|
การทำรัฐประหาร = Official Revolution: ลงทุนต่ำ-กำไรสูง
บทความชิ้นนี้นำมาจากเวปไซน์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งทางกองบรรณาธิการเวปไซน์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกล่าวเกี่ยวกับบทความนี้ว่า เป็นการพิจารณาการทำรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ในแง่มุมสิทธิเสรีภาพและระเบียบทางการเมือง โดยบทความนี้เดิมชื่อ ไม่มีรัฐประหารไหนพิเศษกว่ารัฐประหารอื่น: พิจารณารัฐประหาร ๑๙ กันยายน ในแง่สิทธิเสรีภาพและระเบียบการเมือง ประกอบด้วยสาระสำคัญดังหัวข้อสังเขปต่อไปนี้ - สิทธิเสรีภาพพลเมืองและสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ - สิทธิเสรีภาพมีอยู่โดยธรรมชาติ - สิทธิเสรีภาพพลเมืองเป็นเส้นแบ่งการเมืองสมัยใหม่กับการเมืองโบราณ - สิทธิเสรีภาพของพลเมืองในทัศนะนักกฎหมายไทย - ประวัติความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ - รัฐประหาร 19 กันยายน ในทฤษฎีรัฐประหาร - ความแตกต่างของรัฐประหาร การก่อจลาจล และการปฏิวัติ - การรัฐประหาร = Official Revolution - ต้นทุนต่ำ กำไรสูง
โดยบทความนี้เผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนครั้งแรกเมื่อวันที่ ๐๗ กันยายน ๒๕๕๐
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : เขียน นักวิชาการอิสระ : กำลังศึกษาในระดับ ป.เอก ที่ มหาวิทยาลัยฮาวาย
ความนำ ในทันทีที่เกิดการยึดอำนาจเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ปัญญาชนและผู้ประกอบวิชาชีพวิชาการจำนวนมาก พากันยืนยันว่ารัฐประหารนี้แตกต่างจากรัฐประหารในอดีต เพราะเป็นรัฐประหารที่เกิดจากความต้องการของประชาชนจริงๆ, เป็นรัฐประหารที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพพลเมืองมากกว่าทุกครั้ง, เป็นการยึดอำนาจโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง, เป็นรัฐประหารที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครองว่า จะเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของประชาชน ฯลฯ จึงไม่ควรต่อต้านหรือวิจารณ์การยึดอำนาจครั้งนี้ เพราะมีความเป็นไปได้ที่รัฐประหารนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้ในสังคมไทย
แน่นอนว่าทรรศนะคตินี้มีปัญหา เพราะไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงง่ายๆ ว่ารัฐประหาร 19 กันยายน เริ่มต้นด้วยการประทุษร้ายบุคคลในรัฐบาลที่แล้ว, การปกครองประเทศด้วยกฎอัยการศึกและกำลังพลติดอาวุธ [1] , พรรคการเมืองถูกห้ามดำเนินกิจกรรม, สิทธิในการเข้าถึงและกระจายข่าวสารถูกควบคุมทางตรงและทางอ้อม, เสรีภาพในการแสดงความเห็นถูกลิดรอนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง [2] , เสรีภาพในการชุมนุมเป็นเรื่องที่โดยพื้นฐานแล้วผิดกฎหมาย, การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติ และสภาร่างรัฐธรรมนูญ ล้วนกระทำไปโดยการพูดคุยและตกลงเป็นการภายในระหว่างผู้นำรัฐประหารไม่กี่ราย จากนั้นก็ตามมาด้วยการร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีผู้แทนปวงชนเข้าไปเกี่ยวข้อง สิทธิในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรถูกระงับชั่วคราว รวมทั้งหลักการปกครองโดยกฎหมายถูกบิดเบือนเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้ามตามอำเภอใจ
ถ้าพฤติกรรมเหล่านี้แสดงถึงสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยได้ ประชาธิปไตยก็คงไม่มีความหมายต่อไป ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าทัศนคตินี้ผิดจนไม่มีอะไรน่าสนใจ ในทางตรงกันข้าม ทัศนคติแบบนี้น่าสนใจเพราะเกี่ยวพันกับฐานความคิดที่สมควรอภิปรายให้กว้างขวางต่อไป 3 ข้อ
- ข้อแรกคือ ความเข้าใจว่าสิทธิเสรีภาพของพลเมืองมีความหมายเท่ากับสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ - ข้อสองคือ รัฐประหาร 19 กันยายน เป็นรัฐประหารที่พิเศษกว่ารัฐประหารที่ผ่านมาทั้งหมด และ - ข้อสามคือ มีความเป็นไปได้ที่รัฐประหารจะวางหลักประกันให้สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
สิทธิเสรีภาพพลเมืองและสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ ในบรรดาประเด็นปัญหาทั้ง 3 ข้อ นั้น ประเด็นแรกนับว่าตอบได้ง่ายที่สุด เพราะผู้ที่สนใจความเคลื่อนไหวทางสังคมคงทราบเป็นอย่างดีว่า สิทธิเสรีภาพระดับลายลักษณ์อักษรไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิทธิเสรีภาพซึ่งปฏิบัติกันอยู่จริง ในทางตรงข้าม สิทธิเสรีภาพลักษณะนี้เป็นเพียงตัวบทที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญสามารถเขียนให้วิจิตรพิสดารจากความเป็นจริงอย่างไรก็ได้ รวมทั้งจะเขียนให้เป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติแบบใดก็ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงอุปสรรคหลายต่อหลายข้อ ที่อาจขัดขวางไม่ให้สิทธิเสรีภาพตามตัวอักษรแปรสภาพเป็นมาตรการคุ้มครองพลเมืองได้จริง
รายงานข่าวของเว็บไซต์ประชาไทต่อการประทุษร้ายที่บ้านปางแดงเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2550 เป็นภาพสะท้อนของช่องว่างระหว่างสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญกับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองได้เป็นอย่างดี [3]
"ทหารชุดเฉพาะกิจร่วมกับป่าไม้ ใช้กฎอัยการศึก เข้าปิดล้อมหมู่บ้านปางแดง บุกรื้อถอนบ้าน และจับกุมชาวบ้าน เผยเป็นพื้นที่เป้าหมายบุกรุกป่า-ยาเสพติด ขณะที่เอ็นจีโอประณามเจ้าหน้าที่รัฐเลือกปฏิบัติ เหมือนจงใจสร้างสถานการณ์ กระทำการคุกคามชาวบ้านปางแดงซ้ำซาก
วันนี้ (22 ม.ค.) เจ้าหน้าที่ทหารจากชุดเฉพาะกิจกองพันทหารม้า กองทัพภาคที่ 3 พร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้จากหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.5 (ปิงโค้ง) และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนากว่า 20 นาย นำกำลังเข้ารื้อค้นบ้านชาวบ้านปางแดงนอก ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยรื้อค้นบ้านก่อนทำการยึดไม้ พร้อมจับกุมชาวบ้านข้อหามีไม้เถื่อนในครอบครอง
เมื่อผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสอบถาม นายสนั่น โกฏแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.5 (ปิงโค้ง) เปิดเผยว่า เนื่องจากหมู่บ้านปางแดงเป็นหนึ่งในหมู่บ้านเป้าหมายในเรื่องปัญหาการบุกรุกป่าและยาเสพติด ของ อ.เชียงดาว ซึ่งจากการสืบเบาะแส พบว่าพื้นที่ปางแดงถือว่ายังมีปัญหาเรื่องการบุกรุกป่าอยู่ และยังมีกลุ่มพ่อค้าไม้เข้าไปแอบแฝงอยู่ในหมู่บ้านนั้นด้วย จึงจำเป็นต้องเข้าไปค้นและจับกุม "แต่ว่าการเข้าไปปิดล้อม มันต้องมีหมายค้น ซึ่งบางครั้งมันไม่ทันการ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยชุดกำลังเฉพาะกิจของทหาร เพราะทางทหารไม่ต้องใช้หมายค้น สามารถใช้กฎอัยการศึกเข้าไปได้เลย"
รายงานนี้มีความสำคัญหลายข้อ
- หนึ่ง ข่าวนี้แสดงให้เห็นการประทุษร้ายที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อชาวบ้านโดยมีลักษณะเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์และชนชั้นมาเกี่ยวข้อง - สอง การประทุษร้ายนี้เกิดขึ้นในนามของเหตุผลสาธารณะที่รัฐอ้างว่าชาวบ้านละเมิดประโยชน์ส่วนรวม - สาม ชาวบ้านกลุ่มนี้ถูกประทุษร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยรัฐบาลทุกยุคสมัย - สี่ ข่าวนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีสิทธิในการใช้อำนาจเหนือกฎหมายต่อชาวบ้านได้ตามอำเภอใจ และ - ห้า ข่าวนี้เป็นตัวอย่างของการละเมิดสิทธิเสรีภาพ โดยอำนาจอภิสิทธิ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับจากกฎอัยการศึกในปัจจุบัน
หากเงี่ยหูฟังเสียงของคนที่มีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจอ่อนด้อยต่อไป ก็คงได้ยินเรื่องราวทำนองนี้ดังขึ้นอีกมาก สิทธิเสรีภาพที่เป็นลายลักษณ์อักษรจึงมีช่องว่างเหลือคณาจากสิทธิเสรีภาพในระดับปฏิบัติจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่ชีวิตจริงของพลเมืองอยู่ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ผิดไปจากสภาวะปกติธรรมดา
สิทธิเสรีภาพมีอยู่โดยธรรมชาติ แน่นอนว่า การพิจารณาสิทธิเสรีภาพโดยคำนึงแต่บทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นทำให้มืดบอดต่อความเป็นจริง แต่ที่อันตรายไม่น้อยกว่าความมืดบอดคือ การทำให้สิทธิเสรีภาพของพลเมืองเสื่อมความสำคัญลงไปด้วย เหตุผลคือหลักสิทธิเสรีภาพพลเมืองเป็นข้อความคิดที่แตกต่างในระดับมูลฐาน จากหลักสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญจนไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้ หลักคิดนี้เห็นว่าสิทธิเสรีภาพเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบเชิงปทัสถานสากล (Nomos) มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิเสรีภาพอยู่แล้วโดยธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากรัฐบาล, กฎหมาย, หรืออำนาจทางโลก ขณะที่สิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญนั้นคือสิทธิเสรีภาพที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อเป้าหมายรวบยอดบางอย่าง (interpretive concept) ทำให้สิทธิเสรีภาพประเภทนี้มีความหมายก็ต่อเมื่อ มีระเบียบทางโลกให้การประทับรับรองสถานะทางกฎหมายขึ้นมา
ในทางปรัชญานั้น การนำสิทธิเสรีภาพของพลเมืองไปเทียบเคียงเท่ากับสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญเป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพที่มนุษย์ทุกคนมีโดยธรรมชาติ ให้กลายเป็นแค่ข้อตกลงที่เกิดจากบทบัญญัติทางกฎหมาย กระบวนการนี้ทำให้สิทธิเสรีภาพและความเป็นพลเมืองไม่ใช่หลักการที่มีมาก่อนและอยู่เหนืออำนาจ แต่กลายเป็นอำนาจ (Authority) ที่ให้กำเนิดสิทธิเสรีภาพและความเป็นพลเมือง [4]
การตระหนักว่าพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพโดยธรรมชาติเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความข้อนี้เป็นพื้นฐานของความเข้าใจต่อไปว่า รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นเพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้กับสิทธิเสรีภาพที่พลเมืองมีโดยกำเนิดอยู่แล้ว เป้าหมายของรัฐธรรมนูญคือ การสร้างหลักประกันด้านสิทธิเสรีภาพพลเมืองโดยบทบัญญัติทางกฎหมาย นั่นหมายความว่าสิทธิพลเมือง เป็นอาณาบริเวณที่โดยปกติแล้วรัฐไม่สามารถลิดรอนหรือล่วงละเมิดเข้าไปได้ และฉะนั้น รัฐและเจ้าหน้าที่รัฐจึงพึงมีอำนาจเหนือพลเมืองในระดับจำกัดที่สุด ประเด็นนี้เท่ากับว่าความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ทำให้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเป็นระเบียบการเมืองสูงสุดโดยดุษฎี ในทางตรงกันข้าม ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญเป็น กฎทางโลก ซึ่งขึ้นต่อระบบคุณค่าที่สำคัญกว่ารัฐธรรมนูญไปมาก วิธีคิดแบบนี้เห็นว่าพลเมืองไม่ได้มีหน้าที่ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะพันธะของพลเมืองในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญนั้น เกิดขึ้นเมื่อรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับระบบคุณค่าที่อยู่เหนือขึ้นไป นั่นก็คือรัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ของข้อความคิดที่มีหลักสิทธิเสรีภาพพลเมืองเป็นแกนกลาง เป็นส่วนสำคัญ
สิทธิเสรีภาพพลเมืองเป็นเส้นแบ่งการเมืองสมัยใหม่กับการเมืองโบราณ เรามักเข้าใจว่าเส้นแบ่งระหว่างการเมืองโบราณกับการเมืองสมัยใหม่อยู่ที่ หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ และหลักการปกครองโดยกฎหมาย แต่แท้จริงแล้ว สิทธิเสรีภาพพลเมืองต่างหากที่เป็นเส้นแบ่งแยกการเมืองสมัยใหม่ออกจากการเมืองโบราณ เหตุผลคือการปกครองโดยรัฐธรรมนูญและหลักกฎหมายเป็นเรื่องที่ปรากฏในสังคมการเมืองก่อนสมัยใหม่หลายต่อหลายสังคม นักปรัชญาโบราณอย่างเพลโตและอริสโตเติลเองก็พูดมานับพันปีว่ารัฐบาลควรอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และกฎหมาย แต่ประเด็นคือการเมืองแบบก่อนสมัยใหม่และการเมืองสมัยใหม่คิดถึงการปกครองโดยกฎหมายในแง่มุมที่ต่างกัน กล่าวคือ
- การเมืองก่อนสมัยใหม่เห็นว่ากฎหมายเป็นพื้นฐานของความยุติธรรม ส่วนความยุติธรรมก็เป็นมูลฐานของชีวิตที่ดีของมนุษย์ การเมืองแบบก่อนสมัยใหม่จึงเห็นว่าการปกครองโดยกฎหมายมีความสำคัญในฐานะ มรรควิธี เพื่อไปสู่ชุมชนการเมืองที่มีระเบียบที่ดี (well-ordered community)
- ขณะที่การเมืองสมัยใหม่ไม่ได้เห็นความสำคัญของการปกครองโดยกฎหมายด้วยเหตุผลข้อนี้ แต่เห็นว่าการปกครองโดยกฎหมายเป็นเครื่องมือสำหรับปกป้องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง [5]
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความโลกก่อนสมัยใหม่จะปราศจากร่องรอยของความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ เพียงแต่เสรีภาพในเวลานั้นไม่ได้หมายความถึงเสรีภาพด้านความคิด ความเชื่อ สิทธิมนุษยชน หรือการแสดงความเห็นอย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน
- เสรีภาพในภาษาสุมาเรียนคือคำว่า Ama-gi ซึ่งหมายถึงการกลับไปหามารดาผู้ให้กำเนิด - คำว่าเสรีภาพในภาษาอังกฤษมีรากมาจากคำในภาษาอินโด-ยูโรเปียน ซึ่งหมายถึงความรัก - แม้กระทั่ง ทูซีดิดีส ใน Peloponnesian Wars ก็ใช้คำว่าเสรีภาพในความหมายของอิสรภาพและ ความสุขอันเกิดจากการได้ดื่มด่ำกับความงามและปัญญา [6]
สิทธิเสรีภาพของพลเมืองในทัศนะนักกฎหมายไทย แนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในฐานะสิทธิโดยธรรมชาตินั้น แตกต่างจากความเข้าใจที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักกฎหมายของไทยที่อยู่ใต้อิทธิพลของนิติปรัชญาแนวปฏิฐานนิยม ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว คนเหล่านี้เห็นว่ากฎหมายไม่ใช่ หลักการ (Principles) จึงไม่มีความจำเป็นที่กฎหมายจะต้องอยู่ภายใต้หลักจริยศาสตร์หรือหลักการนามธรรมชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ความยุติธรรม ความดี หรือประชาธิปไตย แต่กฎหมายคือองค์รวมของ กฎ (Rules) และขั้นตอนการปฏิบัติ (Procedures) ซึ่งถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทางสังคมในแต่ละห้วงเวลา [7]
- นักกฎหมายมหาชนของไทยนับตั้งแต่รุ่นบุกเบิกอย่าง ขุนประเสริฐศุภมาตรา จึงไม่เคยกล่าวถึงสิทธิเสรีภาพพลเมืองในฐานะสิทธิที่มีโดยธรรมชาติ แต่กลับให้คำอรรถาธิบายว่า สิทธิคืออำนาจหรือความสามารถซึ่งกฎหมายรับรองให้บุคคลผู้หนึ่งมีอำนาจร้องให้ผู้อื่นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
- ส่วนนักกฎหมายรุ่นถัดมาอย่าง ศาสตราจารย์ หยุด แสงอุทัย ก็ให้ความเห็นในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ นั่นก็คือ สิทธิ ก่อให้เกิด หน้าที่ แก่บุคคลอื่นที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายรับรอง [8]
พูดอย่างรวบรัดแล้ว คติแบบปฏิฐานนิยมเห็นว่าสถานะของสิทธิเสรีภาพขึ้นอยู่กับการรับรองในรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมาย ขณะที่แนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพพลเมืองนั้น เห็นว่าแม้สิทธิเสรีภาพของพลเมืองจะต้องได้รับการค้ำประกันโดยกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิทธิเสรีภาพพลเมืองมีต้นกำเนิดมาจากระบบกฎหมาย และยิ่งไม่ได้เท่ากับว่าสิทธิเสรีภาพเท่าที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญและตัวบทกฎหมายนั้น คือ นิยามความหมาย ของสิทธิเสรีภาพทั้งมวล
ประวัติความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ นักกฎหมายแนวปฏิฐานนิยมมักอ้างว่าสิทธิเสรีภาพพลเมืองเป็นแนวคิดที่ปราศจากแก่นสาร ไม่มีนิยามชัดเจน และนำไปปฏิบัติไม่ได้ จึงจำเป็นต้องยอมรับให้บทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นแหล่งที่มาของสิทธิเสรีภาพพลเมืองที่เชื่อถือได้แต่เพียงแหล่งเดียว ซึ่งแม้จะเป็นความจริงว่าสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในแง่ประวัติศาสตร์ความคิดนั้นเป็นข้อความคิดที่มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ไม่ได้ออกไปจากกรอบพื้นฐานที่มีลักษณะร่วมอย่างคร่าวๆ ในแง่ของการคิดถึงสิทธิเสรีภาพในเชิงการปลอดจากสภาวะคุกคามบังคับที่เกิดจากอำนาจภายนอกตัวมนุษย์ ตัวอย่างเช่น
- สิทธิเสรีภาพพลเมืองแบบที่เข้าใจกันในปัจจุบันนั้น เป็นผลผลิตของความคิดเสรีนิยมสกุลที่เฟื่องฟูขึ้นโลกตะวันตกในช่วงหลังคริสตศตวรรษที่ 18 ที่พิจารณามนุษย์ในฐานะองค์ประธานซึ่งมีอิสรภาพในตัวเอง (autonomy) โดยก่อนหน้าก็มีคติเรื่องสิทธิเสรีภาพพลเมืองแบบอื่นดำรงอยู่ในโลกตะวันตกอีกเป็นอันมาก เช่น
- คติแบบนีโอโรมัน ในคริสตศตวรรษ 17 ซึ่งมีประเด็นใจกลางที่การสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพของพลเมือง กับพันธะหน้าที่ของเอกบุคคลต่อสาธารณรัฐ [9],
- คติแบบภราดรภาพนิยมและสังคมนิยม ในครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 19 ซึ่งเน้นความสำคัญของสิทธิเสรีภาพในความหมายของความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม
- คติชุมชนนิยม ซึ่งโจมตีสิทธิเสรีภาพแบบเสรีนิยมในแง่ที่ถือว่า สิทธิ มีคุณค่าทางศีลธรรมสูงกว่าเรื่องอื่น (the primacy of rights) เช่น หน้าที่, คุณธรรม, หรือผลประโยชน์ส่วนรวม จนสมควรพิจารณาประเด็นสิทธิเสรีภาพควบคู่ไปกับหลักคิดเรื่องสังคม (social thesis) [10] ฯลฯ
ในแง่นี้แล้ว วิธีหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง "หลักสิทธิเสรีภาพของพลเมือง" และ "สิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ" ได้ดีขึ้น ก็คือการพิจารณาคำสองคำนี้โดยเทียบเคียงกับคำที่ใช้ในทฤษฎีกฎหมายเยอรมัน ซึ่งพวกเขาแทนที่คำว่า "กฎหมาย" (law) และ "สิทธิ" (rights) ในภาษาอังกฤษ ด้วยการระบุลงไปอย่างชัดเจนว่า
- "กฎหมาย" หมายถึง "กฎหมายเชิงรูปธรรม" (objective law) อันเป็นกฎระเบียบที่เอกบุคคลทั้งมวลต้องประพฤติปฏิบัติตาม - "สิทธิ" นั้นหมายถึง "สิทธิเชิงอัตวิสัย" (subjective rights) อันได้แก่อำนาจซึ่งเอกบุคคลทุกรายได้รับจากปทัสถานชุดใดชุดหนึ่ง [11]
ซึ่งหากมองในกรอบนี้ สิทธิเสรีภาพของพลเมืองย่อมเป็น อำนาจ ซึ่งเอกบุคคลได้รับจากปทัสถานทางการเมืองที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องพวกเขาจากการคุกคามของอำนาจภายนอก ขณะที่รัฐธรรมนูญคือ ระเบียบกฎเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมทางโลก ซึ่งมีเป้าประสงค์ให้คนทุกฝ่ายในสังคมปฏิบัติตามเป้าหมายนี้ตลอดเวลา
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิเสรีภาพพลเมืองและตัวบทกฎหมายแบบนี้ ทำให้ไม่สามารถคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพโดยคำนึงแต่แง่มุมนิติศาสตร์ล้วนๆ เพราะการอาศัยกฎหมายไปค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเป็นเรื่องที่ต้องกระทำผ่านรัฐและกลไกการปกครองของรัฐ สิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นประเด็นปัญหาที่มีแง่มุมทางการเมือง ดังนั้น จำเป็นต้องนำมาขบคิดในมิติความเป็นการเมืองให้มากขึ้น เพราะถึงที่สุดแล้วก็เกี่ยวข้องกับคำถามพื้นฐานว่า ทำอย่างไรที่อำนาจการเมืองจะถูกใช้ไปเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพพลเมือง หรือถามให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของสังคมไทยในขณะนี้ ก็คือ เป็นไปได้จริงหรือที่รัฐประหาร 19 กันยายน จะเป็นรัฐประหารเพื่อยกระดับปทัสถานด้านสิทธิเสรีภาพของพลเมือง
รัฐประหาร 19 กันยายน ในทฤษฎีรัฐประหาร ผู้สนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน เกือบทั้งหมดมักอ้างว่ารัฐประหารครั้งนี้ไม่เหมือนรัฐประหารครั้งอื่น นักรัฐศาสตร์บางคนอ้างว่า ความไม่เหมือนนี้ทำให้เป็นไปได้ที่รัฐประหารครั้งนี้จะสร้างประชาธิปไตย นักพัฒนาเอกชนบางฝ่ายอ้างว่า ความไม่เหมือนนี้ทำให้รัฐประหารที่เพิ่งผ่านมาทำเพื่อส่วนรวมได้มากกว่ารัฐประหารทุกครั้ง (รวมทั้งต้านโลกาภิวัตน์, สร้างเศรษฐกิจชุมชน หรือระบบสวัสดิการสังคมที่ก้าวหน้าขึ้นก็ได้ด้วย) นักกฎหมายเห็นว่าความไม่เหมือนนี้ทำให้เป็นไปได้ที่รัฐประหารนี้ จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน, เทคโนแครตภาคเอกชนบางกลุ่มเชื่อว่า รัฐประหารเปิดโอกาสให้การปฏิรูปสื่อมีความเป็นไปได้มากกว่าที่ผ่านมา โดยยิ่งการรัฐประหารผ่านไป คนหลายฝ่ายก็ยิ่งตอกย้ำความเห็นทำนองนี้ให้ทวีความซับซ้อนขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่น การเชื่อมโยงพฤติกรรมการใช้อำนาจอย่างละมุนละม่อมกับสถานการณ์การเมืองเฉพาะหน้า [12] , การพิจารณารัฐประหารในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างทางการเมืองในสังคมไทย ที่มีประชาธิปไตยต่อเนื่องเป็นเวลา 14 ปี [13] ฯลฯ
บทความเรื่อง "ปฏิวัติงดงาม" ของ วัลลภ ตังคณานุรักษ์ วุฒิสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 ผู้ถูกคณะรัฐประหารแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในเวลาต่อมา แสดงความรู้สึกทำนองนี้ไว้อย่างดี
"ประเทศไทยผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมาหลายต่อหลายครั้ง แทบทุกครั้งจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแนวลบเกือบทั้งสิ้น แต่ล่าสุดของการปฏิวัติในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และคณะ กลับได้รับความชื่นชมยินดีจากประชาชนอย่างล้นหลาม...เป็นการปฏิวัติที่เรียบร้อย ไม่มีการปะทะและเสียเลือดเสียเนื้อแต่ประการใด เป็นการปฏิวัติที่มาได้ในจังหวะอันพอเหมาะพอควร มีสัญญาณหลายประการที่เป็นความงดงามของการปฏิวัติ" [14]
ความเห็นเชิงสนับสนุนรัฐประหารเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ซ้ำยังเป็นความรู้สึกที่พบได้ทั่วไป ดังปรากฎว่าเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย และผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็แสดงความรู้สึกต่อรัฐประหารอย่างเปี่ยมด้วยความปลื้มปิติว่า
"ผ่านไปแค่ชั่วข้ามคืนของการรัฐประหาร สัญญาณหลายๆ อย่างในทางบวก ก็เริ่มปรากฏอย่างที่ผมไม่คิดมาก่อน การรัฐประหารครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นกับฝ่ายใด และคำประกาศกระทั่งคำสั่งของคณะปฏิรูปก็มีท่วงทำนองที่ระมัดระวังในการใช้อำนาจ มีลักษณะยืดหยุ่น อะลุ้มอล่วยกับทุกฝ่าย อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในการรัฐประหารที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ให้สัญญาฯ กับประชาชนว่า จะถืออำนาจไว้เพียง 2 สัปดาห์ และจะเร่งคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว" [15]
แน่นอนว่ารัฐประหาร 19 กันยายน ไม่เหมือนการรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต แต่ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ ความไม่เหมือนนี้หมายความว่ารัฐประหาร 19 กันยายน แตกต่างจากรัฐประหารครั้งอื่นถึงขนาดที่พูดกันจริงหรือไม่ เพราะถ้าคำตอบคือใช่ ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นว่ารัฐประหารครั้งนี้เคารพสิทธิเสรีภาพพลเมือง และเป็นหนทางไปสู่การฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่ถ้าคำตอบเป็นอีกแบบ ก็คงเข้าใจรัฐประหารครั้งนี้เปลี่ยนไปพอสมควร
รัฐประหารคือความรุนแรงทางการเมือง เพราะพื้นฐานของรัฐประหารคือการใช้กำลังและความรุนแรงเพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองในการแทนที่ผู้ปกครองที่มีอยู่ในขณะนั้น กำลังและความรุนแรงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังประทุษร้ายฝ่ายที่ครองอำนาจด้วยวิธีการอันรุนแรงแต่เพียงอย่างเดียว หากยังครอบคลุมถึงการข่มขู่ว่าจะใช้กำลังและความรุนแรง แต่ก็มีการใช้กำลังทหารไปทำการข่มขู่บังคับเพื่อผลลัพธ์ทางการเมืองจนเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น รัฐประหารของนายพลมูชาราฟแห่งปากีสถาน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2539 หรือรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ของคณะปฏิรูปการปกครองเพื่อประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขในประเทศไทย
เพราะเหตุนี้ การยึดอำนาจที่ปราศจากการนองเลือดจึงไม่ใช่เรื่องผิดประหลาด ซ้ำยังเป็นประเภทหนึ่งของรัฐประหารและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยความรุนแรง ต่อให้จะยังไม่ได้มีการฆ่าฟันและทำลายล้างชีวิตของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตามที [16]
มักเข้าใจว่ารัฐประหารเป็นเรื่องของการแทนที่ผู้ปกครองกลุ่มเดิมด้วยผู้ปกครองกลุ่มใหม่ แต่แท้จริงแล้ว มีรัฐประหารหลายครั้งที่ไม่ได้นำไปสู่การมีอำนาจของผู้ปกครองกลุ่มใหม่โดยแท้จริง ส่วนใหญ่ของรัฐประหารประเภทนี้เกิดจากความไม่พอใจที่ผู้ปกครองเดิมมีต่อสถานการณ์การเมืองบางห้วงขณะ หรือแม้กระทั่งเกิดจากความไม่พอใจต่อคนบางฝ่ายที่อยู่ในกลุ่มผู้ปกครองด้วยกัน จึงต้องการเพิ่มอำนาจให้ตัวเองควบคุมระบบการเมืองและพลังฝ่ายอื่นได้มากขึ้น โดยอาศัยวิถีทางนอกรัฐธรรมนูญอย่างการรัฐประหาร (auto-golpe) ตัวอย่างเช่น
- รัฐประหาร พ.ศ.2514 ซึ่งจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร เพื่อทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ตัวจอมพลถนอมเองเป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นจึงยกเลิกการร่างรัฐธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และปกครองประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการทหารต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลาอีก 2 ปีเศษ หรือ
- รัฐประหารเปรู เมื่อ พ.ศ.2535 ซึ่งคณะรัฐประหารของประธานาธิบดีฟูจิโมริ ทำการยึดอำนาจรัฐบาลของประธานาธิบดีฟูจิโมริเอง จากนั้นก็ระงับการใช้รัฐธรรมนูญ ยุบรัฐสภา และยื่นมือเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างกว้างขวาง [17]
กล่าวโดยเปรียบเทียบแล้ว รัฐประหารประเภทนี้มีลักษณะการข่มขู่หรือเผชิญหน้าทางทหารไม่มากนัก เพราะเกิดขึ้นโดยน้ำมือของผู้นำ หรือคนกลุ่มที่กุมอำนาจทางการเมืองและการทหารได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยความรุนแรง เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังและความรุนแรงไปเพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมืองบางอย่างโดยตรง
ถ้ายอมรับว่ารัฐประหารเป็นความรุนแรงทางการเมือง คำถามคือความรุนแรงทางการเมืองประเภทนี้แตกต่างจากความรุนแรงทางการเมืองประเภทอื่นอย่างไร
ความแตกต่างของรัฐประหาร การก่อจลาจล และการปฏิวัติ นักรัฐศาสตร์ด้านประวัติศาสตร์และการเมืองเปรียบเทียบคนสำคัญอย่าง ซามูเอล ไฟเนอร์ เห็นว่ารัฐประหารแตกต่างจากการยึดอำนาจและความรุนแรงทางการเมืองอื่นๆ ตรงที่รัฐประหารเป็นการยึดอำนาจด้วยพลังภายในระบบการเมืองนั้นเอง [18] ขณะที่การยึดอำนาจวิธีอื่น เช่น การก่อจลาจล , การปฏิวัติ ฯลฯ อาจเกิดจากพลังที่อยู่ภายนอกระบบการเมืองนั้นก็เป็นได้ ไม่ว่าพลังนั้นจะเป็นการลุกฮือของมวลชนที่มีลักษณะปฏิวัติสังคมอย่างการปฏิวัติโซเวียต พ.ศ.2460, การทำสงครามกลางเมืองอย่างการปฏิวัติจีน พ.ศ.2492, การรุกรานจากภายนอกอย่างการล้มล้างรัฐบาลเขมรแดงโดยกองทัพเวียดนามใน พ.ศ.2521 หรือแม้กระทั่งการยึดครองดินแดนต่างๆ โดยจักรวรรดินิยมตะวันตกในหลายคริสตศตวรรษที่ผ่านมา โดยก็เป็นไปได้ว่าการรัฐประหารตามนัยนี้จะได้รับแรงสนับสนุนหรือความช่วยเหลือจากพลังภายนอกด้วย ตัวอย่างเช่น รัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ เมื่อ พ.ศ.2500 และรัฐประหารของนายพลปิโนเช่ต์แห่งชิลี เมื่อ พ.ศ.2516 ซึ่งทั้งสองกรณีล้วนมีสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างชัดเจน [19]
การรัฐประหาร = Official Revolution นักวิชาการบางคนให้ความเห็นจำเพาะเจาะจงลงไปอีกว่า รัฐประหารไม่เพียงแต่เป็นการยึดอำนาจด้วยพลังในระบบเพียงอย่างเดียว แต่ยังถือว่าเป็น "การปฏิวิติโดยพลังเจ้าหน้าที่" (Official Revolution) ไม่ใช่ "การปฏิวัติโดยสังคม" (Social Revolution) [20] คำอธิบายนี้น่าสนใจเพราะชวนให้ตระหนักว่า รัฐประหารไม่เกี่ยวข้องกับการมีพลังมวลชนที่มีเป้าหมายเชิงสังคมอุดมคติอะไรทั้งนั้น ขณะที่การปฏิวัติสังคมส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับพลังและเป้าหมายแบบนี้ นั่นหมายความว่าการยึดอำนาจโดยวิธีรัฐประหารสามารถเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่มีเป้าหมายระยะยาวต่อสังคมเลยก็เป็นได้ ทำให้แม้การรัฐประหารโดยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากกลุ่มบุคคลซึ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อและอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งอย่างแน่นแฟ้น แต่กระบวนการหลังรัฐประหารอาจดำเนินไปเพื่อแก้ประโยชน์ของฝ่ายผู้ยึดอำนาจโดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์อะไรแม้แต่นิดเดียว
ในแง่นี้แล้ว อุดมการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์นิยม, สังคมนิยม, อนุรักษ์นิยม, ศักดินานิยม, พวกคลั่งศาสนา หรือราชาชาตินิยม ล้วนมีศักยภาพจะทำให้ผู้ที่สมาทานอุดมการณ์นั้นกลายเป็นผู้ก่อรัฐประหารได้ทั้งนั้น [21] แต่ผลของการรัฐประหารนั้นไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์หรือเป้าหมายเพื่อส่วนรวมแต่อย่างใด
งานศึกษาบางชิ้นให้ความเห็นว่า จำนวน ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของการรัฐประหาร ประวัติศาสตร์ของการรัฐประหารจึงมีทั้งรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จด้วยการใช้กำลังพลขนาดใหญ่ และรัฐประหารที่ใช้กำลังพลเพียงหยิบมือเดียว ตัวอย่างเช่นรัฐประหารในกานา เมื่อ พ.ศ.2509 ซึ่งฝ่ายรัฐประหารที่มีกำลังพลเพียง 500 ราย ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจจากรัฐบาลของประธานาธิบดี Kwame Nkrumah ซึ่งมีกำลังพล 10,000 คน [22] รัฐประหารตามนัยนี้จึงเป็นเรื่องของการชิงกระทำการจู่โจมทางทหาร, การกักบริเวณ และแม้กระทั่งการลอบสังหารผู้นำประเทศ จนกล่าวได้ว่ารัฐประหารในโลกสมัยใหม่มีแง่มุมที่ใกล้เคียงกับการก่อสงครามกลางเมือง และการเป็นกบฏ (rebellion) ล้มล้างรัฐธรรมนูญและกฎหมายของบ้านเมือง อันเป็นเหตุให้นักรัฐศาสตร์บางท่านถือว่า รัฐประหารเป็นประเภทหนึ่งของ "สงครามภายใน" (internal war) ซึ่งเกิดขึ้นในหลายสังคมการเมือง [23]
การทำรัฐประหาร: ต้นทุนต่ำ กำไรสูง อย่างไรก็ดี ขณะที่ "สงครามภายใน" ประเภทอื่นมีต้นทุนทางการเมืองและการทหารที่สูงอยู่มาก เช่นสงครามกลางเมืองเกี่ยวข้องกับการระดมพลังมวลชนสนับสนุนอย่างกว้างขวาง หรือการปฏิวัติก็ต้องอาศัยการควบคุมทหารและการเคลื่อนกำลังที่เป็นเอกภาพพอสมควร การยึดอำนาจด้วยวิธีรัฐประหารกลับมีต้นทุนไม่มากนัก เว้นเสียแต่ความเสี่ยงขณะริเริ่มทำการสมรู้ร่วมคิดภายในกลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาล พ้นไปจากนั้นก็คือความเสี่ยงจากการวางแผนสร้างสถานการณ์ และขยายแนวร่วมไปสู่นายทหารฝ่ายที่ลังเลหรือไม่มีแรงผลักดันให้ก่อรัฐประหารมากนัก แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ หากฝ่ายผู้สมคบคิดได้รับความร่วมมือจากนายทหารซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง สภาวะของการเป็นปฏิบัติการยึดอำนาจต้นทุนต่ำนี้ทำให้รัฐประหารเป็น การลงทุนทางทหาร ซึ่งให้ผลตอบแทนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่คุ้มค่าในระดับที่ถือว่าเป็นจุดหักเหในชีวิตของผู้รัฐประหารเลยก็ว่าได้ จึงเป็นธรรมดาที่สัมฤทธิผลของการรัฐประหารย่อมนำไปสู่การเลื่อนสถานภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของผู้รัฐประหารในบั้นปลาย ต่อให้การเลื่อนสถานภาพนี้จะจำกัดแต่ในหมู่นายทหารจำนวนน้อยแค่ไหนก็ตามที [24]
รัฐประหารหลากหลายรูปแบบ ไฟเนอร์ในงานชิ้นสำคัญของเขาเรื่อง The Man on the Horseback อภิปรายความหมายของการรัฐประหารไว้น่าสนใจ เขากล่าวว่าคำว่า Coup D' Etat เป็นคำที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางภาษาและประสบการณ์ทางการเมืองของโลกตะวันตกอยู่มาก ผลก็คือคำๆ นี้มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Coup De Force จนไม่สามารถฉายภาพการยึดอำนาจด้วยกำลังทหารให้ละเอียดและรอบด้านได้ ทั้งที่การรัฐประหารนั้นมีหลายแบบ และแต่ละแบบก็มีบุคลิกลักษณะที่พึงได้รับความสนใจในระดับที่ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น
- การปฏิวัติของกองทัพ (Military Revolt) - การรัฐประหารโดยนายทหารระดับล่างต่อผู้บังคับบัญชาเบื้องบน (Mutiny), - การกบฏ (Rebellion) - การยึดอำนาจโดยเฉียบพลัน (Coup) - การปฏิวัติ การยึดอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพทางสังคมและการเมืองขนานใหญ่ (Revolution) [25]
โดยต้องไม่ลืมว่า รัฐประหารหลายหนไม่ได้มีลักษณะของการใช้กำลังทหารเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง แต่เป็นรัฐประหารแบบที่ ลุตวาค เรียกว่า "การปฏิวัติในพระราชวัง" (palace revolution) [26] หรือการอาศัยอิทธิพลนอกกฎหมายและพลังนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ ไปเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลงตัวประมุขของรัฐ หัวใจของรัฐประหารประเภทนี้จึงได้แก่การกดดันเป็นการภายในระหว่างฝ่ายผู้มีอำนาจด้วยกันเอง
คำอภิปรายของไฟเนอร์มีนัยยะของการเสนอให้พิจารณาการรัฐประหารโดยอาศัยไวยากรณ์การคิดแบบที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ของโลกตะวันตก ซึ่งในกรณีนี้ก็หมายถึงประสบการณ์จากรัฐประหารในละตินอเมริกา รัฐประหารในไวยากรณ์การคิดแบบนี้มี 3 ประเภท
รัฐประหารประเภทแรก คือ Golpe de estado หรือการล้มล้างรัฐบาลเก่าอย่างเฉียบพลัน ความสำเร็จของรัฐประหารประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการคุมกำลัง และวางแผนที่เต็มไปด้วยความรอบคอบ รวมทั้งการจัดองค์กรอย่างรัดกุมและมีระเบียบกฎเกณฑ์ โดยที่ส่วนใหญ่ของรัฐประหารแบบนี้ มักจบลงด้วยการไล่ล่าและสังหารชีวิตของผู้นำชุดก่อนในบั้นปลาย
รัฐประหารประเภทที่สอง คือ Cuartelazo อันเป็นการรัฐประหารในสถานการณ์ที่กำลังฝ่ายต่างๆ ไม่มีเอกภาพนัก ทำให้ปฏิบัติการยึดอำนาจเกิดขึ้นโดยทหารหน่วยใดหน่วยหนึ่งเพียงหน่วยเดียว ความสำเร็จของรัฐประหารประเภทนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการประเมินดุลกำลังระหว่างกองกำลังฝ่ายต่างๆ ซึ่งหากประเมินผิด ฝ่ายผู้ก่อรัฐประหารย่อมอยู่ในสถานะกบฏ ถึงขั้นอาจไม่มีแผ่นดินอยู่ก็เป็นได้ รัฐประหารประเภทนี้จึงมีกระบวนการทางการเมือง-การทหาร ที่ต้องทำในช่วงก่อนและหลังปฏิบัติการยึดอำนาจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการหยั่งความเห็นนายทหารระดับคุมกำลังแต่ละฝ่าย การยึดระบบสื่อสารมวลชน การประกาศยึดอำนาจรัฐ รวมทั้งการให้คำมั่นสัญญาว่าจะยึดอำนาจเป็นการชั่วคราว
รัฐประหารประเภทที่สาม เป็นการผสมผสาน Golpe และ Cuatelazo เข้าด้วยกัน [27]
ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นคือการแสดงให้เห็นว่ารัฐประหารเป็นเรื่องของการใช้ พละกำลัง (forces) ข่มขู่และประทุษร้ายเพื่อเป้าหมายทางการเมือง รัฐประหารจึงเป็นความรุนแรงทางการเมือง ที่ผู้ก่อรัฐประหารกระทำต่อตัวผู้มีอำนาจและต่อสังคมการเมืองทั้งหมด ความรุนแรงทางการเมืองในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแต่ ความรุนแรงทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในทันทีที่คณะผู้ก่อรัฐประหารกระทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยพลการ รวมทั้งไม่ได้หมายถึงแค่ความรุนแรงในแง่การปล้นสดมภ์อำนาจการตัดสินใจทางการเมืองของคนทุกฝ่าย ไปไว้ยังกลุ่มผู้รัฐประหาร แต่ยังหมายความถึง ความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งปรากฏขึ้นในขณะมีปฏิบัติการรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการทางทหาร เมื่อฝ่ายรัฐประหารมุ่งกระทำการยึดอำนาจให้บรรลุผลในเวลาอันรวดเร็วที่สุด โดยวิธีต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือปฏิบัติการทางการเมืองที่ตามมาเมื่อการยึดอำนาจเสร็จสิ้น โดยที่เป้าหมายของความรุนแรงประเภทนี้ ได้แก่ การควบคุม หรือ กำจัดบุคคลและองค์กรที่มีศักยภาพจะทำการต่อต้านการรัฐประหาร ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นพลเรือน, ข้าราชการ, สหภาพแรงงาน, ตำรวจ , สื่อมวลชน, นักการเมือง หรือแม้กระทั่งนายทหารด้วยกันเองก็ตามที
ธรรมชาติของการรัฐประหารคือความรุนแรง ถึงแม้จะเป็นไปได้ที่การยึดอำนาจบางกรณีจะไม่เกิดความรุนแรงทางกายภาพถึงขั้นมีการปะทะทางทหารหรือการนองเลือดและบาดเจ็บล้มตาย แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ปรากฎการใช้ความรุนแรงในแง่ใดแง่หนึ่งขึ้นในปฏิบัติทางการเมือง-การทหาร ในช่วงที่การยึดอำนาจประสบความสำเร็จแล้ว โดยเฉพาะความรุนแรงในแง่ของการจำกัดสิทธิเสรีภาพต่อผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคณะรัฐประหาร เพราะความรุนแรงนี้เป็นความจำเป็นทางการเมืองเพื่อสร้างความมั่นคงทางอำนาจให้กับฝ่ายผู้ก่อรัฐประหารเอง [28]
หากพิจารณารัฐประหาร 19 กันยายน โดยเทียบเคียงกับความรู้ทางรัฐศาสตร์ที่กล่าวมา ก็จะเห็นว่าแม้รัฐประหารครั้งนี้จะปราศจากการนองเลือดหรือการปะทะทางทหาร แต่คุณลักษณะนี้ก็ไม่ได้ทำให้รัฐประหารนี้ผิดแผกไปจากรัฐประหารครั้งอื่นจนเป็นเรื่องวิจิตรพิสดาร [29] ในทางตรงข้าม รัฐประหารครั้งนี้มีขั้นตอนที่ดำเนินไปตามขนบของการรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วในหลายมุมหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการรัฐประหารที่มาจากนายทหารบางคน ซึ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อบางอย่างในระดับที่รุนแรง [30] การริเริ่มสมคบคิดภายในกลุ่มนายทหารที่มียศชั้นและความคิดคล้ายคลึงกัน การแสวงหาความร่วมมือจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง [31] การสร้างสถานการณ์จูงใจให้ผู้คนสนับสนุนรัฐประหาร [32] การเคลื่อนกำลังเพื่อยึดอำนาจในเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว การยึดสถานที่ราชการและสื่อมวลชนหลักทุกแขนง การห้ามการรวมกลุ่มของผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร การแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐประหารและเครือข่ายไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ รวมทั้งการเขียนกติกาการเมืองเพื่อสวัสดิภาพของผู้ทำรัฐประหารในอนาคต [33]
ส่วนข้อแตกต่างที่แท้จริงของรัฐประหารครั้งนี้กลับมีการอภิปรายโดยเปิดเผยไม่มากนัก โดยเฉพาะการที่รัฐประหาร 19 กันยายน เกิดจากแรงผลักดันของพลังทางประเพณีและพลังทางการเมืองการทหาร กลุ่มที่ต้องการบ่อนเซาะพื้นฐานของการปกครองแบบประชาธิปไตยรัฐสภา [34]
สิทธิเสรีภาพพลเมืองในสถานการณ์รัฐประหาร บทความนี้ไม่ได้ปฏิเสธว่ารัฐประหาร 19 กันยายน แตกต่างจากรัฐประหารครั้งอื่นในสังคมไทย ในทางตรงกันข้าม รัฐประหารนี้ต่างจากรัฐประหารอื่นหลายแง่ แต่ความต่างนี้ไม่ใช่เรื่องพิเศษ เพราะไม่มีรัฐประหารครั้งไหนเป็นเอกเทศในตัวเองมากพอๆ กับที่ไม่มีรัฐประหารครั้งไหนเป็นต้นแบบของรัฐประหารครั้งอื่นโดยสมบูรณ์แบบ การบอกว่า 19 กันยายน คือปรากฏการณ์พิเศษ เป็นเรื่องเหลวไหลไม่น้อยไปกว่าการพูดว่า 19 กันยายน เป็นแค่การยึดอำนาจเหมือนรัฐประหารครั้งอื่น บทความนี้จึงเห็นว่าจำเป็นต้องทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการรัฐประหารทั่วไป และขณะเดียวกัน ก็ต้องอธิบายเหตุการณ์นี้โดยคำนึงถึงเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์และสังคมที่ผลักดันให้มันดำเนินไปทิศทางอย่างที่เป็นมา [35]
ผู้สนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน มักอ้างว่า การยึดอำนาจหนนี้แตกต่างจากการยึดอำนาจหนอื่น เพราะผู้ยึดอำนาจได้บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ของธรรมนูญการปกครองว่า จะคุ้มครองความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ถูกล้มล้างไปแล้ว แต่ประเด็นที่คนกลุ่มนี้จงใจไม่พูดถึงก็คือ ธรรมนูญฉบับนี้มีบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนจนเห็นได้ชัด เพราะรัฐธรรมนูญก่อนนั้นบัญญัติว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง" อันเป็นการรับรองว่า หลักการเหล่านี้คือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด ซึ่งรัฐมีพันธะ หน้าที่ ต้องปฏิบัติตามในทุกกรณี ขณะที่ธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้พูดถึงเพียงแต่ "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" อันแสดงให้เห็นว่าหลักการเหล่านี้มีสถานะต่ำกว่าจารีตการปกครองที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญออกไป ซ้ำยังจำกัดอยู่แต่ในคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ชนชาวไทย" เท่านั้น สิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์จึงไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทั้งปวง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ใช่ระบบคุณค่าที่มีความสำคัญสูงสุด และรัฐไทยก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกกรณี
ในแง่นี้แล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าธรรมนูญการปกครองฉบับ 2549 มีลักษณะการใช้ถ้อยคำและภาษาเพื่อหลอกลวงให้เห็นว่า คณะรัฐประหารชุดนี้เคารพสิทธิเสรีภาพและยึดมั่นประชาธิปไตย แต่อันที่จริง ภาษาลักษณะนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงด้านความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหารทั้งหมด นั่นก็คือสภาพที่สิทธิเสรีภาพพลเมืองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการเมืองในขณะนี้ ทำให้แม้พลเมืองจะมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย แต่รัฐก็มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเพิกถอนสิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของสมาชิกในสังคมได้ตลอดเวลา เหตุผลคือ รัฐในกรณีนี้ไม่ได้มีบทบาทขั้นมูลฐานอยู่ที่การปกป้องระบบคุณค่าด้านสิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ หากคือการรักษาการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง สิทธิเสรีภาพของพลเมืองและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในเงื่อนไขนี้ จึงมีความสำคัญน้อยกว่าแบบแผนการปกครองเป็นธรรมดา
เพราะเหตุดังนี้ ธรรมนูญการปกครองฉบับ 2549 จึงไม่ใช่ข้อตกลงทางการเมืองระหว่างรัฐกับสมาชิกในสังคม แต่เป็นข้อบังคับทางการเมืองที่เกิดขึ้น ภายใต้ความพยายามทำให้สิทธิเสรีภาพตามที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Constitutional Laws) ตกอยู่ภายใต้ระเบียบทางการเมืองที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และได้รับการค้ำยันจากอำนาจรัฐตลอดเวลา
ในภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในการศึกษาเรื่องเมืองไทย สภาวะทางการเมืองแบบนี้เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม แต่คำว่า "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม" เชื่อมโยงให้เห็นสภาพทางการเมืองที่มโนทัศน์ (concept) นี้ต้องการอธิบายได้ไม่ดีนัก เพราะชวนให้เข้าใจว่าระเบียบการเมืองแบบนี้เป็นเรื่องปกติ มีอยู่อย่างนี้มานานแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฯลฯ [36] อันที่จริง นักทฤษฎีการเมืองคนสำคัญอย่าง คาร์ล ชมิทท์ เคยอธิบายสภาวะทางการเมืองลักษณะเดียวกันนี้โดยอาศัยแนวคิดบางอย่าง ที่มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจการเมืองไทยในปัจจุบัน นั่นก็คือแนวคิดแบบที่เน้นการแบ่งแยกระหว่าง "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" (Constitutional Laws) และธรรมนูญ (The Constitution) โดยธรรมนูญหมายถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญ กำเนิด พัฒนาการ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงด้านความคิดที่สำคัญในเรื่องนี้ทั้งหมด ธรรมนูญจึงประกอบด้วยองค์ประกอบทางการเมืองและองค์ประกอบทางกฎหมาย [37] โดย
- องค์ประกอบทางกฎหมาย คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละสังคม - ส่วนองค์ประกอบทางการเมือง ได้แก่เป้าหมายของการเคลื่อนตัวทางเมืองในห้วงเวลาหนึ่งๆ
หากพิจารณาความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกฎหมาย ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยช่วงหลังรัฐประหาร 19 กันยายน ด้วยแนวคิดแบบนี้ ก็จะเห็นว่า "ธรรมนูญ" ของการเมืองไทยในช่วงหลังวันยึดอำนาจ ล้วนเกี่ยวข้องกับความพยายามสถาปนาสภาพบังคับทางการเมืองแบบที่พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ของระเบียบการเมืองทั้งหมด ตัวอย่างเช่นการบัญญัติให้พระองค์มีอำนาจเต็มในการตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 14 ซึ่งสภาพแบบนี้ไม่ได้มีอยู่โดยธรรมชาติ แต่เป็นสภาวะทางการเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นในเวลาไม่นาน
แม้ในความรู้สึกของคนทั่วไป รวมทั้งในแนวคิด "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม" จะเห็นว่าพระราชอำนาจเต็มในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เป็น จารีตประเพณีทางการเมือง ที่ปฏิบัติกันมานาน แต่ข้อเท็จจริงก็คือพระราชอำนาจลักษณะนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วงที่มีสภาผู้แทนราษฎรและมีรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งนั้น หลายครั้งที่อำนาจนี้เป็นอำนาจพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์มากกว่าจะเป็นอำนาจในการแต่งตั้งที่เป็นจริง ส่วนในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของทหารที่มีอำนาจด้วยวิธีรัฐประหาร พระราชอำนาจมักถูกกำกับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญว่าจะทรงแต่งตั้งได้ก็แต่บุคคลที่ได้รับการ "กราบบังคมทูล" ของทหารผู้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ, ปฏิรูป หรือคณะผู้ยึดอำนาจในชื่อต่างๆ นานา ตัวอย่างเช่น
- รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2520 ระบุไว้ในมาตรา 21 ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภานโยบายแห่งชาติ และทรงซึ่งพระราชอำนาจในการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ตามที่ประธานสภานโยบายแห่งชาติถวายคำแนะนำ" โดยประธานสภานโยบายแห่งชาติก็คือนายพลผู้เป็นหัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจใน
- หรือ ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2534 ก็บัญญัติในมาตรา 21 และ 22 ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ" และ "ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ให้นายกรัฐมนตรีลาออก ตามประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติถวายคำแนะนำ" ซึ่งก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้เป็นหัวหน้าการรัฐประหารในเวลานั้นนั่นเอง ที่ดำรงตำแหน่งประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ดี ในมาตรา 14 ของธรรมนูญการปกครองฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนี้ พระราชอำนาจไม่ใช่พิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ และยิ่งไม่ได้ถูกกำกับด้วยอำนาจภายนอกอื่น แต่เป็นพระราชอำนาจที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ความแตกต่างนี้เป็นมากกว่าความแตกต่างในระดับตัวอักษร เพราะไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า ธรรมนูญการปกครองนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญในอดีตในแง่มุมไหน หากยังเป็นเครื่องหมายของเจตจำนงทางการเมืองในหมู่ผู้ยึดอำนาจหนนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ [38]
ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ ระเบียบการเมืองแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพด้านสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอย่างไร?
ถ้าเห็นว่าระเบียบการเมืองแบบนี้ไม่สามารถดำรงอยู่โดยลำพังตัวเอง หากต้องอาศัยการค้ำยันจากสถาบันอื่น โดยเฉพาะสถาบันทหาร [39] ก็คงเห็นต่อไปว่า การจรรโลงระเบียบการเมืองนี้ย่อมเกี่ยวพันกับการออกแบบระบบการเมืองให้ทหารมีอำนาจในระบบอย่างเป็นทางการมากขึ้น ระเบียบการเมืองนี้จึงเป็นอุปสรรคของการทำให้สิทธิเสรีภาพมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางการเมือง เพราะสิทธิเสรีภาพที่สมบูรณ์นั้นย่อมขัดขวางการแทรกแซงการเมืองของฝ่ายทหาร ซ้ำยังอาจกระทบต่อความมั่นคงของระเบียบการเมืองได้โดยตรง แต่ประเด็นสำคัญคือ อำนาจในระบบของทหารนั้นไม่ได้หมายถึงการทำให้กองทัพเป็นหน่วยทางการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ เพราะกองทัพที่เข้มแข็งและเป็นอิสระเกินไปนั้นเป็นอันตรายในแง่ที่อาจแปรสภาพเป็นลัทธิทหารนิยม หรือให้กำเนิดผู้นำทหารที่มากบารมีจนสั่นคลอนตัวระเบียบเองได้ [40] ความเข้มแข็งจึงเป็นสิ่งที่ต้องควบคุมให้อยู่ภายใต้กรอบของระเบียบการเมืองโดยซื่อสัตย์และเคร่งครัด [41] นั่นคือเป็นกองทัพที่เข้มแข็งเพราะเป็นอิสระจากรัฐสภา, ระบบราชการ และพลังประชาสังคมอื่น แต่ไม่ได้เข้มแข็งในตัวเองถึงขั้นเป็นเอกเทศอย่างสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างองคมนตรีกับกองทัพในฐานะห่วงเชื่อมระหว่างระเบียบการเมืองกับกำลังที่เป็นรากฐานของระเบียบการเมือง จึงสำคัญต่อการจรรโลงเสถียรภาพทางการเมือง
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความถึงสถาปนาระเบียบการเมือง ตามเจตจำนงของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะการสถาปนาระเบียบการเมืองนั้น ต้องอยู่ภายใต้คติเรื่องการเมืองที่ชอบธรรมแบบสภาวะสมัยใหม่ 2 ข้อ
- ข้อแรกคือ อำนาจอธิปไตยในชุมชนการเมืองต้องเป็นของปวงชน - ข้อสองคือรัฐบาลที่ชอบธรรมได้แก่ รัฐบาลที่มีอำนาจโดยฉันทานุมัติ
แต่ปัญหาคือคติการเมืองแบบนี้ไม่ได้ผูกพันกับรูปแบบการปกครองแบบใดแบบหนึ่งโดยแน่ชัด ทำให้ไม่ว่าจะเสรีประชาธิปไตย, คณาธิปไตย, เผด็จการรวมศูนย์ หรือราชาธิปไตย ก็ล้วนอ้างว่าเป็นการปกครองที่ชอบธรรมได้ทั้งนั้น หากสามารถแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจด้วยอาณัติมอบหมาย (mandate) ของประชาชน [42] คติเรื่องการเมืองที่ชอบธรรมแบบนี้จึงหละหลวม และเปิดโอกาสให้ระเบียบการเมืองปรับตัวเองตามรูปแบบของการเมืองสมัยใหม่ขั้นต่ำสุดได้ [43] นั่นคือเป็นระเบียบที่มีกษัตริย์เป็นประมุข พร้อมกับมีการปกครองรัฐสภารูปแบบต่างๆ แล้วอาศัยกองทัพค้ำยันอำนาจทางการเมือง รัฐสภาในที่นี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง, ไม่จำเป็นต้องเป็นสภาของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของราษฎร รวมทั้งไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐสภาเสรีประชาธิปไตย ที่มีพันธะในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพพลเมือง โดยรับรองสิทธิเหล่านี้ให้มีสถานะทางกฎหมายชัดเจนและเคร่งครัด แต่สามารถเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน, สภานโยบายแห่งชาติ ฯลฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดยคนหยิบมือเดียว โดยอาศัยสภาทำหน้าที่ตีความและบังคับใช้บทบัญญัติด้านสิทธิเสรีภาพ โดยยึดความมั่นคงของระเบียบการเมืองเป็นศูนย์กลาง (ทำให้สามารถร่างรัฐธรรมนูญได้โดยบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของใครในสังคม นอกจากผู้ทำรัฐประหารถูกใจ)
ในแง่นี้แล้ว รัฐประหาร 2549 ไม่ได้เพียงปฏิเสธหลักสิทธิเสรีภาพพลเมืองในฐานะสิทธิที่มีโดยธรรมชาติของมนุษย์ หากยังล้มล้างหลักสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายลงไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำลายบรรทัดฐานด้านสิทธิเสรีภาพที่อยู่ในสังคมไทยมาเกือบ 1 ทศวรรษ โดยรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งนอกจากจะทำให้สิทธิเสรีภาพกลายเป็น หน้าที่ ซึ่งรัฐและกลไกรัฐมีพันธะต้องปฏิบัติตามแล้ว ยังทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่พลเมืองจะยกบทบัญญัติเหล่านี้ไปเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้นไปอีก กระบวนการนี้ทำให้สิทธิเสรีภาพมีสถานภาพเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบการเมืองในช่วง 2540 - 2549
ขณะที่ระเบียบการเมืองในปัจจุบันกลับตาลปัตร ให้รัฐมีอัตวินิจฉัยในการยกเลิกสิทธิเสรีภาพที่ขัดแย้งกับระเบียบการเมืองได้ นั่นเท่ากับว่าความมั่นคงของฝ่ายการเมือง มีสถานภาพเหนือกว่าสิทธิเสรีภาพพลเมืองและหลักกฎหมาย ซึ่งถ้าเข้าใจว่าสิทธิเสรีภาพโดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องของขอบเขตอำนาจเหนือชีวิตและร่างกายของมนุษย์ ก็จะมองเห็นต่อไปว่า ระเบียบการเมืองในขณะนี้ถือว่าเสถียรภาพของฝ่ายการเมืองสำคัญกว่าชีวิตพลเมืองทั้งหมด การเรียกร้องให้พลเมืองสละเสรีภาพหรือยอมตายเพื่อระเบียบบ้านเมือง จึงไม่ใช่การปลุกระดมหรือตีสำนวนโวหาร แต่เป็นสิ่งที่ฝังเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบการเมืองนี้จริงๆ
รัฐประหาร 2549 ในแง่มุมนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาระเบียบการเมืองที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการกดบังคับให้พลเมืองรู้สึกว่าระเบียบนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต (way of life) ถึงขั้นสละชีพเพื่อสิ่งนี้ได้ (jus vitae ac nacis) [44] ปรากฏการณ์นี้สำคัญและไม่เคยมีแม้กระทั่งในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ในช่วงก่อนเปลี่ยนการปกครองฯ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 รัฐประหารครั้งนี้จึงไม่ใช่การกลับไปสู่สภาวะก่อน 2475 อย่างที่ผู้ต่อต้านรัฐประหารเข้าใจ แต่คือการก้าวไปสู่สภาวะการเมืองใหม่ที่ทำงานบนการยกระดับให้ระเบียบการเมืองกลายเป็นวิถีชีวิต สภาพนี้นำไปสู่การเกิดการเมืองเชิงปทัสถานซึ่งมีแกนกลางอยู่ที่ปริมณฑลเหนือรัฐธรรมนูญและกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการ พลเมืองในจินตนาการนี้มีความเป็นเอกภาพถึงขั้นที่รัฐถือว่าคนใต้ปกครองทั้งหมด ล้วนขึ้นต่อปทัสถานนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
วิธีคิดแบบนี้ ส่งผลให้การสถาปนาระเบียบการเมืองมีลักษณะของการต่อสู้ทางศาสนา ในแง่ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางศีลธรรมจนชอบที่จะใช้อำนาจต่อฝ่ายตรงข้ามตามอำเภอใจ [45] การแยกมิตรแยกศัตรูเช่นนี้ ทำให้ไม่มีทางที่ระเบียบใหม่จะให้กำเนิดการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยได้ เพราะหัวใจของเสรีนิยมคือการเปิดให้โอกาสทุกฝ่ายแข่งขันโดยอิสระ โดยไม่เป็นศัตรูอย่างแข็งทื่อตายตัว [46] ส่วนหัวใจของประชาธิปไตย อย่างเช่น หลักสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม ก็ถูกทำลายไปตั้งแต่วันแรกรัฐประหารแล้ว ผลของความเป็นการเมืองที่ไม่เป็นเสรีประชาธิปไตยคือ การช่วงชิงดุลกำลังทหารและการเจรจาต่อรองกันภายในที่ทวีความสำคัญทางการเมืองมากยิ่งขึ้น โอกาสของการเกิดประชาธิปไตยรัฐสภาที่เข้มแข็งนั้น เป็นเรื่องที่แทบไม่มีความเป็นไปได้แต่อย่างใด
Create Date : 18 กันยายน 2550 |
Last Update : 18 กันยายน 2550 16:38:03 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2214 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Darksingha วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:16:38:25 น. |
|
|
|
โดย: Darksingha วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:16:39:12 น. |
|
|
|
โดย: Darksingha วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:16:39:48 น. |
|
|
|
|
|
|
|
โดยส่วนใหญ่ของความขัดแย้งเรื่องสถานะของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีใจกลางอยู่ที่ความแตกต่างในการประเมินสถานะของประชาธิปไตยในสังคมไทย ผู้สนับสนุนรัฐประหารส่วนใหญ่เชื่อว่า การเมืองไทยก่อน 19 กันยายน ไม่เป็นประชาธิปไตยมานานแล้ว การยึดอำนาจจึงชอบธรรมในฐานะวิธีสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้น ส่วนผู้ไม่เห็นด้วยนั้นเห็นว่าแม้การเมืองก่อนวันที่ 19 กันยายน จะไม่สมบูรณ์ไปทุกด้าน แต่รัฐประหารก็ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังลงคลอง
ฝ่ายแรกเสนอการพัฒนาการเมืองภายใต้การนำของกองทัพ, ผู้มีบารมี, เทคโนแครตภาคเอกชน และตุลาการภิวัฒน์ ส่วนฝ่ายหลังเห็นว่าบุคคลและสถาบันเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ฝ่ายแรกร่วมมือกับคณะรัฐประหารเพื่อร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่มอำนาจสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายหลังต้านรัฐประหารด้วยการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ฝ่ายแรกไม่ได้ตอบปัญหาการบิดเบือนเจตนารมณ์ทั่วไปของพลเมืองและความรับผิดชอบทางการเมืองของสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ส่วนฝ่ายหลังไม่ได้ตอบว่าจะแก้ปัญหาประชาธิปไตยอำนาจนิยมที่เคยเกิดขึ้นแล้วอย่างไร รวมทั้งจริงหรือไม่ที่มาตรการนี้จะจัดการกับปัญหาหลักทางการเมืองของสังคมไทยในปัจจุบัน
บทความนี้ไม่ได้พิจารณารัฐประหารด้วยความคิดเรื่องประชาธิปไตย จึงไม่ได้โจมตีรัฐประหารครั้งนี้ในแง่ที่ทำลายพื้นฐานของประชาธิปไตยในสังคมการเมืองไทยไปทั้งหมด นี่ไม่ได้หมายความว่าประเด็นนี้ไม่สำคัญ ในทางตรงกันข้าม ประเด็นนี้สำคัญจนผู้เขียนได้อภิปรายเรื่องนี้ในที่อื่นๆ เอาไว้มากแล้ว จนเห็นความจำเป็นของการชี้ชวนให้มองเห็นว่า ปัญหาของรัฐประหาร 19 กันยายน หาได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะเมื่อพิเคราะห์รัฐประหารนี้โดยคำนึงถึงประสบการณ์ของความเป็นจริงด้านสิทธิเสรีภาพ และระเบียบการเมืองในสังคมไทยเอง ก็จะเข้าใจว่ารัฐประหารตามนัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสถาปนาระเบียบการเมืองใหม่ ที่ทำให้รัฐมีลักษณะส่วนบุคคลสูงขึ้น ส่วนโครงสร้างพื้นฐานของเสรีระชาธิปไตยเสื่อมทรามลง
ในแง่มุมระเบียบการเมืองนั้น รัฐประหาร 19 กันยายน เปลี่ยนบทบาทขององค์อธิปัตย์จากความเป็นองค์อธิปัตย์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน [47] ไปสู่ความเป็นองค์ประธานของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยตรง เสถียรภาพของระเบียบการเมืองใหม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างความหมายทางการเมืองให้ผูกพันกับคุณลักษณะส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องสู่อนาคต แต่การปรับสภาพองค์อธิปัตย์จากความเป็นหน่วยที่มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองสูงสุด (sovereign) ไปสู่หน่วยที่ใช้อำนาจกึ่งบริหาร (authority) นี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความเป็นการเมือง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ทำให้สังคมการเมืองแตกร้าวอย่างแทบไม่เคยมีมาก่อน การสูญเสียคุณลักษณะเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดขององค์อธิปัตย์ ทำให้การจรรโลงความหมายทางการเมืองนี้ไม่มีทางทำได้ง่ายๆ อย่างที่เคยทำในอดีต สภาพทางการเมืองนี้ผลักดันให้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายอยู่ภายใต้อำนาจที่อยู่เหนือและมีมาก่อนกฎหมาย (meta-law) [48] เช่นเดียวกับที่สิทธิเสรีภาพพลเมืองถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตที่ไม่อันตรายต่อระเบียบการเมือง ความสำคัญของพละกำลัง (forces) ต่อการจรรโลงความสัมพันธ์ทางการเมืองนี้ ส่งผลให้เส้นแบ่งทางตรรกะระหว่างอำนาจการเมืองที่มีอารยะ กับการปกครองโดยการใช้กำลังไม่มีอยู่อีกต่อไป
โครงการสถาปนาระเบียบการเมืองใหม่ ทำให้อำนาจลักษณะปิตาธิปไตยเป็นฝ่ายกำหนดอาณาบริเวณของการต่อสู้เพื่อสิทธิทางสังคมและเสรีภาพ (negative liberties) ในสังคมการเมือง อนาคตของระเบียบการเมืองใหม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมพลังภายในระบบ, การดูดกลืนพลังมวลชนที่มีลักษณะถึงรากถึงโคน รวมทั้งการครอบงำของตรรกะทางการเมืองเหนือตรรกะทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งหมด ความเสื่อมสลายของพลังการเมืองและระบบคุณค่าอื่นๆ หมายความถึงการสูญเสียความเป็นไปได้ที่สังคมจะสร้างความหมายทางการเมืองที่เป็นอิสระจากระเบียบการเมืองนี้ ความจำเป็นของการสร้างการปกครองแบบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ส่งผลให้เสรีประชาธิปไตยไม่มีความหมายต่อสังคมการเมืองในปัจจุบันและอนาคต ความล่มสลายของการต่อสู้ในระดับความหมายทางการเมือง ส่งผลให้สังคมไทยเผชิญปัญหาที่ไปไกลกว่าการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตย / เผด็จการ, กษัตริย์นิยม / ทุนนิยม หรือ ระบบราชการ / นักเลือกตั้ง รัฐประหาร 19 กันยายน จึงไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นอำนาจแบบขัตติยาธิปไตยหรือเผด็จการทหารแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ราคาของความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีแค่ความหายนะทางการเมืองของผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร แต่คือการพังทลายของระเบียบการเมือง อันเนื่องมาจากข้อจำกัดจำนวนมากของตัวระเบียบการเมืองเอง