพระทันตธาตตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว พระเขี้ยวแก้ว พระธาตุเขี้ยวแก้ว พระเขี้ยวแก้ว เป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับชาวพุทธศรีลังกา ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ในปีที่ 9 แห่งรัชสมัยพระเจ้าศิริเมฆวรรณ (โอรสของพระเจ้ามหาเสนะ) คือประมาณปี พ.ศ.913 เจ้าชายทันตกุมาร และเจ้าหญิงเหมชาลา แห่งแคว้นกาลิงคะ ในอินเดีย ได้แอบซ่อนพระธาตุเขี้ยวแก้ว ซึ่งเป็นพระเขี้ยวด้านซ้ายของพระพุทธเจ้า หนีไปยังเกาะลังกาตามพระบัญชาของพระบิดาคือ พระเจ้าคุหเสวราช เพราะพระเขี้ยวแก้วนี้เป็นที่ต้องการของเมืองต่างๆ ยิ่งนัก อาจทำให้ก่อเกิดสงครามและพระเขี้ยวแก้วอาจตกไปอยู่ในมือของฝ่ายศัตรูได้ พระเจ้าคุหเสวราชเห็นว่า เกาะลังกาคู่ควรที่เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วนี้ จึงมีพระบัญชาดังกล่าว ในรัชสมัยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 6 แห่งโกฎเฏ (พ.ศ.1930-1934) พระเจ้าจักรพรรดิจีนพระนามว่า ยุงโห ได้ส่งแม่ทัพคนหนึ่งมาขอพระธาตุเขี้ยวแก้วจากลังกาแต่ได้รับการปฏิเสธ เป็นเหตุให้จีนส่งกองทัพมาจับพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 6 ไปเป็นเชลยที่เมืองจีน แม้ต่อมาจะปลดปล่อย แต่จีนก็หาเหตุให้ลังกาส่งส่วยแก่ตน เป็นเวลาถึง 50 ปี มีประเพณีสืบทอดกันมาว่า ผู้เป็นสังฆนายกแห่งวัดมัลลวัตตะและวัดอัสสคีรี ซึ่งเป็นพระฝ่ายสยามวงศ์ทั้งสองวัด จะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมีหน้าที่คอยดูแลพระธาตุเขี้ยวแก้ว ชาวลังกามีความเชื่อถือว่า ถ้าฝนแล้ง เจ้าหน้าที่จะอัญเชิญพระธาตุเขี้ยวแก้วออกแห่เพื่อขอฝนและจะได้สัมฤทธิผลดังปรารถนาจริง ๆ ชาวลังกาเชื่อว่า ถ้าใครได้ครอบครอง พระเขี้ยวแก้ว ก็จะเป็นพระราชาพระมหากษัตริย์ มีเรื่องเล่าเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารของพระเขี้ยวแก้ว ในหนังสือประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะไว้ว่า "เมื่อโปรตุเกสครอบครองศรีลังกาอยู่นั้น เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนพระพุทธ-ศาสนา ในลังกา โปรตุเกสได้ออกกฎหมายใช้เก็บภาษีต่อครอบครัวชาวพุทธอย่างรุนแรง ผู้ใดยอมรับนับถือศาสนาคริสต์ก็ได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องเสียภาษี จึงมีชาวลังกาเข้ารีตเป็นจำนวนมากรวมทั้งพระเจ้าธรรมปาละแห่งโคลัมโบด้วย เข้ารีตแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นพระเจ้าดองยวงและเพื่อเป็นการประกาศชัยชนะของพระผู้เป็นเจ้า นักสอนศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจึงสั่งให้ พระเจ้ายองดวงมอบพระเขี้ยวแก้วให้ แล้วหัวหน้าบาทหลวงคาทอลิกได้ใช้ครกตำพระเขี้ยวแก้ว ต่อหน้าชาวลังกาจนทำลายไปหมด รัฐบาลโปรตุเกสได้ออกเหรียญที่ระลึกในงานนี้ รูปเหรียญด้านหนึ่งเป็นรูปผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสจารึกว่า "ผู้พิทักษ์อันเที่ยงแท้" อีก ด้านหนึ่งเป็นรูปบาทหลวงตำพระเขี้ยวแก้ว พระสันตปาปาแห่งโรมได้ส่งสารมา แสดงความยินดี แต่พระเจ้าวิมลธรรมสุริยะแห่งกรุงแคนดีบอกว่า พระเขี้ยวแก้วของจริงอยู่ที่ตนที่พวกบาทหลวงทำลายเป็นของปลอม" ศรีลังกานั้น ถือว่าพระเขี้ยวแก้ว เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกราชและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นกษัตริย์แห่งลังกาด้วย โดยในราวเดือนสิงหาคมของทุกปีจะพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่สมโภชพระเขี้ยวแก้ว จะมีริ้วขบวนยาวเหยียดนำด้วยช้างที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม มีระบำรำฟ้อน การแสดงพื้นเมืองลังกา และดนตรีพื้นเมืองลังกาบรรเลงแห่งไปรอบเมืองนี่คือประวัติคร่าวๆ ที่ได้อ่านจากอินเทอร์เน็ตค่ะ แม่บุญเตรียมชุดขาวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พอชามูร์มองเห็นก็ยิ้มกว้าง บอกว่า เธอเตรียมตัวพร้อมจริงๆ เพราะผู้ที่เข้าไปสักการะส่วนมากจะแต่งกายสีขาวทั้งหญิงและชาย แม่บุญอ่านข้อมูลมาเยอะก่อนเดินทาง อีกทั้งเราเป็นชาวพุทธก็อยากจะทำอย่างที่คนศรีลังกาทำกัน ส่วนเพื่อนๆ นั้นก็แล้วแต่จิตศรัทธา เมื่อเดินทางไปถึง คนขับๆ รถไปจอดหลบมุมไปไกล เลยต้องเดินออกกำลังกันนิดหน่อย สามขาของแม่บุญก็เดินตามแล้วก็ถ่ายภาพไปด้วย แม่บอกตามตรงว่าไม่ถนัดเลยจริงๆ ก่อนไปยืนเรียงคิวต่อแถวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจว่าจะมีอาวุธอะไรแอบซ่อนไปข้างในหรือเปล่า ช่วงนั้นเองที่แม่บุญบอกชามูร์ให้พาไปซื้อดอกบัวที่เห็นเขาจัดอย่างสวยงามวางเรียงรายไว้ให้ผู้คนซื้อเพื่อไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว ระหว่างที่ยืนรอแถว ชามูร์เอาดอกบัวให้เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มถือ เธอไม่ได้ระวังเลยทำดอกบัวตก แม่บุญเห็นก็ตกใจ ในใจคิดว่าอยากจะบูชาแบบไม่มีอะไรตกหล่น แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ ไม่เป็นไร ใจเราตั้งมั่นในสิ่งที่ดี จากนั้นก็เอามาถือเองทั้งๆ ที่เดินกับไม้เท้าไม่ถนัดนัก แต่ไม่อยากให้ดอกบัวหล่นอีกรอบ เมื่อเข้าไปภายใน ต้องเดินผ่านสนามหญ้ากว้างใหญ่ไปที่ตึกที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วข้างหน้า แดดส่องตรงมาให้ร้อนได้อีก เมื่อถึงทางเข้าต้องฝากรองเท้าไว้ข้างนอก มิเชลจำต้องเดินทั้งๆ ที่เจ็บฝ่าเท้าเพราะการผ่าตัดเช่นกัน แต่เมื่อใจอยากจะไปอะไรก็ไม่สำคัญเท่าจิตที่ตั้งมั่น เมื่อเดินผ่านเข้าไปสู่ภายใน เห็นผู้คนมากมายทั้งคนศรีลังกาและนักท่องเที่ยว ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ที่แต่งกายแบบพื้นเมืองก็เริ่มตีกลองให้สัญญาณ ระหว่างนั้นพวกเราก็เริ่มเดินตามแถวที่ผู้คนยาวเหยียด เพื่อขึ้นไปกราบสักการะข้างบนชั้นสอง แม่บุญแปลกใจที่แถวกลางที่ตัวเองเดินตามผู้คนมันขยับไปเรื่อยๆ แต่แถวซ้ายมือสุดที่มีเฉพาะคนศรีลังกากลับไม่ขยับเขยือนแต่อย่างใด แต่เมื่อเดินขึ้นไปจนเกือบจะถึงหน้าพระเขี้ยวแก้ว จึงเข้าใจ เพราะแถวซ้ายมือสุด จะได้เดินผ่านไปด้านหน้าพระเขี้ยวแก้วอย่างใกล้ชิดเพื่อวางดอกไม้บูชา แต่แถวของนักท่องเที่ยวแถวกลางจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง แม้แต่เวลาที่จะตั้งกล้องถ่ายภาพให้ชัดก็ทำไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่เร่งให้เดินเร็วๆ ต่อๆ กันไป เอาเป็นว่า หากใครที่ได้มาอ่านและคิดจะไป ตั้งใจรอต่อแถวซ้ายมือนะคะ หมายความว่าต้องรอนานมาก หากไม่มีธุระปะปังที่จะรีบไปก็รอกันได้ค่ะ เมื่อกราบนมัสการเสร็จก็เดินดูรอบๆ วัด เห็นผู้คนต่อแพวมารอขอน้ำมนต์ แม่บุญเองก็อยากจะได้แต่ไม่มีขวดเพราะไม่รู้ และแถวที่ยาวจนสุดสายตาคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่จะให้เพื่อนๆ รอเราคนเดียว ยืนเล็งอยู่เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงยืนจัดคิว เลยส่งสัญญาณมือชี้ไปที่หัวของตัวเอง เป็นการบอกว่า ขอแค่น้ำมนต์พรมที่หัวได้ไหม ? เธอเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายยืดยาว แถมกวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆ จากนั้นก็ตักน้ำมนต์ใส่มือให้แม่บุญๆ เลยยกเอาเทใส่หัวและรูปหน้าตัวเอง เหมือนกับที่วัดพระแก้วที่เราเอาดอกบัวพรมน้ำมนต์หน้าพระแก้วมรกตนั่นเอง ความรู้สึกที่ได้ทำนั้นบอกไม่ถูก เหมือนกับได้กระทำสิ่งที่อยากทำมานานและได้ทำสำเร็จ หัวใจมันพองโต ใจเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นก็เดินตามชามูร์ไปอีกตึกหนึ่งตึกนี้มีภาพวาดตั้งแต่เมื่อพระพุทธเจ้าจะเริ่มออกบวช จนถึงวันปรินิพาน ที่สำคัญที่แม่บุญพึ่งรู้จากชามูร์คือ พระพุทธรูปทุกๆ องค์ในห้อง ถูกส่งมาจากเมืองไทย มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกเหมือนมาไหว้พระที่เมืองไทย แม่บุญยิ้มด้วยความยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น จากนั้นก็เดินชมรอบๆ บริเวณ ด้วยเท้าเปล่าอันร้อนไปด้วยความร้อนจากพื้นถนนที่อาบไปด้วยแสงแดดตั้งแต่เช้า พวกเราเดินออกมาข้างนอก เดินชมตลาดคล้ายๆ สำเพ็ง เพราะมีร้านค้าขายเสื้อผ้ามากมาย เพื่อนสาวพากันเดินดูเพื่อจะซื้อกางเกง ส่วนแม่บุญนั่งรอกับคนอื่นๆ จากนั้นก็ไปดื่มน้ำผลไม้ปั่นอันโอชะ รสชาติสุดยอดจริงๆ ไม่มีน้ำเชื่อมใส่แต่เป็นผลไม้ล้วนๆ จริงๆ จากนั้นก็พากันเดินดูตลาดที่อยู่ไม่ไกลนัก มองหาร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงไปด้วย จนไปเจอร้านอาหารใหญ่โต ข้างในมีอาหารจานด่วนขาย พวกเราสมัครใจกินซุปแบบจีนอีกตามเคย เพราะปลอดภัยที่สุดกว่าการกินอาหารพื้นเมือง กินเสร็จชามูร์ก็ต้อนขึ้นรถจุดมุ่งหมายคือ สวนพถษศาสตร์อันมีชื่อเสียงของศรีลังกานั่นเอง เมื่อไปถึงนั้น บ่ายคล้อยไปแล้ว มองท้องฟ้าเห็นมีเมฆปกคลุมราวกับจะมีฝน ชามูร์ซื้อบัตรผ่านประตูให้แต่เขากับคนขับรถจะรออยู่ด้านนอก จากนั้นก็พากันเข้าข้างในเพื่อเดินชมสวนขนาดใหญ่โต แม่บุญบอกให้ทุกคนเดินไปชมอย่างที่อยากเดิน ส่วนตัวเองเดินลัดเส้นทางแค่ครึ่งเดียวเพราะสังขารไม่อำนวยให้เดินไกลได้ ระหว่างทางเจอกลุ่มนักเรียนผู้หญิงวัยรุ่นที่พากันมาทัศนศึกษากับอาจารย์เดินสวนทางมาเลยได้ถ่ายภาพไว้ เพราะชอบชุดนักเรียนสีขาวล้วน กับหมวกที่ทุกๆ คนใส่ราวกับนักเรียนอังกฤษ นี่คงเป็นเพราะรับวัฒนธรรมของชาวอังกฤษมาเมื่อครั้งเป็นเมืองขึ้นนั่นเอง แม่บุญเหนื่อยเลยมองหาที่นั่งพัก พอดีมองเห็นร้านขายของกินจุกจิก ใกล้ๆ มีร้านอาหาร เดินไปจนถึงร้านอาหารเห็นเป็นบุฟเฟย์อีกแล้วเลยเดินกลับมาหวังว่าจะกินไอศกรีมแก้ร้อนเสียหน่อย ระหว่างนั้นเองที่เริ่มมีลมพัดแรง ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มไปหมด พอซื้อไอศกรีมเสร็จปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น แม่บุญเลยคว้าเก้าอี้ใกล้ตัวมานั่งกินไอศกรีมรอฝนหยุด เวลาผ่านไปจากไม่นานเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ไอศกรีมหมดไปนานแล้วฝนก็ยังไม่หยุด ผู้คนเริ่มวิ่งมาหลบฝนมากขึ้นๆ จนแทบไม่มีที่ยืน โชคดีมากที่ได้นั่งรอ ไม่งั้นกับไม้เท้าและขาที่ปวดอยู่เรื่อยๆ คงไม่ไหวแน่ๆ เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง นึกในใจว่า สาธุขอให้ฝนหยุดสักสิบนาทีเถอะพอให้ได้เดินไปที่ทางออกเพื่อไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่คาดว่าน่าจะเปียกปอนกันหมดแน่ๆ เพราะพวกเขาเดินไปจนสุดปลายทางของสวน กับลมฝนที่ตกแรงขนาดนี้ไม่น่าจะรอด จะเป็นเพราะไปกราบพระเขี้ยวแก้วมาหรือยังไงไม่ทราบได้ ฝนที่ตกหนักเริ่มค่อยๆ ลดลงเหลือเพียงบางเบาแต่ก็ยังมากอยู่ดี แม่บุญมองไปเห็นถังใส่ขยะที่มีถุงขยะสีดำใส่ขยะ ในใจคิดถึงคำพูดของมิเชลครั้งหนึ่งว่า ถุงขยะนี่เอามาทำเสื้อกันฝนได้ถ้าถึงคราวจำเป็น คิดได้เท่านั้นก็ลุกจากเก้าอี้ ถามคนขายไอศกรีมว่าขอซื้อถุงใส่ขยะได้ไหม ? เธอหยิบออกมาให้และบอกว่าไม่คิดเงิน แม่บุญรีบขอบคุณในความมีน้ำใจของเธอ จากนั้นก็ล้วงลงไปหยิบมีดสวิสฯ ที่ติดตัวทุกครั้งที่เดินทาง เอาออกมาเริ่มปาดตรงส่วนปลายสุดให้เปิดออกเพื่อให้สอดหัวเข้าไปได้ ด้านข้างสองด้านเอามีดกรีดให้สอดแขนเข้าไปได้เช่นกัน ระหว่างที่กำลังจัดการเตรียมเสื้อกันฝนฉุกเฉิน ไม่นึกว่าตนเองจะตกเป็นเป้าสายตาของนักท่องเที่ยวที่ยืนอยู่แถวๆ นั้น พวกเขาคงพอจะคิดออกว่าแม่บุญจะทำอะไร ต่างพากันอมยิ้ม อีกคนถ่ายวีดีโอจากสมาร์ทโฟนไว้ด้วย นี่ถ้าใครเห็นภาพนั้นที่ไหน ให้รู้นะว่าคือแม่บุญนั่นเอง เมื่อจัดการเสร็จก็เอาเสื้อฝนฉุกเฉินสวมทับเป้สะพายหลัง แล้วก็ออกเดินจากร้านไปที่ถนนทันที กำลังเดินไปได้ครึ่งทางได้ยินเสียงเรียกชื่อมาแต่ไกล มองไปข้างหน้าเห็นมิเชลกับชามูร์เดินอย่างเร่งรีบตรงมาที่แม่บุญพร้อมกับร่มคนละคัน พอมาถึงก็ถามว่า แม่บุญไปไหนมา ? เขาพากันตามหาระหว่างฝนตกไปทั่วแต่ไม่เห็น เลยเล่าให้ฟัง ระหว่างนั้นมิเชลกับชามูร์ก็เห็นว่าแม่บุญมีเสื้อกันฝนสุดเท่ห์ใส่ มิเชลหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ ส่วนชามูร์ยกนิ้วให้ในความคิดอันเฉียบเหลียม แล้วก็พาแม่บุญเดินมาขึ้นรถ เพื่อนๆ พากันถามว่าเธอเปียกไหม ? แม่บุญอมยิ้มพร้อมกับถอดถุงขยะออกจากตัวๆ แห้งไม่มีร่องรอยที่จะโดนน้ำฝนแต่อย่างใด ทำเอาเพื่อนๆ ได้หัวเราะกันอีก ส่วนพวกเขาเปียกกันแบบลูกหมาตกน้ำก็ว่าได้ จากนั้นก็พากันเดินทางกลับโรงแรม เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และนัดเวลามากินอาหารมื้อเย็นที่เป็นมื้อพิเศษเพื่อฉลองวันเกิดในมิเชลและเพื่อน แม่บุญแอบคิดในใจว่า ปลาที่สั่งจะได้ไหมหนอ ? แล้วก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่มาถามอะไรเลย หรือว่าเขาจะจัดการกันเอง ? เมื่อถึงเวลานัดหมาย ทุ่มครึ่ง ทุกคนแต่งตัวสวยลงมารอที่โต๊ะอาหาร คืนนี้มีแขกอื่นไม่มาก เขาเลยไม่ตั้งอาหารบุฟเฟย์อย่างเคย อีกอย่างกลุ่มเราสั่งอาหารพิเศษด้วย ไม่นานนักพนักงานก็เดินลำเลียงเอาอาหารที่สั่งมาวางตรงหน้า แม่บุญเหลือบมองปลาเป็นอย่างแรก เห็นปลาทูน่าสีขาวชิ้นใหญ่ทอดมาพร้อมกับข้าว มันฝรั่งทอดและแครอทชิ้นโต กับผักที่วางมาแบบเลอะๆ พอเอามีดหั่นปลา...แข็งเหมือนเดิม ตอนนี้เลยต้องทำใจ เขาทำได้แค่นี้จริงๆ จะไปเปลี่ยนความเคยชินที่สืบทอดกันมาเป็นวัฒนธรรมของเขานั้น คงเป็นไปไม่ได้ จากนั้นก็พากันกินไป หลายคนในกลุ่มแซวว่า อ้าว แม่บุญไม่ไปย่างปลาเองเหรอ ?? หลังอาหาร เค้กก้อนขนาดใหญ่ปานกลาง มีรสสตอบอรี่กับช็อคโคแลตก็ถูกยกมาตั้งหน้ามิเชลและเพื่อน จากนั้นก็มีการเป่าเทียน ตัดเค้กแบ่งปันกันไป รสชาติอร่อยใช้ได้สำหรับที่นี่ เราชิมกันทั้งสองแบบจากนั้นก็นั่งดื่ม นั่งคุยกันจนเห็นว่าได้เวลาสมควรที่จะพักผ่อน จึงแยกย้ายกันไปนอน เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ
Create Date : 04 พฤษภาคม 2560
Last Update : 25 กรกฎาคม 2560 23:38:40 น.
25 comments
Counter : 2803 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณSweet_pills , คุณmoresaw , คุณไวน์กับสายน้ำ , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณSai Eeuu , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณรัชต์สารินท์ , คุณcomicclubs , คุณmambymam , คุณkae+aoe , คุณชมพร , คุณMitsubachi , คุณร่มไม้เย็น , คุณnewyorknurse , คุณClose To Heaven
โดย: Sweet_pills วันที่: 4 พฤษภาคม 2560 เวลา:1:04:48 น.
โดย: moresaw วันที่: 4 พฤษภาคม 2560 เวลา:7:18:50 น.
โดย: Sai Eeuu วันที่: 4 พฤษภาคม 2560 เวลา:14:26:21 น.
โดย: mambymam วันที่: 4 พฤษภาคม 2560 เวลา:19:17:08 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 4 พฤษภาคม 2560 เวลา:22:01:28 น.
โดย: comicclubs วันที่: 5 พฤษภาคม 2560 เวลา:0:35:59 น.
โดย: mambymam วันที่: 5 พฤษภาคม 2560 เวลา:6:22:42 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 5 พฤษภาคม 2560 เวลา:11:06:00 น.
โดย: mambymam วันที่: 5 พฤษภาคม 2560 เวลา:16:19:41 น.
โดย: ชมพร วันที่: 6 พฤษภาคม 2560 เวลา:12:51:54 น.
โดย: ชมพร วันที่: 6 พฤษภาคม 2560 เวลา:12:55:50 น.
โดย: Mitsubachi วันที่: 6 พฤษภาคม 2560 เวลา:19:04:48 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 9 พฤษภาคม 2560 เวลา:3:45:42 น.
โดย: Sai Eeuu วันที่: 10 พฤษภาคม 2560 เวลา:10:25:43 น.
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 10 พฤษภาคม 2560 เวลา:19:53:05 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
แถวซ้ายสุด ใช้เวลาในแถวนานหน่อยแต่ได้วางดอกไม้บูชาใกล้ชิดนะคะ
ชอบตลาดด้วยค่ะ อยากชิมน้ำผลไม้รวมปั่นขึ้นมาเลยค่ะ
ถูกใจชุดกันฝนที่แม่บุญออกแบบจากถุงขยะ เก๋มากๆค่ะ
Maeboon Travel Blog
แล้วต๋าจะตามมาเที่ยวต่อนะคะ