บันทึกความคิด :: ข้อมูลคนละชุด (3)

 
ข้อมูลคนละชุด (3)


หลังจากที่เราได้ลงเพลงอะไรในบล็อกไปแล้ว ภาพที่เห็นจากสายตาเรา และสิ่งที่เรารับรู้ก็คือ มีโทรศัพท์เข้ามาที่บ้านหลายสาย และแม่เราก็รับ

เหมือนว่าอะไรต่างๆ ก็ดีขึ้น หุ้นของอาร์เอสก็ขึ้น ญาญ่าก็ยินดีที่จะย้าย แต่ทางช่อง 3 ยังไม่อยากให้ย้าย แม่เราก็พูดว่าก็ลองต่อรองดู ให้ญาญ่ามาที่อาร์เอส 30% อยู่ช่อง 3 70% ก็ได้ ถ้าเขายังอยากจะยื้อเอาไว้ แต่ยังไงญาญ่าก็ต้องมาที่อาร์เอส เพราะหนึ่งเจ้าตัวยินยอม และสองอาร์เอสก็เป็นที่แจ้งเกิดเหมือนกัน



ส่วนคุณกรณ์ก็ชื่นชอบมาก ทางผู้บริหารศรีวิกรม์ รวมถึงศิษย์เก่าอย่างพี่ก้อง นูโวก็ยินดี เพราะต้องการจะงัดกับสีแดง เพราะสีแดงอยากจะปิดอะไรที่มันเป็นกรณ์ๆ เราก็ปิดให้เลย แล้วดูสิว่าสีแดงจะเอายังไงต่อ เพราะเด็กนักเรียนศรีวิกรม์ก็สามารถไปต่อที่โรงเรียนอื่นได้ ที่โรงเรียนอื่นก็รับ เพราะเป็นการปิดกะทันหัน อย่างพระโขนงพิทยาลัยก็รับ วชิรธรรมสาธิตก็รับ สิริรัตนาธรก็รับ ราชวินิตบางแก้วก็รับ รวมไปถึงสวนกุหลาบ สตรีวิทยา แต่สวนกุหลาบเขาขออย่างหนึ่ง คือ อย่ามาเปรี้ยวที่นี่ ถ้าทำตัวเปรี้ยว Teen จะโดนรุมยำ เพราะนักเรียนศรีวิกรม์ก็จะมีทั้งแดงทั้งเหลือง คือ ไม่รู้ว่าใครจะเข้าไปบ้าง เรียกว่าเข้าไปก็อย่าห้าว อ้อ! ปทุมคงคาก็รับนะ ไอ้ห้อง 6/9 ก็สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม เตรียมตัวรับน้องอยู่ (เรียกว่าฮาจริง เกย์จริงห้องนี้)

หลังจากนั้น หลังจากที่มีโทรศัพท์หลายสายโทรมาที่บ้านเรา เราก็หยุดทุกอย่าง เพราะเราคิดว่าที่เราลงไปนั้นมันครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงอะไรต่อ อีกอย่างก็ไม่ควรลงอะไรต่อแล้ว เพราะมันจะมีผลกระทบกลับมาหาเรา เนื่องจากพวกสีแดงไม่พอใจ

มีคนอยากพาเราไปศัลยกรรม และทางหมอฟันของเราก็ส่งข้อความมาทางเฟซบุ๊กว่า “อยากจัดฟันไหมคะ” ตรงนี้มันทำให้เรารู้ว่าเราควรเงียบ ถ้าไม่เงียบ เราจะโดนจัดฟันและศัลยกรรมนะ เราจะเจ็บตัวนะ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราเงียบ และเงียบมาก

จนกระทั่งตอนกลางคืนมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในบล็อก เพราะทุกๆ สิ่งในโทรทัศน์มันเปลี่ยนไป สังคมมันเปลี่ยนไป และหลายๆ คนก็อยากได้คำตอบกับสิ่งที่เราโพสต์ เขาอยากเห็นเราโพสต์ต่อ และอยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เรารู้ตัวแล้วว่าถ้าเราโพสต์ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เราเลยไม่โพสต์ ประกอบกับมีสัญญาณเตือนมาถี่ๆ ว่าถ้าโพสต์ เราจะโดนจับไปศัลยกรรมพรุ่งนี้เลยนะ

มีสัญญาณเตือนมาจากการไฟฟ้า คือ ไฟกะพริบสองทีในห้องนอนเรา มีสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือว่ามีคลิปไหนที่เราโพสต์ไม่ได้บ้าง เราเลยตัดสินใจปิดเครื่องมือสื่อสาร เพราะไม่อยากยุ่งวุ่นวายแล้ว แล้วลงมาข้างล่าง

ตอนนั้นเรายังไม่ได้กินข้าว น้าติ่งก็ให้เรามากินข้าว มื้อนั้นเป็นข้าวกะเพราหมูสับ เราก็กินไป แต่รสชาติจืดชืดมาก ไม่อร่อย น้าติ่งก็ถามว่า อร่อยไหม เราก็บอกว่าไม่ค่อยอร่อย น้าติ่งก็พูดขึ้นมาว่าไม่ค่อยอร่อยเนอะ มันทำให้เราตีความว่าถ้าเราเล่นบล็อกหรือแตะอะไรอีก เราจะพบจุดจบยังไง นั่นคือเราจะต้องเจ็บตัว

ที่บ้านก็ส่งสัญญาณ แม่แหม่มก็ส่งสัญญาณ แม่แหม่มโทรคุยกับใครไม่รู้ เรารู้ เราได้ยินเพียงว่าจะนั่งเครื่องมาพรุ่งนี้เลยใช่ไหม เราก็คิดไปสองแง่ แง่ดีคือ หลินจื้ออิ่งจะมา เพราะก่อนหน้านี้เราเคยโพสต์เพลงหลินจื้ออิ่ง หลินจื้ออิ่งอยู่ฝ่ายเหลือง หลินจื้ออิ่งจะมาผนึกกำลังกับเต๊ะ ศตวรรษ ส่วนอีกแง่ จะเป็นแง่ร้าย คือ จะมีหมอเกาหลี หรือใครสักคนมาพาเราไปทำศัลยกรรม

แล้วที่บ้านเราตอนนั้นก็เปิดช่อง 3 ตอนนั้นละครที่กำลังออนแอร์ คือ วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2 แล้วมีฉากที่ให้ตัวละครที่เป็นเด็กตัดสินใจ เราก็คิดว่าน่าจะหมายถึงเรา คือ ถ้าเราตัดสินใจผิด ไปโพสต์อะไรในบล็อกต่อ เราจะต้องไปทำศัลยกรรมนะ เราเลยเลือกที่จะหยุดนิ่ง และบอกกับแม่ว่าเราจะอ่านแต่หนังสืออย่างเดียวแล้วนะ
 


แล้วตอนนั้นแม่ก็เลื่อนช่องให้ไปดูทรูปลูกปัญญาด้วย ตอนนั้นคุณเอ๊าะ พิธีกรก็กำลังนั่งสนทนากับพระอาจารย์ ที่มาสอนสามเณร ก็มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นพี่เลี้ยงสามเณรนั่งหน้าเครียดอยู่ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นกำลังเคร่งเครียด เราก็คิดว่าเอาละ เราต้องทำตัวอย่างพระละ คือ เราจะนิ่ง ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ดังคำสอนของท่านพุทธทาส เราคิดว่าทางนี้จะเป็นทางออกที่สวยงาม ซึ่งสำหรับเราแล้ว คืนนั้นมันสวยงามจริงๆ
 
พอเรานิ่งเฉย ไม่รับรู้ ไม่เล่น ไม่โพสต์อะไรแล้ว ก็มีคนเขียนมาชื่นชมในหนังสือมนต์คลายโกรธที่แม่หยิบมาให้อ่าน ในหนังสือมันมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉับไว เรายังทึ่ง เรายังคิดอยู่เลยว่าเดี๋ยวนี้มันพัฒนาไปเป็นอย่างนี้ได้แล้วหรือ คือ ทางโรงพิมพ์เปลี่ยนข้อความปุ๊บ ทันใดนั้นหนังสือที่เราถือก็เปลี่ยนข้อความปั๊บ เราได้เห็นรายชื่อคนที่เข้ามาชื่นชม เป็นคนที่เรารู้จัก และก็เป็นที่รู้จักในสังคมด้วยหลายคน อย่าง ปิ่น เก็จมณี พิชัยรณรงค์สงคราม แต่เขาไม่ใช้เก็จมณี เขาใช้เก็ตมณี คือ เข้าใจ เข้าใจละ ยังมีศรีตราดด้วย แต่ความจริงคือศรีปราชญ์ อะไรอย่างนี้

ภาพที่เราเห็นเป็นภาพที่เราเห็นจริงๆ ซึ่งเราคิดว่าคนในบ้าน หรือคนภายนอกก็คงไม่ได้มาเห็นอะไรอย่างนี้หรอก มันเป็นภาพในความคิดของเรา แต่มันชัดมาก ชัดจนเราคิดว่ามันเป็นจริง

คืนนั้นเราก็นอนหลับไปอย่างที่คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว เพราะเราหาทางออกได้ดีแล้ว เราบวชแล้ว เราเป็นพระมหาสุชีพแล้ว และในตอนเช้ามันก็ตอกย้ำด้วยการที่แม่เราจัดสำรับอาหารให้ไว้โดยมีฝาชีครอบแต่ละจาน เหมือนกับเราบวชอยู่ เราเป็นพระอยู่ เรายิ่งแน่ใจว่าเราจะได้อยู่อย่างสงบ โดยที่เราก็ไม่คิดว่าวันนั้นจะเป็นวันที่แม่กับน้องพาเราเข้าโรงพยาบาล



ภาพที่แม่เห็นกับภาพที่เราเห็นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ภาพที่เราเห็น ความวุ่นวายยังไม่จบ และมันก็รุนแรงขึ้น วันนั้น (วันเดียวกับที่เราเข้าโรงพยาบาล) เราได้ยินเสียงคนขอความช่วยเหลือ เพราะวันนั้นทหารหรือตำรวจเริ่มมาเก็บแดง (ยิงแดง) เก็บทีละบ้าน แต่ความจริงทหารหรือตำรวจไม่ได้ยิง แต่เป็นการเก็บเพื่อกลบเสียงปืนของคนสีแดงที่คิดจะยิงตัวตาย เพราะทนอยู่ในสภาพที่มีแต่เหลืองไม่ได้ เราได้ยินเสียงปังอย่างชัดเจน และมีบางบ้านปล่อยนกพิราบด้วย เพื่อสื่อว่าขออิสรภาพ ส่วนบ้านที่เป็นเหลืองก็จะไม่สนใจใคร อย่างข้างบ้านเรา (บ้านพี่กบ) คนที่ดูแลบ้านก็จะกวาดใบไม้เสียงดัง ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

ส่วนบ้านเรา เราก็สะบัดผ้าเสียงดัง ทำเป็นไม่ได้ยินเช่นกัน (ที่แม่เราได้เห็นเราสะบัดผ้าแรงคือตอนนี้แหละ) เราทำเป็นไม่สนใจใคร ทั้งที่จริงๆ เราก็อยากช่วย แต่เราช่วยไม่ได้ เพราะอีกร่างหนึ่งเราก็เป็นทหาร เราเป็นทหารเรือ หลังจากตากผ้าถึงเดินรอบบ้าน แสดงออกว่าทหารกำลังเดินอยู่ กำลังเก็บกันอยู่
 


ส่วนอีกด้านในโทรทัศน์ น้องมิณทร์ หรือหมอมิณทร์ ก็กำลังแสดงความล้ำในเทคโนโลยี ด้วยการเปลี่ยนเซลล์หรือทำอะไรสักอย่างทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นอีกคนได้ เพียงแค่นาทีเดียว

ดังนั้น อาจารย์ที่สอนคณะโบราณคดีก็สามารถเป็นเดี่ยว สุริยนต์ได้ในพริบตา นักศึกษาก็กรี๊ดกันใหญ่ ก่อนที่อาจารย์จะกลับไปเป็นร่างเดิม นักศึกษาหลายคนอยากให้อาจารย์ไปศัลยกรรม อาจารย์เลยบอกว่า “เดี๋ยวๆๆๆ” ส่วนนักศึกษาก็ “เดี่ยวๆๆๆ” นักศึกษาที่เป็นสาวๆ เขาอยากเจอเดี่ยว
 


 
เราก็มีความเป็นเดี่ยว สุริยนต์ และมีความเป็นทหารเรือในความคิด เราแสดงออกมาด้วยการเสยผม ขยับแขน ขยับมือในท่าทางของผู้ชาย เราเดินอย่างแมนๆ ที่แม่เราเห็นว่าเดินเป็นชั่วโมงนั่นแหละ แล้วหลังจากนั้นเราก็จำภาพอะไรไม่ได้แล้ว จำได้อีกทีคือตอนที่นั่งที่โซฟาหน้าทีวี

ตอนนั้นเราอยู่กับน้องชาย และเราได้ยินน้องชายคุยโทรศัพท์ ที่แม่บอกว่าน้องคุยโทรศัพท์กับแม่ แต่สิ่งที่เราได้ยิน คือ น้องคุยโทรศัพท์กับหมอฟันของเรา แล้วคุยกับหมอฟันว่าจะให้หมอไปเป็นหมอฟันเด็ก เพราะหมอเป็นคนส่งที่สัญญาณมาหาเราว่าเราอยากจะจัดฟันไหม น้องเราเลยให้ไปเป็นหมอฟันเด็ก เพราะถ้าจะจัดฟันต้องจัดตั้งแต่เด็กๆ มาจัดตอนโต มันจัดกันลำบาก แล้วน้องก็บอกกับหมอว่าจะให้จอร์จ (ลูกชายของน้อง) ไปรักษาด้วย หมอก็แอบน้ำตาไหล ในความรู้สึกเรา เราคิดว่าหมอคงซึ้ง (เราไม่รู้นะว่าหมอแดงหรือเหลือง)

พอเสร็จจากการคุยกับหมอ เรามารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ แม่กับน้องพาเราไปขึ้นรถแท็กซี่ ระหว่างที่นั่งรถ เราก็เห็นภาพอีก เราเห็นว่าต่อ (ต่อ บล็อกแก๊ง) ถูกอู๋ ธนากร โปษยานนท์จับ เพราะอู๋เป็นโปษ เป็นโปลิส เป็นตำรวจ ต่อมีความผิดตรงที่ว่าเป็นแดง แต่ด้วยความที่ว่าต่อเป็นคนดี อู๋ก็เลยไม่พาต่อเข้าคุก แต่พาต่อไปสอนหนังสือที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ต่อได้สอนภาษาจีนที่นั่น และได้เห็นเด็กนักเรียนแปลงร่างได้ทั้งห้อง แปลงเป็นโดราเอมอน เป็นโปเกมอน เป็นอะไรหลากหลาย ต่อก็สนุกสนานอยู่ในโลกแฟนตาซี ตรงนี้แหละที่เราหัวเราะคิกคัก (ที่แม่เห็นน่ะ เราหัวเราะเรื่องนี้) เราก็นั่งขำอยู่ในรถแท็กซี่ เออ ไอ้ต่อมันโชคดีเว้ย โชคดีมีชัยอยู่ในโลกแฟนตาซี ตามชื่อหนังสือการ์ตูน

ต่อมันมาทางนั้น มันชอบภาษาจีน ชอบการ์ตูน มันก็ต้องไปทางนั้นแหละถูกแล้ว มันไม่ควรจะไปอยู่ในคุก มันควรจะได้ไปสนุกสนาน มีรอยยิ้มซะที แฮปปี้เอนดิ้งสำหรับต่อ ในความคิดเรา


 

แล้วหลังจากนั้น เรามารู้ตัวอีกทีก็ตอน เรามาถึงโรงพยาบาลกรุงเทพแล้ว

แต่เรื่องก็ยังไม่จบนะ

เดี๋ยวเราจะมาเล่าต่อว่าหลังจากนั้น เราคิด เราเห็น เราสัมผัสอะไรอีกบ้าง



Create Date : 28 กรกฎาคม 2562
Last Update : 28 กรกฎาคม 2562 22:15:52 น.
Counter : 709 Pageviews.

0 comments

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com