Group Blog
 
<<
เมษายน 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
12 เมษายน 2563
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 27) โดย มานัส


บทที่ 27
การถอนหายใจของคนที่นั่งหลังโต๊ะทำงานใหญ่นั้นอ่อนล้า ไม่ต่างจากท่วงท่าขยับร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ผมที่เคยดำสนิทได้รับการดูแลอย่างดีให้อ่อนวัยกว่าความเป็นจริง บัดนี้ถูกปล่อยให้ขาวโพลนตามวัยและเวลา
 
ดิลกเครียด…และใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นของกาลเวลายืนยันเช่นนั้น  ความเครียดเพิ่มพูนในทุกวัน สาดเซาะเข้ามาไม่หยุดยั้ง ไม่ต่างจากสายโทรศัพท์ที่กระหน่ำไม่หยุดหย่อน
 
“ผมแจ้งตามมารยาท” ผู้จัดการกองทุนที่สิงค์โปร์ส่งเสียงมาตามสายหลังจากที่ได้ทักทายตามมารยาทกันแล้ว “ผมต้องขายหุ้นบริษัทคุณออกไปบางส่วน แค่การปรับพอร์ตลงทุนสิ้นปี”
 
หากดิลกรู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น กองทุนที่ถือหุ้นในบริษัทของเขามานานหลายปี โดยมี เรย์มอนด์ หลิวคุมบังเหียน มีแต่เคยทยอยเก็บหุ้นของเขา มิใช่ปล่อยออกราวขยาดหวาดกลัวเช่นนี้
 
และการที่กองทุนใหญ่เทขายออก ก็จะทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมทั้งนักข่าวเกิดความสงสัย ตอนนี้หุ้นเขาโดนโจมตีอย่างหนัก มูลค่าลดลงทุกวัน หนำซ้ำยังแพ้ประมูลหลายโครงการสำคัญ โครงการที่ได้มาก็ต้องเข้าไปตัดราคากันอย่างดุเดือด…เข้าเนื้อ
 
“แค่เปลี่ยนทิศทางการลงทุนของเรา ที่ผ่านมาคุณให้ผลตอบแทนแก่เรามามาก และทางเราก็ยังคงถือหุ้นของคุณอยู่แต่ในสัดส่วนที่ลดลงเท่านั้นเอง และเราก็ยังมีคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการของบริษัทอยู่ดี”
 
หากคนฟังรู้…สัดส่วนที่ลดนั้นต้องมาก หากเพราะความคาดหวังในผลประโยชน์และอำนาจทำให้มิสเตอร์หลิวไม่ยอมสละเก้าอี้กรรมการทิ้ง
 
“ผมเข้าใจ” ดิลกบอกไปเช่นนั้น
 
และเมื่อวางสายแล้ว เขาจึงหันไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ วันนี้ราคาหุ้นของเขายังเป็นเขียวอยู่…แรงขายจากต่างชาติยังไม่เกิดขึ้น
 
แต่ไม่นานหรอก…อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
 
 
น้อยครั้งนักที่จะมีแขกเข้ามาอุดหนุนเพิงร้านอาหารเล็กๆ แถบชานเมืองในเวลาจวนเก็บร้านเช่นนี้ ชายหนุ่มในแว่นตากันแดดสีดำก้าวเข้ามาอย่างไม่แน่ใจ มือกำหูกระเป๋าเอกสารใบกะทัดรัดไว้แน่น แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะเดียวของร้านที่มีคนนั่งอยู่
 
“เลือกร้านอะไรเนี่ย ไกลก็ไกล แถมสกปรกอีก” การทักของเทวัญคือการก่นบ่นอย่างหัวเสีย
 
“ร้านนี้ปลอดภัยสำหรับการทำงานของเรา” หนอน ตัวใหญ่ที่อยู่ในหมวกแก๊ปแว่นดำ อธิบายอย่างใจเย็น
 
“ทำไมไม่มีคนเลย” ชายหนุ่มระแวง มือยังคงกำหูหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ไว้แน่น
 
“คนเห็นน้อยมันดี งานนี้สำคัญ ถ้าพลาดมันหมายถึงชีวิตของคุณและของผม ถ้าสำเร็จมันหมายถึงความร่ำรวยของเรา” คนพูดฉีกยิ้มกว้าง กระแอมในลำคอแล้วถาม “คุณเอาเงินมาครบ?”
 
“เงินสดสองล้านบาท” เขาวางกระเป๋าใบกะทัดรัดบนไว้โต๊ะ
 
“กล้านะครับ ถือเงินสดซะเยอะขนาดนี้”
 
หากคนถูกถามหัวเราะ ก่อนยกขอบเสื้อนอกขึ้นนิดเดียวเผยให้เห็นปืนพกขนาดเล็กที่เหน็บอยู่ “ขนาดนายของคุณผมยังเอาปืนจ่อหัวมันมาแล้ว กระทืบมันคาตีนมากแล้ว”
 
“มันก็ควรเป็นเช่นนั้น” หนอน…พยักหน้า มองอีกฝ่ายที่เลื่อนกระเป๋าบนโต๊ะมาทางเขา “ผมจะไม่เปิดนับเพราะผมเชื่อใจคุณ และเชื่อว่าคุณอยากให้งานนี้สำเร็จ”
 
“นั่นแน่นอน” เสียงเทวัญลงหนัก
 
“แต่จากคนที่เขาจะช่วยเรา เขาขอร้องมา” คนพูดดื่มน้ำในแก้วตรงหน้า แล้วยื่นกระดาษใบเล็ก “เลขที่บัญชีห้าบัญชี…เขาอยากให้คุณโอนเงินอีกห้าแสน”
 
“ห้าแสน! เราตกลงกันแล้ว นี่อะไรกันวะมาโขกราคาเพิ่ม”
 
“งานนี้มันเสี่ยง นายของผมระวังตัวมาก ทำให้การลงมือมันไม่ง่าย อีกอย่างคนที่จะรับงานเขาก็ห่วงชีวิตของเขาและของครอบครัวเขาเหมือนกัน”
 
คนพูดมองอีกฝ่ายไม่วางตา เขาเห็นท่าทีลังเลของเทวัญ
 
“เงินของคุณผมก็ไม่ได้ ผมเป็นแค่คนกลางช่วยประสาน คุณจะเอาไม่เอาก็ขึ้นอยู่กับคุณ แต่นั่นก็หมายถึงว่าคุณต้องทนอยู่ในอาณัติคนอื่นไปตลอดชีวิต” แววตาใต้แว่นดำมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “คุณจะไม่ได้ลืมตาอ้าปากได้เลย กับอีเงินอีกแค่ห้าแสนสำหรับอนาคตของคุณ…มันไม่มากเลย ลงทุนสูงแต่ผลตอบแทนก็สูงด้วย”
 
เทวัญตริตรอง คิดหนัก หัวเขากำลังดีดเครื่องคิดเลข ผลได้…ผลเสีย
 
“ได้…” การรับคำไม่มั่นใจเสียเลย “แล้วจะโอนให้ ขอเวลาสองวัน”
 
ชายหนุ่มหงุดหงิด เพราะไร้ทางออกที่ดีกว่านี้
 
และเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจาแล้วเทวัญจึงลุกขึ้นอย่างเร็วพร้อมใบหน้าที่บ่งบอกความไม่พอใจชัดเจน ต่างจากสีหน้าเรียบเฉยของบุรุษคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
 
คนผู้นั้นนั่งนิ่งมองกระเป๋าที่อยู่ตรงหน้า แล้วพลันลุกออกไปทางหลังร้านโดยไม่แตะต้องกระเป๋าใบนั้นเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนที่รับงานต่อจากนี้ก็แล้วกัน
 
เขาหมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว
 
 
“ณุไปไหน?” พริมาตวัดเสียงถามผู้เป็นแม่บ้านที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมสำรับอาหาร
 
“ไปที่โรงงานมังคะ” ใบหน้าของโฉมฉายดีประดับด้วยรอยยิ้มอ่อน ไม่ถือสากิริยาและน้ำเสียงของอีกฝ่าย
 
ชอบไม่ชอบมันเป็นความรู้สึกที่ควบคุมได้
 
ผู้หญิงคนนี้ช่วยเหลือ…คุณณุมากนัก
 
คุณณุ…ยังต้องพึ่งพาอาศัยผู้หญิงคนนี้
 
“แล้วจะกลับมากี่โมง” คนถามชำเลืองมองนาฬิกา “นี่เกือบหกโมงเย็นแล้ว…”
 
“ไม่ทราบค่ะ คุณณุเธอไม่ได้สั่งไว้ คุณพริมต้องการอะไรหรือเปล่าคะ” ทว่าพอแหนงหน้าขึ้นมองโฉมฉายก็ไม่พบกับหญิงสาวที่เพิ่งยืนอยู่ตรงประตูแล้ว
 
หญิงสาวเดินออกมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างขัดใจ
 
สิบวันที่ผ่านมาเธอควรจะมีความสุขเพราะอยู่ใกล้เขา เพราะเขา หากชิษณุก็เห็นงานสำคัญกว่าเธอเสมอ
 
‘ผมต้องคุยกับทางกรุงเทพฯ’ หรือไม่ก็ ‘มีธุระกับลูกค้า’
 
แล้วเขาก็จะหายเข้าไปในห้องทำงาน…สถานที่ๆ เธอไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่เท่าที่เธอรู้…ผู้หญิงคนนั้น เข้าไปได้
 
‘ก็เขาเป็นมือช่วยป้าโฉมนี่ครับ’ ชิษณุเคยบอกอย่างไม่ใส่ใจ
 
บางทีเขาหายออกไปข้างนอกครึ่งค่อนวัน บางวันเมื่อคาดคั้นถามว่าไปไหน พริมาก็จะได้คำตอบสั้นๆ ‘ธุระ’
 
‘ณุก็ให้ลูกน้องไปจัดการซิ’ เมื่อวานหญิงสาวย้อนกลับไปแบบนี้
 
หากดวงหน้าของชิษณุนิ่งเฉย ไม่ใส่ใจ แม้เมื่อเธอตะโกนไล่หลัง
 
‘ไปหาแม่นั่นใช่มั๊ย! ลูกน้องถึงทำแทนไม่ได้’
 
คราวนี้คนที่กำลังก้าวขึ้นรถหันควับทันที ‘ไม่รู้ก็อย่างเดามั่ว ถ้าอยากไปก็ไปด้วยกันก็ได้‘
 
เสียงเข้มและสีหน้าเอาจริง คิ้วขมวดของเขาบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิด รำคาญ  จนพริมาสองจิตสองใจ แต่ก็กล้ารับคำท้าแล้วขึ้นรถไปกับเขา
 
ธุระของเขาคือการตรวจดูไร่อ้อยท่ามกลางแดดจ้าและอากาศร้อนอ้าว แล้วแวะเยี่ยมชาวสวนชาวไร่ ต่อด้วยไปดูงานที่โรงสีและทุ่งไร่นาสารพัดที่เขาจะแวะไป
 
สำหรับเธอแล้วมันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน เหนื่อยแสนเหนื่อย
ทั้งวันมีแต่ธรรมชาติที่เธอไม่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งการเข้าไปที่โรงงานน้ำตาล เดินรอบๆ ตรวจดูการทำงาน
 
‘ธุรกิจน้ำตาลมีการควบคุมจากทางรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นราคา การกำหนดช่องทางการขาย หรือแม้แต่การแบ่งรายได้ระหว่างโรงงานกับชาวไร่อ้อ’ เธอจำได้อย่างเบื่อหน่ายว่าเขาอธิบายให้ฟังตอนที่กำลังดูการชั่งน้ำหนักของอ้อยที่เพิ่งได้รับเข้ามา ‘การแข่งขันยังไม่สูงเท่าไรนักเพราะผู้ประกอบการใหม่เข้ามาได้ยาก ทั้งประเทศมีโรงงานน้ำตาลราวๆ ห้าสิบกว่าโรงงาน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่โรงงานของผมทุกโรงถือว่าเป็นขนาดใหญ่นะ โดยเฉพาะที่นี่ ถือว่าใหญ่ที่สุดในภาคเลยก็ว่าได้’
 
ความภาคภูมิใจของเขาเด่นชัดในน้ำเสียงและสีหน้า เพียงแต่เธอมีแต่ความเบื่อ
 
‘ณุทำงานไปเถอะ พริมเมื่อยและร้อนมากๆ ขอเข้าไปนั่งพักที่ออฟฟิศ’
 
แค่เพียงบอกคงไม่ต้องรอเขาอนุญาตหรอก
 
เฉดเช่นที่เธอมิใส่ใจเมื่อเขาบอกว่าจะไปดูโรงงานอีกแห่งในเช้าวันนี้ แล้วชิษณุก็หายออกไปทั้งวัน
 
 
“มนต์จ๋า…เดี๋ยววันนี้ผมไปหา”
 
คำบอกสั้นๆ ทางโทรศัพท์เมื่อตอนเที่ยงวัน ทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะชะเง้อมอง…คอยตลอดทั้งช่วงบ่าย
 
หลายวันมานี่ เขามาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
 
ไม่ได้เจอ ไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียงของเขามันก็บีบความรู้สึกได้แปลกๆ
 
การมาของผู้หญิงอีกคน หมายถึงการที่มณิกานต์ต้องหยุดไป ‘ซ่องโจร’ ที่เธอแสนจะคุ้นเคย แล้วขังตัวเองไว้กับความเงียบเหงาภายในบ้าน
 
‘ผมไม่อยากให้คุณลำบากใจ ช่วงนี้คุณอยู่ที่บ้านดีกว่านะครับ’ เขาบอกง่ายๆ แต่ทำไมใจของเธอรู้สึกลำบาก แสนทรมานในทุกวัน
 
บางวันไม่เจอ และบางวัน กว่าจะได้เจอก็นานเหลือเกิน นานกว่าเธอจะได้ยินเสียงแตรรถที่คุ้นหูกดเรียกยาว และเมื่อนั้นแสงตะวันร่ำไรก็คล้อยต่ำ…จนทำให้คิด
 
วันของเรา ทำไมเหลือเพียงเท่านี้
 
‘ต่างคนต่างไปมีใครแล้วก็ไม่วายกลับมาตายที่เดิม’
 
น่าแปลกที่ประโยคนี้ยังคงก้องอยู่ไม่วายเว้นแม้เมื่อดวงหน้าคมคายดูเจนตานั่นโผล่ออกมาจากรถแล้วยิ้มให้เธอในตอนนี้ ก่อนที่เขาจะขับผ่านนำรถเข้าไปจอด
 
ไม่มีผู้ติดตาม…มีแต่เขาเพียงคนเดียวเฉดเช่นเคย
 
“มีธุระอะไร…” มณิกานต์ถามเมื่อเดินมาถึงโฟร์วิลส์ จนคนที่กำลังหยิบถุงมากมายออกจากหลังรถต้องหันมอง
 
“อย่าถามผมอย่างนั้นโดยใช้น้ำเสียงแบบนั้น” เขาดุหากยังคงแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายคุ้นเคย “เข้าไปข้างในก่อน เดี๋ยวผมขนของตามเข้าไป”
 
“ช่วย…”
 
ยังไม่ทันที่เขาจะห้าม หญิงสาวก็คว้าถุงสี่ถุงที่ใส่ของมาจนเต็ม เดินตัวเอียงเข้าไปในบ้าน ไม่นานนักคนร่างสูงก็เดินตามเข้ามา
 
“มีพวกผักและเนื้อ ที่คุณจะทำให้ผมกินไง คิดถึงกับข้าวฝีมือของมลพิษของผมที่สุดเลย”  ชิษณุโอบกระชับเอวคนที่ยืนนิ่ง หอมแก้มหนึ่งฟอด “อ้อ…ผมซื้อของใช้ภายในบ้าน และของส่วนตัวมาให้ด้วย ตอนแรกกะจะชวนคุณไปด้วยกัน แต่เผอิญวันนี้ผ่านพอดีเลยแวะซื้อ กะว่าจะมาให้ทันพาคุณไปนั่งที่ยอดเนินนั่น…”
 
“ว่างนักเหรอ”
 
“บอกแล้วไงว่าอย่าใช้น้ำเสียงแบบนี้ ไม่น่ารักเลย” เขาจับตัวหญิงสาวหันหน้ามา “ผมไม่ค่อยว่างอยู่แล้วคุณก็รู้ และตอนนี้ก็มีแขกมาที่บ้านอีก…”
 
“คุณน่าจะใช้เวลาอยู่กับแขกของคุณ” เธอเน้นคำว่า ‘แขก’ ชัดเจน
 
นั่นทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจ “พริมเป็นเพื่อนที่ดีของผม แต่ผมรู้สึกว่าผมใช้เวลาอยู่กับพริมมานาน…นานมาก นานเกินไป”
 
“แต่คุณก็ยังคงใช้เวลาอยู่กับคุณพริมาต่อไป…” หญิงสาวเชิดหน้าหันไปทางอื่น รู้สึกน้อยใจขึ้นมา
 
เขาจะยอมตัดยัยพริกเชียวหรือ…นี่เป็นคำถามที่เธอครุ่นคิดไม่วายวัน
 
“มนต์จ๋า…ในตอนนี้เวลาของผมเป็นของคุณเพียงคนเดียว” มือทั้งสองช้อนดวงหน้านั้นขึ้นมา “ผมคิดถึงคุณมาก เร่งทำงานให้เสร็จ และรีบซื้อของเพื่อจะได้มาเจอคุณให้เร็วที่สุด อยากใช้เวลาอยู่กับคุณ ผมคิดถึงรอยยิ้มของคุณ คิดถึงน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของคุณ คิดถึงทุกอย่างที่เป็นคุณ มนต์…”
 
เสียงที่เขาเรียกชื่อของเธอนั้นทอดลงอย่างอ่อนโยน
 
“ฉันก็คิดถึงคุณ” มณิกานต์ใจอ่อน ดวงตาสวยเป็นประกายทอดหวานก่อนเธอสวมกอดเขาไว้แน่นด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี อยากจะบอกเหลือเกินว่าใจของเธอเจียนขาดรอนๆ เพราะความคิดถึง…เพราะความคิด
 
เขาจะรู้บ้างไหมว่าหลายวันที่ผ่านมาเธอเป็นเช่นไร
 
แต่ละวันยาวนานนักไม่ได้พบกัน นอกจากชนินทร์ที่ได้เจอตอนเช้าและตอนค่ำแล้ว เพื่อนของเธอก็เป็นเพียงเสียงใสกังวานจากหีบเพลงรูปไข่เท่านั้น
 
อ้อมกอดจากแขนเรียวเล็กกระชับแน่นเมื่อเขาประทับริมฝีปากร้อนผ่าวลงมาแนบชิด ประหนึ่งจะถ่ายเทความร้อนแรงของความคิดถึงสู่ตัวของเธอ
 
“มนต์…” เสียงพร่ำเบาราวปุยนุ่น หากก็หยุดเพียงแค่นั้น
 
หัวใจของเขาเต้นแรงพอๆ กับหัวใจของเธอที่เปี่ยมด้วยความลึกซึ้งและพร่ำหาเพียงเขาไม่เว้นวายแม้กระทั่งในเวลานี้
 
อ้อมแขนเล็กละมุนสวมกอดเขาด้วยความอ่อนโยนที่มาจากหัวใจ “ฉันรักคุณค่ะณุ”
 
เขาจะไม่ได้ยินเชียวหรือ…
 
 
ฤดูหนาวของช่วงปลายปีทำให้เวลาแห่งแสงสว่างของแต่ละวันเหลือน้อยลง…และน้อยลงทุกที ยังไม่ทันหกโมงเย็น ดวงตะวันที่เคยส่องแสงแรงกล้าก็ลาลับไปพร้อมเส้นแสงที่เห็นอยู่ตรงปลายฟ้าไกล
 
หญิงสาวจัดแจงแขวนเสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขาขึ้นบนราวเล็ก ก่อนหันไปมองคนที่ยังคงหลับสนิทบนเตียง
 
ไปโรงงาน ไปโงสี ไปไร่อ้อย ไปออกงานของอ.บ.ต. ไปโรงเรียนให้ทุนการศึกษา ไปดูตลาดในอำเภอ และสารพัดงานและกิจกรรมในแต่ละวันที่เขาเล่าให้เธอฟังเฉดเช่นทุกครั้งที่เจอกัน
 
มือเรียวเล็กที่กระชับผ้าห่มคุมร่างของคนตัวใหญ่ หากแล้วข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้  และด้วยแรงเพียงนิดร่างระหงก็ถลาลงซบลงกับแผ่นอกเขา
 
“แน๊…แกล้งหลับ”
 
“เพิ่งตื่นต่างหาก” รอยยิ้มจากใบหน้าคมคายไม่ปิดบังความเจ้าเล่ห์ เขาค่อยๆ พลิกตัวประคองร่างนวลละเอียดนอนราบลง “จะไปไหนมนต์สะกดของผม”
 
“กำลังจะลงไปเตรียมกับข้าวไว้ให้คุณไง หรือว่าคุณจะกลับไปกินที่บ้านโน้น” ประโยคหลังไม่มั่นใจเสียเลย
 
“ผมยังจะไปที่อื่นได้เหรอ” ลมหายใจอุ่นกระซิบข้างหู
 
ร่างของคนตัวใหญ่ที่แนบชิดทำให้มณิกานต์รู้สึกร้อนผ่าว “ฉันห้ามคุณไม่ได้นี่  เป็นสิทธิ์ของคุณ”
 
“สิทธิ์ของผมอยู่กับคนนี้ต่างหาก” เขามิพูดเปล่า หากมือยังลูบไล้แก้มนวลด้วยความอ่อนโยน “รู้ไหมว่าผมคิดถึงกับข้าวฝีมือมลภาวะของผมมากๆ”
 
“ไม่ค่อยน่าเชื่อเลย ฉันไม่ใช่พวกสาวโรงงาน หรือคนงานก่อสร้างหยุดประท้วงที่คุณจะเกลี้ยกล่อมได้ง่ายๆ” น้ำเสียงลงหนักทว่าสายตาที่มองเขานั้นหวานยิ่งนัก 
 
“พูดจริง ใจจริง…ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่ามนต์สะกดของผมเป็นคนทำ ตรงเนี๊ยป้าโฉมกับคุณน้ายังสู้มนต์จ๋าไม่ได้เลย ว่าแต่มื้อเย็นทำอะไรเหรอ ผมชักเริ่มหิวแล้วซิ”
 
“เจียวไข่ง่ายๆ ก็แล้วกัน เพราะพอพี่หมอมาก็ต้องเอากับข้าวกลับมาอยู่ดี”
 
ชิษณุส่ายศีรษะช้าๆ แววตาระยิบราวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “พี่นินทร์ไม่กลับ”
 
“อ้าว…”
 
“ไม่อ้าวหรอก ตอนนี้อากาศกำลังดี” ดวงหน้าคมดูแพรวพราว
 
“โอย….มุขอ๊ะเปล่าเนี่ย…ฝืดดดด”
 
การหยอกเย้าหัวเราะด้วยความสุขมีครู่ใหญ่จนชิษณุแจง “พี่นินทร์ต้องไปทำธุระที่กรุงเทพฯ กว่าจะกลับก็พรุ่งนี้บ่าย”
 
“ทำไมไม่บอกก่อน”
 
“ก็กำลังบอกนี่ไง” ชายหนุ่มแนบหน้าที่โปรยด้วยรอยยิ้มชิดอีกฝ่าย “พรุ่งนี้ผมก็ต้องเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพฯ กว่าจะกลับมาหามนต์จ๋าก็อีกหลายวัน”
 
ความเงียบปกคลุมเพียงครู่เมื่อริมฝีปากร้อนแนบประทับคลอเคลียกับแก้มนวล
 
ลมเย็นจากนอกหน้าต่างพัดโชยเข้ามาจนหญิงสาวต้องกอดร่างของเขาแน่นขึ้น
 
 
“ไปด้วยได้ไหม” หญิงสาวตัดสินใจถาม และคำถามของเธอทำให้เขาชะงัก ดวงตาคมจริงจังมองอย่างสงสัย
 
“ทำไม” น้ำเสียงของชิษณุเรียบไร้แววหยอกล้อเช่นเดิม
 
“ไม่…” มณิกานต์ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร เพราะจิตใต้สำนึกเตือนเธออยู่ตลอดเวลาว่า…ควรกลับบ้านเสียที
 
เธอห่วงผู้เป็นพ่อ แม้ให้เคยเสียใจแค่ไหน ก็ห่วง
 
 
แต่หัวใจของเธอรบเร้าให้อยู่ต่อ…อีกนิดหนึ่ง…นิดเดียวเท่านั้นเอง
 
‘แม้ลูกจะปลอดภัย แต่แม่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี’ มารดาของเธอย้ำเช่นนั้นทุกคราวที่ได้สนทนากันทางโทรศัพท์ ‘คุณพ่อเขาก็เป็นห่วงลูกมากนะ’
 
เพียงแต่ว่าถ้ากลับไปในสังคมที่เคยคุ้นแล้ว ก็คงไม่มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตแบบนี้อีก ที่สำคัญ…โอกาสที่เธอจะได้อยู่กับ…เขาเหมือนเช่นทุกวันนี้จะมีอีกหรือเปล่า
 
 
แขนใหญ่ที่กอดประคองร่างเล็กนั้นค่อยๆ คลายอย่างแผ่วเบา…ระวัง ราวเกรงว่าจะปลุกอีกฝ่ายจากนิทรารมย์ สายตาคมราวจิ้งจอกเพ่งมองร่างขาวนวลในความมืดสลัวของยามพลบค่ำ แม้ไม่ชัด แต่เขาก็จำได้ทุกรายละเอียดชัดเจน
 
ยลโฉมเพ็ญพักตร์                   พิสมัย
ต้องมนต์ดลใจ                         ลึกซึ้ง
หมายผูกเสน่ห์ไว้                     ร่วมกันนา
คงมั่นตราตรึง                         ไปเนิ่นนานฯ
 
ชิษณุหลับตา พยายามสลัดความรู้สึกทุกอย่าง เตือนตัวเอง…รสเสน่หาและความอ่อนหวานที่เกิดขึ้นก็แค่ส่วนหนึ่งของความใคร่เท่านั้นเอง
 
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็ลุกจากเตียง คว้ากางเกงที่พาดบนราวผ้ามาสวม ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ ก่อนเปิดประตูห้องเดินลงมาข้างล่าง
 
ทุกท่วงท่าคล่องแคล่วหากเงียบสนิท มือกำโทรศัพท์แน่น
 
จะทำงานใหญ่เมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่างลังเล….เคยมีคนสอนเขานานมาแล้ว
 
อย่ารู้สึกรัก อย่ารู้สึกเมตตา อย่ารู้สึกปราณี อย่ารู้สึกสงสาร อย่ารู้สึกผูกพันเพราะความรู้สึกสิ่งเหล่านั้นทำให้จิตใจอ่อนลง บางครั้งกลายเป็นอ่อนแอไม่เด็ดขาด
 
น่าแปลกที่ชิษณุรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความรู้สึกบางอย่าง
 
ความรู้สึก…ที่แม้แต่เจ้าตัวเองไม่อาจรู้ชัดว่า…อะไร
 
ในความมืดเขาเห็นแสงไฟบางเบาจากเครื่องโทรศัพท์เตือนว่ามีสายเรียกเข้า  สายตาคมเพ่งมองคล้ายกำลังตัดสินใจ
 
นี่เขามาคิดสองจิตสองใจตั้งแต่เมื่อไร
 
…หน้าที่คือหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จ อย่าลังเล…
 
“เงินได้ครบแล้ว” เมื่อกดรับ เสียงปลายสายจึงรายงาน “ขอเวลาสามวันในการกระจายเงินส่วนที่เหลือก่อนเอาเข้า offshore accounts”
 
อำนาจและเครือข่ายช่วยเดวิดจัดการทุกอย่าง…ง่าย ในหลายบริษัท หลายตัวแทน หลายประเทศ ด้วยความซับซ้อนวุ่นวาย
 
เดวิดพร้อมช่วยเหลือเพื่อนเสมอ หากจะถามว่าเพราะอะไร…คำตอบของเดวิดคงไม่ต่างจากเด็กคนไทยที่เมื่อหลายปีก่อนที่ต้องโดนตัดคะแนนพร้อมกับเขาและเพื่อนๆ อีกหลายคน ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายห้ามไม่ให้เพื่อนๆ แอบหนีไปนอกโรงเรียนประจำอันดับหนึ่งของประเทศ
 
‘ถามอะไรโง่ๆ ก็เพราะว่านายเป็นเพื่อนฉันน่ะซิ ฉันห้ามไม่ได้ก็มีความผิดด้วย’  คนพูดยักไหล่ราวทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติ
 
หรือจะเป็นตอนที่เขาถูกกลุ่มเด็กนักเลงรุมแกล้งตอนออกไปทัศนศึกษาในเมืองใหญ่ ก็คงมีเพียงแต่เพื่อนคนนี้ที่ไม่ได้วิ่งหนีเหมือนคนอื่นๆ หากร่วมช่วยเหลือกันจนกระทั่งพากันวิ่งออกมาได้
 
‘สองรุมหนึ่งไม่มีปัญหา แต่ถ้ามากกว่านั้นอาจไม่รอดเพราะฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น”
 
เพื่อนให้ความจริง และเดวิดก็เชื่อ
 
เชื่อในเพื่อน และเชื่อเสมอมา
 
“เชื่อว่านายทำได้” ในวันนี้ชิษณุ…เชื่อในตัวเขา “ช่วงนี้ทางกองทุนทิ้งหุ้นบางส่วนแล้ว หวังว่านายคงกว้านซื้อและทำกำไรไปแล้วหลายรอบ” รอยยิ้มที่ปรากฏในความมืดย่อมไม่มีใครได้เห็น
 
“แน่นอน”
 
“ดีใจด้วย…” ชิษณุหัวเราะเบาๆ กำไรที่เดวิดได้จากการเล่นเกมในครั้งนี้อาจไม่มากเหมือนการลงทุนที่อื่น แต่เงินก็คือเงิน กำไรก็คือเงิน คือผลประโยชน์ คือชัยชนะ “เขาไม่มีอะไรสู้ฉันได้เลยทั้งทางธุรกิจหรือเรื่องส่วนตัว คนคุมเกมนี้คือฉัน”
 
กุมทั้งหุ้นในบริษัทของนายดิลกไว้อย่างเงียบๆ และกำลังกุมทั้งร่างกายและหัวใจของหญิงสาวที่เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของศัตรู
 
ผู้เป็นเพื่อนพลอยหัวเราะตาม “Young wood makes a hot fire[1]” 
 
“เปรียบเทียบอย่างนั้นไม่ค่อยดีเลย เพราะไม้ที่ใช้ก่อไฟย่อมถูกเผาไหม้ไปกับไฟ ฉันไม่อยากเป็นไม้ที่ถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน”
 
“ไม่ซินายเป็นหินที่ใช้ก่อไฟต่างหาก” นี่คือความจริงที่เดวิดยอมรับ
 
ไฟแค้นที่สุมอยู่ในดวงใจของเพื่อนมันรุ่มร้อนกว่าจะมีอะไรมาดับได้…นอกจากการล้างแค้นที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
 
 
เหมือนที่คาดการณ์ไว้แล้ว เมื่อมาถึงบ้านแล้วพริมาต้องโวยวายเป็นการใหญ่เรื่องที่เขาหายไปทั้งคืน ชิษณุได้แต่ถอนหายใจพยายามควบคุมอารมณ์ เขาเข้าใจพริมา ทว่าครั้งนี้
 
“เพลาๆ บ้างเถอะ” การกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา…ไม่ใส่ใจ
 
“พริมไม่เคยแคร์ถ้าณุจะมีคนอื่น แต่พริมขออย่างเดียวว่าณุห้ามให้ความสำคัญกับใครมากกว่าพริม” ประโยคนี้หญิงสาวย้ำกับเขาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
 
ทว่ากับคนใกล้ตัวเช่นชนินทร์ ชิษณุคิดด้วยความเป็นจริง ‘พริมเป็นเพื่อนที่ดี  ถ้าผมจะรักเขาก็คงจะรักไปนานแล้ว พริมช่วยผมมาแต่ก็ช่วยจนบางทีทำให้รู้สึกว่าผมเอาศักดิ์ศรีไปแขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย’
 
ศักดิ์ศรีและมโนธรรมที่ชิษณุเลิกแยแสมานานแสนนาน
 
ให้ผ่านมากี่สิบปี กี่เดือน กี่วัน เช่นวันนี้ที่รถตู้คันใหญ่วิ่งเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ โดยมีรถยุโรปคันงามของพริมาถูกขับตามมาข้างหลัง คนที่นั่งอยู่ที่เบาะนั่งอีกตัวมองค้อนชายหนุ่มที่หลับตาพิงเบาะข้างๆ อย่างสบาย
 
“ณุจะบอกพริมได้หรือยังว่าทำไมต้องรีบกลับกรุงเทพฯ” ถึงจะผ่านมาเกือบสองชั่วโมงบนถนนสายนี้ แต่เธอก็ยังไม่หมดสิ้นความสงสัย
 
“ผมต้องทำธุระ” คนตอบยังคงหลับตานิ่ง ไม่ขยับ
 
“เป็นเพราะผู้หญิงที่อ้างเป็นญาติของพี่นินทร์คนนั้นใช่ไหม” พริมาคาดคั้นเสียงหนัก “ญาติพี่นินทร์มีไม่กี่คน ที่สนิทสุดก็ณุ อีกอย่างผู้หญิงนั้นหน้าตาคุ้นๆ เหมือนพริมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
 
คราวนี้ชิษณุลืมตาขึ้นช้าๆ เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะรู้สึกรำคาญหรือหวาดระแวง
 
“ก็อาจเป็นอย่างที่พริมคิดนั่นแหละ อย่าถามให้มากเลย…เหนื่อย” เขาปิดตาลงอีกครั้ง
 
“ณุเปลี่ยนไป…”
 
ทว่าชิษณุยังคงหลับตาสนิท นั่งนิ่งเหมือนเดิม อีกเนิ่นนานกว่าเขาจะตอบ
 
“ผมก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว”
 
เพียงแต่บทบาทอาจแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
 
 
อุณหภูมิของเครื่องทำความเย็นนั้นอยู่ในระดับกำลังสบาย ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป ทว่าความสบายก็เพียงแค่ร่างกาย แต่…ใจ มิได้สบายไปด้วย นายแพทย์หนุ่มไม่ได้กลัว ไม่ได้วิตก ทว่าใจที่ไม่สบายก็เพราะความเป็นห่วง
 
ห่วง…ที่ผูกเป็นเกลียวแน่นจนน่าพิศวง
 
ชนินทร์ไม่แน่ใจหรอกว่าสารินและนทีที่นั่งร่วมโต๊ะประชุมจะรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ เพราะท่าทีของทั้งครู่นิ่ง
 
หมอหนุ่มชำเลืองไปทาง…น้องน้อย…ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยอุ้มขึ้นมาจากลำน้ำไหลเชี่ยวและเย็นเฉียบ
 
เย็นเยือกนัก…ร้าวราญยิ่งนัก
 
ใจจะขาดเสียเลยให้ได้นัก
 
ชิษณุมิใช่เด็กน้อยคนนั้นอีกแล้ว หากกลายเป็นคนที่สามารถพูดถึงการเอาชีวิตเข้าเสี่ยง จัดการ…ชีวิตผู้อื่นราวว่าเป็นการคุยธุรกิจธรรมดา
 
‘คุณณุยังมีคุณหญิง คุณพร มีป้าโฉมนะครับ’ ชนินทร์เคยพยายาม…กล่อม
 
‘มีแล้วยังไง ไม่มีแล้วยังไง’
 
‘มีคนที่รักและเป็นห่วงคุณณุ แม้ว่ารัก…ในนิยามของเราทุกคนต่างกันไป มีข้อจำกัด มีความจำเป็น มีความต้องการต่างกัน ความรักของคุณณุล่ะเป็นแบบไหน’
 
‘ไม่รู้’ ดวงหน้านั้นครุ่นคิด น้อยครั้งนักที่ชิษณุจะ…ไม่รู้ ‘หลายปีที่ผ่านมา ผมคิดแต่เรื่องความแค้นของผม สิ่งที่ผมโดนกระทำ คนที่ทำร้ายผม มากกว่าที่จะคิดถึงเรื่องอื่น โดยเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ความรักมักทำให้คนอ่อนแอ มันเป็นจุดอ่อน เป็นขวากหนาม’
 
‘ที่ผ่านมาเป็นเช่นนั้น แล้วในอนาคตล่ะครับ’ เสียงของชนินทร์ย้ำหนักแน่น ‘ถ้าคุณณุรัก…คนอื่นเป็น รักคนอื่น…มากกว่าตัวของคุณณุเอง บางทีคุณณุอาจไม่ต้องมาเสียเวลาวางแผน คิดแผนการที่คุณณุกำลังจะทำเลยก็ได้’
 
‘ผมกลับมายืนที่จุดนี้ได้ เพราะผมโชคดีที่ผมมีความเกลียดมากกว่าความรู้สึกอื่น โชคดีที่ผมเห็นแก่ตัว’ ศีรษะได้รูปสวยโค้งลงเพียงนิดเป็นการยอมรับ แววตามีประกายอ่อนลงเพียงแวบเดียว ‘แต่ในความเห็นแก่ตัวของผม ในความโหดร้าย ในความเลวของผม ผมโชคดีที่มีพี่นินทร์เป็นพี่ชายที่ดี เป็นที่ปรึกษาที่ผมไว้ใจ และดูแลผมในฐานะคุณหมอด้วย’
 
‘ผมกลัวว่าถ้าพลาด ผมจะไม่มีโอกาสได้ดูแลคุณณุอีก’
 
หากคนอายุน้อยกว่ากลับตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ ให้ความมั่นใจ
 
‘เกมนี้ใช้ชีวิตของผมเป็นเดิมพัน แล้วผมจะปล่อยให้พลาดได้อย่างไร พี่นินทร์ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็แล้วกันครับ’
 
และเมื่อถึงคราวต้องเข้าประชุมกับคนอื่นๆ ในเวลานี้ เสียงทุ้มของชิษณุสามารถสั่งการเรื่องแผนงาน ราวว่าเป็นงานทั่วๆ ไปที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน…เป็นปรกติ
 
จริงจัง…เด็ดขาด
 
“ทางพี่นินทร์ก็ต้องระวังไว้อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวเข้ามายุ่ง” ดวงตาคมมองไปทางคุณหมอคล้ายจะย้ำ…ย้ำให้รู้ว่าเขาหมายถึง…ใคร “ทุกอย่างต้องเป็นปรกติ”
 
ทำหน้าที่ตามปรกติย่อมทำได้ง่าย หากการควบคุมความวิตกกังวลนั้นแสนยาก
 
คนที่เอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยง วางมันไว้บนเส้นด้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยไม่ลังเล…คงมีแต่ชิษณุ ผู้เดียวเท่านั้นที่ทำได้!

 
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
ReadAWrite : manas.readawrite.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 
[1] สุภาษิตกรีก





 


Create Date : 12 เมษายน 2563
Last Update : 12 เมษายน 2563 14:59:07 น. 0 comments
Counter : 474 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.