Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2562
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 ธันวาคม 2562
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 17) โดย มานัส


บทที่ 17
 
แฟ้มและกระดาษที่กองสุมอยู่บนโต๊ะอาหารทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาต้องมองอย่างสนใจ
 
“นั่นทำอะไร”
 
“ศึกษาข้อมูลบริษัทต่างๆ ของคุณยายที่ไอ้ณุมันมีเอี่ยว” เทวัญไม่ได้เงยหน้าขึ้น
 
“หวังว่าไอ้เงิน สิบล้านที่ฉันให้ มันจะคุ้มนะ” ผู้เป็นป้าสะใภ้เตือน
 
“ตอนนี้ก็คุ้มล่ะ ได้ข้อมูลเพิ่มเติมตั้งเยอะ เลยพอรู้ว่าคุณยายมีอะไร ที่ไหน เท่าไหร่บ้าง และให้ไอ้ณุเข้าไปดูแลมากน้อยแค่ไหน”
 
“ฉันไม่อยากได้หรอกไอ้อำนาจบริหาร” สินีบอกกับผู้ที่ชื่อว่าเป็นลูกบุญธรรม “ได้แค่หุ้นแล้วก็ส่วนแบ่งกำไรก็พอ งานเหนื่อยๆ ก็ให้ไอ้ณุมันทำไป”
 
“ไม่มีอำนาจบริหารจัดการแล้วจะมีประโยชน์อะไร ผมน่ะอยากได้ทั้งหุ้น ทั้งกำไร และทั้งอำนาจบริหาร” เสียงหนักแน่นของเทวัญยืนยันความคิดของตน “แต่ตอนนี้ขอให้ได้โชว์ผลงานกับคุณยายก่อน ไอ้ณุก็ไอ้ณุเถอะ ผมจะไม่ให้มันสุขสบายบนกองเงินกองทองคนเดียวหรอก”
 
ความเกลียดชังที่มีให้กับคนๆ นั้นเปรียบเสมือนเพลิงที่สุมในใจมานาน
 
เด็กชายสองคนไปเรียนต่างประเทศในเดียวกันนั้นต่างเป็นเสมือนกระจกที่คนอื่นส่องเปรียบเทียบ ทว่ายิ่งส่อง เทวัญก็ยิ่งเห็นความด้อยในทุกด้านของตน
 
เขาไม่สามารถสู้ชิษณุได้เลย
 
คนๆ นั้นพร้อมไปด้วยทรัพย์สินและฐานะจากผู้เป็นบิดาที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ ทำให้ได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังของสหรัฐฯ ในขณะที่เขาเป็นเพียงลูกชายของข้าราชการระดับกลาง อาศัยสมบัติเก่าของบรรพบุรุษที่หมดไปตามกาลเวลา
 
ที่ได้ไปเรียนเมืองนอกก็ในฐานะบุตรบุญธรรมของป้าสะใภ้ อาศัยเงินจากคุณหญิงกรองแก้ว และเงินของมัน!
 
โรงเรียนของเขาเป็นโรงเรียนรัฐบาลธรรมดาที่อยู่ใกล้บ้านหลังงามของลุงและป้าสะใภ้ ซื้อมาเพราะเงินของพ่อ…มัน
 
จิตใจที่ร้อนลุ่มด้วยเพลิงไฟริษยาของเทวัญดีใจยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าบิดาและมารดาของชิษณุเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
 
คนที่เคยพร้อมไปทุกอย่างกลายเป็นไอ้เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น
 
เด็กกำพร้าที่มีป้าสะใภ้ของเขาเป็นผู้ปกครอง
 
ผู้ปกครองที่ชิงชังหลานชายแท้ๆ ของตนเอง!
 
 

ถ้าไม่จำเป็นดิลกจะไม่ย่างกรายเข้าใกล้โรงพยาบาลเป็นอันขาด ทว่าช่วงนี้ปัญหาที่รุมเร้าทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว ทำให้เขากลายเป็นชายแก่ขี้โรคที่ต้องพึ่งยาพึ่งหมอเกือบทุกสัปดาห์ ท่วงท่าเดินที่เคยกระฉับกระเฉงว่องไวบัดนี้ทอดช้าอย่างอ่อนล้า ผิดกับบุรุษวัยเดียวกันที่เดินเข้ามา
 
“กำลังจะกลับหรือครับ” สารินทักคนที่อายุมากกว่าไม่ถึงปี
 
“ใช่” เมื่อจำเป็นเสียงนั้นยังทรงอำนาจเหมือนเดิม เพราะกับคู่แข่งเขาจะแสดงความอ่อนล้าให้เห็นไม่ได้ “แล้วคุณล่ะ”
 
“ผมมาตรวจสุขภาพประจำปี จะได้รู้ว่าเรายังพอมีเรี่ยวแรงไปอีกนานแค่ไหน เพราะถ้าสุขภาพแย่ก็คงต้องหยุด ไม่ฝืนสังขารหรอกครับ แก่แล้ว ปล่อยให้คนหนุ่มเขาทำดีกว่า”
 
“จริง” ดิลกพยักหน้า รู้นัยความหมายของอีกฝ่าย “แล้วเจ้านายของคุณล่ะ สบายดีไหม”
 
“ยุ่งเหมือนเดิมครับ คุณชิษณุเป็นคนหนุ่มไฟแรง เห็นเขาแล้วทำให้ผมรู้ว่าตัวเองใกล้จะหมดไฟเต็มที” สารินรู้ตัวว่าเขาคือผู้กำชัยชนะในสงครามจิตวิทยาวันนี้ “ได้ข่าวว่ากองทุนที่สิงคโปร์กำลังจะส่งตัวแทนมาเมืองไทย”
 
“คุณรู้?” คำถามนั่นมีแววประหลาดใจ ก่อนจะกลั้วหัวเราะในลำคอ “ข่าวมันช่างออกไปได้เร็ว”
 
กองทุนที่ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทของเขากำลังส่งคนมาจี้เรื่องผลประกอบการและราคาหุ้นที่ดิ่งลง อีกทั้งสอบถามถึงแผนการเพิ่มทุนที่ได้ล้มเลิกไป
 
การบีบของผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้นั้นหนัก อีกทั้งยังมีผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ที่ได้ส่งสัญญาณไม่พอใจ ต้องการตรวจสอบ ต้องการคำตอบ
 
“บริษัทใหญ่ คนย่อมสนใจ เอ…ว่าแต่วันนี้คุณดิลกมาคนเดียวหรือครับ ลูกสาวไม่ได้มาด้วยเหรอ” ทำไมเขาจะไม่เห็นสีหน้าที่ซีดเผือก หากสารินยังคงยิ้ม “เห็นลือนักว่าสวยมากทีเดียว หนุ่มๆ คงติดกันเกรียว ผมเองยังไม่เคยเห็นสักที”
 
“แกไม่ค่อยว่าง” คำพูดนั้นออกมาแสนยากลำบาก “ไม่ค่อยอยู่บ้านนัก”
 
“หนุ่มๆ สาวๆ ก็อย่างนี้แหละครับ มีสังคมของเขา แค่ให้เขาปลอดภัยก็พอแล้ว…ใช่ไหมครับ”
 
สารินไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ไหนระหว่างเรื่องงานกับเรื่องครอบครัวที่กระทบหนัก ทำให้นักธุรกิจรุ่นใหญ่อย่างดิลกต้องกลายมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
 
“รถมาพอดี ผมขอตัวก่อน” เสียงนั้นแห้งเต็มที “ฝากความระลึกถึงไปยังคุณชิษณุด้วย ไว้ว่างๆ แล้วผมจะไปกินข้าวที่โรงแรม คงได้เจอกัน”
 
สารินมองตามร่างคนอ่อนแรงที่เดินออกไปช้าๆ คนที่เขาพบในวันนี้ช่างต่างอย่างลิบลับกับบุรุษวัยกลางคนเมื่อหลายปีที่แล้ว จนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือคนที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูง
 
นานมาแล้วที่เขานั่งอยู่อีกฟากโต๊ะเพื่อเจรจาผดุงผลประโยชน์ให้ผู้เป็นเจ้านายที่ยังเยาว์วัย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดิลกที่เฉียบคมซ้ำยังได้สินีถือหาง  
 
มาวันนี้ ชิษณุอาศัยความอดทน การรุกคืบอย่างช้าๆ และรอบคอบ จู่โจมภายใต้ความเยือกเย็นของเงามืด การรุกหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้อาณาจักรที่เคยมั่นคงของดิลกต้องสั่นคลอน  
 
บุรุษที่ต่างกันด้วยวัยวุฒิทั้งสองช่างมีหลายอย่างที่คล้ายกัน หากก็มีความแตกต่างเป็นบุคลิกเฉพาะตัว และที่เด่นชัดคือความใจเย็นหรือเลือดเย็นของผู้อ่อนวัยกว่า ที่สามารถอดทนวางแผนและรอคอยโอกาสเหมาะเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด    
 
 

ความน่าเบื่อของแต่ละวันอันแสนเงียบเหงานั้นมากล้น จนมณิกานต์อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา
 
สีสันและความเย้ายวนของสังคมกรุงเทพฯ แล้วยัง…งาน ธุรกิจ และหน้าที่  อาจทำให้ชิษณุยุ่ง
 
แล้วยัง…ยัยพริกที่คงกำลังรั้งเขามิให้ไปไหน
 
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความคิดหลายอย่าง
 
ชีวิตในชนบทถึงสงบ แต่ก็น่าเบื่อสำหรับคนที่เคยชินกับการท่องเที่ยวในสังคมและโลกกว้าง
 
หรือว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอต้อง…กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง
 
แผลใจที่เขตต์กรีดเป็นรอยลึกนั้นหายจนแห้งสนิท ความเจ็บปวดเพราะศลิษาทรยศก็จางไป  ไม่ต่างจากความผิดหวังที่ก่อโดยผู้เป็นบิดานั้นก็เริ่มหาย บาดแผลทั้งสามเหลือเพียงรอยสะเก็ดจางๆ เท่านั้นเอง
 
มณิกานต์ถอนหายใจ เปิดโทรทัศน์ที่กำลังเสนอข่าวและราคาหุ้น สายตาจับอยู่ที่ราคาหุ้นที่วิ่งอยู่ด้านล่างจอ ไม่สามารถสะกดความรู้สึกเป็นห่วงได้เมื่อเห็นมูลค่าของหุ้นในบริษัทของผู้เป็นบิดา ที่เธอเองก็มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ด้วย
 
…ทำไมราคาถึงลงมาเยอะขนาดนี้…
 
คำนวณคร่าวๆ หญิงสาวก็รู้ทันทีว่าราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็นอยู่มาก ความรู้สึกเป็นห่วงผู้เป็นพ่อนั้นมากล้นจับใจ มณิกานต์มองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ แม้จะปิดไว้ตลอดเวลา แต่เธอก็พกไว้ใกล้ตัวเสมอสำหรับคราวจำเป็น
 
ตัดสินใจและคิดเพราะหลากหลายความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนมือเรียวจะคว้าโทรศัพท์ ตัดสินใจกดหาหมายเลขที่คุ้นเคย
 
“มนต์! ลูกอยู่ไหน” เสียงของมารดาบ่งบอกถึงความดีใจและโล่งใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
 
เกือบหกเดือนที่บุตรสาวหายตัวไปช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินสำหรับมณีรัตน์
 
“มนต์สบายดี นี่มนต์มาอยู่กับเพื่อนค่ะ” ใครจะรู้บ้างว่าเธอดีใจแค่ไหนเมื่อได้ยินเสียงของมารดา  
 
“ทุกคนเป็นห่วงมนต์มากนะจ๊ะ แม่น่ะได้แต่คิดไปต่างๆ นาๆ ไม่รู้ว่าลูกเป็นอย่างไร ดีที่ตอนนั้นแป้งบอกว่าลูกโทรฯ ไปบอกว่าสบายดี แต่แม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้”
 
“มนต์ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณแม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวสะอื้นด้วยความรู้สึก “ขอเวลามนต์หน่อย อีกสักพักมนต์จะกลับบ้าน” 
 
“ยังไม่สบายใจหรือลูก ถ้าไม่อยากไปอยู่กับพ่อ ก็ขึ้นมาอยู่เชียงรายกับแม่ไหม” คุณมณีรัตน์ถามบุตรสาว
 
“อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ…” คำบอกนั้นเกือบจะทันที หากเสียงพลันทอดเบา “มนต์ยังไม่อยากไปตอนนี้”
 
“ทำไมล่ะลูก”
 
ทว่ามีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีว่าเพราะ…อะไร
 
ถ้าไปตอนนี้แล้วจะได้เจอ เขา อีกเมื่อไร
 
ถ้าไปในตอนนี้แล้ว และได้เจอเขาอีกครั้ง เธอควรทำอย่างไร
 
ถ้าได้เจอเขาในแวดวงสังคมกรุงเทพฯ แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร
 
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปยังเรื่องที่เป็นกังวล
 
“แม่ไม่ได้คุยกับเขานัก อย่างมากก็แค่ถามเรื่องข่าวของมนต์” มณีรัตน์ถอนหายใจเมื่อนึกถึงอดีตสามี
 
สายใยของเธอกับดิลกขาดสะบั้นไปตั้งแต่เธอกับลูกสาวได้เห็นภาพของเขากับผู้หญิงอีกคนในครั้งโน้น ตอนที่มณิกานต์ยังไม่สิบขวบ
 
แผลที่เขาสร้างไว้ให้เธอมันปวดร้าว ทว่าแผลที่เขาสร้างกรีดลงบนหัวใจลูกสาวมันร้าวราญ มณิกานต์เห็นภาพนั้นด้วยกัน แม้จะไม่ได้ชัดเต็มตาเช่นผู้เป็นแม่ แต่เด็กหญิงก็รู้ว่า…พ่อมิได้ซื่อสัตย์
 
หลังแยกทาง มณีรัตน์ก็ได้แต่งงานใหม่กับท่านทูตที่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับตำแหน่งประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี และมหานครนิวยอร์ค แต่ถึงอย่างไร ทั้งดิลกและเธอเองก็ยังคงรับผิดชอบในการดูแลเลี้ยงดูมณิกานต์ร่วมกัน
 
หลายเดือนที่แล้วตอนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น มณีรัตน์ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อประวัติศาสตร์ ซ้ำรอยอีกครั้ง น้ำตาสำหรับอดีตสามีนั้นไม่มีมานานแล้ว จะมีก็แค่น้ำตาของคนเป็นแม่ด้วยหัวใจที่รักและห่วงความรู้สึกบุตรสาวเหลือเกิน
 
“ทำไมหุ้นของคุณพ่อมันตกลงไปเยอะขนาดนั้นคะ”
 
“ช่วงนี้คงแย่ เห็นว่าแพ้ประมูลโครงการใหญ่ๆ แล้วยังโดนสอบเรื่องเงินใต้โต๊ะด้วย”
 
“เกิดเรื่องมากมายนะคะ” จิตใจของหญิงสาวพะว้าพะวังคิดถึงผู้เป็นบิดา 
 
หลายเรื่อง…แต่ละเรื่องหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
 
น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้ตอนคุยกับมารดานั้นไหลอย่างช้าๆ เมื่อเธอวางสายแล้ว มณิกานต์ไม่แน่ใจว่าเดินขึ้นมาข้างบนเมื่อไร เธอทิ้งตัวนั่งริมขอบเตียงอย่างอ่อนแรง
 
เสียงเพลงบรรเลงจากหีบเพลงรูปไข่นั้นดังซ้ำไปมา กลบเสียงสะอื้นของเธอ
 
ความรู้สึกคิดถึง ‘บ้าน’ นั้นเพิ่มพูนผสมผสานกับความรู้สึกเหงาจับใจ
 
…หรือว่าถึงเวลาที่เธอควรต้องกลับ
 
มือใหญ่ที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ทำให้มณิกานต์แหงนหน้ามอง
 
“ณุ…” เสียงนั้นแฝงความประหาดใจระคนความรู้สึกลึกๆ บางอย่าง
 
เธอเห็นเขานั่งลงข้างๆ แววตาที่มองมานั้นอ่อนโยน
 
“ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้” ชิษณุใช้ผ้านั้นซับน้ำตาบนแก้มนวลอย่างแผ่วเบา มองดวงหน้างามที่แจ่มชัดเพราะผมยาวที่ถูกรวบไปข้างหลัง “มีอะไร? บอกผมได้ไหม เผื่อบางทีอาจทำให้คุณสบายใจขึ้น”
 
หากหญิงสาวส่ายศีรษะเป็นการตอบ เธอรู้สึกว่ามือของเขาที่กุมมือเธอไว้นั้นสร้างความอุ่นใจอย่างประหลาด
 
“ไม่มีหรือไม่อยากบอก” ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย และเมื่อไม่มีคำตอบเขาจึงโอบร่างนั้นเข้ามาชิดแนบอก “หวังว่าคนที่ทำให้คุณร้องไห้จะไม่ใช่ผมนะ”
 
เสียงทุ้มละมุนละไมทำให้มณิกานต์หลับตาลง ศีรษะเอนอิงกับบ่าเขา เป็นเวลานานกว่าหญิงสาวสามารถรวบรวมคำพูดได้ หากเธอเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามเขา
 
“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงแตรรถ”
 
ก็ปรกติถ้ามา เจ้าถิ่นอย่างเขาก็มักบีบแตรดังลั่น
 
“ผมให้คนรถจอดอยู่ด้านนอก เห็นว่าประตูรั้วไม่ได้ลงกลอน ก็เลยเข้ามา”
 
“สงสัยจะลืม” ช่วงนี้เหมือนว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย
 
“ทีหลังอย่าลืมนะครับ ผมเป็นห่วง”
 
“ค่ะ” เธอรู้สึกยังไม่อยากลืมตาเลย “งานที่กรุงเทพฯ เสร็จแล้วเหรอ”
 
“ยังครับ” เขาลูบเส้นผมนุ่มนั่น “งานของผมมันก็มีตลอด แต่พอถึงเวลาก็ต้องพัก และผมก็คิดถึงคุณมากด้วย กลัวว่ากลับมาแล้วจะไม่ได้พบคุณ กลัวว่าคุณจะหนีผมไป”
 
“ฉัน…” ความรู้สึกหลายอย่างจุกแน่นในอกจนหญิงสาวหายใจไม่คล่อง
 
“ผมมีขนมมาฝากเยอะแยะเลย แบบที่คุณชอบด้วย แล้วยังมีไวน์แดงติดมาด้วยขวดนึง คราวนี้ผมเดินซื้อเอง ไม่ได้ให้คนอื่นทำหน้าที่นี้แทน และต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้…ดีมั๊ย”
 
หญิงสาวขยับตัวนั่งตรงหันมองเขา “ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ คุณดีกับฉันมาตลอด ถ้าจะไป ฉันก็ต้องบอกคุณแน่ๆ อย่าห่วงเลย”
 
“ต้องห่วงซิ ว่าแต่…ไม่ไปไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงของชิษณุทอดอ่อน
 
“เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปค่ะ คุณมีหน้าที่ ฉันก็มีหน้าที่เหมือนกัน และเมื่อฉันไปคุณก็จะลืมฉัน เพราะฉันคงไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงหลายคนที่คุณได้เคยพบเจอ”
 
“ต่างซิ เพราะคุณไม่เหมือนคนอื่น ผมมีความสุขมากเวลาที่อยู่กับคุณ”
 
“เช่นกันค่ะ” รอยยิ้มที่ประสานเหมือนดังประตูเปิดสู่ความรู้สึกของหัวใจ เธอไม่ขัดขืนเมื่อริมฝีปากของเขาประทับลงมาอย่างแผ่วเบา
 
มณิกานต์กอดเขาแน่นขึ้น ความรู้สึกเหงาจับใจที่เคยมีนั้นมลายหายไปจนสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้เธอเองไม่แน่ใจนักว่าจะตัดใจจากเขาไปได้หรือ
 
“คุณมนต์!”
 
เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างล่างทำให้หญิงสาวรีบผลักตัวออกห่าง แต่ก็ยังไม่พ้นอ้อมแขนของชิษณุอยู่ดี
 
“พี่หมอมาค่ะ” เสียงนั้นสั่น เธอก้มหน้าไม่กล้ามองเขา
 
หากชิษณุลุกขึ้นช้าๆ ใบหน้าเรียบเฉย…นิ่ง…เยือกเย็น
 
เขาเอื้อมไปกุมมือเล็กนั่นแล้วพาเดินออกมาข้างนอก หากยังไม่ทันก้าวพ้นประตูก็เจอกับชายหนุ่มอีกคนที่ขึ้นบันไดมาอย่างเร็ว
 
“คุณณุ…คุณมนต์” ชนินทร์มองชายหญิงทั้งคู่แล้วมองเลยไปยังห้องด้านใน
 
“มีอะไรครับพี่นินทร์ หน้าตื่นเชียว” ดวงหน้าของเขามีรอยยิ้มปรากฏ ชิษณุยังคงกุมมือเล็กนั้นไว้เหมือนเดิม
 
“ไม่ครับ…ไม่มี”
 
“พี่หมอลืมอะไรเหรอครับ”
 
“เอ่อ…ครับ” เขามองเข้าไปในห้อง ที่ยังดูเป็นปรกติเรียบร้อยแล้วจึงลอบถอนหายใจ “มาเอาของครับ ผมลืมไว้ คุณณุมาถึงนานหรือยังครับ”
 
“เพิ่งมาถึงตะกี้เอง” รอยยิ้มนั้นเป็นของคนที่รู้เท่าทัน “ว่าแต่พี่นินทร์กินข้าวกลางวันหรือยัง ผมกะจะชวนมนต์ไปหาอะไรกินในตัวเมือง พี่นินทร์ไปด้วยกันไหม”
 
“นานๆ จะได้กินข้าวกลางวันกับคุณหมอคิวทองสักที” มณิกานต์ยิ้ม ดวงหน้านวลนั้นดูดีขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา
 
“ครับ…ดี…ได้ครับ” ชนินทร์พยักหน้า แล้วหันเดินนำลงบันได หากเสียงจากด้านหลังก็ฉุดเขาให้หยุดกึก
 
“พี่นินทร์เอาของที่ลืมไว้แล้วเหรอ”
 
“เรียบร้อยแล้วครับคุณณุ” น้ำเสียงนิ่งพยายามปรับให้เป็นปรกติ ชนินทร์เดินนำลงมา แต่ก็ได้ยินเสียงชิษณุที่คุยกับหญิงสาว
 
“พอกินข้าวเสร็จเราไปดูของในตลาดดีมั๊ย แล้วตอนเย็นคุณจะได้กินข้าวเย็นกับผมที่บ้านโน้นเลย”
 
“ไปเดินตลาดตอนกลางวัน ร้อนจะตาย”
 
“ไปตลาดห้องแอร์ก็ได้” น้ำเสียงเอาใจนัก
 
และเสียงแจ้วๆ ของหญิงสาวนั้นก็บอกถึงความรู้สึกดีๆ ที่มีให้อีกฝ่ายเช่นกัน จนชนินทร์ต้องลอบถอนหายใจ ด้วยหวังว่าคนที่เดินหมากได้อย่างชำนาญเช่นชิษณุจะหาทางออกที่ดีไว้แล้ว
 
อย่าให้คนดีๆ ต้องเสียใจซ้ำซากอีกก็พอ
 
 

มือที่จับกดโทรศัพท์มือถืออ่านข่าวลดลงนิด ชายหนุ่มผิวคล้ำมองตามร่างของน้องสาวที่เพิ่งลงบันได เตรียมเดินสวนออกไป ทั้งสองมือหอบกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าเสื้อผ้าพะรุงพะรัง
 
“จะไปไหนแต่เช้า” อธิปสงสัย หากก็ปรี่เข้าไปช่วยถือกระเป๋าใบใหญ่  “วันนี้วันเสาร์นะโว๊ย หรือว่าแกจะย้ายบ้านหนีตามพี่นินทร์”
 
“โอ้ย…ไม่ไปหรอกไกลจะตาย และขืนไปหาถึงที่โน่นนะ มีหวังเพื่อนสุดรักของพี่ต้องกักตัวอรไว้คุยเรื่องงานแน่ๆ ตัวเลขบัญชียังไม่ลงตัวเล้ย ขี้เกียจโดนนายเอ็ด” หญิงสาววางสัมภาระลงแล้วหันไปสั่งสาวใช้ให้เอาของไปเก็บไว้ที่รถ “คืนนี้อรค้างที่คอนโดนะ พี่อธิปบอกแม่ด้วยล่ะ อรกะว่าวันนี้จะลุยตัวเลขให้เสร็จรอบหนึ่งกับทีมของคุณสารินก่อน คงดึกน่ะ ก็เลยจะค้างในเมืองเลย”
 
ถึงแม้ตำแหน่งสายบัญชีของเธอในสายงายโรงงานผลิตน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องนั้นจะไม่สูงเมื่อพิจารณาตามโครงสร้างของกลุ่มบริษัทที่ชิษณุมีอำนาจสั่งการ แต่ในฐานะคนที่ชิษณุไว้ใจ ความเกรงใจของทีมและบุคลากรอื่นๆ ในกลุ่มบริษัทของชิษณุที่มีต่ออรทัยจึงมากอยู่
 
“ทำไมมันเร่งอย่างนั้นล่ะวะ ช่วงนี้เห็นยุ่งกันทุกคน ทั้งแก ทั้งคุณสาริน แถมคุณคฑาเจ้านายฉันก็ไม่เว้น”
 
“บอกได้แค่ว่าเปิดศึก”
 
“ไอ้บ้าณุมันก็เปิดศึกทั้งกะปีแหละ ไม่ศึกกะงานก็ศึกกะผู้หญิงของมัน” อธิปหัวเราะชอบใจ “เฮ้ย ดีแล้วที่ฉันแค่เป็นพวกดูงาน คุมงานก่อสร้าง ไม่ใช้พวกหัวกะทิอย่างแก ไม่งั้นคงปวดหัวตาย”
 
นิสัยของสองพี่น้องคล้ายกันหลายอย่าง แต่ในด้านการแข่งขันและการทำงานนั้น อรทัยมีความแข็งและเอาจริงเอาจังมากกว่าผู้เป็นพี่ชายที่มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ
 
‘โลกสวยบนปุยนุ่น ด้วยมือเรา’ ผู้เป็นน้องมักค่อน
 
“แล้วแกมีเวลาจัดการเรื่องงานแต่งเหรอ ทำงานงกๆๆ อย่างนี้ เดี๋ยวเหอะพี่นินทร์เปลี่ยนใจแล้วจะมาหาว่าฉันไม่เตือน”
 
“งานแต่งน่ะอีกตั้งหลายเดือน และฝีมือระดับนี้แล้วเอาพี่นินทร์อยู่หรอกน่า ห่วงแต่ตัวเองเหอะ จนป่านนี้ยังไม่ลงคานสักที” คนเป็นน้องหัวเราะลั่น
 
“เออ…เรื่องของฉัน เห็นเจ้านายเป็นโสดเลยอยากเลียนแบบ มีไรป่ะ” อธิปหัวเราะเสียงดัง “พูดถึงไอ้ณุ ทำไมหมู่นี้มันไม่ค่อยอยู่กรุงเทพฯ ที่โรงงานน้ำตาลมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
 
“ไม่นะ” ผู้เป็นน้องส่ายหน้า “โรงงานน้ำตาลเป็นอะไรที่น่าห่วงน้อยที่สุด  พี่ณุจัดการทุกอย่างไปตั้งนานเนแล้ว แต่ช่วงนี้ใกล้เปิดหีบมัง พี่ณุเลยต้องไปดูแล”
 
“แต่ทุกปีมันก็ไม่เคยต้องไปคุมแจขนาดนี้” โรงงานน้ำตาลและโรงสีเป็นฐานอิทธิพลของชิษณุที่ถูกสร้างให้มั่นคงจนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมานานแล้ว
 
คนอย่างชิษณุวางแผนทุกอย่าง แม้แต่การวางคน มอบหมายงานให้คนเก่งที่ไว้ใจได้จัดการและดูแลอย่างเต็มที่ โดยเขาไม่เข้าไปยุ่งหรือวุ่นวาย
 
แม้แต่ธุรกิจก่อสร้าง ชิษณุก็วางตัวคฑาที่มากประสบการณ์ให้บริหาร และเขา…อธิปเป็นมือช่วยหลัก
 
โรงงานผลิตน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องและธุรกิจอื่นๆ ก็มีสารินคุม และผู้บริหารอื่นเสริม
 
“คงมีโครงการอะไรใหม่ๆ มั้ง หรือไม่ก็หลบไปพักก็เป็นได้” อรทัยยักไหล่ รู้ว่า…นายมีเหตุผลเสมอ
 
“คนอย่างมันพักเป็นด้วยเหรอ เราสองคนรู้จักมันมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยเห็นมันหยุดซะที”
 
“คนที่หยุดนิ่งอยู่กับที่นั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว” อรทัยยิ้มกว้างเพราะประโยคนี้ผู้เป็นนายเคยสอน ทำให้พี่ชายอดไม่ได้ที่จะค้อน “แต่อรว่าอย่าเดาเลย คนอย่างพี่ณุทำอะไรมักจะมีเหตุผลเสมอ อรว่าไม่นานเราก็คงรู้แหละ”
 
“แกนี่เกิดมาเพื่อเป็นน้องไอ้ณุจริงจริ๊ง” เขาค่อนด้วยความหมั่นไส้ หากไม่จริงจัง “บ้างานพอๆ กัน แถมนิสัยชอบเอาชนะเหมือนกันอีก แต่อย่างน้อยแกก็มีหัวจิตหัวใจมากกว่า แถมความรักก็ทำให้แกอ่อนลงเยอะ”
 
“ขนาดอรบ้างานน้อยลงแล้วนะเทียบกับเมื่อก่อน แต่พี่นินทร์ยังไม่วายบ่น”
 
“ก็มีเวลาให้เขาบ้าง ไปหาเขาบ้าง ไม่ใช่ให้เขามาหาฝ่ายเดียว”
 
“พยายามอยู่ แต่ขอเคลียร์งานก่อน ถ้าผ่านวันดีเดย์แล้ว ทุกอย่างก็จะดีเอง”
 
อธิปไม่ได้ใส่ใจถึงรายละเอียดของวัน ‘ดีเดย์’ เขาไม่อยู่ในชั้นวงในเรื่องแผนการอยู่แล้ว จะรู้ก็แค่เรื่องผลกระทบกับบริษัทก่อสร้างที่เขามีส่วนดูแล
 
ทว่าความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนสนิทของชิษณุก็ทำให้เขาพอรู้บางเรื่องจากปากของเพื่อน แต่จะให้อรทัยเปิดปากบอกนั้นเป็นการยาก
 
คนที่ใกล้ชิด ได้รับความไว้วางใจอย่างที่สุดจากคนอย่างชิษณุได้ต้องไม่ธรรมดา และอธิปยอมรับว่าน้องสาวเขานั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
 
 
มาดของชายหนุ่มตอนลุกขึ้นหลังคุยโทรศัพท์เสร็จนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ สีหน้าแห่งความยินดีแสดงออกมาชัดจากใบหน้าและท่าทาง
 
“เรียบร้อยครับคุณป้า ผู้ถือหุ้นทางโน้นตกลงจะสนับสนุนให้ผมเข้าไปเป็นผู้บริหารในโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องนั่น”
 
“ดีเลย แกจะได้เข้าไปคานอำนาจไอ้ณุกับไอ้ฝรั่งเพื่อนของมัน” สินีหัวเราะดีใจ
 
“ทางโน้นกำลังบีบไอ้ณุอยู่ เพราะไอ้ณุมันอยากซื้อหุ้นที่เหลือของเขา  ผมตกลงกับทางโน้นไปแล้วว่าอย่าเพิ่งขาย รอให้ผมขึ้นไปคุยกับคุณยายก่อน เพราะผมจะเสนอคุณยายให้ตั้งผมดูแลเรื่องนี้ด้วย เข้าไปเจรจาแทนไอ้ณุ แบบนี้เราจะได้ปั่นราคาขึ้นได้ง่าย ทางโน้นตกลงให้เปอร์เซ็นต์เรา และพอสำเร็จเขาจะให้ผมนั่นในบอร์ดอีกด้วย”
 
“ถ้าเป็นไปอย่างที่แกบอกได้ก็ดี กลัวแต่ว่าไอ้ณุจะไม่ยอม” สินีหวาดในข้อนี้ที่สุด
 
ชิษณุไม่ใช่เด็กชายแสนซื่อ ที่อยู่ในความควบคุมของเธออีกต่อไปแล้ว
 
“ถ้าคุณยายให้ผมเข้าไป…ผมก็จะบีบมัน ตัดคนของมันออก” เทวัญรินเหล้าชั้นดีใส่แก้วแล้วจิบเพียงนิด “จากนั้นก็ลดอำนาจมัน”
 
“แต่เสียงมันดังอยู่ ยิ่งรวมกับหุ้นที่ไอ้ฝรั่งถือก็มากกว่าครึ่ง  จะลดอำนาจมันไม่ใช่เรื่องง่าย” สินีเตือนหลานชายของสามี
 
“ไอ้ฝรั่งน่ะเอาเงินตบหัวมัน ให้มันได้กำไรในการขายหุ้นให้เรา ขี้คร้านมันจะรีบตอบรับ สันดานฝรั่งมันเห็นแก่ผลประโยชน์อยู่แล้ว”
 
“แต่ไอ้เดวิดมันเป็นเพื่อนรักของไอ้ณุนะ” เฉลิมที่นิ่งเงียบมาครู่ใหญ่ ค้านด้วยความจริง
 
เพราะเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ชิษณุมีเดวิดเป็นหนึ่งในมือที่ช่วยเดินหน้าของความเป็นธรรมเรื่องทรัพย์สินกองมรดก
 
เรื่องที่ถูกดำเนินตามกฎหมายย่อมหมายถึงชัยชนะของเจ้าทุกข์ และสร้างชิษณุขึ้นมาใหม่ด้วยความยิ่งใหญ่ที่น่ากลัว
 
“ไอ้พวกนี้เป็นนักลงทุนมืออาชีพ ยิ่งเรื่องเงินทองมันไม่เข้าใครออกใคร เพื่อนก็หักหลังกันได้เพื่อเงินและกำไร” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่เห็นความสำคัญนัก
 
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนพลอยพยักหน้าเห็นด้วย หากเฉลิมไม่วายค้านขึ้นอีกครั้ง
 
“แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อหุ้นคืน เงินไม่ใช่น้อยๆ”
 
“ตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณยายครับ”
 
“ก็ถ้าคุณแม่ตกลง มันจะยากอะไร้” สินีเห็นด้วยกับความคิดของลูกบุญธรรม
 
“ตกลงอย่างเดียวไม่พอครับ” เขามองผู้เป็นป้าสะใภ้ “ต้องให้คุณยายมอบอำนาจหรือมอบหุ้นในบริษัทให้เรา ได้ตรงนั้นมาบวกกับเงินจากกองมรดกแล้ว จะซื้ออะไรมันก็ง่าย”
 
รอยยิ้มนั้นเป็นของคนที่กำชัยชนะไว้อย่างสิ้นเชิง
 
“แล้วคุณแม่จะยอมเหรอ อย่าว่าแต่เรื่องหุ้นเลย แค่เรื่องสนับสนุนให้แกเข้าไปบริหารโรงงานนั่นก็ดูยาก เพราะฉันเคยเกริ่นไปแล้วเรื่องขอเข้าไปดูกิจการโรงแรมก็ยังไม่ได้คำตอบเลย”
 
“เอาไว้ให้ขึ้นไปพบคุณยายก่อนซิครับ ขอทุกอย่างรวมทั้งบีบเอาคำตอบกันไปเลย คุณป้าเป็นลูกสาวของท่าน อย่างน้อยท่านก็ต้องมองเห็นข้อนี้และสิทธิ์ของคุณป้าบ้าง อีกอย่างผมเองก็มีความสามารถพอที่จะแบ่งเบางานของท่านด้วย”
 
หากสินีถอนหายใจ “ฉันไม่มั่นใจเอาเสียเลย ไอ้ณุ…”
 
“คุณป้าจะปล่อยให้มันได้ทุกอย่างไปเหรอ จัดการให้เสร็จเสียตอนนี้ ในเวลาที่เรามีผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายถือหางเราอยู่ ที่เหลือก็แค่กล่อมคุณยาย ไม่มีอะไรที่ยากเกิน” น้ำเสียงนั้นมาดมั่น “ทั้งโรงงานและโรงแรมจะไปไหนพ้น ทุกอย่างต้องเป็นของเรา”
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====


 


Create Date : 28 ธันวาคม 2562
Last Update : 28 ธันวาคม 2562 0:13:26 น. 0 comments
Counter : 670 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.