Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2563
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
 
25 กุมภาพันธ์ 2563
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 24) โดย มานัส

บทที่ 24

ไฟในเรือนพักหลังงามถูกเปิดไว้ไม่กี่ดวงเพียงพอให้ส่องเป็นแสงอ่อนร่ำไรยามมองเข้ามาจากข้างนอก และนำชายหนุ่มร่างสูงที่เดินมาจากบ้านใหญ่เพียงลำพัง ความเหนื่อยล้าปรากฏจากใบหน้านิ่ง คิ้วขมวดตึง และการถอนหายใจ
 
ความตึงเครียดผ่อน…คลาย เมื่อเขาก้าวเข้ามาในเรือนพัก
 
แสงจากโคมไฟดวงเล็กของบริเวณห้องโถงรับแขก ทำให้เขาเห็นร่างที่นอนหลับบนโซฟาตัวใหญ่ การเดินเข้าไปใกล้ในเบา…ระวัง ไม่ต่างจากการคุกเข่าลงข้างๆ โซฟานั่น
 
ดวงตาคู่สวยปิดสนิท ใบหน้าของคนที่นอนหลับดูผ่องสดใสแม้ในแสงไฟสลัว จนชายหนุ่มต้องยื่นมือสัมผัสเบาๆ ที่แก้มนวล พร้อมกับความคิด
 
งามเนตรดั่งเนตรมฤคมาศ     งามขนงวงวาดดังคันศิลป์[1]
 
ไม่แน่ใจว่าเขาคุกเข่าอยู่ในท่านี้นานเท่าไร จนกระทั่งคนที่นอนหลับขยับตัว  ชิษณุจึงจำใจเขย่าเบาๆ เรียกอีกฝ่าย
 
“ทำไมไม่เข้าไปนอน” เขาถามเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง
 
“ก็รอคุณ” คนตอบยังงัวเงีย
 
หากชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู รอยยิ้มของเขาอ่อนโยน “ชื่นใจจัง แต่ขึ้นไปนอนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”
 
“อือ…” เธอส่งมือไปวางบนฝ่ามือที่แข็งแรงที่ยื่นมา ก่อนรายงาน “ป้าโฉมรอไม่ไหวเลยเข้านอนไปก่อนแล้ว สงสารแกจัง…ร้องไห้ไม่หยุด โทษตัวเองตลอดว่าดูแลคุณไม่ได้ ปกป้องคุณไม่ได้”
 
“ป้าโฉมรักผมมาก…มากเกินไป” เขาบีบมือเล็กเบาๆ พาเดินไปยังบันไดทางขึ้น “ผมผ่านอะไรมาเยอะ สูญเสียมาก็มากจนเกือบเสียชีวิต ตอนนี้ผมได้อะไรหลายอย่างมา…แต่ก็ไม่ได้ความสุข เพราะยังมีความกลัว…มีความหวดระแวง”
 
คำบอกด้วยเสียงทุ้มเปี่ยมด้วยความรู้สึก ฉุดมณิกานต์ให้หันกลับมองเขาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ
 
ผู้ชายคนนี้รู้จักคำว่า ‘สุข’ บ้างไหม
 
หน้ากากสังคมที่สวมทำให้ภาพที่ออกมาราวว่าเขามีพร้อมทุกอย่าง มีความสุขในทุกด้าน หากจะมีกี่คนที่รู้
 
คนที่ต้องจมอยู่กับความหวาดระแวงเพราะคนในครอบครัว จะมีความสุขสักแค่ไหนเชียว
 
“ขึ้นไปพักเถอะ”
 
“แล้วคุณล่ะ…ณุ” เสียงที่เอ่ยชื่อเขานั้นอ่อนโยนด้วยความคุ้นเคยสนิทสนม
 
“ผมเหนื่อย…แต่ยังไม่อยากพัก”
 
กี่สิบปีแล้วที่เขาไม่ได้พัก หากในเวลานี้ ชิษณุได้เพียงกล่าวราตรีสวัสดิ์ มองตามร่างของหญิงสาวที่เดินขึ้นไปจนลับตา แล้วจึงหันเดินไปทางส่วนที่เป็นบาร์เล็กๆ
 
ปรกติเขาไม่แตะต้องสิ่งมึนเมา เว้นเสียแต่จำเป็นในตอนออกงานสังคมหรือสังสรรค์กับเพื่อนที่มีไม่กี่คน และน้อยครั้งนักที่เขาจะมาดื่มคนเดียว เพราะเวลาของเขา ลมหายใจของเขาคืองานและความคิดเพื่อวางแผนจัดการกับศัตรูเท่านั้น
 
การ ‘บีบ’ นั้นยังไม่จบ แผลหลักเขามี แต่แผนสำรองเขาก็ต้องมี ตอนนี้ก็แค่รอโอกาสและจังหวะ
 
ทว่าแค่นี้สินีก็แทบขยับตัวไม่ได้ ความเป็นอยู่ของผู้เป็นป้าจะขึ้นอยู่กับเขา เหมือนเช่นครั้งหนึ่งที่เขาเคยขึ้นอยู่กับผู้เป็นป้า…โหดร้ายและทารุณ
 
ชิษณุเลือกไวน์จากตู้แล้วเดินลงไปยังห้องนั่งเล่นที่เล่นระดับลงไปอีกชั้น มีระเบียงกว้างมองเห็นทิวทัศน์ที่ทอดลงจากเนินสูง เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวที่หันออกไปยังความมืดด้านนอก 
 
ลมหนาวของภาคเหนือที่โชยอ่อนละมุนให้ความเย็นกาย ช่างต่างจากความร้อนของหัวใจ และความกระด้างในความคิด  แค้นหนึ่งได้รับการชดใช้ หากยังเหลืออีกความแค้นที่รอการชำระ อีกไม่นานหรอก…ทุกอย่างก็จะสิ้นสุดเสียที
 
‘ความอาฆาตแค้นมันเป็นดาบสองคมนะลูก ใช่ว่าจะทิ่มแทงแต่คนอื่นเท่านั้น หากยังย้อนกลับมาเชือดเฉือนตัวเราเองได้อีกด้วย’ ผู้เป็นยายบอกกับเขาตอนที่อยู่กันเพียงสองคน
 
ชิษณุจิบไวน์สีแดงเข้มในแก้ว คนที่ชำนาญการถือดาบและรู้จังหวะจู่โจมเช่นเขามีหรือที่จะปล่อยให้ตัวเองเลือดอาบ
 
ดวงตาคมเยือกเย็นปิดลงอย่างอ่อนล้าพร้อมความคิด…เมื่อไรหนอภาระหนักที่เขามอบหมายให้ตนเองทำจะจบสิ้นเสียที สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจ ใช้ทุกลมหายใจเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินและอำนาจ เพื่อชัยชนะ
 
‘จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายอีก’
 
เพื่อให้ถึงวันที่เขามีชัยชนะเหนือศัตรู
 
เพื่อให้มีวันนี้
 
ทว่าทำไมเขาไม่รู้สึกมีความสุขกับชัยชนะนี้เลย
 
ลมเย็นโชยเข้ามาจากประตูบานเลื่อนที่เปิดอยู่ตรงหน้า พัดพาเอาความหนาวกายที่เย็นเยือกจนบาดเข้าไปในหัวใจ หากชายหนุ่มยังคงนั่งพิงพนักเก้าอี้นุ่มอยู่ในอิริยาบถเดิม
 
ความหนาวเหน็บกว่านี้เขาเคยผ่านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง…อย่างโดดเดี่ยว เพียงแต่ว่าวินาทีนี้ ชิษณุสัมผัสผ้าห่มนุ่มที่กำลังถูกวางทาบบนตัวเขาอย่างอ่อนโยน
 
“ป้าไปนอนเถอะ ไม่ต้องห่วงผมหรอก” เขาเหนื่อยเกินกว่าจะลืมตาขึ้น
 
“ใช่ว่าป้าโฉมจะเป็นคนเดียวที่ห่วงคุณซะเมื่อไหร่” เสียงใสกังวานทำให้อีกฝ่ายลืมตาพรึบ “ไหนว่าจะขึ้นไปนอนไง แล้วทำไมแอบมาจิบไวน์อยู่คนเดียว แหม…ใจร้ายจริงนะเนี่ย ไม่คิดจะชวนกันเลยหรือไง” มณิกานต์ก้มลงมองเขา “นั่งด้วยคนนะ”
 
ชิษณุพยักหน้าแล้วถาม “ดื่มไหม”
 
“แหม…คิดว่าจะไม่ชวนกันแล้ว” เธอหันไปยิ้ม เห็นว่าเขาลุกขึ้นไปหยิบแก้วไวน์ที่ตั้งเรียงในตู้โชว์อีกด้านของห้อง “Cabernet Sauvignon ของแคลิฟอร์เนียซะด้วย รสแน่น ออก fruity พอเหมาะกับการดื่มเล่นๆ รับลมเลยนะเนี่ย”
 
“คุณนี่นักดื่มตัวยงของจริง“ เสียงหัวเราะของเขา…ครั้งแรกในหลายชั่วโมง
 
“ก็พออ่านๆ มาบ้างเป็นความรู้” เธอชอบดื่มชอบลอง แต่ไม่ชอบความมึนเมา การดื่มให้สนุกคือการดื่มที่พอดี
 
ดื่มให้พอดี กินให้พอดี รักให้พอดี เกลียดอย่างพอดี
 
เพราะความไม่พอดีมันทำให้เตลิด ทำให้หลงทาง หลงผิด
 
มณิกานต์สังเกตว่าเขาเงียบไปนาน หรือว่าหลับไปแล้ว
 
ทว่ารอยยิ้มละมุนและแววตาระยิบที่ประสานอย่างอ่อนโยนเมื่อเธอหันไปมองเขา ทำให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะประหลาดๆ
 
“ขอบคุณสำหรับผ้าห่มผืนนี้” เขาวางแก้วไวน์บนโต๊ะข้างโซฟา ขยับตัวทาบผ้าห่มลงบนตัวของหญิงสาว แขนอีกโอบวางบนโซฟาข้ามอีกฟากตักของเธอ “ขอบคุณที่เป็นห่วงผม”
 
“คุณทำแต่งาน” มณิกานต์ไม่หลบสายตาที่มองเธอไม่วางวาย “หัวใจและความคิดจมอยู่กับเรื่องงาน ไม่ห่วงตัวเองเลย ทั้งๆ ที่มีอีกหลายคนที่ห่วงคุณ ทั้งป้าโฉม ทั้งพี่หมอ คุณนที…”
 
“รวมทั้งมนต์สะกดของผมด้วยหรือเปล่า”
 
แสงไฟสลัวที่ส่องมาจากทางเดินด้านหลัง ทำให้เขาเห็นว่าหญิงสาวพยักหน้ารับช้าๆ “ฉันเป็นห่วงคุณเสมอ”
 
“ผมจะพยายามไม่ทำให้คุณเป็นห่วง” มือใหญ่ที่มักกำความอาฆาตแค้นสัมผัสแก้มนวลของหญิงสาว “ผมขอโทษที่วันนี้คุณต้องเห็นและรับรู้เหตุการณ์ที่ไม่น่าดูหลายอย่าง”
 
“ทุกคน…ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหากันทั้งนั้น เพียงแต่ปัญหาของแต่ละคนมันแตกต่างกันไป ฉันเชื่อว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว”
 
ชิษณุกุมมือเล็กนั้นไว้แน่น
 
“ใช่…ผมทำดีที่สุดแล้ว” เขาไม่ละสายตาจากอีกฝ่าย “รู้มั๊ย…เวลาที่อยู่กับคุณมันเหมือนเป็นความฝันที่งดงาม มีความสุข ไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่มีภาระหน้าที่สารพัด ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งความจริง ชีวิตมันเต็มไปด้วยหน้าที่ที่ต้องทำ ถึงแม้ว่าบางอย่างผมไม่อยากจะทำเลยก็ตาม”
 
“แต่คุณก็สามารถเลือกได้นี่”
 
“บางทีเมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่ง ผมก็ไม่มีทางเลือกเลย”
 
“ถ้าต้องฝืนทำแล้วจะทำไปทำไม”
 
ประโยคสั้นด้วยคำพูดเรียบง่ายของมณิกานต์ทำให้ชายหนุ่มนิ่งไป จนกระทั่งรู้สึกถึงสัมผัสของมือนุ่มที่ลูบไรคางของเขา
 
“รู้มั๊ย…ณุคะ บางทีมันเหมือนว่าคุณใส่หน้ากากอันหนึ่งไว้ จนฉันไม่แน่ใจว่าตัวตนที่แท้จริงของคุณเป็นแบบไหน”
 
“ผมไม่เคยใส่หน้ากากนั่นเลยในเวลาที่อยู่กับคุณ” อ้อมแขนของเขาสวมกระชับร่างเล็กของหญิงสาวให้เข้ามาใกล้
 
มณิกานต์รู้สึกถึงการกระตุกของหัวใจ มันนุ่มนวลเฉดเช่นไออุ่นจากริมฝีปากของเขาที่แนบลงมา กลิ่นไวน์หอมจางๆ เบาบางและอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนจากเขาดับความเย็นของลมหนาวที่พัดเข้ามาผ่านบานประตูเลื่อน
 
ในเวลานี้ไม่มีแล้วชายหนุ่มที่สวมรอยยิ้มละไมบนใบหน้าคมหากแต่แววตาฉายความเยือกเย็นและเย็นชา
 
ณ ที่แห่งนี้ ดวงตาคู่นั้นของเขาที่ประสานกับเธอภายใต้ไฟสลัวบ่งบอกถึงความรู้สึกลึกซึ้ง สื่อถึงไออุ่นในหัวใจ
 
ไม่มีหน้ากาก ไม่มีความอาฆาตแค้น ไม่มีความหวาดกลัวระแวงระวัง
 
หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นจังหวะเดียวกันกับเธอ ราวเครื่องดนตรีที่บรรเลงบทเพลงคลาสสิกประสานกันอย่างไพเราะ
 
“ณุคะ…ฉันรักคุณ” มณิกานต์ได้ยินเสียงสารภาพ
 
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเขาตอบกลับมาว่าอย่างไร เพราะในเวลานี้เธอลืมไปแม้กระทั่งว่าเคยเห็นภาพเขาเคียงคู่อยู่กับสตรีผู้ใด ความอ่อนหวานจากเขาที่เต็มเปี่ยมด้วยหัวใจแสนเสน่หาตราตรึงนั้นเหมือนเป็นคำตอบให้เธอแล้ว
 
รินรสหวานนักเพราะรักเอย             
รสรินไหนเลยจะเทียมเท่า

รักนี้รักเช่นพี่รักแม่นงเยาว์              
โรยรื่นชื่นจนเช้าเคล้ามิคลายฯ

 
 
 
เศษเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่กระจัดกระจายเกลื่อนห้องนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์ของทั้งสามคนที่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างดี
 
“พลาด…เราแพ้…แพ้มันอย่างราบคาบ ทำไมวะ! ทำไมไอ้ณุมันได้ทุกอย่าง!” เทวัญเจ็บใจ คับแค้นใจนัก
 
“รู้ว่ามันต้องขวางไม่ให้พวกเราเข้าไปบริหาร แต่นี่…ไม่เหลือแล้ว มันเอาทุกอย่างไป” สินีสะอื้น ซับน้ำตาของความผิดหวัง “ต่อไปก็ต้องขึ้นอยู่กับมัน อำนาจ…เงิน ทุกอย่างไอ้ณุได้ไปคนเดียว”
 
ที่คาดหวังไว้ไม่ได้ หนำซ้ำต้องมาเสียสิทธิ์ในทรัพย์สินเงินทอง ใครบ้างเล่าจะไม่แค้นใจ
 
“คุณยายเข้าข้างมัน”
 
“ถ้าแกไม่ก่อเรื่องไว้คราวโน้น มีหรือไอ้ณุจะเรียกคะแนนสงสารจากคุณแม่ได้ ฉันเคยเตือนแล้วว่าอย่าทำอะไรรุนแรง ยิ่งให้นังพรมันรู้ด้วย คราวนี้เลยโอ๋หลานรักกันใหญ่”
 
“คุณป้าก็พูดได้นี่ตอนนี้ ใช่ผมมันผิด ผิดที่ไม่ใช่หลานชายหลานรักของคุณยาย”
 
“แกไม่ต้องประชดนะเทวัญ”
 
“เอาล่ะ เลิกทะเลาะกันเองได้แล้ว เบื่อที่จะฟังเต็มที” เฉลิมที่อดทนนั่งเงียบ ต้องลุกขึ้นมาสงบศึก “คิดเสียว่ายังดีที่เราก็ยังเหลือเงินปันผลจากกงสี อยู่ ยังดีที่คุณแม่ไม่ได้คล้อยตามไอ้ณุซะหมด ไว้ค่อยๆ ตะล่อมคุณแม่ให้จัดการเรื่องที่ดินและอสังหาฯ ธุรกิจอื่นมันก็ของไอ้ณุอยู่แล้วจะไปสนอะไร”
 
“แต่มันเงินและอำนาจนะคุณลุง หุ้นที่คุณยายถือในบริษัทของมันก็ไม่รู้ตั้งกี่พันล้าน ไอ้ณุได้ไปหมดกุมเงินกุมอำนาจไว้คนเดียว แค่วันนี้ก็แตะต้องมันก็ยาก” เทวัญถอนหายใจ
 
“แกก็ใช้หนอนของแกให้เป็นประโยชน์ซิวะ เข้าถึงคนของมันได้ต่อไปก็ต้องจัดการกับมันได้นั่นแหละ เรายังมีเวลา”
 
การสูญเสียสิ่งที่อยากได้…ต้องได้มันทำให้เครียด หมดพลัง เทวัญค่อยๆ พาร่างอันอ่อนล้าขึ้นไปยังห้องนอน ด้วยความคิดที่หนักศีรษะ พร้อมกับกดเรียกเบอร์โทรศัพท์ขึ้นมา
 
“ตรอมใจจนนอนไม่หลับเลยเหรอ ถึงต้องโทรฯ มาหาผม” เสียงจากอีกสายทัก  “อย่าคิดมากน่า อย่างน้อยคุณก็ใช่ว่าจะเสียหมด ของๆ เขาก็ให้เขาไปเถอะ สมบัติของคุณหญิงยังมีอีกมาก อนาคตไม่แน่ไม่นอน”
 
“จะได้เท่าไหร่เชียว” คนพูดถอนหายใจ ความรู้สึกระแวงซึมแทรกเข้ามาในความคิด “แต่ผมชักไม่แน่ใจเรื่องคุณ เพราะดูเหมือนมันจะอ่านผมออกจนหมดเปลือก ทำให้ผมสงสัยว่าคุณทำงานให้ใครกันแน่”
 
“คุณนี่ขี้ระแวงจัง เจ้านายของผมฉลาดเป็นกรด และถ้าผมหักหลังคุณเป็น double agent แล้วละก็ นายของผมคงตีพวกคุณกระจุยไปแล้วในคืนนี้น่ะ มีหรือที่เขาจะปล่อยให้พวกคุณรอคอยความหวังกับมรดกก้อนที่ยังเหลืออยู่น่ะ โดยที่เขาไม่ได้บังคับให้คุณหญิงโอนมาเป็นของเขาทั้งหมด เจ้านายของผมถือคติตีงูให้หลังหัก คุณก็ควรรู้จักเอามาใช้เหมือนกัน ที่ผมเตือนก็เพราะอยากให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมเองก็มีสิ่งที่ต้องการด้วย เก้าอี้กรรมการและเงินก้อนโตมันยั่วยวนใจผมเหมือนกัน”
 
คนที่รับฟังนิ่งไปครู่ “เมื่อผมชนะแล้ว ผมจะไม่ลืมคุณแน่ๆ”
 
”ถ้าคุณยังแค้นเขาไม่หายก็ลองเอาเลือดหัวเขาออกก็ได้นี่ เป็นวิธีที่ง่ายในการลดอุปสรรค คุณเองก็เคยทำมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
 
“คุณจะให้ผมเก็บนายคุณ?” รอยยิ้มมุมปากเหี้ยมไม่แพ้สีหน้า
 
“คุณแปลความหมายไปเอง นายของผมถึงจะมีบอดี้การ์ดตามติด แต่มักจะลดความรอบคอบและความระมัดระวังเมื่ออยู่บ้านหรือถิ่นที่เขาคุ้นเคย” คนพูดหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่คุณกล้าหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่กล้าก็ยอมแพ้ซะ เพราะมีแต่คนใจถึงเท่านั้นที่จะชนะนายของผมได้”
 
 
เตียงนุ่มและผ้าห่มอุ่นไม่เทียบเท่าความอบอุ่นละมุนละไมจากอ้อมกอดของคนข้างๆ ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจและที่สำคัญเขารู้จักใช้มัน หัวใจของหญิงสาวแปลบวาบทุกครั้งกับความคิดว่าเสน่ห์ของเขาอาจมิได้รัดเธอคนเดียว
 
ข่าวของเขากับผู้หญิง…หลายคนนัก หากมีเพียงคนเดียวที่เขามั่นคงไม่เว้นวาย
 
ยัยพริก!
 
“ณุคะ” 
 
“ครับผม” อ้อมแขนเขารัดร่างของเธอแน่นขึ้น รอยยิ้มพรายในความมืดสลัวน่ามองนัก
 
“คุณเป็นคนยังไงกันแน่” ประโยคนั้นคล้ายรำพึงกับตัวเอง
 
หากเขาหัวเราะเบาๆ มองเธออย่างเอ็นดู “จนถึงป่านนี้คุณไม่รู้เหรอ”
 
“คุณเป็นคนที่ดูยาก”
 
“เคยบอกแล้วไง ว่าตอนอยู่กับคุณ ผมก็เป็นผม ไม่มีหน้ากากสังคมทั้งนั้น”
 
มณิกานต์ลูบดวงหน้าของเขา “ฉันเชื่อ…และหวังว่าความรู้สึกของคุณมันจะไม่เปลี่ยนถ้าวันหนึ่งฉันไม่ได้อยู่ที่บ้านพี่หมอแล้ว”
 
“ก็มาอยู่กับผมซิ” ชิษณุยิ้ม ยังไม่คลายอ้อมแขนที่รัดร่างเล็กนั้นไว้…รัดรึงหากทนุถนอม
 
“ไม่…”คำปฏิเสธเบา “วันใดวันหนึ่งฉันต้องกลับ…บ้าน”
 
“ก็ที่บ้านสวนไงจ๊ะ บ้านของเรามีที่กว้าง ทิวทัศน์งาม และมีสวนดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอม…หอมดั่งเช่นมนต์สะกดของผม…”
 
ใช่แล้วที่นั่นที่มีศาลานั่งเล่น รับอากาศเย็นสบาย
 
มะลิลาขาวพวงดูสวยสม              ขอดอมดมชมนาดฝากกลิ่นหอม
แซมกล้วยไม้ลดาวัลย์ขวัญพะยอม           กลิ่นขจรล้อมอยู่บึงหมู่บัว    
ปลูกต้นโมกรื่นรมย์ดูชมชื่น        พุทธชาดให้ดากดื่นอยู่ริมรั้ว
ดูชวนชมชูช่อก่ออยู่ใกล้ตัว                       ลำดวลคั่วกลิ่นแก้วให้แล้วเย็นฯ
 
 
“อย่าโมเมซิ “ฉันต้องกลับบ้าน”
 
“ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้นนะ มนต์จ๋า” น้ำเสียงขึงขังทอดลงอ่อนหวาน
 
“ฉันแค่มาอาศัยพี่หมอเพื่อพัก…ใจชั่วคราว แต่วันหนึ่งฉันก็ต้องกลับไป”
 
“แล้วผมล่ะ มนต์จ๋าจะทิ้งผมไว้ที่ไหน มนต์จ๋าจะใจร้ายเชียวเหรอ”
 
มณิกานต์เลื่อนมือไปกุมมือข้างหนึ่งของเขาไว้
 
“คุณก็จะอยู่ตรงนี้” เธอทาบมือของเขาที่หัวใจ สายตาประสานแน่วแน่คล้ายจะย้ำความรู้สึกทั้งหมดที่มี
 
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกชมนาด         รักนี้ขอฝากเจ้าไว้ด้วยเอย
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
ReadAWrite : manas.readawrite.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 
 
 
[1] “อิเหนา” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย




 


Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2563
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2563 23:11:19 น. 0 comments
Counter : 629 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.