Year 2010 : a Wheel of Change
วันนี้ฤกษ์งามยามดี เพราะเป็นวันที่มีเวลาพอจะมาอัพบล็อคเหลืออีกวันเดียว ปี 2010 ก็จะผ่านไปแล้วกลับมาเขียนบล็อคอีกที หลังจากห่างหายจากการเขียนบล็อคไปเป็นปีซึ่งเป็นปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริง ๆ เรียกได้ว่า เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบสุด ๆ เรื่องหลัก ๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้เป็นไทแล้วค่ะ ไม่ได้เป็นแอร์แล้ว !!!ใจนึงนะ ดีใจมากกกกกกกกก สิ่งที่พร่ำบ่น ก่นด่ามาตลอดในที่สุดก็ถึงเวลาสิ้นสุดลงแล้วแต่ก็นะ บางมุมก็แอบคิดถึงวันเวลาเก่า ๆความสุขสบายหลังจบไฟล์ท เวลาส่วนตัวที่ตอนนี้ถวิลหาอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่นานหรอก ตอนนี้แทบจะไม่คิดถึงแล้ว ออกมาแล้วก็ยังไม่มีงานทำหรอกนะแต่มันถึงเวลาของมันแล้ว ก็เลยต้องก้าวออกมาซักทีแต่ค่ะ...ไม่ได้ออกมาว่าง นั่งเล่นนอนเล่นเหมือนแต่ก่อนนะคะเพราะตอนนี้ต้องเลี้ยงลูกค่ะ ใช่แล้วค่ะ เรามีลูกแล้วค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก ๆเรารักเขามาก ๆ เหมือนกับเป็นลูกของเราเองจริง ๆ อย่าเพิ่งงงกันนะ เพราะเราไปขอร้อง ขอลูกพี่ที่รู้จักมาเลี้ยงค่ะด้วยเหตุผลหลัก ที่ว่าเรารู้สึกถูกชะตา แล้วก็หลงรักเขาตั้งแต่ช่วงที่เขายังแบเบาะแล้วคุณแม่ของน้อง ก็ต้องเลี้ยงน้อง ทำให้ไปทำงานไม่ได้เรากับที่บ้าน เลยขันอาสา ขอเลี้ยงน้องให้แทนค่ะ เรื่องนี้ เพื่อนเราหลายคนก็ไม่เห็นด้วย แต่หลายคนก็บอกแล้วแต่เราบอกตามตรงว่า เราไม่ได้ต้องการเลี้ยงให้เขามาดูแลเรายามแก่เฒ่า เราแค่รักใครสักคน แล้วอยากให้เขาได้ดี อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขาเราว่านะ ความรู้สึกมันยิ่งกว่าที่เรารักผู้ชายสักคนอีก แต่กว่าจะได้เขามาอยู่ด้วย ก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันเพื่อพิสูจน์ว่า เรารักและพร้อมจะดูแลเขามากขนาดไหนตอนที่เรายังเป็นแอร์อยู่ ทุกครั้งที่ไปบิน เราจะคิดถึงเขามากกลับมาหยุดไม่กี่วัน ก็อดหลับอดนอนดูแลเขา โดยมีคุณแม่เราเป็นเสาหลักที่คอยดูแลมันเหนื่อยก็จริง แต่มันเป็นความเหนื่อยที่คุ้มค่า เพราะเรามีความสุขมาก ๆเพื่อนเราตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเราเพิ่งเสียพ่อไปรึเปล่าเลยอยากหาส่วนมาเติมเต็มเราว่า มันอาจจะใช่บางส่วน แต่ส่วนหลัก ๆ เลยก็คือ เรารักเขาค่ะแล้วครอบครัวเราทุกคนก็รักน้องเขามากค่ะ พูดเรื่องลูกแล้วยาวทุกที เรานึกถึงตอนไปบินแต่ก่อน พี่แอร์แม่ลูกอ่อน เขาจะมีอัลบั้มลูกพกติดตัวเสมอไม่แน่ใจว่า เอาไว้ดูแก้คิดถึง หรือเอาไว้โชว์กันแน่ 555แต่ตอนนี้เข้าใจหัวอกเขาเลยค่ะ เพราะเราก็ชอบโชว์เหมือนกัน (^O^)ชีวิตเราทุกวันนี้เลยเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันเราออกไปลัลล้าข้างนอกนาน ๆ บ่อย ๆ ไม่ได้แล้วเพราะลูกน้อยคนนี้ และอีกเหตุผลนึงคือเราซื้อบ้านแล้วก็ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ได้เกือบ 2 ปีแล้วที่เราตัดสินใจซื้อบ้านตอนนั้น เพราะพ่อเรากำลังป่วยแล้วเราก็อยากหาบ้านที่มีพื้นที่โล่ง ๆ ให้พ่อได้พักฟื้น ให้หายดีแต่พ่อก็ไม่มีโอกาสได้มาอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะตอนย้ายออกมา เราก็บอกพ่อมาตลอดทาง พามาบ้านใหม่บ้านใหม่เราไกลจากแหล่งความเจริญพอตัวไปไหนมาไหน ต้องมีรถส่วนตัวถึงจะสะดวกแต่เราไม่ค่อยอยากขับรถแล้วค่ะ เพราะมันไกล เปลืองค่าน้ำมันเราเลยต้องไปรถเมล์ ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางไปกลับไม่ต่ำกว่า 4-5 ชม. ในแต่ละครั้ง ขอบอกว่า มันเหนื่อยมากกกกกกกก 。・゚゚・(≧д≦)・゚゚・。 ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าได้งานทำแถวสีลม สุขุมวิท จะไปทำงานยังไงก็อยากจะอยู่หอ แต่ก็ไม่มีใครช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องแล้วเราก็จะต้องคิดถึงน้องมาก ๆ ก็เลยสรุปกันว่า รอให้ได้ก่อนละกัน ค่อยคิด (^ε^) หรือไม่ก็อาจจะเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ขายก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ไปเองดีกว่าพอได้เป็นแอร์แล้ว ก็รู้สึกว่า เราไม่เหมาะกับงานออฟฟิศแล้วก็อยากทำธุรกิจเพื่อตัวเองมากกว่า ไม่อยากเป็นลูกน้องใครแล้วช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่เสียคุณพ่อไปช่วงปีแรก เราทำใจไม่ค่อยได้เลยบ่อยครั้งที่นั่งร้องไห้คนเดียวเป็นวรรคเป็นเวร เหมือนพ่อเพิ่งจากไปเมื่อวานนี้เองเรียกง่าย ๆ ว่า เกือบสติแตกนั่งเองดูหนัง ละคร หรือแม้แต่ได้ยินเพื่อนคุยกับพ่อเขา เราก็ร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่จนกระทั่งเมื่อต้นปีนี้เอง ที่เราได้พบทางสว่างออกจากความทุกข์นี้ดีใจมากมายที่ในที่สุดก็ทำได้ซะทีเพื่อนพี่เราเอาหนังสือมาให้พี่เรายืมค่ะเรื่อง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อมเราแบกหนังสือหนักเกือบกิโลเล่มนี้ไปอ่านตอนไปบินหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลองพ่อจรัญ วัดอัมพวันที่เราเคารพเป็นอาจารย์เราไปปฏิบัติที่นี่ตั้งแต่เรียนมัธยม แต่หลัง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ไปปฏิบัติส่วนใหญ่จะไปกราบหลวงพ่อเนื่องในวันเกิดของคนในบ้านมากกว่าเพราะเราเอง เวลาหยุดไม่ตรงเสาร์-อาทิตย์ ตารางบินก็บินเยอะเวอร์แต่ลูกศิษย์หลวงพ่ออย่างเรา ไม่สามารถนำคำสั่งสอนหลวงพ่อมาใช้ได้เลยชีวิตหลังจากที่พ่อจากไปจึงมีแต่ความทุกข์หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นว่า เราไม่ใช่คนเดียวที่มีความทุกข์ในโลกนี้คนที่เขามีความทุกข์มากมายกว่าเรามีมากนักแล้วเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น สุดแสนจะเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งจริง ๆ เราก็เข้าใจเรื่องนี้ดี แต่ก็ทำใจรับมันไม่ได้แต่พอหลังจากได้อ่านจนจบ เราก็ปล่อยวางได้ค่ะช่วงเวลาที่ไปบิน เราก็จิตใจสงบ แล้วก็พยายามมีสติตลอดเวลาเหมือนหลวงพ่อมาโปรด เราเลยผ่านช่วงเลวร้ายนี้มาได้ปีนี้สำหรับเราถือว่า เป็นปีที่ต้นร้ายปลายดี (ขึ้นมากกกกกกกกก)ถึงจะออกจากงานแบบไม่มีงานรองรับแต่เราก็เชื่อว่า ทางที่เราจะเดินต่อไป มันจะต้องดีกว่าไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามปีหน้านี้ เราจะพยายามมีสติตลอดเวลาเราจะทำให้ชีวิตของเราก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ แต่มั่นคงเราจะพยายามเลิกนิสัยขี้วีน ขี้หงุดหงิดแล้วเริ่มทำตัวเป็นผู้ใหญ่ให้สมกับวัยสักทีเราก็ขอให้ทุกคนมีความสุข สมหวัง สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้าในปีใหม่นี้ค่ะ (*^▽^*)