: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - คู่มือสร้างสุขฉบับโยคี :
: คู่มือสร้างสุขฉบับโยคี :เขียน : Sadhguru แปล : กุลธิดา บุณยะกุล-ดันนากิ้น

ผมเกือบอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ คิดจะวางลงอยู่สองสามครั้ง เพราะไม่รู้สึกเชื่อมต่อกับเนื้อหาภายในเล่ม แต่สุดท้ายก็อ่านจนจบในที่สุด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมไม่เคยฝึกโยคะ ไม่มีความรู้อะไรใดใดในศาสตร์นี้เลย ดังนั้นพอเข้าสู่ภาคเนื้อหาของโยคะ ซึ่งเต็มไปด้วยศัพท์แสงของโยคะ บวกกับคำอธิบายซึ่งค่อนข้างเป็นนามธรรม นั่นทำให้ผมรู้สึกงงและไม่เข้าใจในเนื้อหา
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยท่านสัธคุรุ โยคีชาวอินเดีย หนังสือแบ่งออกเป็นสองภาค คือ ส่วนที่เป้นชีวประวัติของท่านสัธคุรุ และในส่วนที่สองเป็นคำขยายความและอธิบายศาสตร์แห่งโยคะ
ในตอนต้นของบทแรกท่านพูดถึงสภาวะแห่งการบรรลุธรรมบนยอดเขา และจากนั้นชีวิตของท่านก็ไม่เคยกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกเลย รวมทั้งการได้เรียนรู้และปฏิบัติโยคะตั้งแต่อายุ 12 ปีกับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง โยคะสำหรับท่านจึงเป็นหนทางศักดิ์สิทธิ์และทำให้ค้นพบความลับในจักรวาลมากมายเกินหยั่งถึง
ผมชอบโศลกธรรมหรือบทกวีที่ท่านเขียนไว้หลังจากบรรลุธรรมบนยอดเขา“ชั่วขณะฉันเป็นแค่คนคนหนึ่ง ฉันเพียงปีนขึ้นไปบนขุนเขา ในเมื่อฉันมีเวลาให้ฆ่า แต่ฉันฆ่าทั้งหมดที่เป็น ฉันและของฉัน
เมื่อฉันและของฉันหมดไป สูญเสียความตั้งใจและทักษะทั้งมวล นี่คือฉัน --- ภาชนะอันว่างเปล่า เป็นทาสแห่งความประสงค์ของพระเจ้า และทักษะอันไม่มีที่สิ้นสุด”‘โยคะ’ คืออะไรกันแน่ ? บางคนอาจคิดถึงการออกกำลังกายซึ่งบิดตัวในท่ายาก ๆ บางคนมองโยคะเป็นศาสตร์แห่งการฝึกหายใจและขั้นตอนในการทำสมาธิ บางคนคิดว่าเป็นศาสตร์เก่าแก่โบราณของเหล่าโยคี ผู้มีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ แต่ท่านสัธคุรุกล่าวเพียงว่า“ศาสตร์แห่งโยคะคือความเรียบง่ายของการดำรงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง สอดคล้องกลมกลืนกันกับการดำรงชีวิตอย่างสมบูรณ์ ผ่านการรู้จัก ‘กาย’ และ ‘ใจ’ ของตนเองอย่างแท้จริง”การมีความสุขในแบบโยคี คือ การมีความสุขและความสงบภายในตนเองทุกชั่วขณะของชีวิต มองเห็นชีวิตอยู่เหนือข้อจำกัดทางร่างกาย สร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น โยคะจึงไม่ศาสตร์ที่สร้างให้บุคคลเป็นผู้เหนือมนุษย์ แต่มันทำให้เราสามารถตระหนักรู้ได้ว่า ‘การเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งประเสริฐ’‘โยคะ’ จึงเป็นเครื่องมือในการสำรวจ ‘สุขและทุกข์’ ในตัวเรา สุข ก็เป็นสุขทางกายและใจ ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน และในระหว่างสุขกับทุกข์นี่เอง มี ‘ช่องว่าง’ ซึ่งเราสามารถเดินทางไปสู่ความจริงในช่องว่างนี้ได้ เมื่อเราเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ‘กายและใจ’ ของเรา ด้วยความเป็นอิสระจากข้อจำกัดเดิมในตน
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ กลับทำให้ผมนึกถึงท่าน Osho เป็นพิเศษ ด้วยวิธีการเล่าและสอนโดยมีเรื่องขำขัน ตำนาน นิทานโบราณแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ ใครที่ชอบโยคะ ศึกษาและเรียนรู้ในศาสตร์นี้ น่าจะลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน
ผมเขียนบทกวีนี้หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง
-----------------------------------------------
คุรุ (guru) แปลว่า ผู้ขจัดความมืดมน ในโลกที่เต็มไปด้วยคำสอนอันมากมาย เต็มไปด้วยผู้รู้ ครูบาอาจารย์ทางธรรม มีหลากหลายแนวทางในการฝึกฝนตน รวมทั้งอาจต้องมอบความเชื่อทั้งหมดที่เธอมี เพื่อเข้าถึง ‘จุดหมายอันยิ่งใหญ่ของชีวิต’ ซึ่งบ้างก็ว่ามันคือ โลกหน้าอันมีความสุข คือ การจบชีวิตอย่างมีความหมายและสงบงาม คือ นิพพานหลังวางวาย คือ การเข้าสู่ดินแดนของพระผู้เป็นเจ้า คือ การดับสิ้นตัวตนจนหมดไม่เหลือ ฯลฯ
‘หนทาง’ ที่เราต่างแสวงหา ยังเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัยในใจ ว่าที่ทำอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่เชื่ออยู่ นั้นใช่ ‘หนทาง’ ที่ถูกต้องอย่างแท้จริงหรือไม่ ? ถ้าใช่ --- แล้วต้องทำอย่างไรต่อ ? ถ้าไม่ใช่ --- ต้องเลือกหรือเปลี่ยนทิศทางความคิดไปทางใด ?
คุรุจึงไม่ใช่ ‘จุดหมายปลายทาง’ แต่คือ ‘แผนที่’ ซึ่งถูกส่งไปยังผู้คน เพื่อให้คนเหล่านั้นเดินไปตาม ‘หนทาง’ ที่หลายคนปรารถนา
‘หนทาง’ นี้อยู่ใกล้หรือไกลเพียงใด ? ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางอีกนานแค่ไหน ? เราต้อง ‘ค้นพบ’ คำตอบนี้ ด้วย ‘ความไม่รู้’ ทั้งหมดที่เรามีอยู่
เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ ‘จุดมุ่งหมายในการมองหา’ แต่เป็น ‘ความสามารถในการมองเห็น’ ต่างหาก ที่จะนำพาเราไปบนหนทางแห่งการค้นพบความจริงในตัวเราเอง !
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือ ‘การรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น’ ในขณะนี้ เวลานี้ หาไม่...เราจะกลายเป็นคนที่โทษทุกคน โทษทุกสิ่งทุกอย่าง โทษพ่อแม่ โทษเพื่อน โทษครูบาอาจารย์ โทษครอบครัว ฯลฯ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนเป็นคนสร้างความทุกข์ความเจ็บปวดให้กับเรา ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว คนเดียวที่จะก่อความทุกข์แสนสาหัสที่สุดให้กับเราได้ ก็คือ ‘ตัวเราเอง’ !!!
การยอมรับความจริงในสิ่งที่เราเป็น การมองเห็นสภาพการณ์ตามความเป็นจริง ยอมรับและเข้าใจมันได้เมื่อใด นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราผ่านชีวิตไปได้ และเติบโต








Create Date : 14 มีนาคม 2568 |
Last Update : 14 มีนาคม 2568 5:06:03 น. |
|
15 comments
|
Counter : 590 Pageviews. |
|
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณmultiple, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณ**mp5**, คุณSleepless Sea, คุณnonnoiGiwGiw, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณทนายอ้วน, คุณกะริโตะคุง, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน |
โดย: multiple วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:5:47:00 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:6:38:10 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:9:17:41 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:10:19:41 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:19:53:59 น. |
|
|
|
โดย: กะริโตะคุง วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:20:30:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:22:18:41 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 14 มีนาคม 2568 เวลา:23:39:53 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 15 มีนาคม 2568 เวลา:10:04:47 น. |
|
|
|
| |
แต่เคยมี กิ๊กสาว เล่าให้ฟังว่า เค้าชอบเล่นโยคะ
ท่านู้น ท่านี่ อาจารย์เต๊ะ ก็ถามแค่ว่า ตอนเล่นใส่ชุดอะไร จะได้จินตนาการตามถูก อิอิ
ส่วนตัวอาจารย์เต๊ะเล่นโยคะไม่ได้เลยเพราะ ลำพังอยู่เฉยๆก็ปวดเมื่อยไปหมด แถมติดพุงก้มเงยก็ไม่ได้อี้กกก เอาเข้าไป555
ส่วนเรื่องคุณก๋าทำอาหารอร่อยนี่ แหม ถ้าบ้านอยู่ใกล้
จะไปขอชิม นอนค้างซักคืน 2คืน ท่าจะดี อิอิ
คุณก๋าบอก ไม่ได้โว้ย เดี๋ยวเสบียงข้าจะหมดบ้าน
เอ็งยิ่งกินดุ ท้องยุ้งพุงกระสอบอยู่ด้วย เย้ย 555