Group Blog
 
All blogs
 

ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง

โดย สายฝน เม่าทอง(เทคโนโลยีชาวบ้าน)

จำเนียร กาญจนพรหม เกษตรกรเมืองตรัง อยู่อย่างพอกิน-พอใช้ จนได้รางวัลดีเด่นระดับภาค



ขอเอามาเป็นแบบอย่างครับ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ (ฉบับนี้ก็ซื้อไว้ ติดตามแทบทุกฉบับครับ)

จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540 ที่พระราชทานให้กับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศให้ใช้ชีวิตอย่างพอมี พอกิน พอใช้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เพื่อให้ชาวไทยทั้งชาติสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้ ปัจจุบัน แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นบ้างตามลำดับก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจะถูกมองข้าม หรือยุติลงแค่นั้น ทว่ากลับได้รับการยอมรับในการนำมาเป็นกรอบแนวคิดเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

และเพื่อให้เป็นไปตามแนวพระราชดำริ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จึงได้ร่วมมือกันจัดทำ "โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และการทำการเกษตรแบบผสมผสาน การส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (Effective Microorgaism หรือ EM) แทนการใช้สารเคมี ทั้งในด้านการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์น้ำ การปศุสัตว์และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการปลอดสารพิษเป็นหลัก และตลอด 2 ปี ที่ผ่านมาได้มีเกษตรกรทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ คุณจำเนียร กาญจนพรหม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 107 /1 หมู่ 12 ตำบลนาท่ามเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง 92190 ที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต จนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับภาคใต้ของโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในที่สุด

คุณจำเนียร ได้เล่าให้ฟังถึงชีวิตของตนเองก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการชีววิถีฯ ว่า เดิมมีอาชีพทำสวนยางพารา ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ สุกร และไก่ ควบคู่ไปด้วย ส่วนสามีก็รับราชการ รายได้ก็พอมีพอใช้จ่ายภายในครอบครัว หลังจากที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้เข้ามาส่งเสริมและให้ความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็ชักชวนเพื่อนบ้านไปดูว่าเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร พอเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มากและตัวเองมีพื้นที่อยู่ประมาณ 1 ไร่ ก็คิดว่าน่าจะเลี้ยงปลาในบ่อพลาสติก และปลูกผักรอบๆ บ่อปลา เหมือนที่เจ้าหน้าที่มาแนะนำ ดังนั้น เมื่อเห็นตัวอย่างแล้วก็ลองทำดู

ในช่วงเดือนเมษายน ปี 2548 ด้วยการขุดบ่อปลา กว้างxยาวxลึก เท่ากับ 2x4x1 เมตร และรอบๆ บ่อปลาก็ปลูกผักสวนครัวที่ดูแลได้ง่าย เช่น ผักกูด ไว้โดยรอบ พื้นที่บริเวณบ้านก็ปลูกผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือ ตะไคร้ ฟัก และอื่นๆ อีกมากมาย เวลาจะกินจะใช้ภายในครัวเรือนก็ไม่ต้องไปซื้อที่ไหน

คุณจำเนียร กล่าวว่า ตนเองได้นำแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้กับการเกษตรใน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ การเพาะปลูก การปศุสัตว์ การประมง และสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้จะเน้นเรื่องความปลอดภัย ปลอดสารพิษ สารเคมีเป็นหลัก คือ จะใช้วิธีการทางชีวภาพทั้งสิ้น ตอนแรกคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่พอลองทำจริงๆ ก็ปรากฏว่าการใช้พวกจุลินทรีย์ต่างๆ สามารถใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูกเมื่อใช้พวก EM นอกจากจะปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้แล้ว ยังทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ในด้านการปศุสัตว์ ก็ช่วยบำบัดกลิ่นในคอกสุกร การทำความสะอาดคอกสุกร เป็นการป้องกันเชื้อโรคที่เกิดขึ้นกับสัตว์ไปในตัว ด้านการประมงก็นำ EM มาใช้ได้ในบ่อปลา คือลดปัญหาน้ำเน่าเสีย และด้านสิ่งแวดล้อม ยังช่วยดับกลิ่นในห้องน้ำ บำบัดน้ำเสียบริเวณบ้าน และยังช่วยแปรสภาพเศษอาหารในครัวเรือนให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินสำหรับต้นพืชได้

เริ่มต้นคุณจำเนียรเลี้ยงปลาจำนวน 2 บ่อ เท่านั้น แต่เมื่อเห็นว่าให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจจึงขยายบ่อปลา จนถึงขณะนี้คุณจำเนียรมีบ่อปลาทั้งหมด 8 บ่อแล้ว เป็นปลาดุก 5 บ่อ ปลาหมอ 1 บ่อ ปลานิล 1 บ่อ และกบอีก 1 บ่อ เจ้าตัวได้เล่าให้ฟังถึงขั้นตอนในการเลี้ยงปลาว่า หลังจากเตรียมบ่อเรียบร้อยแล้ว ก็ปล่อยน้ำลงบ่อทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน แล้วให้ใส่จุลินทรีย์ลงไปด้วยเพื่อปรับสภาพน้ำให้มีสีเขียว คือให้มีอาหารสำหรับปลานั่นเอง จากนั้นก็ใส่พวกผักบุ้ง ผักกระเฉด ลงไปในบ่อ และสังเกตว่าผักเหล่านี้เริ่มเจริญเติบโตได้ดี ก็แสดงว่าสภาพน้ำเริ่มใช้ได้แล้ว ให้นำพันธุ์ปลาไปปล่อยได้ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนครึ่งปลาก็เริ่มโตแล้ว สำหรับต้นทุนของอาหารปลาทั้งหมด 3 เดือน ก็อยู่ที่ประมาณ 1,300 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะผลผลิตที่ได้เมื่อเหลือจากการบริโภคในครัวเรือนก็นำไปจำหน่าย ถึงตอนนี้ก็สร้างรายได้เสริมถึงจุดคุ้มทุนแล้ว

"สิ่งสำคัญจากการเลี้ยงปลา ปลูกผัก ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้อยู่ที่รายได้จากการขายผลผลิต เราไม่ได้วัดความสำเร็จจากเรื่องนี้ แต่อยู่ที่ความปลอดภัยของครอบครัวที่มั่นใจได้ว่าอาหารทุกชนิดที่ลูกๆ หรือสามีรับประทานนั้นไม่มีสารพิษตกค้างแน่นอน เพราะเราปลูกผัก เลี้ยงปลามาเองกับมือ ทุกวันนี้เรารู้สึกไม่มั่นใจความปลอดภัยจากผักที่วางขายในท้องตลาด

ดังนั้น ปลูกกินเองดีกว่า สบายใจกว่าเยอะ และยังเป็นการลดรายจ่ายภายในบ้านด้วย ทุกวันนี้ไปตลาดก็แทบจะไม่ต้องซื้ออะไรมาก เพราะทุกอย่างก็มีอยู่ในแปลงผักข้างบ้านของเราแล้ว สำหรับผัก และปลาที่ขายได้ถือเป็นผลพลอยได้จากความพยายามของเรา ตอนนี้ก็มีคนมาซื้อถึงบ้าน เขาได้ยินแล้วบอกต่อๆ กันมา อย่างกบขายได้ราคาดีกิโลกรัมละ 65 บาท เลยคิดว่าจะขยายบ่อกบเลี้ยงอีกประมาณ 1,000 ตัว ไม่ต้องมาก 5-6 เดือน ก็โตเต็มที่แล้ว" คุณจำเนียร กล่าว

เมื่อเดินสำรวจบริเวณแปลงผักสวนครัวของคุณจำเนียรและครอบครัวก็จะเห็นว่าเจริญเติบโตได้ดี สภาพดินก็ไม่แห้ง เจ้าตัวบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมักที่ทำใช้กันเองภายในครอบครัว และที่สำคัญสามารถนำน้ำจากบ่อปลามารดผักได้ ถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทำกันมานานแล้ว และยังใช้ได้ดีอยู่ไม่ต้องไปจ่ายเงินซื้อปุ๋ยอีก และจากที่ทำมาทั้งหมด การเพาะปลูกจะให้ผลตอบแทนในเรื่องของรายได้มากที่สุด เพราะไม่ต้องลงทุนอะไร เมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ต่างๆ เจ้าหน้าที่ก็ให้มา หลังจากนั้นก็มาขยายพันธุ์ต่อเอง ถ้าเราตั้งใจจริงมีเวลาให้กับมันก็มีแต่ได้กับได้ ไม่มีอะไรต้องเสีย และยิ่งในช่วงหน้าแล้งผักจะขายได้ราคาดี เพราะของเราจะงามกว่าที่อื่นช่วงนั้นบวบขายได้หลายร้อยบาทเลยทีเดียว และเมื่อลองคำนวณถึงรายได้จากการขายของที่ปลูกเอง เลี้ยงเองเดือนหนึ่งประมาณ 400-500 บาท คุ้มค่ามาก ดีกว่าปล่อยพื้นที่ทิ้งไว้โดยเปล่าประโยชน์

และไม่ใช่แค่แปลงผักเท่านั้น เมื่อลองเดินไปสุดทางข้างหลังบ้านของคุณจำเนียรก็จะเห็นต้นยางพาราเรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมด้วยโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ด โรงเรือนไก่ และคอกสุกรอยู่ระหว่างแถวยางพารา ซึ่งจัดการพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

คุณจำเนียร บอกว่า เริ่มแรกก็เลี้ยงสัตว์ในสวนยางพาราก่อน รายได้ก็พอจุนเจือครอบครัวแล้ว แต่พอมาเลี้ยงปลา ปลูกผักแบบพอเพียงก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้น เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ยางพาราจะราคาตกหรือไม่เราก็อยู่ได้ อย่างน้อยก็มีข้าวปลาอาหารพร้อมแล้ว ไม่ต้องไปกังวลว่าวันนี้จะหาอะไรให้ลูกกิน

"จำเป็นต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะต้องลุกขึ้นมากรีดยาง หลังจากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดคอกหมู ให้อาหารไก่ ให้อาหารปลา และดูแลความเรียบร้อยของแปลงผัก ใช้เวลาครึ่งวัน แล้วช่วงบ่ายๆ ก็หาอะไรทำเรื่อยๆ จะเห็นว่ามีงานอะไรให้ทำมากมายในแปลงผักถ้าเราคิดจะทำ หลายคนบอกว่าเหนื่อยทำไมต้องทำอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้ เพื่อนผู้หญิงข้างบ้านเขาก็ไม่ทำกัน แค่กรีดยางก็หนักหนาแล้ว พอเริ่มทำแรกๆ ก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่พอเข้าที่เข้าทางแล้วก็เริ่มรู้สึกสนุกกับงาน ยิ่งผักขึ้นงามเท่าไหร่ เราก็มีความสุขตามไปด้วย การอยู่กับแปลงผักเขียวๆ ทุกวัน มันก็ทำให้เราใจเย็นขึ้นมาก" คุณจำเนียร กล่าว

อย่างไรก็ตาม คุณจำเนียร ได้ให้ข้อแนะนำสำหรับแม่บ้านทุกคนที่คิดจะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในครอบครัวด้วยการทำการเกษตรแบบยั่งยืนว่า ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุน หรือใช้พื้นที่มากมาย แต่ให้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้เข้าใจก่อน อาจจะหาความรู้จากหนังสือ นิตยสารต่างๆ หรือสอบถามจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ สิ่งสำคัญคือ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยอมรับเอาเทคโนโลยีการเกษตรหรือความรู้อะไรใหม่ๆ มาใช้บ้าง และรู้จักนำภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้กันมานานแล้วนำมาใช้ต่อ อย่าไปคิดว่ามันเป็นงานหนักสำหรับผู้หญิง มันจะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้คนในครอบครัวได้อยู่ดีกินดี ซึ่งคิดว่าแม่บ้านหลายคนทำได้ถ้าคิดที่จะทำจริงๆ ไม่ต้องรอให้พ่อบ้านเป็นคนเริ่มก่อน ไม่เช่นนั้นจะเสียโอกาส

และผลจากความพยามยาม ความตั้งใจของคุณจำเนียร ทำให้เธอได้รับรางวัลชนะเลิศระดับภาคของโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แม้ว่ารางวัลจะไม่ได้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเธอ แต่มันก็ช่วยสร้างกำลังใจให้ผู้หญิงคนนี้ได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคมต่อไป และตอนนี้ผลงานของคุณจำเนียรได้กลายเป็นจุดถ่ายทอดเทคโนโลยีของโครงการชีววิถีฯ และเป็นแหล่งความรู้ทางด้านการเกษตรแบบยั่งยืนให้กับผู้สนใจจากทั่วประเทศ สำหรับท่านใดที่สนใจเศรษฐกิจแบบพอกินพอใช้ตามแบบฉบับของคุณจำเนียรก็ติดต่อได้ตามที่อยู่ข้างต้น หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ (07) 275-4050 หรือติดต่อที่ คุณวิรัตน์ กาญจนพรหม ได้ที่ โทร. (09) 871-1160 ได้ทุกวัน




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 3 มิถุนายน 2553 10:28:08 น.
Counter : 5315 Pageviews.  

“เศรษฐกิจพอเพียง”

“...พอมีพอกิน ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
ถ้าแต่ละคนมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าประเทศมีพอกินยิ่งดี...”
(พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)



ตัวอย่างบุคคลที่คำเนินชีวิตตานแนวเศรษฐกิจพอเพียง จากเวปกระดานดำ

- ปฏิพัทธ์ จำมี
• ดาด พันธุ์พงษ์
• ภาคภูมิ อินทร์แป้น
• ทองมา เปรียบยิ่ง
• นันทา หายทุกข์
• สุข ทองอ้ม
• โบตั๋น แสนมี
- สุวรรณ กันภัย

ตามลิงค์ครับ //www.kradandum.com




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2549 11:31:51 น.
Counter : 2324 Pageviews.  

แนวเกษตรพอเพียง

แนวเกษตรพอเพียงหรือตามทฤษฎีใหม่มีดังนี้





เกษตรทฤษฎีใหม่ (New Theory Agriculture)
การทำการเกษตรในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของเกษตรกรในชุมชนนั้น การเกษตรทฤษฎีใหม่ (new theory) เป็นการเกษตรอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงที่มีพระประสงค์ให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง ในความหมายของความมั่นคง หมายถึง ความยั่งยืน (sustainable) ของเกษตรกรในอาชีพเกษตร คือการที่มีพออยู่ พอกิน ที่เหลือก็เหลือเก็บก็ขาย จำหน่าย ซึ่งมีหลักการจัดการทฤษฎีอยู่ 3 ขั้นตอนดังนี้

ทฤษฎีใหม่ : ขั้นที่หนึ่ง

ฐานการผลิตความพอเพียง เน้นถึงการผลิตที่พึ่งพาตนเอง สร้างความเข็มแข็งของตนเอง ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในพื้นที่ของตนเอง กล่าวคือ "พออยู่พอกิน" ไม่อดอยาก ซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นเรื่องของการจัดการพื้นที่การเกษตรออกเป็น 4 ส่วน สัดส่วนการใช้พื้นที่ทำการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ เพื่อให้ตัวเลขง่ายต่อการจดจำในพื้นที่ 15 ไร่ ดังนี้ 30:30:30:10 (พื้นที่ทำนา สระน้ำ พื้นที่ปลูกพืชแบบผสมผสาน และที่อยู่อาศัย)
1) สระน้ำ 3 ไร่ ลึก 4 เมตร (ประมาณ 30% ของพื้นที่)
2) นาข้าว 5 ไร่ (ประมาณ 30% ของพื้นที่)
3) พื้นที่ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก 5 ไร่ (ประมาณ 30% ของพื้นที่)
4) ที่อยู่อาศัย และอื่นๆ 2 ไร่ (ประมาณ 30% ของพื้นที่)

พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง คือ ข้าว คือ พื้นที่ทำนาในการปลูกข้าวเพื่อการบริโภค ข้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจระดับประเทศและระดับครอบครัว ในระดับประเทศถือได้ว่าสามารถนำเงินตราสู่ประเทศอย่างมากมายในแต่ละปี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ข้าวเป็นวัฒนธรรม และวิธีชีวิตของคนไทยในแง่ของงานบุญงานประเพณีต่าง ๆ และข้าวเป็นพืชที่ปลูกไว้สำหรับคนไทยทั้งประเทศเพื่อการบริโภค ในระดับครอบครัว ปลูกไว้บริโภคและหากผลผลิตเหลือจึงจำหน่ายเป็นรายได้ ข้าวยังแสดงถึงฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรและทรัพย์สินในแต่ละครอบครัว ข้าวเป็นสินค้าที่เกษตรกรสามารถเก็บไว้ได้นาน ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าต้องการบริโภคเมื่อไร ต้องการเปลี่ยนจากผลผลิต (ข้าวเปลือก) เป็นเงินตราไว้สำหรับใช้จ่ายในครัวเรือนเมื่อไรก็ได้ ซึ่งจะต่างจากสิค้าเกษตรอื่นๆ โดยทั่วไป คนไทยบริโภคข้าวเฉลี่ยคนละ 200 กิโลกรัม ข้าวเปลือกต่อ ปี เกษตรกรมีครอบครัวละ 3-4 คน ดังนั้นควรปลูกข้าว 5 ไร่ ผลผลิตประมาณ 30 ถัง ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคตลอดปี

พื้นที่ส่วนที่สอง คือ สระน้ำ สระน้ำในไร่นา มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการเกษตรกรรมเป็นหลัก ดังนั้นหากเกษตรกรมีสระน้ำก็เปรียบเสมือนมีตุ่มเก็บกักน้ำในฤดูฝน ช่วยป้องกันน้ำไหลหลากท่วมไร่นาของเกษตรกร ตลอดจนช่วยมิให้น้ำไหลหลากลงสู่แม่น้ำลำคลอง สามารถนำน้ำจากสระน้ำมาใช้ในฤดูฝนกรณีเกิดขาดแคลนน้ำหรือฝนทิ้งช่วง สำหรับฤดูแล้ง หากมีน้ำในสระเหลือสามารถนำมาใช้ในการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ การที่เกษตรกรมีสระน้ำในไร่นา ยังแสดงถึงการมีหลักประกันความเสี่ยงในการผลิตทางการเกษตร ถ้าเกิดการขาดแคลนน้ำขึ้นในการเพาะปลูก นอกจากนี้ สระน้ำยังเป็นทรัพยากรในการสนับสนุนการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในไร่นา ให้ความชุ่มชื้น และสร้างระบบนิเวศเกษตรที่เหมาะสมในบริเวณพื้นที่ขอบสระน้ำ การคำนวณว่าต้องมีน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อการเพราะปลูก 1 ไร่ โดยประมาณ และบนสระน้ำอาจสร้างเล้าไก่ เล้าหมูไว้ด้วย เพราะฉะนั้นพื้นที่ 10 ไร่ ต้องใช้น้ำอย่างน้อย 10,000 ลูกบาศก์เมตร

พื้นที่ส่วนที่สาม คือ ปลูกพืชแบบผสมผสาน ไว้เพราะปลูกพืชแบผสมผสานทั้งไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก พืชสมุนไพร และไม้ดอกไม้ประดับ เป็นแหล่งอาหาร ไม้ใช้สอยและเพิ่มรายได้ การปลูกพืชหลาย ๆ ชนิดจะช่วยรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ตลอดจน ช่วยกระจายความเสี่ยงจากความแปรปรวน ของระบบตลาดและภัยทางธรรมชาติ การปลูกพืชผสมผสานยังสามารถช่วยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอกไร่นา และตัดวงจรศัตรูพืชบางชนิดได้อีกด้วย

ตัวอย่างของพืชที่ควรปลูก ได้แก่
พืชสวน (ไม้ผล) : เช่น มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้มมะม่วง กล้วย น้อยหน่า มะละกอ และกระท้อน เป็นต้น
พืชสวน (ผักไม้ยืนต้น) : เช่น แคบ้าน มะรุม สะเดา เหลียง เนียง ชะอม ผักหวาน ขจร ขี้เหล็ก และกระถิน เป็นต้น
พืชสวน (พืชผัก) : เช่น พริก กระเพรา โหระพา ตะไคร้ ขิง ข่า แมงลักสะระแหน่ มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว ถั่วพู และ มะเขือ เป็นต้น
พืชสวน (ไม้ดอก) : เช่น มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รักและซ่อนกลิ่น เป็นต้น
เห็ด : เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
สมุนไพร และเครื่องเทศ : เช่น หมาก พลู พริกไทย บุก บัวบกมะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก กระเพรา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น
ไม้ยืนต้น (ใช้สอยและเชื้อเพลิง) : เช่น ไผ่ มะพร้าว ตาล มะขามเทศ สะแกทองหลาง จามจุรี กระถิน ยูคาลิปตัส สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่ ชิงชัง และยางนา เป็นต้น
พืชไร่ : เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง อ้อย มันสำปะหลัง ละหุ่ง เป็นต้น พืชไร่บางชนิดอาจ เก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ จำหน่ายได้
พืชบำรุงดิน และพืชคลุมดิน : เช่น ทองหลาง ขี้เหล็ก กระถิน ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วพร้า ถั่วมะแฮะ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วพุ่ม โสน ถั่วฮามาต้า เป็นพืชที่ควรปลูกแซม ไม้ผลไม้ยืนต้นขณะที่ยังเล็กอยู่ ปลูกหมุนเวียนกับข้าว หรือปลูกตามหัวไร่ปลายนา พืชเหล่านี้บางชนิดใช้กินใบและดอกได้ด้วย

พื้นที่ส่วนที่สี่ คือ ที่อยู่อาศัย เป็นที่อยู่อาศัยหรือบ้านไว้ดูแลเรือกสวนไร่นา และบริเวณบ้าน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น มีไม้ผลหลังบ้านไว้บริโภคปลูกผักสวนครัว พืชสมุนไพร นำเศษวัสดุเหลือใช้มาทำปุ๋ยหมัก เพาะเห็ดฟาง การเลี้ยงสัตว์เพื่อสร้างคุณค่าอาหารและโภชนาการ ตลอดจนเสริมรายได้ นอกจากนี้มูลสัตว์ยังเป็นปุ๋ยคอก สำหรับพืชในลักษณะเกษตรผสมผสาน มีการหมุนเวียนทรัพยากรในไร่นาให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้ การจัดการพื้นที่ส่วนที่สี่ให้มีที่อยู่อาศัยนั้นยังหมายถึง การสร้างจิตสำนึก และนิสัยให้มีความผูกพันธ์กับอาชีพการเกษตรของตนเอง เพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่มีจิตฟุ้งเฟ้อหลงไหลในวัตถุนิยม ดังเช่นสังคมเมือง สามารถใช้ประโยชน์จากบริเวณบ้านและที่อยู่อาศัย มีเวลามากพอในการทำการเกษตร ดูแลเรือกสวนไร่นาของตนเอง มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตพื้นฐานอย่างเพียงพอ ได้อาหารจากพืช สัตว์ และประมง มียารักษาโรคจากพืชธรรมชาติและพืชสมุนไพร มีผลไม้ไว้บริโภค และมีไม้ใช้สอยในครอบครัว

ทฤษฎีใหม่ : ขั้นที่สอง

รวมพลังเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยสร้างความพอเพียงในขั้นที่หนึ่ง ทำให้เกิดความเข้มแข็งในแต่ละคนแต่ละครอบครัว จนเกิดกลุ่มกิจกรรมที่เข้มแข็งและเกิดพลัง ในขั้นที่สอง การรวมกลุ่ม จึงร่วมกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มิใช่มาขอความช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว การรวมกลุ่มให้เกิดพลังในการดำรงชีพ และดำเนินกิจกรรมการเกษตร โดยการร่วมแรงร่วมมือในการผลิต จัดระบบการผลิต การตลาด ร่วมคิดร่วมวางแผน และระดมทรัพยากรในการผลิตร่วมกัน สร้างสวัสดิการความเป็นอยู่ ด้านการศึกษาและอนามัย ร่วมกันในชุมชนและกลุ่มเป็นอันดับแรก ทำให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน กลุ่มมีความเข้มแข็งช่วยเหลือตนเองได้ เกิดความสามัคคีปรองดองกัน สามารถร่วมดำเนินธุรกิจด้วยกันโดยการร่วมกันซื้อขาย ซึ่งจะช่วยในการลดค่าขนส่ง ทำให้เกิดการเรียนรู้แหล่งผลิต ซื้อขายปัจจัยการผลิตและผลผลิต นอกจากนี้แล้ว การรวมกลุ่มและแปรรูปแบบสหกรณ์ ทำให้มีผลผลิตในปริมาณที่มากพอสามารถเพิ่มอำนาจในการรวมกลุ่ม และรูปแบบสหกรณ์ทำให้มีผลผลิตในปริมาณที่มากพอ สามารถเพิ่มอำนาจในการต่อรองราคาในการจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร

ทฤษฎีใหม่ : ขั้นที่สาม

ร่วมค้าขายสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชน

ในขั้นตอนที่สอง เมื่อองค์กรหรือกลุ่มหรือสหกรณ์ เกิดความเข้มแข็ง สามารถช่วยเหลือกันเองได้แล้ว จึงร่วมกับคนภายนอกค้าขาย ร่วมประสานประโยชน์ร่วมกัน โดยร่วมมือกับแหล่งเงินทุน (ธนาคาร) และกับแหล่งพลังงาน ในขั้นตอนที่สาม โดยยึดหลักฐานการผลิตเดิม ระบบและรูปแบบการรวมกลุ่มการรวมกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และประสานผลประโยชน์ร่วมกัน การจัดตั้งและบริหารโรงสี ร้านค้าสหกรณ์ ในลักษณะบริษัทร่วมทุน ช่วยกันลงทุนในรูปแบบทรัพยากรการผลิต ทรัพยากรมนุษย์ (ตัวบุคคลช่วยกันทำงาน) เงินทุน และ อุปกรณ์การผลิตการก่อสร้าง เป็นต้น ในการร่วมมือร่วมใจกับบุคคลภายนอก ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้เกิดหน่วยเศรษฐกิจชุมชน และเศรษฐกิจท้องถิ่น จะตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกัน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบตามความถนัด เช่น หน่วยการผลิต หน่วยขนส่ง หน่วยการจัดการ หน่วยติดต่อหาตลาด หน่วยการจำหน่าย หน่วยการลงทุน เป็นต้น แต่ทุกหน่วยจะต้องทำงานเหมือนบริษัทเดียวกัน ทำงานเป็นทีมประสานงานร่วมกัน ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการบริหารการจัดการ การดำเนินธุรกิจ เกิดขบวนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้ทราบความต้องการทั้งชนิด ปริมาณ คุณภาพ และราคาสินค้า นิสัยการบริโภคและอุปโภคของลูกค้า สิ่งสำคัญจะต้องมีกลไก กฎระเบียบข้อบังคับร่วมกัน การจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต้องยุติธรรมและมีคุณธรรม

จากแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งพระราชทานไว้แก่พสกนิกรชาวไทย เกี่ยวกับทฤษฎีใหม่เพื่อการเกษตร โดยการแบ่งพื้นที่ทำการเกษตรออกเป็น 4 ส่วน คือ สระน้ำ พื้นที่ทำนา พื้นที่ทำไร่ ทำสวนและ พื้นที่ที่อยู่อาศัย ในอัตราส่วน 30:30:30:10 และสามารถนำไปประยุกต์ ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เศรษฐกิจ และสังคมเกษตรกร โดยพิจารณาถึงความหลากหลายของกิจกรรมการเกษตร มีระบบ และสัดส่วนที่เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ ดังน
ี้
1. กิจกรรมด้านแหล่งน้ำ น้ำมีความสำคัญ ในระบบการผลิตของเกษตรกร เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ ่ยังคงอาศัยน้ำฝน และบางพื้นที่ถึงแม้ว่าเป็นที่ราบและที่ลุ่ม สามารถเก็บกักน้ำได้เพียงไม่กี่เดือน ในฤดูแล้งน้ำจึงมี ความสำคัญยิ่งยวดต่อระบบการผลิตการเกษตร ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก ดังนั้น สระน้ำเพื่อการเกษตรตามทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงเป็นแนวพระราชดำริที่เหมาะสม ที่สุดในสังคมเกษตรกรไทย อย่างไรก็ตาม สระน้ำในที่นี้ ยังหมายถึงแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคในครอบครัวเกษตรกร นอกจากนี้แหล่งน้ำยังสามารถเลี้ยงปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ เพื่อการบริโภคและจำหน่าย ตลอดจนนำน้ำจากแหล่งดังกล่าว มาใช้ในการเพาะปลูกพืชผลในเรือกสวนไร่นาและกิจกรรมการผลิตอื่น ๆ เช่นการเพาะเห็ด การเลี้ยงสัตว์ และพืชผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นต้นในสภาพพื้นที่ที่มีคูคลองธรรมชาติหรือแหล่งน้ำจากร่องน้ำใน สวนไม้ผลและพืชผัก เกษตรกรสามารถนำน้ำมาใช้ในระบบการผลิตในไร่นาได้ อนึ่ง ในฤดูแล้งน้ำในบริเวณสระน้ำ ร่องสวน และคูคลองธรรมชาต ิอาจจะแห้งหรือมีน้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ และใช้บริโภคและอุโภคในครอบครัว เกษตรกร ควรมีการเติมน้ำจากแหล่งน้ำขนาดใหญ่เหมือง ฝายทดน้ำ ห้วย คลอง บึง ตามธรรมชาติ เป็นต้น

2. กิจกรรมด้านอาหาร ซึ่งเป็นกิจกรรมการที่มนุษย์ใช้บริโภคในครอบครัว ตลอดจนเป็นอาหารสัตว์เพื่อให้สัตว์เจริญเติบโต สามารถนำมาเป็นอาหารของมนุษย์ได้ เช่น ข้าว พืชไร่ (ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ทานตะวัน งา ละหุ่ง) พืชผักสวนครัว (แตงกวา ถั่วฝักยาว พริกชี้ฟ้า) พืชสมุนไพร (กระเพรา โหระพา สะระแหน่) ไม้ผล ไม้ยืนต้น บางชนิด (มะพร้าว กล้วย มะละกอ ไผ่ตง) สัตว์น้ำ (กบ ปู ปลา กุ้ง หอย) การเลี้ยงสัตว์ปีก (เป็ด ไก่ นก) และสัตว์ใหญ่ (สุกร โค กระบือ) เป็นต้น

3. กิจกรรมที่ทำรายได้ (ด้านเศรษฐกิจ ) โดยพยายามเน้นด้านการเพิ่มรายได้เป็นหลัก และก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่อง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี รายได้รายวัน ได้แก่ กิจกรรมพืชผัก (ผักบุ้ง ผักกระเฉด ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพรา เป็นต้น) กิจกรรมด้านสัตว์ สัตว์ปีกให้ผล ผลิต ไข่ (ไก่ เป็ด นกกระทา) และการเลี้ยงโคนม รายได้รายสัปดาห์ ได้แก่ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักบางชนิด เช่น ชะอม กระถิน และผักกินใบ รายได้รายเดือน หรือตามฤดูการผลิต 2-4 เดือน ได้แก่ การทำนา การทำพืชไร่ การปลูกพืชผัก การเลี้ยงสัตว์ (การเลี้ยงสัตว์ปีก เพื่อผลิตเนื้อ การเลี้ยงสุกร แม่พันธ์ผลิตลูก การเลี้ยงโคนม และสุกรขุนและการเลี้ยงสัตว์น้ำ (ปลา กบ เป็นต้น) รายได้รายปี ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมไม้ผลไม้ยืนต้น พืชไร่ อายุยาว เช่น มันสำปะหลัง สับปะรด อ้อย การเลี้ยงสัตว์ใหญ่ เช่น โคเนื้อ โคขุน สุกร เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ในระยาวสามารถสร้างความสมดุลทางธรรมชาต ิทำให้เกิดระบบนิเวศเกษตรชุมชนที่ดีขึ้น เนื่องจากระบบการผลิตที่ม ีไม้ผลไม้ยืนต้นตลอดจนมีพืชแซมและพืชคลุมดิน จะช่วยสร้างสภาพระบบนิเวศเกษตรด้านบรรยากาศ และป้องกัน การสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งในระบบการ ผลิตดังกล่าวจะมีความหลากหลายของพืชยืนต้นและพืชล้มลุก

4. กิจกรรมพื้นที่บริเวณบ้าน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ มีทั้งการปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร ไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ผลไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และการเพาะเห็ดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบริเวณบ้าน จะช่วยประหยัดรายจ่าย และเหลือขายเป็นรายได้ เสริมสร้างการใช้ที่ดินและแรงงานครอบครัวให้เกิดประโยชน์ และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น




 

Create Date : 27 เมษายน 2549    
Last Update : 3 มิถุนายน 2553 10:24:29 น.
Counter : 3236 Pageviews.  


โจ-หลังสวน
Location :
ชุมพร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โดนัท...อัศวินตัวน้อย ของพ่อโจ วันๆ
เอาแต่แปลงร่าง อยากเป็นยอดมนุษย์
มากกว่าจะชอบเข้าสวนช่วยงานพ่อ ดัง
เช่นเมื่อวันก่อน...


Friends' blogs
[Add โจ-หลังสวน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.