เมื่อชีวิตถูกตีกรอบ


เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว มีน้องแฟนคลับคนหนึ่ง (คนนี้เรายังไม่เคยเขียนถึง) ทักมาในกล่องข้อความของทวิตเตอร์ว่า...
 



เราเลยถามน้องไปว่าน้องเป็นลูกคนเดียวหรือเปล่า เพราะบางทีการเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่บางคนก็มีความเป็นห่วงและคาดหวัง แต่น้องบอกว่าน้องเป็นลูกคนสุดท้อง เป็นลูกหลง มีพี่ชายสองคน เราก็เลยบอกน้องว่าการเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นลูกหลง เป็นลูกคนเล็ก พ่อแม่ย่อมเป็นห่วงมากเป็นธรรมดา บางทีก็อดไม่ได้ที่จะตีกรอบ อย่าเคืองพ่อแม่นะ

เราแนะนำน้องว่าถ้าน้องยังอยู่มัธยมก็อยากให้อดทนไปก่อน แล้วตอนที่เลือกมหาวิทยาลัยค่อยเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ

แต่ถ้าน้องอยู่มหาวิทยาลัยแล้วก็ให้อดทนเรียนให้จบ แล้วหางานทำ แล้วค่อยออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองข้างนอก

น้องบอกว่าน้องอยู่ปีสุดท้ายแล้ว เราเลยบอกว่าถ้างั้นเมื่อเรียนจบ หางานทำได้ ลองขอทางบ้านออกมาอยู่ด้วยตัวเอง

เราบอกน้องว่าเป็นกำลังใจให้เสมอนะ มีอะไรก็มาคุยกันได้

หลังจากตอบน้องจบก็ได้รูปนี้มา



ทีนี้เราจะมาเล่าเรื่องของเราบ้าง เราเองก็มีชีวิตที่ถูกตีกรอบตั้งแต่สมัยวัยรุ่น บางทีก็เครียดบ้าง บางทีก็อยากมีชีวิตอย่างเพื่อนๆ บ้าง 

การถูกตีกรอบก็มีตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ๆ เรื่องเล็กๆ ก็อย่างเรื่องกระเป๋านักเรียน น้าเราจะไม่ให้เราหนีบกระเป๋า (การหนีบกระเป๋าคือการเอาตัวหนีบสีดำหนีบข้างกระเป๋าให้มันแบนๆ) ซึ่งทางโรงเรียนเราไม่ได้ห้ามเรื่องนี้และเพื่อนๆ ในห้องของเราก็หนีบทุกคนถ้าใครมีกระเป๋าเป็นกระเป๋าถือ

เราอยากบอกว่าการไม่หนีบกระเป๋า มันสร้างปัญหาเวลาขึ้นรถสองแถว เพราะมันกินพื้นที่เวลายืนและทำให้เพื่อนลำบากเวลาจะช่วยถือเมื่อเพื่อนได้นั่ง

แต่เราก็ไม่เคยได้บอกน้า ได้แต่ทำตามที่น้าต้องการ น้าเคยเป็นครูและความคิดของน้าคือการไม่หนีบกระเป๋ามันเป็นเรื่องที่เหมาะสม

เรื่องการกลับบ้าน เวลาเลิกเรียนแล้วให้รีบกลับบ้าน อย่าไปเที่ยวไหนไกล ซึ่งสำหรับเราไม่มีปัญหา เพราะเราก็ไม่อยากไปไหนไกลอยู่แล้ว เพราะบางทีก็กลับลำบาก

เรื่องแฟน ยังไม่ควรมีแฟนในวัยเรียน ถ้ามีก็เป็นเพื่อนกันไปก่อน แต่เรื่องความรักเราเล่าให้แม่ฟังหมดแหละ เวลานัดเจอ ไปกินข้าว ดูหนัง แม่ก็ไปด้วย แม่นั่งคั่นกลาง

เรื่องการเรียน พ่อเราก็ไม่อยากให้เราสอบตก ทำให้ตอนม.2 ตอนที่สอบตกวิชาคณิตศาสตร์ เราร้องไห้ ไม่กล้าบอกพ่อ 

ตอนม.ต้น เราเรียนไม่ได้เรื่องเลย ตอนม.ปลายเมื่อน้าย้ายมาอยู่ที่บ้านเราทำให้น้าเป็นคนที่มาดูแลเราในเรื่องนี้ เวลาจะสอบ น้าจะให้เราอ่านหนังสือสองรอบ รอบแรกอ่านเพื่อให้ผ่านตา รอบสองอ่านเพื่อจำ แล้วเมื่ออ่านจบ น้าจะตั้งคำถามกับเรา

เราใช้กรอบการอ่านหนังสือแบบนี้ตอนม.ปลายและตอนมหาวิทยาลัย แต่ตอนมหาวิทยาลัย เรารับผิดชอบตัวเอง น้าไม่ได้มาตั้งคำถามแล้ว

ความปรารถนาของพ่อ คือ อยากให้เราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย อยากให้เราเรียนปริญญาตรี แล้วต่อปริญญาโท แต่เรารู้ตัวว่าเราไม่สามารถเป็นครู อาจารย์ได้ เพราะเราไม่ชอบการพรีเซนต์หน้าห้อง 

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เราก็มาเป็นพนักงานบริษัท ตอนที่เราทำงานอยู่ที่อาคารนั้น เราได้เห็นโรงเรียนที่เปิดสอนเป็นบาร์เทนเดอร์ เราก็ไปถามแม่ เพราะเรามีความสนใจอยากจะเรียน แต่แม่ไม่อยากให้เรียน เพราะถ้าเรียน เราก็ต้องดื่ม แม่ไม่อยากให้เราดื่ม เราก็เลยไม่ได้เรียน

เราไม่เคยได้มีโอกาสเที่ยวกลางคืน ไม่เคยได้มีโอกาสอยู่ร่วมสังสรรค์กับเพื่อนถึงดึก เพราะพอสักสองทุ่มครึ่งที่บ้านก็จะโทรมาละ แต่เราก็เข้าใจว่าที่บ้านเป็นห่วง

เราเลยอยากบอกว่าเราเข้าใจคนที่ถูกตีกรอบ ดังนั้น ถ้าจะมีใครเข้ามาในชีวิตเรา เราจะไม่ตีกรอบเขา 

คนที่จะเป็นคู่ชีวิตเรา เราจะให้อิสระ อยากจะแต่งตัวแบบไหน อยากจะทำผมสีอะไร อยากจะใส่กางเกงหรือใส่กระโปรงแล้วแต่เลย วันนี้อยากมีความเป็นผัว อีกวันอยากมีความเป็นเมียก็ได้

กลับกันถ้าคนที่เป็นคู่ชีวิตเราอยากให้เราอยู่ในกรอบที่เขาวางไว้ เราก็อยู่ได้ เพราะเราอยู่ในกรอบมาตั้งแต่เด็ก เราชิน แต่ถ้าให้เลือก เราคิดว่าการมีอิสระย่อมดีกว่า

ทุกวันนี้แม่เราก็ไม่รู้นะว่าเรามีทวิตเตอร์ที่ลงบท 18+ อยู่ ถ้าแม่รู้ แม่คงบอกให้เราเลิก เรื่องการเขียนนิยาย 18+ แม่ก็ไม่สนับสนุน แต่เราก็เข้าใจแม่นะ เพราะเราก็ไม่กล้าบอกใครว่าเราเขียนนิยายแนวนี้

ในสายตาของผู้ใหญ่ก็จะมองเราเป็นเด็กเสมอแม้ว่าเราจะโตแล้วก็ตาม เราเข้าใจผู้ใหญ่แล้วก็เข้าใจเด็กๆ นะ เราก็ให้คำแนะนำเขาแล้วก็โอบกอดเขาเท่าที่เราทำได้




Cr. Youtube :: เล่าสู่กันฟัง - TRINITY



Create Date : 06 มิถุนายน 2565
Last Update : 6 มิถุนายน 2565 1:02:27 น.
Counter : 412 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtoor36


comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com