แวะไปบล็อก พี่แพท Petit Patty เห็นว่า ไปไหว้หลวงพ่อใหญ่ พระพุทธชินราชมา จุเข้าไปทักว่า คงไม่ได้เข้าไปไหว้พระพทุธรูปปางปรินิพพาน แห่งเดียวของประเทศไทยเหรอ? นั่น! เป็นเรื่องเลย จริงๆ แล้ว คือ พระเจ้าเข้านิพพาน และจุก็ได้สร้างความลำบากให้พี่แพท ไปค้นหาข้อมูลกรูเกิล ก็ไม่พบ ( จะพบได้งัย จุบอกผิด )
จุเหมือนมีความผิดเลยนะเนี่ย ไปทำให้ พี่แพทอยากรู้
นอกเหนือจากพี่แพท เพื่อนต๋อง T_Ang ก็เข้ามาอยากรู้ อยากเห็นไปด้วย
เอาเป็นว่า จุอัพบล็อกนี้ เพื่อขอโทษ พี่แพท กับ หนุ่มต๋องนะคะ จุจะเขียนเท่าที่จุรู้แล้วกันนะคะ เท่าที่ข้อมูลพอมีอยู่ ยังดีที่ค้นสมุดโน๊ตเจอ ที่เขาเรียกว่า พระเจ้าเข้านิพพาน ไม่ใช่ พระพุทธรูปปางปรินิพพาน คนละแบบกันเล๊ยยยย
_________________________________________________________________
วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน และหีบพระบรมศพ
วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน สร้างในสมัยอยุธยา แต่ รัชกาลใด ไม่ปรากฏ ( แบบว่า จุจำไม่ได้ )
ภายในนอกจากจะมีพระประธานแล้ว ด้านหน้าของพระประธาน จะประดิษฐานพระบรมศพจำลองของพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าเป็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด แต่วัดจะให้ความสำคัญแค่ไหน อันนี้ไม่รู้
เข้าใจว่า ในการสร้างศิลปะชิ้นนี้ เป็นการจำลองสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นหีบบรรจุพระบรมศพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้านท้ายของพระบรมศพมีพระบาทยื่นออกมา และมี พระมหากัสสัปปะ นั่งไหว้อยู่ รวมทั้ง พระสาวกรูปอื่นๆ ( จำชื่อได้รูปเดียว ) ศิลปะแบบนี้ ว่ากันว่า เป็นโบราณวัตถุที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
ชาวบ้าน มักจะนำพวงมาลัยมาไหว้ที่ปลายพระบาท เพื่อขอพร สมหวังไปหลายรายค่ะ
ถ้าหากเดินทางเข้าด้านหน้าวัด วิหารนี้จะอยู่ขวามือ เป็นวิหารหลังเล็กๆหันหน้าไปทางทิศตะวันออกค่ะ
แถม กระบอกน้ำตาลสดคู่วัดใหญ่ จุชอบซื้อกิน แต่หลังๆ นี่ กระบอกเล็กลงนะเนี่ย
เล็กลงจริงๆ ด้วยล่ะ
ปล. คราวนี้ หากใคร แวะพิษณุโลก ไหว้ หลวงพ่อใหญ่แล้ว อย่าลืม แวะเข้าไปดู พระเจ้าเข้านิพพานด้วยนะคะ
Create Date : 22 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 7 เมษายน 2553 21:20:19 น. |
|
29 comments
|
Counter : 3471 Pageviews. |
|
|
เป็นปางที่สร้างตามพระพุทธประวัติตอนถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ที่เมืองกุสินารา โดยห่อพระพุทธสรีระด้วยผ้าอัคคิโรวะนะ(พุทธประวัติกล่าวว่า เป็นผ้าสูงค่าเวลาซักก็โยนเข้ากองไฟ กล่าวคือปกติ เวลาซักผ้าเราก็ซักด้วยน้ำ แต่ผ้าชนิดนี้ซักด้วยไฟ แปลกมาก ดังนั้นผ้าอัคคิโรวะนะจัดเป็นผ้าพิเศษมากๆๆ เพราะเป็นผ้าที่ไม่ไหม้ไฟ) แล้วห่อด้วยผ้าอีก 100 ชั้น เตรียมจะถวายพระเพลิง แต่ทำอย่างไรก็ไฟไม่ติด ด้วยเพราะเหตุว่า พระมหากัสสปะเถระเจ้ายังมาไม่ถึง ตามพุทธประวัติกล่าวว่าพระมหากัสสปะเถระ(พระมหากัสสปะเป็นเอตทัคคะในทางธุดงค์) รู้ข่าวว่าพรพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานก็รีบเดินทางมา ระหว่างทางเห็นชายถือดอกมนฑารพ ซึ่งเป็นดอกไม้สวรรค์ ก็รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จขันธปรินิพพานไปแล้ว พอมาถึงหีบบรรจุพระพุทธสรีระ พระมหากัปสปะก็นั่งกระโหย่งวันทา ก็เกิดปาฏิหาริย์ พระบาทของพระพุทธเจ้าโผล่ออกมาจากหีบนั้น
พอพระมหากัสสปะได้ทำการอภิวาทแล้ว พระบาทก็กลับเข้าไปในหีบเช่นเดิม แล้วก็เกิดไฟลุกโชติช่วงเผาพระพุทธสรีระขึ้นเอง พระมหากัสสปะเถระ ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า มักน้อย สันโดษ ประวัติของท่านจึงไม่ค่อยโดดเด่นเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชน(ยังไม่บรรลุอรหันต์)พากันร่ำไห้เสียใจ รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา แต่มีภิกษุวัยชรานามว่า "สุภัททะ" พูดห้ามปรามภิกษุเหล่านั้นมิให้ร้องไห้โดยกล่าว่า ท่านทั้งหลาย อย่าร้องไห้เสียใจไปเลย พระพุทธองค์ปรินิพพานเสียได้ก็ดีแล้ว ต่อไปนี้พวกเราพ้นจากอำนาจของพระศาสดาแล้ว จะทำอะไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาบังคับว่ากล่าวห้ามปรามพวกเราอีกแล้ว พระมหากัสสปะเถระ ได้ฟังคำของพระสุภัททะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจว่า พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน ยังมีผู้กล่าวจ้วงจาบล่วงเกินพระธรรมวินัยถึงเพียงนี้ ต่อไปภายหน้าก็คงจะหาผู้เคารพในพระธรรมวินัยได้ยากยิ่ง ด้วยคำพูดของพระสุภัททะเพียงเท่านี้ หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านได้ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้เป็นหมวดหมู่ เป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป ณ ภูเขาเวภารบรรพต เป็นเวลา ๗ เดือน
ในคัมภีร์พระสาวกนิพพานกล่าว่า พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตอธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง ๓ ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้นท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนาพระศรีอริยเมตไตร ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้านั้น
คัดลอกมาจาก เว็บบอดของ //www.vcharkarn.com โดยสมาชิกที่ชื่อว่า "ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว"