: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - คัมภีร์แห่งความเร้นลับ เล่ม 1 :
: คัมภีร์แห่งความเร้นลับ เล่ม 1 :บรรยาย : ภควัน ศรีรัชนี แปล : พิเชษฐ์ วนวิทย์

ภควัน ศรีรัชนี คือคนเดียวกันกับ Osho นักคิดและผู้นำทางจิตวิญญาณขาวอินเดีย ‘คัมภีร์แห่งความเร้นลับ’ คือหนังสือที่ถอดความจากการบรรยายของท่านโอโช เนื้อหาหลักมาจาก คัมภีร์วิชญาณไภรวตันตระ ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณอายุกว่า 5000 ปีของอินเดีย ตันตระ ในภาษาสันสกฤตหมายถึง หัวข้อ คำสอน หรือหมายถึงเทคนิคและอุบายในการฝึกสมาธิก็ได้เช่นกัน
พระสูตรเริ่มจากบทสนทนาระหว่างพระนางปารวตีกับพระศิวะ โดยพระศิวะทรงประทานอุบายหรือหลักในการทำสมาธิ 112 วิธีให้กับพระนางปารวตี ครอบคลุมแทบทุกจริตของมนุษย์ในทุกเพศทุกวัยทุกชนชั้นวรรณะ ความเร้นลับที่ว่า คือการก้าวล่วงพ้นจากจิตสำนึกของตน เพื่อเข้าสู่ความหลุดพ้น หรือสภาวธรรมอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพระเจ้าหรือธรรมชาตินั่นเอง การก้าวพ้นไปจากทวิภาวะทั้งปวง คือการสิ้นสุดของการแบ่งแยก การแบ่งแยกระหว่างตัวเรากับธรรมชาติ ระหว่างตัวเรากับผู้อื่น ระหว่างตัวเรากับทุกสิ่งการหลอมรวมตัวตนเข้ากับความจริงสูงสุด จึงเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงอย่างแท้จริงการอธิบายและตีความหมายของคัมภีร์โบราณไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่คือศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงจิตใจ ไม่ใช่เพียงการสอนนั่งหลับตาสมาธิ แต่ลึกเข้าไปกว่านั้น คือ การสำรวจจิตใจด้วยวิธีการต่าง ๆ อันมากมาย
หนังสือชุดนี้มี 3 เล่ม แต่ผมมีเพียงเล่ม 1 เท่านั้น แม้จะยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม ผมคิดว่าเราพอจะมองเห็นภาพได้ชัดว่า การศึกษาคัมภีร์เหล่านี้เป็นไปเพื่อสิ่งใด ขอสรุปด้วยบทกวีที่ผมเขียนไว้หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง
----------------------------------------------: เดินทางสู่ด้านใน :ตันตระไม่สนใจกับคำถามว่า “ทำไม ?” แต่สนใจในแง่ “อย่างไร ?” มากกว่า
ตันตระไม่สนใจว่า “สัจธรรมคืออะไร ?” แต่มุ่งไปยังการค้นพบคำตอบว่าทำอย่างไรจึงจะบรรลุสัจธรรมได้
เธออาจสงสัยว่า “เพราะเหตุใดสิ่งนี้จึงดำรงอยู่ ?” ในขณะที่ตันตระตั้งคำถามว่า “สิ่งนี้ดำรงอยู่ได้อย่างไร ?” ทันที่ที่เธอตั้งคำถามว่า “อย่างไร ?” วิธีการ หลักการ และวิธีปฏิบัติ จะถูกก่อร่างสร้างขึ้นในความคิดของเธอ นั่นคือ การสืบค้นความจริงในตัวเราเอง ด้วยวิธีการของตัวเราเอง
“ประสบการณ์” จากการค้นพบในครั้งนี้ จึงเป็น “แก่นแกนของความจริง” ไม่ใช่เพียงการจดจำข้อมูล หรือการทำตามคนอื่นไปโดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม ? ทำแล้วได้อะไร ? ผลที่ได้รับมานั้นถูกต้องแล้วหรือยัง ?
“การค้นพบความจริง” นำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงตนเอง” อย่างแท้จริง เมื่อใดได้พบ “สัจธรรม” นี้ในตน เธอจะพบว่ายิ่งรู้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งไม่รู้อะไรเลย
ผู้ทรงปัญญาที่แท้จริง กลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้สิ่งใด ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ เรียบง่าย สงบ และงดงาม
ตันตระจึงไม่สนใจชุดที่เธอใส่ ไม่สนใจความเชื่อทางศาสนา ไม่สนใจว่าเธอเรียนรู้ปรัชญาใดมา ถ้าเธอยังไม่เห็นความจริง เธอก็ยังเป็นผู้มืดบอด ถ้าเธอพบความจริง เธอก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ว่าจะอยู่ในเพศสภาพใด วรรณะใด หรือนับถือความเชื่อแบบใด
ถ้าเธอถามถึง “สัจธรรม” หรือ “พระเจ้า” คืออะไร ? จะไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา แต่จะมี “อุบายและหนทาง” มากมาย ให้เธอได้ทดลองและลงมือทำ จนกว่าจะพบ “หนทางที่ใช่” ด้วยตัวเธอเอง
เธอจะพบ “ตัวตนที่แท้จริง” ภายใต้หน้ากากที่เธอสวมใส่ เพราะทุกข์ของผู้ย่างก้าวเข้าสู่โบสถ์ วิหาร สุเหร่า หรือป่าเขา ล้วนเป็นทุกข์อย่างเดียวกันทั้งหมดทั้งสิ้น มนุษย์ทุกคนล้วนล้มหายตายจากภายใต้ “ตัณหา” เดียวกัน รัก โลภ โกรธ หลง เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด ศาสนาใด พูดจาภาษาใด
เธอจะค้นพบ “ความจริงแท้ในตน” ได้ ก็ต่อเมื่อเธอเงียบ สงบ นิ่ง และหยุดความคิด จนเห็น “ความจริง” ปรากฏขึ้นใน “ความเงียบ” ท่ามกลางสรรพเสียง เห็น “ความว่าง” ปรากฏขึ้นในท่ามกลาง “ความมีอยู่” ของสรรพสิ่ง เห็น “ความรัก” ปรากฏขึ้นในท่ามกลาง “การค้นพบ และ ความเกลียดชัง”
เธอต้องปล่อยตนเองให้หล่นร่วงลงไปในห้วงรัก ซึ่ง ณ ที่นั้น ไร้ซึ่งอดีตกาล ไร้ซึ่งอนาคตกาล ไร้ซึ่งตัวตนของผู้ได้ครอบครองความรัก มีเพียง “ห้วงรัก” ซึ่งเอิบอาบไปด้วย “ความรัก” อันเต็มเปี่ยม ในนามของ “ความเมตตากรุณา”
อย่ามัวเสียเวลาชีวิตกับการตั้งคำถามว่า “ใครคือผู้สร้างโลก ?” ถ้าฉันตอบเธอว่าใครคือพระผู้สร้าง เธอก็จะถามต่อไปด้วยความสงสัยว่า “แล้วใครคือผู้สร้างพระผู้สร้าง ?” ปัญหาจึงมิได้อยู่ที่ “คำตอบ” แต่อยู่ที่เมื่อใด “จิตของเธอ” จึงจะสิ้นความสงสัย นั่นแหละ เธอจึงจะพบคำตอบว่าสิ่งใดสร้างโลกและสร้างตัวเธอขึ้นมา
“จิต” จึงมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากสสารอันละเอียดประณีต ยามใดเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่จิต โลกย่อมเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา ความเปลี่ยนแปลง นี้ คือ ความเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ เปลี่ยนแปลงการตอบสนองต่อความเคยชินเดิม ๆ ของจิต
“ด้านนอก” กับ “ด้านใน” ได้ไหลมากระทบกัน จนเกิดความเคลื่อนไหวใน “ใจ” หรือ “ความรู้สึก” การตรึง “ใจ” ไว้ให้มันหยุดนิ่ง คือ การตระหนักรู้ในความมีอยู่ของความรู้สึก มองเห็นมันอย่างชัดเจนที่สุดในชั่วขณะหนึ่งที่จิตนิ่ง เมื่อนั้น “ภาพจำ” ทั้งหมดที่มีจะวาบวับลับหายไป นี่คือ ประตูแห่งความรู้แจ้ง นี่คือ การเดินทางด้านในภายในจิตใจของเราเองนี่คือ หนทางในการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง









Create Date : 11 มีนาคม 2568 |
Last Update : 11 มีนาคม 2568 5:02:14 น. |
|
14 comments
|
Counter : 603 Pageviews. |
|
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณtanjira, คุณหอมกร, คุณmultiple, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณปรศุราม, คุณThe Kop Civil, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณปัญญา Dh, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSleepless Sea, คุณnonnoiGiwGiw, คุณmcayenne94, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน |
โดย: หอมกร วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:6:27:41 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:6:33:37 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:6:34:24 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:8:08:08 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:19:16:25 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:20:23:22 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:22:22:23 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 11 มีนาคม 2568 เวลา:23:15:33 น. |
|
|
|
โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 172.96.141.81 วันที่: 13 มีนาคม 2568 เวลา:14:31:36 น. |
|
|
|
| |
ตอนสมัยมีหลักสูตรอบรมที่ทำงาน
ก็มีวิทยากรบรรยายแนะนำหนังสือ
ของนักเขียนคนนี้นะคุณก๋าขายดีเชียว
แต่คนซื้อเอาไปอ่านจริงหรือเปล่าไม่รู้
ป.ล.ป่านนี้คุณธัญน่าจะตื่นแล้วคุณก๋า