Day 8 ส่งท้ายฉายเดี่ยวที่ Rome วันที่ดีคือวันที่ฟรี

6 Oct 2019 เที่ยววันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยวันรุ่งขึ้น
เรากลับมาเที่ยวต่อที่โรมอีกครั้ง ไปๆมาๆกลายเป็นหลงเสน่ห์กรุงโรมที่สุดในทุกเมืองของทริปนี้ 
จำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใสสุดๆ กรุงโรมสวยจับใจ เจอแต่คนใจดีด้วย
จนมีวูบนึงที่คิดหลงตัวเองไปว่า "วันนี้เมืองนี้เหมือนเป็นที่ของฉันเลย" 
ประทับใจมาก รูปก็จะเยอะมากเช่นกัน 70 รูปในบลอกเดียว จะตัดรูปไหนออกก็เสียดายไปหมด

แปดโมงเช้า นั่งรถไฟใต้ดินจาก Termini ออกที่ Ottaviano เพื่อไป มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ แก้ตัวจากเมื่อวันก่อนนู้นที่ไปตอนเย็นแล้วเจอคิวยาวเว่อ
แม้บรรยากาศจะน่ากลัวหน่อยๆ เพราะลงบันไดเลื่อนไปชานชาลาผิดฝั่ง ไปเจอพื้นที่ปิดซ่อมแซม เจอโฮมเลสมานอนพักเพียบ
แต่คนที่เราเดินตามหลังอยู่ เค้าหันหลังกลับมา เห็นก็คงรู้ว่าอินี่เป็นนักท่องเที่ยว เค้าก็สบตาส่งสัญญาณพาเดินนำไปลงอีกทางแทน เป็นความลัคกี้แรกของวัน

มาถึงจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์  8 โมงนิดๆ ด้วยคิดว่ามาเช้าคิวสะสมไม่น่ายาวมาก
เดินไปตามทางเดินที่เค้ากำหนดไว้



แล้วก็คือ... มาโป๊ะเชะกับวันที่เค้ามีพิธีในโบสถ์พอดี เค้ากันไม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วๆไปเข้า เลยมายืนออ งงๆกันแบบที่เห็น
แต่ระหว่างนั้้นจะเห็นผู้ที่ได้บัตรเชิญร่วมงานหลายเชื้อชาติที่คงมาจากทุกมุมโลกทะยอยเดินผ่านช่องตรวจบัตรเข้าไปก่อน
ว่าไปก็เพลินดีนะ ยืนดูผู้คนแต่งตัวมาพร้อมกับชุดประจำชาติเดินเข้างาน 



ระหว่างนี้ก็ดูวิวรอบๆรอกันไปก่อน
สัญลักษณ์ของวาติกัน เป็นรูปกุญแจไขว้และมงกุฎพระสันตะปาปา 



พอเก้าโมงนิดๆ ก็ปล่อยให้คนทั่วไปเข้าตามไป




ไม่รู้โชคดีหรือร้ายมากกว่ากัน ที่ไปตรงกับวันที่มีพิธีมิซซาพอดี
โชคดีคือเห็นนักบวชในชุดหลากหลายสี ที่เคยเห็นจะแค่ชุดสีแดง ขาว ดำ แต่วันนี้เห็นทั้งม่วง เขียว เหลือง เห็นการ์ด สวิสการ์ดเต็มไปหมด
มีคณะร้องเพลง เพิ่มอรรรถรสในการเข้าชมมหาวิหาร แถมได้รับแจกหนังสือสูจิบัตรประกอบพิธีมาฟรีๆ



แต่โชคร้าย ตรงที่หลายๆส่วนเค้าปิดไม่ให้เข้า จากรูป  Pieta ของมิเคลันเจโล เห็นลิบๆอยู่หลังม่านเทา ก็กั้นไม่ให้เข้า
Baldacchino ซุ้มบรอนซ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นตรงกลางก็มองได้จากระยะไกลๆ



ยังค้างคากับโบสถ์เซนต์ปีเตอร์อยู่ อุตส่าห์กลับมาซ้ำอีกรอบ ก็ยังดูไม่เต็มอิ่มเท่าที่ใจอยาก
ขอให้ได้กลับมาโรมอีกซักทีเห๊อะ 



บรรยากาศริมแม่น้ำไทเบอร์ตอนนั้นคือสุดจริง มีคนมาแสดงเปิดหมวกเล่นไวโอลินเพลงอะไรไม่รู้ แต่เพราะมาก อ่อนหวานมาก
ตอนนั้นคิดขอบคุณตัวเองที่ให้โอกาสได้มาเที่ยวคนเดียว ไปในที่ที่อยากไป เป็นการเที่ยวที่เป็นตัวเองสุดๆ ไม่ต้องคิดเผื่อใคร
พอเจอเรื่องดีๆถึงจะเป็นเรื่องไม่มีสาระ แค่ได้ฟังเพลงเพราะๆ ยืนอยู่ที่สวยๆ ก็รู้สึกแบบ Yes, I deserve this ประมาณนี้ รักตัวเองมากมาย



เนื่องจากตรงกับอาทิตย์แรกของเดือน สถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์หลายที่จะเปิดให้เข้าฟรี
Castel Sant'Angelo ก็ฟรี แต่พอฟรีคิวก็ยาวมาก ไปต่อป้ายหน้าเลยแล้วกัน



ทั้งหลงเสน่ห์ และ literallyหลง ในตรอกเล็กๆของโรม ขนาดว่าเป็นคนแม่นทิศแม่นทาง ก็เดินหลงทุกรอบที่ผ่านมา
ถึงจะดูเปลี่ยว แต่เรารู้สึกปลอดภัยมากนะ ไม่เห็นคนลักษณะมิจฉาชีพหรือยิปซี 



ก๊อกน้ำสาธารณะ แบบเขรอะๆ บางมุมก็จะคุ้นตาเหมือนเดินในกรุงเทพ 



มาโผล่ที่ Piazza Navona พื้นที่สาธารณะเยอะมาก นั่งเล่นพักเหนื่อยแบบไม่ต้องเสียตัง



เช้าวันอาทิตย์ ใช้เวลาพักผ่อนกับสิ่งสุนทรีย์ นี่รึปล่าว La Dolce Vita ที่เค้าพูดถึงกัน



ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะมาโบสถ์นี้ โบสถ์ Sant'Ivo alla Sapienza เพื่อมาแหงนดูเพดานสุดเก๋ของบอรอมมินี่
เปิดให้เข้าชมสั้นๆแค่ช่วง 9.00-12.00 ของวันอาทิตย์เท่านั้น ประตูเข้าเรียบมากเหมือนตึกแแถวๆนั้น เดินวนหาผ่านหน้าโบสถ์ไป  2 รอบ 
สุดท้ายถามทางกับตำรวจ ถึงได้หาเจอ  พอผ่านประตูมาก็จะเจอคอร์ทยาร์ดแบบนี้  
สุดทาง คือ โบสถ์ มีฟาสาดเว้าเข้าไป ดูกลมกลืนกับคอร์ทยาร์ด นี่ก็ออกแบบโดยบอรอมมินี่ ส่วนยอดเป็นหอโคม(lantern)ทรงเกลียว



เป็นโบสถ์ที่ขนาดเล็กมากๆ ทีเด็ดคือ นู้นนน บนเพดาน สวยงามด้วยรูปทรงเรขาคณิต 
แต่เทียบกับ San Carlino เราว้าวกับเพดานโบสถ์นั้นมากกว่านะ



นั่งพักแป๊บ 
สาเหตุที่โบสถ์  Sant'Ivo เปิดแค่วันอาทิตย์ เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย La Sapienza



ด้านหลังโบสถ์ มีร้านกาแฟดังตั้งอยู่ เป็นหนึ่งในร้านเก่าแก่ของโรมเลยค่ะ
Sant'Eustachio il Caffe 



วิธีสั่งกาแฟ คือ ต้องไปสั่งที่แคชเชียร์(ผู้ชายเสื้อน้ำเงิน) จ่ายเงินก่อน แล้วเค้าจะให้ใบเสร็จมา 



จากนั้้นเอาใบเสร็จที่ได้ ไปยื่นให้บาริสต้าที่ทำกาแแฟอยู่อีกด้าน มีอยู่ 3-4 คน ยื่นให้ใครก็ได้ที่สบตากับเรา 555
อย่างที่เห็น คนจะเยอะ ชุลมุนนิดนึง ไม่มีคิวแน่ชัด กึ่งมีคิวกึ่งไม่มีคิวอ่ะค่ะ 



สั่งคาปูชิโน่ค่ะ อร่อยมากเลย เคยได้ยินมาว่ากาแฟที่อิตาลีดื่มง่าย มันง่ายจริงๆนะ กลมกล่อม หอมและเข้มข้นพอดี ถูกจริตเรามาก
กาแฟที่นี่จะใส่น้ำตาลมาให้ยืนพื้้น ใครไม่เอาน้ำตาลต้องบอกเค้าก่อน
เราสั่งมายืนดื่มที่เคาเตอร์ จะเสียแค่ค่ากาแฟ ขนาดว่าร้านนี้จัดว่าราคาสูงเพราะเป็นร้านดังอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว ยังราคาแค่ 2 ยูโร ไม่แพงเลย
ถ้าอยากนั่งดื่มดีๆ เสิร์ฟกาแฟที่โต๊ะ ต้องเสียค่า Coperto จำราคาแน่ๆไม่ได้ น่าจะเพิ่มไปอีก 2-3 ยูโร



แถวๆแพนธีอัน



ต่อด้วยเจลาโต้ ร้านนี้ลองแบบสุ่มๆ Gelateria della Palma เค้าเคลมว่ามีเจลาโต้ให้เลือกกว่า 150 รส
เราสั่งรสลูกแพร์กับ Dulce de Leche (นมข้นคาราเมล) รสชาติกลางๆไม่ว้าว แต่ตอนเย็นแวะกินอีกร้าน อันนั้นอร่อยตายไปเลย



เดินต่อซักพักเจอเจลาโต้ร้านฮิต Giolitti 



เดี๋ยวก็เจอ Palazzo / Piazza / โบสถ์วนๆไป



เสาโอเบลิสก์ 



เข้ามิวเซียมฟรีกันดีกว่า Palazzo  Barberini ที่นี่ไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ ไม่มีคิว เดินเข้าไปรับตั๋วได้เลย
ถ้าใครชอบงานศิลปะยุคบาโรค ชื่นชอบแบร์นินี่ คาราวัจโจ้ หรือแม้แต่บอรอมมินี่ มาที่นี่รับประกันความฟิน 
เพราะเป็นวังประจำตระกูล บาแบร์รินี่ ซึ่งมีบุคคลสำคัญของตระกูลอย่าง Pope  Urban ที่ 8 ที่เป็นผู้ว่าจ้างศิลปินและสถาปนิกชื่อดังของยุคนั้นไว้มากมาย



ดีที่สุดคือไม่ต้องเสียเงิน เฮ้!



ยังไม่ทันจะไปไหน แค่ขึ้นบันไดก็เป็นช่องบันไดที่ออกแบบโดยแบร์นินี่ 


ภาพวาด La Fornarina โดยราฟาเอล ตรงแถบผ้าที่แขนข้างซ้ายของหญิงสาวในภาพ ราฟาเอลได้เขียนชื่อตัวเองลงไปด้วย



ถึงไม่ค่อยอินศิลปะ แค่แวะมาเที่ยววังโป๊บก็คุ้มแล้ว 



สวย ผ้าคลุมบางเบา



Judith Beheading Holofernes วาดโดยจิตรกรสายโหดคาราวัจโจ้



วิวนอกหน้าต่าง



ภาพวาดเวนิสสมัยก่อน



ตอนเข้าเจอผลงานแบร์นินี่ ตอนจะกลับเดินลงบันไดวนผลงานการออกแบบของบอรอมมินี่ค่ะ



สำหรับเรานะ อย่างงานประติมากรรมแบร์นินี่เค้าเด่นจริง ละเอียดมาก แต่ถ้างานก่อสร้างสถาปัตยกรรมยกให้ไอเดียของบอรอมมินี่น่าประทับใจกว่านะ

เริ่มไม่ไหวกับอาหารฝรั่ง มื้อเที่ยงเลยจบที่ร้านอาหารจีน รสชาติทั่วๆไป แต่คุ้นลิ้น แฮปปี้ 
เจ้าของร้านก็ใจดี ไม่คิดค่าน้ำเราด้วย โอ้ยย วันนี้ดวงมีคนอุปถัมป์มาก 



รีบเดินไปเข้ามิวเซียมอีกที่ เป็นหนึ่งในที่ที่อยากมามากๆ(อีกแล้ว) ต้องออกไปด้านนอกแนวกำแพงเมือง 



ผ่านสวนสาธารณะ Villa Borghese 
ต้นไม้ทรงนี้้สูงๆมีพุ่มบานๆอยู่ด้านบน เห็นแล้วรู้สึกมาถึงอิตาลีแล้วจริงๆ เป็นเอกลักษณ์มาก



ดูชิลเลยทีเดียว 



เดินจากกลางเมืองมา 2 กิโล ในที่สุดเราก็มาถึง Galleria Borghese เย้
เป็นบ้านพักของคาร์ดินัล Scipione Borghese ผู้เป็นสปอนเซอร์อุปถัมป์รายใหญ่ของแบร์นินี่



ถึงแม้ว่าวันนี้จะเปิดให้เข้าฟรี แต่จะเดินมาดุ่มๆไม่ต้องจองแบบ Palazzo Barberini รับรองว่าอดเข้าแน่ๆ
เพราะเปิดให้เข้าชมได้เป็นรอบ รอบละ 2 ชั่วโมง และจำกัดจำนวนคนเข้าต่อรอบอีกตะหาก ข้อดีคือไม่ต้องเบียด ดูงานศิลปะได้ใกล้ชิดสบายๆ
เราทำการจองผ่านเวบไซต์มาก่อนที่ https://www.ticketone.it/artist/galleria-borghese เสียค่าจองล่วงหน้า 2 ยูโร 
ก็เข้าไปส่องมันทุกวันว่าเมื่อไหร่จะเปิดให้จอง ยิ่งวันเข้าฟรี ก็น่าจะเต็มเร็วกว่าวันธรรมดาอยู่แล้ว พอจองสำเร็จก็เป็นความภูมิใจแปลกๆเหมือนกันนะ
มาก่อนเวลาเข้า 30  นาที เพื่อมาแลกตั๋ว และห้ามนำกระเป๋าเข้าไปต้องฝากไว้ด้านนอก



ตรงโซนรอ มีร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ห้องน้ำ เป็นมิวเซียมที่เหมือนจะยุ่งยากตอนแรก แต่พอจองได้แล้ว ที่เหลือเค้าจัดระบบดีมากเลย



ได้เวลาตามรอบก็ปล่อยทุกคนเข้าไปพร้อมกัน เดินดูสวยๆได้เลยค่ะ มีเวลาตั้ง 2 ชั่วโมง มิวเซียมขนาดกำลังดี ไม่กว้างจนท้อแบบวาติกันหรืออุฟฟิซี
ห้องแรกก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว โถงใหญ่เพดานสูง วาดภาพประดับไว้เต็ม มีงานสลักใหญ่โต ข่มเราให้รู้สึกเหลือตัวนิดเดียว



พื้นก็ประดับด้วยโมเสก



สิ่งที่ทำให้เราตั้งใจว่าต้องมามิวเซียมนี้ให้ได้ ก็คือ คอลเลคชั่นงานประติมากรรมของแบร์นินี่ มีเด่นๆเบิ้มๆอยู่ 3-4 ชิ้น

ขอเรียงตามปีที่เริ่มทำก็แล้วกันค่ะ
Aeneas, Anchises, and Ascanius (1618-19) จีเนียสมาก ชิ้นนี้ทำตอนอายุ 20 เอง
ตกใจตอนเห็นภาพที่ถ่ายมา แอเนียส มองกล้องกลับมาแรงมาก ขนลุก



The Rape of Proserpina (1621-22) ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง มีพื้นที่ให้เดินส่องได้ทุกองศา
น่าจะเป็นชิ้นที่ทุกคนที่มามิวเซียมนี้้อยากมาเห็นของจริงมากที่สุด 
ด้วยการออกแบบท่าทางของโพรเซฟโฟเน่กำลังดิิ้นรนหนีจากเฮดีส ดราม่ามาก บวกแสงที่ส่องมาที่ชิ้นงาน รู้สึกเหมือนดูละครเวทีเลยค่ะ



ดูความเหมือนจริง ตอนกำลังฉุดกระชากกัน นิ้วเท้าโพรเซฟโฟเน่เกร็งบิดไปหมด ต้นขาเนื้อตัวที่ถูกนิ้วกดบังคับ น้ำตานองอาบแก้มอีก
หรือความจริง แบร์นินี่คือเมดูซ่ามาเกิดใหม่ สบตาใครแล้วจะกลายเป็นหินอ่อนงี้ 



Apollo and Daphne (1622-25) ส่วนตัวชอบชิ้นนี้มากที่สุด ดูอ่อนหวานดี แต่เนื้อหาก็เกี่ยวกับการฉุดผู้หญิงเหมือนกัน เห้ออออ
สงสารดาฟเน่ต้องกลายเป็นต้นลอเรลไปซะงั้น



David (1623-24) มาเที่ยวรอบนี้ไม่ได้เห็นเดวิดตัวจริงของมิเคลันเจโล แต่ได้เห็นของแบร์นินี่แทน 
เดวิดของแบร์นินี่กำลังตั้งใจจดจ่อเกียมดีดหินเพื่อฆ่ายักษ์ 



หน้าตาของแบร์นินี่คนขยัน ผลงานกระจายทั่วกรุงโรมเลยพ่อ



สวัสดีท่านอดีตเจ้าของบ้าน Cardinal Scipione



Venus Victrix เป็นชิ้นงานหินอ่อนโดย Canova นางแบบที่สมมติให้ตัวเองเป็นวีนัส คือ Pauline Bonaparte
คุ้นๆนามสกุลกันมั้ยคะ เธอเป็นน้องสาวแท้ๆของนาโปเลียน โบนาปาร์ตค่ะ แต่มาแต่งงานกับคนในตระกูลบอร์เกเซ่ เรือล่มในหนองเนอะ



งานคาราวัจโจ้ก็เพียบนะ รูปกลางก็เดวิดสไตล์คาราวัจโจ้ หน้าตาก็จะหล่อน้อยกว่าของคนอื่นแถมหิ้วหัวยักษ์มาโชว์อีก



Young woman with Unicorn โดยราฟาเอล อารมณ์คล้าย La Fornarina ที่ไปดูมาตอนเช้าเลย



The Deposition ชิ้นนี้ก็ราฟาเอลวาดเช่นกัน แต่คนละอารมณ์กับรูปก่อนหน้า



ภาพนี้เป็นโมเสกค่ะ ละเอียดมาก



จบสิ้นสำหรับโปรแแกรมเที่ยว อยู่โรมหลายวัน ก็ยังไปไม่ครบเท่าที่แพลนตอนแรก ตัดออกเพราะเหนื่อย หักโหมเกินไป
ตราสเทเวเร่เอย ตลาดกัมโปเดฟิโอรี่เอย เมืองแมวที่ลาโก้ดิทอเร่อาเจนติน่าเอย ฝากเอาไว้ก่อน

ระหว่างทางกลับโรงแรม แวะร้านเจลาโต้ที่พนักงานโฮสเทลแนะนำมา เป็นเจลาโต้ที่ชอบมากที่สุดในทริปนี้เลยแหละ
Gelateria la Romana 
ดูคิวรอกินเจลาโต้สิ ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นนะ ระหว่างต่อแถวเลยขอให้คนที่ยืนต่อจากเราช่วยแนะนำรสที่ชอบให้ด้วยเลย 



แผ่นป้ายเล็กๆที่ติดบนผนัง หลังตู้เจลาโต้ คือรสชาติของเจลาโต้ที่มีขายในแแต่ละวัน ป้ายสีเทาคือรสประจำ ส่วนสีชมพูคือรสพิเศษตามฤดูกาลเทศกาลงี้



ราคาไม่แพง รสชาติอร่อยมากกกก ถ้วยนี้้ประมาณ 2 ยูโรเอง 
สั่งรส Stracciatella grezza al cioccolato ruby กับ Crostata ricotta e visciole ชื่อยาวมาก ที่จำได้เพราะไปถ่ายรูปป้ายรสเจลาโต้เก็บไว้ด้วย 555
อร่อยแบบคอมเพล็กซ์สมชื่อมาก



ในที่สุดก็เขียนบลอกเที่ยวอิตาลีจบซักที ครบ 1 ปีที่ไปเที่ยวพอดี



Create Date : 04 ตุลาคม 2563
Last Update : 4 ตุลาคม 2563 10:20:22 น. 2 comments
Counter : 4024 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtuk-tuk@korat, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณKavanich96


 
ยังไม่เคยไปโรมเลยค่ะ น่าไปจัง


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 4 ตุลาคม 2563 เวลา:15:25:11 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 6 ตุลาคม 2563 เวลา:4:40:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.