สมัยอยู่มหาวิทยาลัย ตอนปีหนึ่งผมชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนสวย เรียบร้อย สุภาพ อ่อนหวาน เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกับผม เราเริ่มต้นคบกันในแบบเพื่อน ผมไม่ได้ขอคบเธอ เธอไม่ได้บอกจะคบผม เราก็คุยกันเหมือนเพื่อนร่วมชั้นปกติ เรียนด้วยกัน พักก็นั่งคุยกัน เที่ยงก็กินข้าวด้วยกัน เย็นก็กลับด้วยกัน ผมหมายถึงทำทุกอย่างที่ว่าเป็นกลุ่มๆซึ่งแน่นอนแต่ละกิจกรรมจะทำเป็นกลุ่มก็จริงแต่จะมีสมาชิกร่วมด้วยช่วยกันเปลี่ยนหน้าบ้างซ้ำหน้าบ้าง มีหลายๆกลุ่มย่อยๆบ้าง แต่ทุกกิจกรรมทุกกลุ่มที่เธอเข้าร่วมจะมีผมอยู่ด้วยเสมอ จนเธอเริ่มจะรับรู้ว่าผมคิดอะไร และผมเริ่มจะมั่นใจที่จะส่งสัญญาณแสดงวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนออกไป ทำอย่างที่ว่ากันอยู่ซักพัก ผมก็เริ่มไปส่งเธอที่บ้าน เราก็เริ่มแลกเปลี่ยนสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบของแต่ละฝ่าย เริ่มคุยปรับทุกข์สุขดิบของชีวิตครอบครัวและปัญหาตลอดจนชีวิตที่ผ่านๆมาของกันและกัน แต่ผมก็ยังไม่ได้ขอคบเธอ เธอก็ไม่ได้จะบอกจะตกลงคบกับผม ทำอะไรก็ยังต่างคนต่างจ่าย เธอยืนกรานให้ทำแบบนั้น ความสัมพันธ์ของเราก้าวหน้าเร็วมาก นอกจากกินข้าวเที่ยงด้วยกัน เย็นไปส่งเธอที่บ้าน เราเริ่มนัดเจอกันในวันหยุด ไปดูหนัง กินข้าว ซื้อของ อ่านหนังสือเมื่อใกล้สอบ เราทำทุกอย่างด้วยกันทั้งๆที่ผมไม่เคยขอคบเเธอ เธอไม่เคยบอกจะคบกับผม จนคนในคณะรู้หมดแล้วว่าสองคนนี้คบกัน แต่เราก็ยังไม่เคยพูดหรือตกลงกันในเรื่องนี้เลย เธอคิดไงผมไม่แน่ใจ แต่ผมคิดไงผมจะบอกครับ ผมคิดว่าผมกล้าๆกลัวๆ สองจิตสองใจ กังวล และกลัวที่จะต้องตัดสินใจ ทั้งๆที่ผมรู้ว่าเธอเป็นคนดี มีความเป็นกุลสตรี มีความรักที่อบอุ่น แกร่ง พร้อมที่จะเดินตามและ การพัฒนาความสันพันธ์มันกดหยุดไม่ได้ครับ มันดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติและหมุนไปตามกาลเวลา มันเป็นอีกสิ่งที่ไม่เคยคอยใครนอกจากสายน้ำ เราสนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆแต่ยังไม่เคยแม้แต่จับมือนะครับอย่าคิดไปไกล ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีนะครับ แต่เป็นเพราะความเป็นกุลสตรีของเธอ ผมชอบฟังเพลงเธอก็เช่นกันมีอยู่วันผมบอกร้องให้ฟังหน่อย ซึ่งคนเรียบร้อยขี้อายอย่างเธอไม่มีทางร้องหรอก เธอก็ไม่ร้องจริงๆนั้นแหละบอกแค่ร้องไม่เป็น ผมตื้อเธอยังไงเธอก็ไม่ยอม ผมคิดในใจว่าดีแล้ว เราอย่าเพิ่งถลำลึกไปกว่านี้เลย วันต่อมาพอเจอกันคุยกัน เรียนด้วยกัน กินข้าวเที่ยงด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน ก่อนลาจากกันที่หน้าตรอก ผมกล่าวว่าพรุ่งนี้เจอกัน กลางคืนอย่าออกไปไหนนะซอยมันมืดหน้ากลัว เธอบอกอือเรารู้แล้ว อะมีของจะให้ แล้วเธอก็หยิบซองเล็กๆให้ผมแล้วบอกให้ไปเปิดที่บ้าน ผมก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย กลับไปถึงบ้านอาบน้ำ ถึงเปิดซองออกมาดู สิ่งที่อยู่ในซองผมมั่นใจว่าไม่มีใครทายถูกหรอกครับ เชื่อผมสิ สิ่งนั้นคือเทปคาสเซ็ทครับ สมัยนั้นยังไม่มี ซีดี ดีวีดี mp3 mp4 ผมจับเทปนั้นอย่างงงๆคิดว่าคงเป็นเพลงที่เธอชอบฟังแล้วเอามาให้ผมฟังด้วย ไม่ได้คิดลึกอะไรมากนัก ฉงนนิดหน่อยตรงแค่เทปเพลงทำไมต้องทำซะลึกลับ ผมเอาใส่เครื่องเล่นเทปเปิดเสียงดังมากแบบที่ผมชอบฟังปกติ รอซักครู่พอเสียงมาผมตกใจเบาเสียงแทบไม่ทันในเทปเธอพูดในสิ่งที่เธออยากจะพูดและร้องเพลงในเพลงที่ผมอยากให้เธอร้อง ผมฟังซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ นี่คงเป็นคำมั่นที่เธอให้ไว้ในความสัมพันธ์ของเรา เธอปล่อยให้เวลาผ่านมาจนถึงบทสรุปที่เธอมั่นใจและให้คำมั่นนั้นแกผม ผมรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นที่เธอมอบให้และทราบซึ้งใจและคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องแสดงอะไรบางอย่างเพื่อตอบรับคำมั่นที่เธอส่งมาถึงผม แน่นอนครับคงไม่ใช่แค่กล่าววาจาว่าเรามาคบกันเถอะ มาเป็นแฟนผมนะ หรือเราหยุดไว้แค่นี้นะ เพราะเวลาที่จะพูดเพียงประโยคสั้นๆนั้นได้ผ่านไปแล้ว ต่อมาอีกไม่นานใกล้ปิดภาคเรียนที่สอง เราก็สานสัมพันธ์ไปเรื่อยๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป เธอให้คำมั่นแล้ว ถึงคราวผมบ้าง ปิดภาคเรียนเธอต้องกลับบ้านที่ภาตใต้ ผมบอกว่าเดี๋ยวผมไปส่งหัวลำโพง แล้วหาวันว่างจะลงไปหา เธอก็เล่ารายละเอียดว่าต้องลงสถานีไหน บ้านเธอไม่มีโทรศัพท์ ถ้าจะโทรหาต้องโทรไปร้านตัดเสื้อใกล้ๆ ฝากเขาบอกนัดเวลาโทรมาอีกครั้ง ก่อนผมจะไปให้โทรไปบอกก่อน เธอจะได้บอกพ่อแม่เธอไว้และจัดห้องน้องชายให้ผมพัก เธอแจ้งรายละเอียดและวิธีการนั่งรถไฟ ขบวนไหนสบายขบวนไหนเร็ว ขบวนไหนสภาพทรุดโทรม เป็นห่วงเป็นไยว่าจะไปไหวเหรอมันลำบากนะ เธอพูดจนผมเข้าใจได้เลยว่านี่เหมือนการขอคำมั่นจากผมเหมือนคราวที่ผมขอให้เธอร้องเพลงให้ผมฟัง เมื่อเป็นดังนี้ผมต้องตัดสินใจเลือกละคราวนี้ ใจหนึ่งก็คิดว่าน่าจะดี การสร้างครอบครัวร่วมกับเธอเป็นอะไรที่ว่างใจได้ว่า เธอจะดูแลทุกอย่างให้ผมได้ ผมสามารถทำอะไรก็ได้ในอนาคตโดยสบายใจได้ว่าเธอจะอยู่ข้างหลังผมคอยดูแลครอบครัวและผมเป็นอย่างดี อีกใจก็คิดว่าผมจะรับภาระความรับผิดชอบนี้ไหวมั้ยในเวลาสั่นๆจากนี้เพียง 3-4 ปี จะโตพอเป็นหัวหน้าครอบครัวได้มั้ย การเป็นคนทำอะไรด้วยใจมากกว่าใช้เหตุผลจะรับความกดดันได้ดีแค่ไหน และจริงๆแล้วผมต้องการคู่ชีวิตที่คอยระวังหลัง หรือต้องการคนที่เอาผมอยู่ถ้าผมทำอะไรเอาแต่ใจมากเกินขอบเขต คิดไปต่างๆนานา ท่านทั้งหลายคงคิดกันว่าถ้าไม่มั่นใจก็ยังไม่ต้องเลือกดูๆกันต่อไปก่อน แต่ไม่ได้หรอกครับในเมื่อเธอใหคำมั่นแล้ว ผมก็ต้องตัดสินใจจะปล่อยให้เราทั้งคู่ถลำลึกไปกว่านี้ไม่ดีแน่ เธอให้คำมั่นแล้วเธอจะคิดหรือทำไงกับมันต่อผมมิอาจรู้ แต่สำหรับผมถ้าให้คำมั่นโดยไปพบครอบครัวเธอที่บ้านต่างจังหวัด ผมก็จะทำทุกหนทาง ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อรักษาคำมั่นนั้น และจะแปรเปลี่ยนคำมั่นนั้นเป็นสัญญาและจะรักษามันไว้ด้วยชีวิตของผม.....23 ตค 61
Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561 |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 21:55:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 463 Pageviews. |
|
|