KatieKat... Let's share your thought
 
13eyond your imagination in Korea (1)

วันที่ 1 จุดเริ่มต้นของ 13eyond your imagination ของจริง

13eyond your imagination in Korea
“Happy Together with My Shining Star”

หัวข้อทริปการเดินทางครั้งนี้หลายคนอาจจะมึนๆงงๆซักเล็กน้อย ว่า 13eyond คืออะไร และ Happy Together with My Shining Star นั้นมีที่มาอย่างไร แต่สำหรับสาวกเกาหลีฟีเวอร์โดยเฉพาะชาว Everlasting Friends เพื่อนที่ดีที่สุดของเหล่าลูกลิง 13 คน Super Junior นั้นคงไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆเลย

13eyond your imagination มาจาก Beyond your imagination เป็นชื่อสโลแกนที่เหล่าแฟนคลับของศิลปินวงซูเปอร์จูเนียร์ (Super Junior; SJ; SuJu) ร่วมกันตั้งให้เพื่อโปรโมทอัลบั้มชุดที่ 3 ของเอสเจก่อนที่ทีเซอร์โปรโมทอัลบั้มจริงจะออกฉายซะอีก ประโยคนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อทริปการเดินทางในครั้งนี้ของเราไปโดยปริยาย ด้วยความที่ตัวมันเองก็มีความหมายว่าเหนือจินตนาการ เราก็เลยคิดว่าการไปเกาหลีครั้งนี้คงจะได้พบกับประสบการณ์ที่เกินคาดหมายและเหนือจินตนาการ (ในทางที่ดีนะ) ด้วยเหมือนกัน

ส่วน Happy Together with My Shining Star นั้นก็ไม่มีอะไรมาก Happy Together และ Shining Star ทั้ง 2 คำเป็นชื่อเพลงในอัลบั้มชุดที่ 3 Sorry, Sorry ของเอสเจนั่นเอง สองเพลงนี้เป็นเพลงแทร็คที่ 10 และ 12 ของอัลบั้ม เป็นเพลงจังหวะ medium ด้วยกันทั้งคู่ อารมณ์เพลงก็ประมาณว่าฟังแล้วสดชื่นมากมาย เราชอบมากๆทั้งสองเพลง ก็เลยเอามันมาต่อกันเป็นอีกหนึ่งชื่อธีมในการเดินทางครั้งนี้ ความหมายดีใช่มั้ยล่ะ เพราะทริปนี้เราก็มีความสุขกับดาวจรัสแสงดวงที่ร่วมเดินทางไปกับเราตลอดเส้นทางเหมือนชื่อธีมเด๊ะเลย รักและขอบคุณมายชายนิ่งสตาร์ข้างกายเราจริงๆ

*หมายเหตุ สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ไม่สนใจ ไม่อยากสนใจความบ้าบอ เวิ่นเว้อของเราเรื่องศิลปินเกาหลี กรุณาข้ามไปอ่านอีก 2-3 ย่อหน้าถัดไปได้เลยค่ะ

ทริปนี้ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 6 วัน 5 คืน (ไม่นับคืนวันที่ออกเดินทาง) ออกเดินทางตอน 23.30 น. ของคืนวันที่ 31 มีนาคม 2552 เสียใจสุดๆที่มารู้ทีหลังที่บุ๊คตั๋วไปแล้วว่าเอสเจจะมาไทยวันที่ 31 และขึ้นเครื่องกลับเที่ยว 23.50 น. อ๊ากกกกกกกกก 20 นาทีเท่านั้น ทำไมตรูถึงรีบซื้อตั๋วอย่างนี้ ทำไมไม่รู้ให้เร็วกว่านี้ว่าน้องจะขึ้นเที่ยวนั้น เปลี่ยนตั๋วก็ไม่ได้ เฮ้อ!!! นอยด์ไปหลายวันเลยทีเดียว ได้แต่หวังว่าคงจะได้เจอน้องแถวๆต.ม. หรือแถวๆเกทบ้างล่ะน่า ที่ไหนได้พอวันที่จะขึ้นเครื่องจริง เกทของข้าพเจ้าคือเกท B แต่ของน้องเล่นซะเกท D แถมคนละฟากกันอีกต่างหาก นอยด์ยกกำลังสองกันเลยทีเดียว ความหวังที่จะได้เห็นคุณคิมคิตัวเป็นๆอีกครั้งหลังจากที่น้องไม่ยอมโผล่หน้ามาร่วมโชว์กับเอสเจนานเท่าไหร่แล้วไม่อยากนับก็พังทลายลง

เครื่องบินของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 654 จอดเทียบที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน สาธารณรัฐเกาหลีเวลา 6.30 น. เร็วกว่าเวลาที่ประกาศไว้ร่วม 20 นาที เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชม.นะคะ ก่อนเครื่องลง คุณแอร์จะแจกแบบฟอร์มเข้าประเทศเกาหลีให้กรอกก่อน แบบฟอร์มมีอยู่ 3 ใบคือใบข้อมูลด้านสุขภาพ ใบขอเข้าเมืองและใบสำแดงของ ใบข้อมูลด้านสุขภาพจะส่งให้จนท.ด่านแรก ที่ด่านนี้คุณจนท.บอกเราเป็นภาษาเกาหลีด้วยว่าขอให้มีความสุข (วิ้ว!! ฟังคำว่าว่า “แฮงบ๊ก” ที่แผลว่าความสุขออกคำเดียว) ต่อมาก็เป็นต.ม.ตรวจคนเข้าเมือง หลายคนคงรู้กิตติศัพท์เรื่องที่ว่าต.ม.เกาหลีนั้นช่างโหดร้ายนัก คงเป็นเพราะความที่คนไทยที่จะไปอยู่ที่เกาหลีไม่เกิน 90 วันไม่ต้องขอวีซ่า ต.ม.เกาหลีเค้าก็เลยนึกอยากจะกักตัวเรา สอบสวนเรา เผลอๆส่งเรากลับประเทศเฉยเลยก็มี แต่อันนี้จากประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเองนั้นก็บอกไม่ได้จริงๆว่าเค้าเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสิน เพราะของเราคุณต.ม.แทบจะไม่ได้มองหน้าเราเลย สแกนพาสปอร์ตแล้วก็ปั๊มๆๆ...จบ แต่ก็เห็นว่าผู้หญิงที่มาเที่ยวบินเดียวกับเรา หน้าตาก็ดูไฮโซดี แต่งตัวเปรี้ยวปรี๊ดกลับโดนเรียกเข้าห้องสอบสวนไป

หนทางเดียวที่จะเดินทางจากสนามบินอินชอนในยังที่พักในโซลด้วยระบบขนส่งสาธารณะในตอนนี้นั่นก็คือการใช้บริการ Airport Limousine Bus โดยซื้อตั๋วได้ที่เคาท์เตอร์แถวๆประตูทางออก ที่พักของเราในทริปนี้คือ Beewon Guesthouse ต้องขึ้นรถสาย 6011 ที่ป้าย 5B หรือ 12A ตอนซื้อตั๋วก็บอกว่าไปลงสถานี Anguk (อังกุ๊ก คาจูเซโย) ราคาตั๋วตอนนี้คนละ 9000 วอน (1000 วอนเท่ากับ 25 บาทกว่าๆ ณ 31 มี.ค.52) จากนั้นก็ออกไปรอที่ป้าย รอดูเวลาที่รถคันต่อไปจะมา ระหว่างรอ รอ รอ...... ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พี่ทึกและลูกปลาน้อยอีทงแฮกำลังเดินผ่านหน้าเราไป พี่ทึกเดินนำหน้าตามด้วยน้องปลา ตอนนั้นจำไม่ได้จริงๆว่าสติสตังค์หายไปไหน ประหนึ่งวิญญาณออกจากร่างกันเลยทีเดียว เราร้องกรี๊ดๆๆแบบไม่อายชาวบ้าน ร้องกรี๊ดๆๆอย่างกับคนบ้า จนน้องปลาหันมามอง เราก็เลยโบกไม้โบกมือเซย์อันนยองกับน้อง น้องก็เหมือนจะอมยิ้มตอบเล็กน้อย แต่สีหน้าก็บ่งบอกถึงความงงว่าอิปร้ากะเหรี่ยงนี่เป็นใคร ชั้นรู้จักเหรอ 55+ กลับมาคิดทีหลังได้ว่าเราน่าจะบอกน้องว่าเราเป็นไทยเอลฟ์ น้องจะได้อ๋อ ส่วนพี่ทึกเธอก็มุ่งหน้าเดินต่อไปตรงทางม้าลายข้างหน้าเพื่อรอข้ามถนน ระหว่างที่พี่ทึกและน้องกำลังรอข้ามถนน เราก็เลยวิ่งตามไป หยิบกล้องออกมาถ่าย เราตัดสินใจเรียกชื่อทงแฮด้วยครั้งนึง แต่เหมือนน้องก็จะรู้นะ เหมือนจะหันมาแว้บๆ แต่คงต้องรีบข้ามถนน ก็เลยไม่หันมาอีกที ใจนึงเราก็อยากเรียกอีก อยากให้น้องหันมามองกล้อง แต่ก็กลัวคุณสต๊าฟที่เดินมากับน้องจะด่าเอา เกรงใจน้องด้วย น้องคงรีบ (มาอ่านที่บลอคพี่จี๊ดแล้วเลยรู้ว่าน้องออกมาช้ากว่าคนอื่น เพราะน้องลืมของไว้บนเครื่อง) เสียดายที่น้องไม่ได้ออกมากับคิบอม เพราะเห็นว่าก่อนที่น้องจะรู้ตัวว่าลืมของ น้องกำลังเดินคุยอยู่กับคิบอมมี่ ถ้าน้องเดินมากับบอมจริงๆ วันนั้นเราคงได้ตายอย่างสงบ 55+ กร๊ากกกกก แต่แค่เวลาไม่ถึง 10 วินาทีที่ได้เห็นหน้าน้องปลาชัดๆ อยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าว ก็ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะ beyond my imagination คุ้มค่าตั๋วเครื่องบินแล้วจริงๆ ว่าแล้วก็อยากกลับกรุงเทพฯละ อ๊ากกก เวิ่นเว้ออีกแล้ว


ก่อนที่สติจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ รถบัสก็มาเทียบที่ป้ายพอดี ให้เรายื่นตั๋วให้คุณคนขับรถ สำหรับกระเป๋าที่จะโหลดเข้าใต้ท้องรถ คุณคนขับก็จะมีแท็คติดที่กระเป๋าและให้เราไว้อีกใบสำหรับเวลาเอากระเป๋าออก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงรถก็เริ่มเข้าสู่กรุงโซลและถึงสถานี Anguk ลากกระเป๋าเดินตามแผนที่นี้


พนง.ที่บีวอนที่เราเจอเป็นผู้หญิงอายุไม่เยอะ พูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี แล้วเค้าก็บริการลูกค้าได้ดีใช้ได้ทีเดียว แนะนำที่ทางภายในบีวอนตั้งแต่ ห้องครัว (อันนี้มีขนมปัง ชา กาแฟไว้บริการฟรีทุกเช้า แต่เวลาเริ่มเสริ์ฟคือ 9.00-12.00 น. เอ่อ!! สายขนาดนั้น ใครจะไปรอกินไหวคะ ไม่ต้องเที่ยวกันพอดี อันนี้แอบเคืองมากๆ) ห้องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต อยากได้ผ้าเช็ดตัวเพิ่มก็บอกได้ แต่เนื่องจากเวลาเช็คอินที่บีวอนคือบ่ายสองโมง แต่ตอนนี้เพิ่ง 9 โมง ยังเช็คอินไม่ได้ เราก็เลยฝากสัมภาระไว้ที่เค้าท์เตอร์ก่อน แล้วจึงออกเดินทางไปยังที่หมายแรกไม่ไกลจากบีวอนมากนักคือ Jongmyo Royal Ancestral Shrine หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับกษัตริย์ในสมัยโชซอนเพื่อทำพิธีกรรมในสมัยโบราณ ความจริงเลือกมาที่จงเมียวก็เพราะต้องการเดินฆ่าเวลาก่อนจะไปพระราชวังชางด็อกกุง แล้วก็เห็นว่าที่นี่เป็นมรดกโลกด้วย ก็เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรดีดีอยู่บ้าง ถ้าลงรถไฟใต้ดินที่สถานีจงโนซัมก้า (Jongno-3-ga) ให้ออกที่ทางออก 11 แต่ถ้ามาจากบีวอน ให้เดินออกมาถนนใหญ่ เดินตรงมาทางสถานีจงโนซัมก้า ข้ามถนนไปที่ทางออกที่ 7 แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ที่จงเมียวนี้ได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกด้วย ภายในมีป้ายดวงวิญญาณของกษัตริย์ราชวงศ์โชซอนอยู่ อาคารภายในประกอบไปด้วยอาคารหลักสำหรับประกอบพิธีกรรม 2 หลังและอาคารปลีกย่อยอื่นๆเช่น อาคารสำหรับเตรียมประกอบพิธีกรรม (Hall of Meritorious Officials) โรงเก็บอุปกรณ์สำหรับประกอบพิธีกรรม และโรงครัวสำหรับประกอบอาหารและเครื่องแต่งกายให้เหล่านักดนตรี สำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 1000 วอน เปิดตั้งแต่ 9.00-18.00 น. ปิดทุกวันอังคาร ตอนที่เราไปมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นไปเป็นกรุ๊ปทัวร์อยู่ 1 คณะ


ออกจากจงเมียว เราเดินย้อนกลับไปทางบีวอน เดินตรงตามถนนใหญ่ขึ้นไปจนเจอสี่แยกก็จะเจอกับพระราชวังชางด็อกกุง วันนี้ที่โซลหนาวมาก ที่สำคัญคือมันมีลม ก็เลยยิ่งทวีคูณความหนาวกันไปอีก ตอนที่คุณกัปตันเครื่องบินประกาศว่าอุณหภูมิที่อินชอนตอน 7 โมงเช้าเท่ากับศูนย์องศา ก็แทบจะกรี๊ดแล้ว ถึงแม้จะเช็คสภาพอากาศมาก่อนก็พอจะรู้ว่ามันอยู่ที่ประมาณเลขตัวเดียว แต่ไม่นึกว่ามันจะ ) กันเลยทีเดียว แล้วนี่ยังลมแรงอีก เอิ๊กกกกก จะไหวมั้ยเนี่ยตรู มาถึงพระราชวังชางด็อกกุงเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้เล็กน้อย ที่นี่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปชมภายในพระราชวังได้เอง จะต้องซื้อตั๋วเข้าไปชมเป็นรอบๆตามที่กำหนด โดยแต่ละรอบจะมีไกด์ของทางพระราชวังนำชม แบ่งรอบตามภาษาต่างๆได้แก่ เกาหลี อังกฤษ ญี่ปุ่นและจีน สำหรับรอบภาษาอังกฤษจะเป็นเวลา 11.30 13.30 และ 15.30 น. แต่ถ้ารอไม่ไหวหรือเวลาไม่มีก็สามารถเข้าแจมร่วมรอบภาษาอื่นๆที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษก็ได้ ค่าเข้าชมคนละ 3000 วอน ปิดทุกวันจันทร์


พระราชวังชางด็อกกุงก็ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเช่นกัน ประตูใหญ่หน้าทางเข้าพระราชวังมีชื่อว่าประตูทงฮวามุน เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป เลี้ยวขวาข้ามสะพานกึมชอนคโยผ่านประตูจินซอนมุน (ตามหนังสือคู่มือที่แจกตอนซื้อบัตรบอกว่าสะพานกึมซอนคโยเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในพระราชวังนี้) เดินตรงไปอีก เลี้ยวซ้ายผ่านประตูอินจองมุนก็จะพบกับอาคารพระราชบัลลังก์อินจองจอน (throne hall) มีพระราชบัลลังก์ของกษัตริย์ราชวงศ์โชซอน ด้านหลังบัลลังก์ของกษัตริย์ทุกพระองค์จะมีภาพวาดภูเขาห้าลูก แสดงถึงภูเขาที่ล้อมรอบอยู่ 5 ทิศได้แก่ เหนือ ใต้ ออก ตกและตอนกลาง ส่วนพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่อยู่ในภาพประดับก็เป็นตัวแทนถึงพระมหากษัตริย์และพระราชินี คุณไกด์พาลูกทัวร์ประมาณ 20 คน เดินชมรอบพระราชวังผ่านอาคารน้อยใหญ่ต่างๆ ขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง เหนื่อยใช่ย่อยเลยทีเดียว สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งภายในพระราชวังชางด็อกกุงก็คือสวนลับหรือ secret garden ซึ่งก็คือสวนกว้างๆธรรมดาๆนั่นแหล่ะ แต่คงจะสวยมากถ้าเป็นช่วงที่ดอกไม้บานเต็มที่โดยเฉพาะดอกซากุระ วันที่ไปนี้ซากุระเพิ่งเริ่มบานได้ไม่กี่ต้น ที่เหลือส่วนใหญ่ต้นยังแห้งโกร๋นอยู่เลย ดูแล้วแห้งเหี่ยวหัวใจมากๆ คาดว่าหลังจากที่เรากลับเมืองไทยแล้ว ประมาณสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษาเป็นต้นไป ดอกไม้ที่โซลน่าจะทยอยออกดอกแข่งกันบานเต็มที่ ถึงตอนนั้นทั่วทั้งพระราชวังคงน่าเดินกว่านี้มาก อากาศก็จะเย็นสบายขึ้นมากด้วย กับอีกฤดูหนึ่งที่สวยเสมอในใจเราก็คือฤดูใบไม้ร่วงที่จะได้เห็นใบไม้สีเหลืองแดงเต็มไปหมด ที่นี่ก็คงน่าเดินเล่นไม่น้อย คุณไกด์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็พาลูกทัวร์เดินจนทั่วพระราชวัง ระหว่างเดินออกจากพระราชวังก็มีคณะนักเรียนเกาหลีที่โรงเรียนพามาทัศนศึกษาเต็มไปหมดประมาณ 3-4 แห่ง ทำให้พื้นที่หน้าประตูทงฮวามุนดูเล็กไปถนัดตา






ออกจากพระราชวังชางด็อกกุงตอนประมาณบ่ายโมงครึ่ง เราก็มุ่งหน้าต่อไปยังพระราชวังคยองบกกุง ด้วยความที่โซลเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเขา การจะเดินจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็เลยต้องขึ้นเนินลงเนินกันเป็นว่าเล่นเดียว ใครที่ข้อเข่าไม่ดีก็ระวังตัวไว้ด้วยน๊า อิอิ ขนาดเรายังแทบแย่เลย เพิ่งรู้ตัวว่าที่รู้สึกแย่ก็เพราะหิวข้าวต่างหาก เดินมาตั้งครึ่งวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เดินผ่านร้านรถเข็นของอาจุมม่าคนนึงขายต๊อกป๊อกกิแล้วอยากกินอย่างแรง แต่ติดที่ว่าจะสั่งยังไงแล้วมันขายยังไงนี่สิ (แต่วันหลังๆนี่เราสามารถสั่งกินได้สบายละ วันแรกแอบปอดเล็กน้อย) เดินเท้าจากชางด็อกกุงไปคยองบกกุงก็ใช้เวลานานอยู่มิใช่น้อย ความจริงมันห่างกัน 1 สถานีรถไฟใต้ดิน แต่พอขึ้นจากสถานีก็ต้องเดินอีกหลายร้อยเมตรอยู่ ราคาค่าเข้าชมคนละ 3000 วอน ปิดทุกวันอังคาร พระราชวังคยองบกกุงนี้เปรียบเสมือนเป็นพระบรมมหาราชวัง สร้างขึ้นมากว่า 600 ปีมาแล้ว เราไปทันรอบบ่ายสองโมง ซึ่งด้านหน้าพระราชวังกำลังมีการเปลี่ยนผู้คุมประตูพอดี แต่ดูได้แป๊บนึง (แถมเรายังวิ่งเกะกะระรานคุณทหารเค้าไปทั่ว) ก็ต้องรีบเข้าไปในพระราชวังให้ทันฟรีไกด์ทัวร์ภาคภาษาอังกฤษ ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะมากแล้วยังมีนักเรียนตัวเล็กๆชั้นประถมของเกาหลีที่คุณครูพามาทัศนศึกษากันเป็นกลุ่มย่อยๆเต็มไปหมด แถมคุณไกด์ที่นี่ก็ไม่ยอมใช้อุปกรณ์ขยายเสียงใดๆด้วย ทำให้คุณไกด์เองก็ต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับกรุ๊ปข้างๆ เห็นแล้วเหนื่อยแทนจริงๆ แต่คุณๆไกด์คนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีและเร็วมาก ถึงแม้สำเนียงจะแอบฟังยากเป็นบางที พื้นที่ภายในพระราชวังคยองบกกุงนี้กว้างขวางมากๆ ใช้เวลาเดินร่วมชั่วโมงกันอีกแล้ว ระหว่างทางก็จะผ่านพระตำหนักกลางน้ำคยองแฮรู ซึ่งพระตำหนักกลางน้ำนี้ก็ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ นอกจากนี้ก็ยังผ่านอาคารที่พักของขุนนาง รวมไปถึงเรือนคนรับใช้ของชายและหญิงซึ่งแยกออกจากกัน โดยที่เรือนของคนรับใช้ชายจะมีหลังคาที่สูงกว่าของผู้หญิง (แถบจีน ญี่ปุ่น เกาหลีนี่ เรื่องนึงที่เหมือนกันคือเหยียดเพศแม่ซะเหลือเกิน แต่ที่เกาหลีนี่คิดว่าอีกซัก 2 เจเนอเรชั่น ผู้หญิงคงทัดเทียมผู้ชายได้หมดแล้ว)

หลังจากแยกจากคุณไกด์แล้ว เราก็เดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลี ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระราชวังคยองบกกุง ที่นี่เป็นที่ที่เราได้มาฝากท้องมื้อแรกในเกาหลีด้วยแซนวิช 2 ชิ้น (อร่อยมาก) และน้ำชา 1 ขวด และยังเป็นที่ที่ให้อินเตอร์เน็ตเราเล่นฟรีอีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติประกอบไปด้วยบริเวณจัดแสดง 5 ชั้น แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมโบราณวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้รวมไปถึงวิถีชีวิตของชาวเกาหลีตั้งแต่สมัยโบราณ ถ้าซื้อบัตรเข้าชมพระราชวังคยองบกกุงแล้วก็สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้ได้ฟรี

ออกจากพระราชวังคยองบกกุงตอนประมาณ 4 โมงเย็น เดินกลับไปที่บีวอนเพื่อเช็คอิน ที่พักของเราเป็นห้องพักสไตล์เกาหลีที่เรียกว่า Ondol คือจะไม่มีเตียงแต่จะต้องนอนบนฟูกบางๆ ที่พิเศษก็คือ heater จะถูกปล่อยออกมาผ่านพื้นห้อง ทำให้ผู้นอนรู้สึกอุ่นและผ่อนคลาย สาเหตุที่เลือกห้องนอนแบบ ondol นี้ที่จริงก็เพราะต้องการพื้นที่มากๆหน่อยเอาไว้วางสัมภาระ เพราะถ้าเลือกแบบห้องที่มีเตียง พื้นที่ห้องมันจะเหลือน้อยลง จะวางจะกางกระเป๋าอะไรก็ทำได้ไม่สะดวก ส่วนเรื่องนอนเตียงหรือฟูกนั้นไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ห้องพักในเกสต์เฮ้าส์ที่เกาหลีส่วนใหญ่ถ้าเป็นแบบพักไม่เกิน 3-4 คนก็จะมีห้องน้ำในตัว มีทีวี ตู้เย็น ไดร์เป่าผมให้ด้วย ครบครันไม่แพ้โรงแรมกันเลยทีเดียว (อันนี้ชอบๆ ไม่เหมือนในยุโรป ค่าครองชีพสูงเกินเหตุ ราคาก็แพงกว่าหลายเท่า กลับต้องแชร์ห้องน้ำ แต่ดีที่ทุกอย่างที่ยุโรปมันสะอาดและเป็นระเบียบมากๆ เลยไม่กังวลเรื่องการแชร์อะไรกับใคร ติดแต่ว่ามันแพ๊ง แพงค่อดๆอะดิ)

โปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ก็คือการล่องเรือชมแม่น้ำฮันยามค่ำคืน เราเดินออกจากบีวอนไปทางสถานีรถไฟฟ้าจงโนซัมก้า เดินลงที่ทางออกที่ 6 ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับบีวอน ไม่ต้องข้ามถนน ซื้อตั๋วอเนกประสงค์ T-money ที่ช่องจำหน่ายตั๋วที่สถานีจงโนซัมก้า คุณลุงอะจ๊อชชี่ที่ขายตั๋วน่ารักมาก พูดกันตั้งหลายรอบกว่าจะเข้าใจตรงกันแต่แกก็ยังยิ้มให้ตลอด T-money เป็นตั๋วอเนกประสงค์จริงๆเพราะสามารถใช้ได้กับทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ทั้งในโซล ชานเมืองและหัวเมืองใหญ่ๆ แท็กซี่บางคันรวมถึงจับจ่ายใช้สอยผ่านร้านค้าสะดวกซื้อต่างๆด้วย ราคาบัตร 2500 วอน สามารถหาซื้อได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินและร้านสะดวกซื้อต่างๆเช่น 7-11, GS25, Family Mart เติมเงินได้ตั้งแต่ 1000 วอนถึง 90000 วอน ถ้าใช้ไม่หมดก็สามารถขอเงินในการ์ดคืนได้จากผู้ที่จำหน่ายการ์ด (แต่เงินค่าบัตร 2500 ขอคืนไม่ได้นะคะ เพราะเราก็เคยงงมาแล้ว พอมาคิดอีกที ถ้าขอเงินค่าบัตรคืนได้ แล้วบริษัทมันจะได้กำไรจากไหนอ่ะ เออจริง) ขอดีของ T-money ก็คือความสะดวกสบายที่ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋ว แล้วยิ่งถ้าต้องเดินทางโดยรถสาธารณะแบบนี้บ่อยๆก็จะยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น เพราะทุกครั้งที่ใช้ก็จะได้รับส่วนลด อย่างเช่นตั๋วรถไฟฟ้าถ้าจ่ายเงินสดก็จะเริ่มต้นที่ 1000 วอน แต่ถ้าใช้ T-money ก็จะลดเหลือ 900 วอน ถ้าใช้ขึ้นรถเมล์แล้วแป๊ะบัตรก่อนลงจากรถก็จะได้ส่วนลดสำหรับการเดินทางครั้งต่อไปภายในเวลาทีกำหนด

จากสถานีรถไฟฟ้าจงโนซัมก้าไปสถานียออินารู (Yeouinaru) เพื่อไปล่องเรือชมแม่น้ำฮันนั้นสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้าสายที่ 5 ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 25 นาที สามารถเช็คเส้นทางและเวลาเดินทางได้ที่ //www.seoulmetro.co.kr เลือกหัวข้อ subway guide และ cyber station ตามลำดับ พอเดินขึ้นมาจากสถานียออินารูที่ทางออกที่ 4 ได้ก็เกือบลมจับ เพราะว่าพอมองออกไปตรงบูธขายตั๋วล่องเรือก็แบบว่าจะไกลไปไหนค๊า ดูจากแผนที่นี่ไม่รู้เลยอ่ะ คือว่าเส้นทางที่จะเดินไปตรงนั้นมันกำลังซ่อมหรือกำลังปรับปรุงพื้นที่อะไรซักอย่าง แทบอยากจะกรี๊ดเป็นภาษาตุรกีกันเลยทีเดียว นี่ตลอดวันนี้เราเดินเท้าร่วม 20 กิโลเมตรแล้วนะเนี่ย แต่สุดท้ายก็มาถึงจนได้ จริงๆเส้นทางเดินเรือมีหลายเส้นทางให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบทางเดียว ขึ้นจากยออิโดไปลงจัมซิล หรือแบบไป-กลับ ยออิโด-ยออิโด จะเลือกแบบที่มีคอนเสิร์ตบนเรือพร้อมอาคารค่ำด้วยก็ได้ เราเลือกแบบไป-กลับยออิโด ไม่มีคอนเสิร์ต ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง รอบ 18.30 น. ราคาตั๋วคนละ 11000 วอน จริงๆถ้ารอรอบ 19.30 น. บรรยากาศในการล่องเรือก็จะสวยกว่านี้มาก เพราะพระอาทิตย์จะตกแล้ว แสงไฟจากอาคารและสะพานโดยรอบก็จะสว่างไสวตลอดเส้นทาง อีกอย่าง เลือกช่วงที่อากาศอุ่นกว่านี้อีกซัก 5-10 องศาก็ยิ่งเยี่ยมไปเลย เพราะพอจะออกมาถ่ายรูปนอกตัวเรือก็ปะทะกับกระแสลมที่เย็นยะเยือก หนาวจี๊ด ทำให้ถ่ายรูปแทบไม่ได้เลย แต่การที่ได้ล่องเรือแล้วเห็นบรรยากาศโดยรอบกรุงโซลในแบบที่แตกต่างจากชมผ่านการขึ้นหอคอยโซลทาวเวอร์ที่หลายๆคนเลือกไปก็น่าสนใจมิใช่น้อย





สุดท้ายกลับมาที่พักที่บีวอน ก่อนกลับแวะร้านขายของกึ่งๆมินิมาร์ทบวกซูเปอร์มาร์เก็ตเพราะมีส่วนที่ขายของสดนอกตัวร้านด้วย ที่สุดท้ายที่นี่ก็เป็นที่ฝากท้องยามยากของเราได้หลายครั้ง ซื้อสตอเบอรี่ 1 แพ็คในราคา 5500 วอน ลูกโตมาก หวานมากด้วย กินไปดูทีวีเกาหลีไป ทีวีที่นี่เค้ามีช่องให้ดูอย่างเยอะ ไม่รู้ว่ามันเป็นฟรีทีวีหรือเคเบิ้ลทีวีซักกี่ช่อง ที่สำคัญเจอข่าวเหล่าลูกลิงเอสเจหลายข่าวอยู่เหมือนกัน ทั้งรายการเด็กของชินดง รายการเก่า love fighter ของพี่ทึกแล้วก็สกู้ปเอสเจอีกนิดหน่อย ดูแต่รูป แปลมะออก แต่เด็กๆพวกเนี้ยก็ทำให้เพ้อได้ตลอด ^^


*****
สุดท้ายจริงๆ ระหว่างเดินในพระราชวังชางด็อกกุงและคยองบกกุงก็ทำให้เห็นสถาปัตยกรรมหลายอย่างของเกาหลี ซึ่งในความรู้สึกส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่ได้วิจิตรและสลับซับซ้อนซักเท่าไหร่ จะว่ายังไงดีล่ะ คือมันไม่เหมือนญี่ปุ่น มันไม่ดูอ่อนช้อย วิจิตรบรรจงเท่าญี่ปุ่น นี่ไม่ต้องเทียบกับประเทศไทยหรือสถาปัตยกรรมแบบยุโรปเลย อาจเป็นเพราะเกาหลีเป็นประเทศที่ต้องอยู่ในสภาวะพร้อมที่จะถูกรุกรานจากจีนและญี่ปุ่นตลอดเวลา หลายครั้งและเป็นเวลานานที่ตกอยู่ในฐานะเมืองขึ้น ประชากรก็เลยต้องอยู่กันอย่างพอเพียง พอมีพอกิน เรียบง่ายสุดๆ ทุกอย่างมันสื่อให้เห็นออกมาจากสถาปัตยกรรมและอาหารการกินของชาวเกาหลีมากๆ แต่สุดท้ายด้วยความที่จิตใจที่เต็มไปด้วยความรักชาติของคนเกาหลี (เราคิดว่างั้น) พวกเค้าก็สามารถนำวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเหล่านี้มาเป็นจุดขายของการท่องเที่ยวในประเทศได้ พวกเค้าถีบตัวพัฒนาตนเองและพัฒนาประเทศชาติโดยการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆทั้งยานยนต์และอิเลคทรอนิกส์ ถึงแม้ว่าหลายครั้งจะถูกมองว่าเป็นการลอกเลียนแบบคนอื่นมา แต่สำหรับเรา เรายอมรับการลอกเลียนแบบในลักษณะนี้ได้ เพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถคิดค้นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆได้ในเวลาอันสั้น เราคงต้องทำตามเทคโนโลยีต้นแบบก่อนแล้วในอนาคตเราก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นจนสามารถคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆของเราได้ด้วยตนเองเหมือนที่เกาหลีใต้ทำสำเร็จแล้ว (ไม่ใช่ไอเดียเช่นออกแบบเสื้อผ้า หรือถ่ายทำโฆษณาอย่างงี้นะ อันนี้ไม่สมควรลอกเลียนแบบ ทำได้อย่างมากแค่เป็นแรงบันดาลใจก็พอ) คงไม่มีใครปฏิเสธว่าถ้าไปเกาหลี มองไปตามท้องถนนก็จะเห็นแต่คนขับรถฮุนได แดวู มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่คนใช้โทรศัพท์มือถือซัมซุง แอลจี หรือ Anycall เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ไม่พ้นซัมซุง แอลจีอีกเหมือนกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสินค้าสัญชาติเกาหลีใต้เองทั้งนั้น แสดงถึงความรัก ความภูิมิใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเค้าเอง ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใดก็ตาม กลยุทธ์ให้ใช้สินค้าของประเทศก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเกาหลีสามารถค้นหาจุดขายใหม่ๆที่พวกเค้าจับจุดได้ก็คือการประชาสัมพันธ์ประเทศผ่านทางธุรกิจบันเทิง ทั้งซีรีส์ หนัง ดนตรี ศิลปินนักร้องที่เค้าเรียกว่าเป็น Hallyu หรือ Korean wave หรือคลื่นวัฒนธรรมเกาหลีหรือ K-pop เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลติดกับดักกระแส Hallyu นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเหมือนกัน จะว่าไปการที่เด็กไทยได้รู้จักกระแสเกาหลีฟีเวอร์นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นดาบสองคมในตัวมันเองอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเสพ เลือกใช้คมด้านที่ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าเรารู้ที่จะป้องกันตัวเองจากคมด้านที่ไม่ดีหรือเปล่า สำหรับเรา เราได้เปิดตาและเปิดใจให้กว้างและได้มุมมองความคิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นจากการได้รู้จักประเทศเกาหลีใต้นี้อย่างมาก และหวังว่าถ้าหลายๆคนได้รู้จักนำแง่คิดของประเทศเกาหลีมาปรับใช้กับการพัฒนาประเทศไทยได้บ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย ไม่ใช่อะไรที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ไม่รู้ เฮ้อ!!! ยิ่งคิดยิ่งเครียด ปวดใจจริงๆ


Create Date : 13 เมษายน 2552
Last Update : 23 เมษายน 2552 8:20:46 น. 3 comments
Counter : 974 Pageviews.  
 
 
 
 
รออ่านตอนต่อไป เราก็เคยอยากไปเกาหลีมากๆ ชอบซีรีส์+หนังเกาหลีเหมือนกัน

ว่าแต่คราวนี้กี่ตอนจบอะคะ
 
 

โดย: MaRiMeKKo วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:17:15:26 น.  

 
 
 
55+ คราวนี้คิดว่า 6 ตอนจบค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

แต่ตอนนี้กำลังเครียดกับการเมือง คงมาอัพได้ช้าหน่อยอ่ะค่ะ
 
 

โดย: katiekat วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:17:25:36 น.  

 
 
 
ไปช่วงสิ้นเดือนที่เเล้ว เเถมได้เจอเอสเจด้วย

เป็นเราเราก็กรี๊ดค่ะ ^^

 
 

โดย: Bai Ning IP: 125.24.202.60 วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:19:33:12 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com