Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2562
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
16 ธันวาคม 2562
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 14) โดย มานัส


บทที่ 14
 
กลิ่นหอมจากเตาอบโชยไปทั่วครัวทันทีที่ประตูเตาถูกเปิด หญิงสาวที่รวบผมยาวสลวยไปทางด้านหลัง ก้มลงใช้ถุงมือผ้าหุ้มหนาหยิบถาดขนมขนาดกระทัดรัดออกมาวางเรียงแล้วก้มลงสูดกลิ่นหอมกรุ่น
 
“เสร็จแล้วค่ะป้า” รอยยิ้มจากดวงหน้านวลนั้นแจ่มใสเมื่อหันมา “แต่มนต์ไม่รับประกันความอร่อยของครัวซองต์พุดดิ้งนี้นะคะ ถึงสูตรมันง๊ายง่ายแต่ไอ้เรื่องทำอาหารนี่มนต์ไม่ถนัดเล้ย”
 
“มันก็ต้องลองดูค่ะ ดูซิแม่พวกนี้หน้าสลอนเชียว” ผู้เป็นแม่บ้านมองค่อนไปยังสาวใช้ลูกมืออีกสองคน
 
“น่ากินจังป้า” เด็กสาวคนหนึ่งบอก “คุณมนต์ทำออกมาทั้งสวยทั้งห๊อม…หอม”
 
“’งั้นก็ต้องชิมซะแล้ว จะได้รู้ว่าจริงไหม” ผู้เป็นคนทำบอกอย่างอารมณ์ดี ยิ้มตาหยี “แต่ถ้าไม่อร่อยก็ห้ามบ่นนะจ๊ะ”
 
หญิงสาวจัดแจงหั่นขนมปังนุ่มแซมด้วยลูกเกดแบ่งเป็นชิ้น วางใส่จานที่เตรียมไว้
 
“คุณณุออกมาหรือยัง” โฉมฉายหันไปถามเด็กสาวที่ยืนอยู่ใกล้
 
“ยังค่ะ ตั้งแต่ทานกลางวันเสร็จก็ปิดประตูเงียบ มีแต่คุณสารินที่ออกมาและกลับไปแล้ว” เด็กสาวรายงานอย่างคล่องแคล่ว
 
“เดี๋ยวหล่อนยกขนมเข้าไปให้คุณณุ” คำสั่ง…ทำให้เด็กสาวลังเล
 
“ป้าเอาไปให้เองเหอะ” คนถูกสั่งย้อน เพราะถึงอย่างไรป้าโฉมก็ไม่น่ากลัวเท่า…คุณณุ “หนูไม่กล้าหรอก”
 
“แหม…พวกหล่อนนี่” เสียงแกล้งลงหนักให้รู้ว่า…เอ็ด เพราะโฉมฉายเองก็ใช่ว่าจะกล้าเข้าไป และแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หญิงชราจึงหันมาทางผู้ที่กำลังจัดแจงหั่นแบ่งขนมใส่จาน “หนูมนต์เป็นคนทำ ก็ควรต้องเป็นคนเอาไปให้ซิคะ ถึงจะถูก”
 
“มนต์เนี่ยนะ” มณิกานต์ส่ายหน้าปฏิเสธ “โอย…..อย่าดีกว่าค่ะ ป้าโฉมเอาไปให้คุณณุของป้านั่นแหละค่ะ ดีแล้ว”
 
โฉมฉายมองคนที่ทอดยิ้มหวาน “เป็นคนทำก็น่าจะเอาไปให้นะคะ คุณณุถามว่าเป็นขนมอะไร มีส่วนประกอบอะไร จะได้ตอบได้ เถอะค่า…”
 
จานขนมวางบนถาดพร้อมแก้วที่ใส่ชาเย็นสีเข้มเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะถูกยื่นแกมยัดใส่มือของมณิกานต์ที่รับมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
 
โฉมฉายและบรรดา…แม่สาวๆ ยังอุตส่าห์เดินมาส่งถึงหน้าห้องทำงาน ช่วยเคาะประตูขออนุญาตอีกด้วย ก่อนทั้งกลุ่มจะขยับถอยหลังออกมา
 
“มีอะไร!” เสียงเฉียบบ่งบอกถึงอารมณ์ชัดเจน ดังออกมาจนคนข้างนอกสะดุ้ง
 
มณิกานต์พอรู้แล้วว่าทำไมทุกคนถึงขยาดกันนัก…จะดุดันอะไรนักหนา
 
เธอบ่นในใจ หากแล้วจึงตะโกนตอบ
 
“เอาของว่างมาให้”
 
ความเงียบหลังจากนั้นเป็นไปเพียงครู่ จนคนที่รอเกือบหันหลังกลับ
 
“เชิญ” น้ำเสียงเฉียบอ่อนลงกว่าเมื่อครู่
 
และเมื่อเปิดประตูเข้าไป มณิกานต์จึงพบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งพิงเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ รอยยิ้มอ่อนพรายบนใบหน้า
 
“ยกมาเองเลยเหรอ” เขารีบลุกขึ้นช่วยรับถาดมาวางบนโต๊ะกลมในอีกมุมของห้อง สายตามองจานขนมอย่างสนใจ ระหว่างที่หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของเขา ที่เธอเพิ่งได้เข้ามาเป็นครั้งแรก
 
บนโต๊ะทำงานมีแฟ้มเอกสารกองอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดไว้ คู่กับโน๊ตบุ๊ค  พร้อมเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ครบครัน ดูแล้วน่าจะเยอะเกินเสียด้วย
 
“ไม่มีใครเขาอยากเข้ามาเจอคุณนี่”
 
“คงมีแต่คุณซินะที่อยากเจอผม” ดวงตาเป็นประกายระยิบแฝงเล่ห์และนัย
 
“ฉันมันหน่วยกล้าตายต่างหาก” หญิงสาวบอกพลางเขยิบตัวออกห่างคนที่เดินเข้ามาใกล้จนเกือบชิด
 
“อะไรน่ะ” ชิษณุมองจานขนมอย่างสนใจ
 
“ครัวซองต์พุดดิ้ง สดๆ ร้อนๆเลย อาจจะไม่อร่อยนะ ฉันไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว อีกอย่างฉันเองก็ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่งอยู่ด้วย ทนๆ เอาหน่อย”
 
“ทำไมจะไม่เก่งครับ ดูอย่างอาหารกลางวันของวันนี้ซิ อร่อยมากเลย ผมกินตั้งสองจานแน่ะ”
 
“นั่นฝีมือป้าโฉมต่างหากล่ะ ฉันมันแค่ลูกมือหยิบโน่นนี่เท่านั้น” เธอมองเขาตักชิ้นขนมเข้าปาก “เป็นไงบ้าง…”
 
“อร่อยมากๆ อร่อยที่สุดในโลกเลย เชล์สไม่ต้องมาชวน…”
 
“คุณไม่จริงใจนี่!”
 
“ใครว่าล่ะ ผมนี่ทั้งจริงจังและจริงใจเลยล่ะครับ” ไม่ทันไรขนมนั้นก็หมดจาน “ทำไมเอามาน้อยจัง มีอีกมั๊ย”
 
“เยอะเลยล่ะ ฉันกะทำเผื่อไว้ให้ทุกคน รวมทั้งพี่หมอด้วย”
 
“คงแบ่งให้พี่นินทร์ซะเยอะซินะ ผมเลยได้นิดเดียว”
 
มณิกานต์ยิ้มให้กับน้ำเสียงและทีท่าเหมือนเด็กขี้อิจฉาของคนที่จับช้อนหมุนไปมาในจาน
 
“พี่หมอไม่ชอบของหวาน ฉันก็เลยไม่ได้แบ่งไว้ให้แกเยอะ”
 
“คุณรู้ว่าพี่นินทร์ชอบไม่ชอบอะไร แล้วผมล่ะคุณรู้อะไรบ้าง”
 
หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด “อย่างคุณน่ะน่าจะกินได้หมดทุกอย่าง และกินเยอะเสียด้วยซิ”
 
“โดยเฉพาะอะไรที่คุณเป็นคนทำให้ ผมก็ยิ่งชอบ”
 
“ช่างพูดจริงๆ” หญิงสาวส่ายหน้ามองค้อนเขา “เดี๋ยวฉันไปเอาขนมมาให้คุณอีกดีกว่า ขี้เกียจโดนกล่าวหาว่าแอบยักยอกไปให้พี่หมอ”
 
หากชิษณุคว้าแขนเล็กไว้ “ไม่ต้อง เดี๋ยวให้เด็กยกมา ผมอยากอยู่กับคุณนานๆ”
 
ว่าแล้วเขาเดินไปที่โต๊ะทำงาน กดเรียกโทรศัพท์ภายในแล้วสั่งการทันที
 
มณิกานต์มองเขา แล้วมองไปรอบๆ ห้องทำงานที่มีอุปกรณ์และเครื่องตกแต่งครบครันจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทำให้แฟ้ม และหนังสือที่ดูเหมือนเยอะนั้นไม่รกตา
 
หากความสนใจของหญิงสาวจดจ่ออยู่ที่ตัวหล่อไขลาน รูปไข่สีครีมประดับด้วยไข่มุกหลากเม็ดที่ตั้งวางอย่างเด่นสง่า เธอเดินไปยังตู้โชว์เพื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิด
 
“นี่…”
 
“หีบเพลงไขลาน” เสียงนุ่มจากด้านหลังโดยที่คนฟังไม่เห็นแววตานิ่งเฉยของเขา มือแข็งแรงเอื้อมมาข้างหน้า หมุนลานที่อยู่ตรงฐานล่างของหีบเพลง
 
เสียงเพลงบรรเลงที่เจนหูค่อยๆ ดังขึ้น
 
 
“Swan Lake…”
 
“ครับ…ซ่อน Ballerina[1] ไว้ข้างใน” ชิษณุบอกพร้อมการเปิดตัวของตุ๊กตาเด็กหญิงเต้นระบำที่ซ่อนอยู่ในไข่เรียว “เสียงดนตรีเป็นแบบสิบแปดคีย์ ผมว่าฟังแล้วรู้สึกจับใจกว่าเสียงสามสิบหกคีย์เสียอีก”
 
“เพราะจัง” ดวงตาทอดหวานมองตุ๊กตาเด็กหญิงเต้นระบำ
 
มือของเธอแตะเบาๆ บนหีบเพลง มือที่สั่นเฉดเช่นหัวใจของเธอ
 
“เมื่อก่อนผมก็เคยมีหีบเพลงอย่างนี้” เหมือนว่าเสียงทุ้มนั่นจะคลออยู่ข้างหูของอีกฝ่าย “เป็นของคุณตาที่อาศัยอยู่ใกล้ที่ๆ ผมพักที่ผมเมืองนอก แกเอ็นดูผม…เห็นผมชอบ แกก็เลยให้มา”
 
“แล้วตอนนี้หีบเพลงนั่นอยู่ไหนล่ะคะ”
 
“ผมให้คนอื่นไปแล้ว” ชายหนุ่มมองมือเล็กที่จับหีบเพลงอย่างคุ้นเคย “ผมครอบครองมันได้ไม่นานก็ให้คนอื่นไป…”
 
ประโยคหลังเอ่ยอย่างช้าๆ ราวบทพูดที่ถูกฝึกซ้อมมาอย่างดี
 
“ทำไมล่ะ” ดวงหน้าเปล่งปลั่งหมดจดแหงนถาม
 
หากชิษณุยังคงมองเพียงหีบเพลงนั่นด้วยดวงตานิ่ง…เยือกเย็น แล้วจึงเอ่ยขึ้น ช้า…ชัด ทุกถ้อยคำ
 
“เพราะผมรู้สึกว่าเด็กหญิงคนนั้นอาจจะต้องการมันมากกว่าผม” การบอกเน้นชัดทุกคำ
 
“อ๋อ…ที่แท้ก็ให้สาวนี่เอง” มณิกานต์ลากเสียงยาว
 
“ไม่ใช่สาวที่ไหนหรอกครับ” การลงน้ำเสียงประดุจกำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้อีกฝ่ายฟัง “เป็นเด็กผู้หญิง…อายุสักแปดเก้าขวบไว้ผมม้าน่ารักเชียว ท่าทางยิ้มยาก แต่พอยิ้มก็จะยิ้มเสมือนเชิญชวนให้คนทั้งโลกยิ้มตามไปด้วย…เหมือนคุณ”
 
สายตาที่ทอดมองแลดูมีความหมายยิ่งนัก หากอีกฝ่ายหลบเมินไป
 
“มีช่วงหนึ่งราวๆ เดือนเมษายนเด็กคนนี้มาที่ร้านหนังสือเล็กๆ ที่ผมทำงานอยู่เกือบทุกวัน เปิดเล่มโน้น ดูเล่มนี้”
 
มณิกานต์นิ่ง ดวงหน้าฉายประกายประหลาดใจที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้…ความบังเอิญที่เกิดขึ้น ทำให้แทบไม่อยากเชื่อ
 
“มิน่าคุณถึงเหมือนพวกหนอนหนังสือ รู้ไปหมดทุกเรื่อง อธิบายได้ทุกอย่าง ที่แท้ก็เคยอยู่ร้านหนังสือนี่เอง” หญิงสาวเสบอกไปเช่นนั้น พยายามกลบความรู้สึกและความทรงจำหลายอย่าง
 
“ผมเป็นพวกรู้เยอะแต่ไม่รู้จริง”
 
“แต่ความจำคุณดี จำรายละเอียดได้ดีทีเดียว” เสียงทอดต่ำ ดวงตาเพ่งยังตุ๊กตาเต้นระบำ
 
เมื่อครั้งชีวิตครอบครัวพ่อแม่ลูกพังทลาย และเธอก็ย้ายมาอยู่สหรัฐฯ ตามมารดาและพ่อเลี้ยงผู้ที่เป็นข้าราชการทูตระดับสูง ไกลบ้าน ไกลพ่อ…และความอ้างว้างเพราะความจริง…ไม่มีอีกแล้วครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วยความสุข
 
ทว่าในความอ้างว้าง เสียงจากหีบเพลงนี้สดใสทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือแม้เมื่อเวลาล่วงผ่านมานานก็ตาม ภาพของผู้ให้ติดตา…ติดหัวใจหากก็เลือนลางตามกาลเวลา ต่างจากภาพอันเจนตาของคนที่อยู่ข้างๆ เธอในตอนนี้ ผู้เป็นเจ้าของหีบเพลงอันนี้
 
“บางอย่างไม่ต้องจำหรอกครับ เพราะมันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราไม่เคยลืม ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตาม” ชิษณุนิ่งไปแล้วจึงพูดต่อช้าๆ
 
มณิกานต์เงยหน้าสบตาเขา ดวงตาของเธอแฝงรอยชื้นเพียงนิดเดียว แล้วจึงหันกลับมามองหีบเพลง
 
เพลงจบไปนานแล้ว ไข่เรียวรีนั้นได้ซ่อนตุ๊กตาเต้นระบำไว้อีกครา
 
“แล้วคุณได้เจอเด็กคนนั้นอีกไหมคะ”
 
“ไม่เลย จนกระทั่ง…” เขานิ่งไปครู่ “จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่เคยเจออีกเลย”
 
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันมาจึงเห็นชิษณุเดินกลับไปที่โต๊ะกลมที่วางขนมแล้ว
 
“เชิญ!” เสียงนั้นดังหากไม่เฉียบขาดเช่นเคย
 
“แล้วเครื่องนี้คุณได้มายังไง” มณิกานต์เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ของอีกฟากโต๊ะกลมเมื่อเด็กสาวที่ยกขนมเข้ามานั้นออกไปจากห้องแล้ว
 
“ผมประมูลได้มาจากงานน่ะครับ เมื่อเจ้าของไม่ต้องการแล้ว ก็เลยเอามันมาประมูลเพื่อการกุศล เป็นวิธีกำจัดของเหลือที่ดี แถมได้บุญอีก ผมก็ทำเป็นประจำ”
 
ภายในห้องนั้นเงียบ เว้นแต่เสียงเบาๆ จากโทรทัศน์ที่เขาเปิดช่องข่าวทิ้งไว้  
 
ชิษณุกินหมดจานเช่นเคย เธอเสียอีกที่กินไปเพียงนิดเดียว
 
“เอาไปเก็บเลยนะ คุณจะได้ทำงานต่อ” มณิกานต์บอกเมื่อเขาวางช้อนลงเรียบร้อยแล้ว
 
“ครับ” ชายหนุ่มยิ้มเพียงน้อย ก่อนลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ดวงตาปิดลงอย่างอ่อนล้า
 
เสียงประตูห้องที่ปิดลงแผ่วเบาไม่สามารถฉุดเขาออกจากสารพัดความคิด   จนกระทั่งความทรงจำดึงภาพบางอย่างออกมา ดวงตาเย็นชาคู่นั้นจึงเปิดขึ้นทันที
 
ร่างสูงเดินไปยังหีบเพลงตัวนั้น เพ่งมองเปลือกไข่คล้ายจะให้ทะลุเห็นไปยังตุ๊กตาที่ซ่อนอยู่ข้างใน มือแข็งแรงแตะนิ่งเนิ่นนานตรงข้อไขลาน แล้วค่อยๆ เลื่อนไปยังหนึ่งในไข่มุกประดับ ใช้นิ้วลูบเบาๆ แล้วเพียงอึดใจ แรงจากนิ้วก็เขี่ยมุกเม็ดนั้นจนหลุดออกมา
 
‘ผู้นำมาประมูลคือคุณมณิกานต์ ลูกสาวของคุณดิลกค่ะ’ โชติกาผู้เป็นเลขาฯ รายงานเมื่อเขาถามถึงเจ้าของ
 
ในตอนนั้นชิษณุพลันอยากทำลายหีบเพลงนี้เสีย…
 
หีบเพลงนี้ถึงคล้าย…แต่ไม่ใช่!
 
ของที่โดนทำลายไปแล้ว จะเอาคืนมาทำไม
 
ความทรงจำที่ไหลมาราวสาวน้ำเชี่ยว สงบเมื่อระลึกถึงน้ำใจที่เขาเคยได้รับจากชายชราที่อยู่บ้านตรงข้าม คนที่มอบหีบเพลงให้เขานั้นคือมิตร เป็นผู้สั่งสอนให้เขากล้าแกร่งในยามที่ไร้สิ้นหนทาง และเป็นผู้เปิดทางให้เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างสำเร็จ
 
แต่คนที่เขาให้หีบเพลงตัวนั้นคือคนทรยศ…ผู้หญิงที่เขาเคยรัก
 
ศัตรูกับคนทรยศ…ทำลายได้
 
แต่มิตร…ไม่ได้!
 
แล้วมณิกานต์ล่ะ…มิตรหรือศัตรู
 
‘ผู้หญิงคนนั้น…ลูกสาวคุณดิลก’ คำรายงานของนทีพร้อมแฟ้มข้อมูลฉบับใหญ่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนทำให้หัวใจของเขาชาวาบ ‘คุณณุจะให้จัดการอย่างไร’
 
‘ผมอยากได้ข้อมูลทั้งหมดของผู้หญิงคนนั้น ละเอียดที่สุด…ทุกอย่าง!’
 
ลูกแกะเข้ามาในอุ้งมือของจิ้งจอกอย่างเขา…เขาควรรู้ว่า ต้อง ทำอย่างไร
 
บัดนี้มือแข็งแรงกำแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด เขาก้มมองมุกเทียมที่หลุดออกมา สายตาเย็นเฉียบไม่ลดความเย็นชา
 
‘ถ้าเลือกเดินทางนี้…อย่ารู้สึกรัก อย่ารู้สึกเมตตา อย่ารู้สึกปราณี อย่ารู้สึกสงสาร อย่ารู้สึกผูกพัน’ เสียงคำบอกของชายชราแว่วมา ‘เพราะมันล้วนทำให้จิตใจคนอ่อนลง บางครั้งกลายเป็นอ่อนแอไม่เด็ดขาด…โลกนี้ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอ’
 
 
ร้านอาหารฝรั่งเศสใจกลางเมืองมีลูกค้าเพียงบางตา บ้างนั่งเป็นคู่ บ้างเป็นกลุ่ม โดยมีพนักงานบริการอย่างใกล้ชิดสมกับราคาที่แพงลิบ เสียงไวโอลินบรรจงบรรเลงดนตรีไพเราะสร้างความละมุนให้กับบรรยากาศ
 
หญิงสาวผมสั้นเก๋ไก๋ในเดรสทำงานทันสมัยเข้ากับบุคลิก สาวเท้าเข้ามาในร้านอย่างใจเย็น
 
“สวัสดีค่ะ” พนักงานต้อนรับทัก “จองไว้หรือเปล่าคะ”
 
“คุณชิษณุ” เธอตอบ มองนาฬิกาข้อมือ…เลยเวลานัดไปไปเกือบชั่วโมง แต่นั่นก็เพราะเธอตั้งใจมาช้าเอง
 
“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานสาวเดินนำไปยังโต๊ะมุมที่มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งรออยู่
 
รอยยิ้มและแววตาเป็นประกายเหมือนจะบ่งบอกถึงความรู้สึกของเขาอย่างไม่ปิดบัง เพียงแต่ว่าพริมาแค่ชำเลือง มองอีกฝ่ายด้วยความดูแคลน ก่อนจะลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
 
“ผมดีใจที่คุณพริมมา” เทวัญรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ “ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะชื่อของนายชิษณุก็ตาม”
 
“แค่อยากรู้ว่าใครหน้าด้าน กล้าอ้างชื่อคนอื่น” สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
 
พริมารู้ตั้งแต่ได้รับดอกไม้ช่อใหญ่ที่มีการด์เล็กๆ แนบ เชิญมารับประทานอาหารเย็น เธอรู้ว่าไม่ใช่จากชิษณุ แต่เธออยากรู้นักว่าใคร…กล้า อ้างชื่อเขา
 
“ผมเทวัญ…คุณคงจำได้ เราเคยเจอกันแล้ว”
 
“รู้แล้ว!” หญิงสาวรู้…จากคนของพ่อและอา แล้วยังคนของชิษณุ
 
“คุณรู้ว่าไม่ใช่คนๆ นั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์มา”
 
“ก็อย่างที่บอก ฉันแค่อยากรู้ว่าใครที่ไม่มีคุณค่าหรือบารมีเพียงพอที่จะใช้ชื่อตัวเอง” คำพูดและน้ำเสียงเฉียบทำสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป “ต้องการอะไร?”
 
พริมาไม่อ้อมค้อม เพราะรู้ดีว่าคนที่นั่งตรงหน้ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับบุรุษผู้เป็นที่รัก
 
“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องนายณุ” ชื่อนี้เหมือนมีมนต์ทำให้คนที่เตรียมจะลุกขึ้นต้องหยุดชะงัก “เพื่อตัวคุณเองด้วยนะครับ”
 
“มีอะไร? จะหาเรื่องอะไรอีก ที่ผ่านมาพวกคุณทำกับเขาไว้ยังไม่พออีกเหรอ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงแสดงถึงความเจ็บแค้นแทนเขาคนนั้น
 
‘เทวัญเป็นหลานของสามีป้าผม พวกเขารับมันเป็นลูกบุญธรรม’ นั่นคือการเริ่มเล่าเรื่องอดีตของชิษณุเมื่อหลายปีก่อน
 
หากแล้วการเล่าก็จบลงด้วย ‘เพราะเทวัญ…ผมเกือบตายมาแล้ว ผมไม่มีวันลืม…วันที่ต้องนอนจมอยู่กับเลือดของตัวเองบนกองหิมะ’
 
ชื่อ เทวัญ เป็นชื่อที่ฝังใจด้วยความ…ชิงชัง!
 
‘ชีวิตของผมอยู่ได้เพราะความแค้นพวกมัน!’ คำยืนยันของชิษณุเมื่อหลายปีก่อนยังคงดังก้องหู
 
ชื่อของศัตรูที่เขาหมายหัวนั้นพริมาย่อมรู้
 
เทวัญ…อยู่ในบัญชีแค้นของชิษณุ และอยู่ในบัญชีเกลียดของเธอ
 
“คุณเข้าข้างคนที่คุณรักจนเกินไป ทั้งๆ ที่มันไม่เคยให้อะไรคุณเลย ไม่ได้รักคุณเลย” คำพูดที่เขาฝึกมาอย่างดีสำหรับการเผชิญหน้าในครั้งนี้ บรรจงกรีดเน้นทุกคำ “ถ้ามันจริงใจกับคุณ รักคุณจริงคงไม่ทิ้งขว้างคุณ”
 
คำพูดคงแทงใจอีกฝ่ายจริงๆ เพราะเธอเงียบ ไม่มีคำยอมรับหรือปฏิเสธใดๆ
 
“ที่สำคัญคู่ควงคนใหม่ของมันคือน้องสาวของผม คุณก็รู้ครอบครัวผมกับมันมีปัญหากัน ที่บ้านของผมก็ไม่พอใจ ไอ้กินข้าวกันมื้อสองมื้อมันไม่เท่าไหร่ แต่ไปค้างอ้างแรมกัน มันรับไม่ได้”
 
“ฉันกับณุเป็นเพื่อนกัน  เขาจะควงกับใคร จะนอนกับใครมันก็เรื่องของเขา” เธอบังคับไม่ให้เสียงสั่น
 
เทวัญหัวเราะเย้ยกับคำตอบ “คุณกับมันมีความสัมพันธ์แค่ไหนใครๆ เขาก็รู้ ผมไม่ต้องการให้น้องของผมตกเป็นเครื่องมือของคนฉวยโอกาสคนนั้นเหมือน…” เขาลากเสียงยาว ดวงตาจ้องใบหน้าสะสวยที่แต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างดี “ถามจริงๆ ถ้าเป็นไอ้ณุ คุณจะมาช้าอย่างนี้หรือเปล่า” เทวัญกระหยิ่มยิ้มย่อง ยักไหล่เมื่อไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย  “ผมคิดว่าไม่ แต่ไม่เป็นไรผมรอคุณได้เสมอ ถ้าคุณอยากจะให้มีคนรอคุณบ้าง ก็โปรดพิจารณาผมเป็นคนแรก”
 
เขามองตามหญิงสาวที่ลุกออกไป ไวน์ในแก้วถูกดื่มรวดเดียวจนหมด เขาไม่สนใจสายตาที่มองมาจากโต๊ะอื่นๆ เขาสน…รอยร้าวระหว่างไอ้ณุกับพริมาต่างหาก  
 
 
คู่หนุ่มสาวที่กำลังเดินเข้ามาในล็อบบี้โรงแรมนั้นเป็นที่สะดุดตาของหลายคน รวมถึงผู้ที่มาคอยเกือบชั่วโมง
 
สินีไม่พอใจที่เห็นความสนิทสนมระหว่างหลานชายเธอ กับหญิงสาวในเดรสสายเดี่ยวสีดำ ที่เขาโอบเอวพาเดินเข้ามาอย่างสนิทสนม
 
“เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วซินะ ถึงไม่เห็นป้าของแกอยู่ในสายตา”
 
 “คุณป้า…คุณลุง” ธิดาเป็นฝ่ายทักด้วยความประหลาดใจ หากไม่ยอมผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั่น
 
“แล้วดูซิเอายัยธิดามากกเป็นอาทิตย์ แกนี่มันเลวจริงๆ” เสียงดังเรียกความสนใจจากคนที่ผ่านไปมา
 
“ไม่ถึงอาทิตย์ครับ” ชิษณุละอ้อมแขนนั้นแล้วยกมือไหว้ผู้ที่มีศักดิ์เป็นป้าและลุงเขย…ไหว้ด้วยหน้ากากและมารยาทสังคมมิใช่ด้วยใจ เหมือนดั่งเช่นรอยยิ้มที่ฉายมาจากใบหน้าคมคาย “เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสต้อนรับคุณลุงคุณป้าด้วยตัวเอง ทราบว่ามาถึงหลายวันแล้ว ผมมัวแต่ติดธุระครับ”
 
“ธุระ…” หางเสียงของผู้เป็นป้าตวัดขึ้น “กกอยู่กับยัยธิดา…”
 
“ก็แค่เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวน่ะครับ…ผ่อนคลาย” เขาเว้นจังหวะอย่างชำนาญ ชำเลืองไปยังลุงเขย “หากผมทำอะไรให้คุณลุงคุณป้าไม่พอใจ…ผมต้องขอโทษด้วย”
 
“วางไว้นั่น! ฉันไม่กล้ารับหรอก” สินีตวัดด้วยเสียงแหลม เมินมองไปทางอื่น
 
“ผมหวังว่าคุณลุงกับคุณป้าจะพักที่โรงแรมนานๆ นะครับ” ชิษณุยังคงยิ้มราวไม่รู้ถึงความบึ้งตึงจากอีกฝ่าย
 
“แน่ซิ! ที่นี่มันก็ของฉันเหมือนกัน แม่ฉันเป็นคนบุกเบิกมา ถือหุ้นใหญ่ ไม่อยู่ที่นี่แล้วจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน”
 
“แกเป็นผู้บริหารใหญ่ สั่งคนแกให้เปลี่ยนห้องให้เทวัญด้วย ห้องที่อยู่ตอนนี้มันเล็กและคับแคบ” ผู้เป็นลุงเขยสั่ง
 
“คุณลุงเข้าใจผิดแล้วครับ ผมแค่ถือหุ้นเล็กน้อยเท่านั้นเอง…ก็ในฐานะหลานของคุณยาย” คำว่า หลาน เน้นหนักเป็นพิเศษ ใบหน้าคมคายยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม “และก็โชคดีได้นั่งเป็นกรรมการด้วย เรื่องห้องของเทวัญนั้นต้องแล้วแต่เจ้าหน้าที่ของโรงแรมว่ามีห้องว่างหรือไม่ ผมไม่มีสิทธ์ไปสั่งการอะไรใคร”
 
ทว่า…ในความจริงที่รับรู้กันในสังคม เขากุมอำนาจสั่งการเต็มที่ เพราะผู้บริหารของที่นี่ล้วนผ่านการคัดสรร เลือกมาด้วยมือของเขา เป็น…คนของเขา หาใช่ของคุณหญิงกรองแก้ว!
 
และอำนาจของชิษณุยังมาจากการหนุนของกลุ่มที่เดวิด เพื่อนของเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากคุณหญิง
 
อำนาจที่ถืออยู่เต็มมือ เขาแค่เลือกที่จะใช้หรือไม่ใช้ แล้วแต่ใจต้องการ
 
“ถ้าแกทำไม่ได้ ฉันก็จะสั่งไปเอง แล้วเรื่องค่าห้องด้วย ไม่รู้ว่าทำไมต้องให้หมายเลขเครดิตการ์ด” สินีกระแทกเสียงไม่พอใจ “พนักงานพวกนี้ไม่รู้เลยหรือว่าฉันเป็นใคร”
 
“คงเป็นไปตามระเบียบครับ แต่ผมจะดีใจมากหากคุณป้าสามารถสั่งลงไปได้ ผมเองในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมของกลุ่มโรงแรมยังไม่มีอำนาจถึงขนาดนั้น”
 
คราวนี้อีกฝ่ายนิ่งไป รู้ถึงนัยความหมายนั่นดี
 
ใช่…สินีไม่มีหุ้นในโรงแรม เธอมีแต่หุ้นในบริษัทโฮลดิ้งหรือกงสีที่ถือหุ้นโรงแรมอีกที
 
“วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ผมคงต้องขอตัว” ชายหนุ่มตัดบทง่ายๆ หากรับรู้ว่าธิดาเกาะแขนเขาแน่นขึ้น…ไม่ยอมปล่อย
 
“ดึกแล้วกลับบ้านไป” เฉลิมดุผู้เป็นหลานสาว
 
“ไม่มีรถ” ธิดาสะบัดเสียง “เทสทิ้งรถไว้ที่โรงแรมให้หลานชาย อ้อ…ไม่ใช่ซิ…ลูกชายคนโปรดของคุณลุงคุณป้าใช้ เทสค้างกับพี่ณุนะคะ”  ประโยคหลังหันไปอ้อนผู้เป็นยอดปรารถนา
 
“ให้รถโรงแรมไปส่งได้” ชิษณุไม่สนใจแรงกระตุกที่แขน เขาหันไปทางพนักงานของโรงแรมที่ยืนคอยรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล “หารถไปส่งคุณธิดาด้วย”
 
“พี่ณุ..” คราวนี้หญิงสาวเรียกเสียงอ่อน แววตาไม่พอใจฉายไปยังผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้
 
“ถ้าคุณป้ากับคุณลุงไม่เหนื่อยมากนัก จะนั่งดื่มอะไรที่ lounge ก่อนไหมครับ ผมขออนุญาติเป็นเจ้ามือ”
 
“ไม่ต้อง” สินีมองเมินไปทางอื่น “ฉันอยากพักผ่อน”
 
“ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน เชิญคุณป้าและคุณลุงตามสบายครับ” รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ไม่วาย
 
ร่างสูงหันเดินไปช้าๆ ไม่สนใจเสียงเรียกของคู่ควงที่เขาเพิ่งผละออกมา
 
ใบหน้าคมเปลี่ยนไปทันทีเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง รอยยิ้มอย่างผู้ชายอารมณ์ดีหายไป มีเพียงแววตาเยือกเย็นเข้ามาแทนที่ มือเรียวกำแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด
 
…อดทน… เพราะอีกไม่นาน หนี้ ที่หลายคนค้างเขาไว้จะได้รับการชดใช้
 
รอยกรีดของทุกบาดแผล คราบเลือดที่ต้องหลั่ง…ทุกคนที่เคยทำร้ายเขาจะต้องชดใช้…ไม่มียกเว้น!
 
[1] สาวนักเต้นบัลเล่ต์

 
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 
 

 


Create Date : 16 ธันวาคม 2562
Last Update : 16 ธันวาคม 2562 22:03:28 น. 2 comments
Counter : 540 Pageviews.

 
พระเอกมีปมมากมายในชีวิต


โดย: คนอ่านนิยาย IP: 27.254.241.116 วันที่: 17 ธันวาคม 2562 เวลา:7:22:42 น.  

 
มากเกิ๊นนนค่ะ อิอิ


โดย: Sentimentally Smooth วันที่: 20 ธันวาคม 2562 เวลา:12:44:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.