ตกลงคนเป็นสัตว์กินพืชหรือสัตว์กินเนื้อกันแน่?
แทนไท ประเสริฐกุล yeebud@gmail.com
เคยได้ยินพวกกินเจ มังสวิรัติ พวกชีวจิต การแพทย์ทางเลือก พวกถือศีล ปฏิบัติธรรม ไม่ก็พวกอนุรักษ์ เรียกร้องคุ้มครองสิทธิสัตว์ (เช่น PETA) ออกมาพูดกันบ่อยๆ บอกว่า คนเราเนี่ย จริงๆ แล้วโดยธรรมชาติเป็นสัตว์กินพืชนะ เพราะฉะนั้นจงเลิกกินเนื้อกันเสียเถอะ อย่ามัวแต่ฝืนกฏธรรมชาติกันอยู่เลย หันมากินแต่ผักผลไม้กันดีกว่า ไม่อย่างงั้น เดี๋ยวจะไม่สอดคล้องกับวิถีธรรมชาตินะ จะบอกให้
ทำไมท่านเหล่านี้จึงเชื่อว่าการกินพืชเพียงอย่างเดียวเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของคนเราครับ?
เหตุผลคลาสสิคที่หลายคนนำมาอ้าง หากลองไปเสริชดูตามเว็บต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเจอประมาณนี้*
*หมายเหตุ-ผมเลือกมาให้อ่านเยอะหน่อยนะครับ ถ้าขี้เกียจจะข้ามๆ ไปมั่งก็ได้ แต่ใจจริงอยากให้ใช้เวลาอ่านให้ครบทุกอัน เพราะ 1. หลายๆ อันมีช็อตเด็ดซ่อนอยู่ ไม่ควรพลาด 2. จะได้เข้าใจภาพรวมของความเห็นพวกนี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด และ 3.จะได้ประจักษ์ว่า ความคิดเห็นทำนองนี้มันมีมากมายแพร่หลายขนาดไหนในประเทศไทยของเรา ถึงแม้จะเป็นแค่ในอินเตอร์เน็ตก็เถอะ
มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชนะ สังเกตจากโครงสร้างฟันเอา.. กินเนื้อมากๆ มะเร็งถามหา
จากกระทู้หนึ่งใน pantip
เคยได้ยินมาว่า คนเป็นสัตว์กินพืชด้วยเหตุว่ามีลำไส้ยาว และไม่มีฟันเขี้ยวสำหรับบดฉีกเนื้อครับ
จากกระทู้หนึ่งใน ลานธรรมเสวนา
ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เพราะมนุษย์ไม่มีเขี้ยวเหมือนอย่างพวกสัตว์กินเนื้อ และระบบย่อยอาหารของมนุษย์ก็ถูกสร้างมาเพื่อย่อยพืชผัก ไม่ใช่ย่อยเนื้อ ฉะนั้น พืชเป็นอาหารของคน ไม่ใช่สัตว์ มีคนที่กินแต่พืชผักผลไม้และก็อายุยืนยาวสุขภาพดี ไม่อ้วนไม่เจ็บป่วยง่าย
จากกระทู้หนึ่งใน pantip
คนเรานั้นความจริงแล้วไม่ควรที่จะกินเนื้อสัตว์ เพราะสรีระของมนุษย์ คือ ฟันของมนุษย์นั้น ออกแบบมาเพื่อให้กินพืช คนเราจึงไม่มีเขี้ยวเหมือนกับสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร
จากกระทู้หนึ่งใน mthai
มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช มนุษย์ไม่มีเขี้ยวสำหรับฉีกเนื้อ มีฟันกรามที่เหมาะแก่การบดพืชผัก มีระบบลำไส้สั้น เหมาะสำหรับการย่อยพืชผัก เพียงแต่มนุษย์มีความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ว่าเนื้อหนังเขาอร่อย ก็อ้างความชอบธรรมว่า เขาเกิดมาเป็นอาหารเรา คนกินผักอย่างเดียว สุขภาพดีกว่าคนกินทั้งเนื้อทั้งผักมีอยู่ถมเถไป ขึ้นอยู่กับว่าจะเปิดใจรับฟังหรือเปล่า
จากกระทู้หนึ่งใน pantip
คนลืมไปว่า แท้จริงแล้ว สัตว์ มิได้เป็นอาหารของมนุษย์หรอก ลองสังเกตดู ฟันของคน ที่ไม่มีเขี้ยวโง้ว และลำไส้ที่ไม่ได้เป็นแนวราบ
มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชมาแต่ไหนแต่ไร และกินเพียงผล หรือพืนผักเล็กๆ เท่านั้นด้วย ชีวิตคนจึงอายุยืนนาน กว่าสัตว์หลายชนิด (ลองสังเกตดู)
เพียงแต่กิเลส และลิ้นของมนุษย์ ที่หลอกตัวเอง ว่าเป็นสัตว์กินเนื้อ จึงเพียรพยายามหาเนื้อสัตว์มากิน และสุดท้ายก็ต้องพบกับวิบากกรรมกลับมาที่ตนเอง อย่างน่าเวทนา
สงครามจึงไม่เคยหมดไปจากโลก และนับวันจะเพิ่มมากขึ้น เป็นเพราะคนกินสัตว์ และสัตว์กลับมาเกิดเป็นคน แก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมา ไม่จบสิ้น
จากบล็อก akom วิถีทางเดินของชีวิต
การกินเจเพื่อเป็นการละเว้นจากหนี้เวรกรรม และยังเป็นอาหารที่ธรรมชาติที่สุดสำหรับมนุษย์ สัตว์กินเนื้อมักถูกออกแบบมาให้ฟันแหลมและมีกงเล็บในการหาเหยื่อ สัตว์กินพืชมักฟันเรียบปราศจากเขี้ยวเล็บ ท่านล่ะเป็นแบบไหน มนุษย์มักใช้สมองและกำลังทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่าและยกตัวเองว่าปราศเปรื่อง แต่มนุษย์ก็ไม่อาจชนะธรรมชาติได้ หวังว่าเนื้อหาภายในจะมีประโยชน์สะท้อนถึงจิตศรัทธาที่ถูกบดบังให้บังเกิด
จากเว็บ วิถีอนุตตรธรรม
เพราะการไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นการกลับคืนสู่การทานอาหารที่เหมาะกับธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมีสรีระเหมือนสัตว์กินพืช เช่น เล็บแบนเหมาะสำหรับปลอกผลไม้ที่ไม่ดิ้นรนหนี(ไม่มีเล็บงุ้มแหลมเหมือนสัตว์กินเนื้อ เพื่อจับสัตว์ที่ดิ้นรนหนีความตาย) ฟันเคี้ยวบด(ไม่มีเขี้ยวยาว แหลมเพื่อฉีก แทะสัตว์เหมือนสัตว์กินเนื้อ) ความเป็นกรดในลำไส้ของมนุษย์และสัตว์กินพืช ต่ำของกว่าสัตว์กินเนื้อมาก จึงไม่เหมาะจะย่อยเนื้อสัตว์ จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมคนกินเนื้อสัตว์เป็นโรคกระเพาะกันมาก(กระเพาะต้องเร่งสร้างกรดมาย่อยเนื้อ และย่อยกระเพาะเราด้วย) แต่พอมากินมังสวิรัติโรคกระเพาะหายโดยไม่ต้องกินยา ลำไส้สัตว์กินพืชยาวเป็นสิบเท่าของลำตัว แต่ของสัตว์กินเนื้อยาวสามเท่าของลำตัว เพราะเนื้อสัตว์เน่าเร็วต้องรีบขับออก แต่คนลำไส้ยาวไปกินเนื้อสัตว์ จึงมีเนื้อที่เน่าเสียอยู่ในลำไส้นาน อาจเป็นเหตุมะเร็งในลำไส้ที่เป็นกันไม่น้อย
คนดื่มน้ำโดยวิธีดูดเหมือนสัตว์กินพืช แต่สัััตว์กินเนื้อใช้ลิ้นเลีย สัตว์กินเนื้อระบายความร้อนทางลิ้น(ลิ้นห้อยแบบหมาหอบแดด) เพราะไม่มีรูตามขุมขน เหมือนสัตว์กินพืช จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไม การไม่กินเนื้อสัตว์จึงดีต่อสุขภาพ และป้องกันโรคที่ต้นเหตุคือกินอาหารให้เหมาะกับความเป็นมนุษย์
จากกระทู้หนึ่งใน prajan.com
อาหารที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด นึกว่า เนื้อ นม ไข่เป็นของดี จึงกินล้นเกิน ที่จริงมนุษย์คือสัตว์กินพืช ธรรมชาติสร้างให้ระบบของร่างกายเป็นประเภทกินพืช ข้อที่หนึ่งมีกรามไม่มีเขี้ยว สัตว์กินเนื้อจะต้องมีเขี้ยว ข้อที่สองออกลูกทีละหนึ่งไม่ได้ออกทีละคลอก ข้อที่สามสัตว์กินพืชลำไส้ยาว 6 เท่าของความสูงหรือความยาวของตัว สัตว์กินเนื้อลำไส้สั้น สัตว์กินพืชอายุยืนมากกว่าสัตว์กินเนื้อ ดังนั้นถ้าคนกินเนื้อมากเกินไปก็ตายเร็ว
จากเอกสาร การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตสำหรับนักบริหาร โดยนายแพทย์เฉก ธนะสิริ
จากผลการศึกษาและวิจัย ของวงการแพทย์ที่มีชื่อเสียง ในแต่ละประเทศทั่วโลก ว่าด้วยเรื่องโครง สร้าง ด้านกายภาพของมนุษย์พบว่า
อวัยวะหลายส่วน เช่น ตา หู จมูก ลิ้น เล็บมือ เล็บเท้า ฟัน กระดูกส่วนคางและฟันกราม มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับสัตว์กินพืชมากที่สุด
ฟันของมนุษย์ทำหน้าที่ บดและเคี้ยว อาหารซึ่งมีคุณลักษณะที่แตกต่างไปจาพฟันของสัตว์กินเนื้ออย่างเห็นได้ชัด สัตว์กินเนื้อจะมีฟันที่แหลมคม ใช้ทำหน้าที่ฉีกกัดเนื้อ แต่ไม่สามารถบดชิ้นเนื้อให้ละเอียดได้ มันจะกลืนอาหารลงคอทันที ฟันของมนุษย์ จะมีลักษณะเรียบและเรียงติดกันซึ่งเป็นลักษณะเช่นเดียวกับสัตว์กินพืช น้ำลายของมนุษย์มีสภาพเป็นด่างไม่สามาถย่อยเนื้อสัตว์ที่อยู่ในปากได้อย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์กินเนื้อที่น้ำลายมีสภาพเป็นกรด ดังนั้นฟันของมนุษย์จึงเหมาะสำหรับใช้บดเคี้ยวอาหารประเภทพืชผักผลไม้ให้ละเอียด
ฟันหน้าและเขี้ยวของสัตว์กินเนื้อ จะแหลมคม เพื่อใช้ในการล่าเหยื่อดังนั้นฟันและเขี้ยวที่แหลมคมจึงสามารถกัดทะลุ ชำแหละเนื้อและกระดูกของเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ พบว่าสัตว์ที่กินเนื้อเหล่านั้นไม่มีฟันกรามใช้สำหรับบดเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเหมือนมนุษย์
ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ของมนุษย์และสัตว์กินพืชนั้นยาว 10-12 เท่าของลำตัวเหมือนกัน จำเป็นต้องใช้เวลาในการย่อยอาหารนานกว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าวหากมีของเสีย (เนื้อสัตว์ฉ ตกค้างอยู่ในร่างกายนานเกินไปจะทำให้เลือดเป็นพิษ และยังเพิ่มภาระให้แก่ตับอีกด้วย
ลำไส้ของมนุษย์ ไม่เหมาะที่จะย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพราะไม่มีเส้นใยที่เป็นประโยชน์เลย เมื่อผ่านกระบวนการย่อยสลายแล้ว จะยังคงเหลือกากที่เน่าเสียหากตกค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป ตับก็จะต้องทำงานหนัก ฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคนที่กินเนื้อสัตว์จึงต้องป่วยเป็นโรคตับเรื้อรังและมะเร็งตับกันมาก
ลำไส้เล็กของสัตว์กินเนื้อสั้น เพียง 3เท่าของลำตัว ลำไส้ใหญ่ตรง ผนังลำไส้เรียบและลื่น ดังนั้นระบบทางเดินอาหารของสัตว์ที่กินเนื้อจึงมีลำไส้ที่สั้น ไม่สลับซับซ้อน ซึ่งสามารถขับถ่ายอาหารที่กินเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว
กรดในกระเพาะอาหารของสัตว์กินเนื้อ มีฤทธิ์แรงกว่า 20 เท่าของมนุษย์และสัตว์กินพืช ทั้งนี้ก็เพื่อย่อยสลาย เอ็น กล้ามเนื้อ กระดูก และส่วนอื่น ๆ ที่ย่อยยากของเหยื่อที่กลืนลงไป
จากบทความหนึ่งในเว็บ สังคมธรรมะออนไลน์
จากการศึกษาเรื่องอาหารและวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นพบว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีฟันบดเคี้ยว ไม่มีฟันฉีก ซึ่งเป็นลักษณะของสัตว์กินพืชระบบย่อย ระบบลำไส้ก็ยาวมากถึง 7 เท่าของความสูงเพราะฉะนั้นกว่าที่อาหารที่รับประทานเข้าไปจะพ้นออกจากร่างกายจะต้องใช้เวลามากถึง 48 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
จากวารสารพยาบาลสวนดอก
มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช เพราะมีลำไส้ยาว ยาวประมาณ 5 เท่าของความสูง แต่เมื่อทานอาหารที่เป็นพวกเนื้อสัตว์ ของมันๆ ของทอด ทำให้เกิดการบูดเน่าและหมักหมม ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง มีสารเคมีเจือปนกับอาหาร ทำให้เกิดสารสะสม สารพิษในร่างกาย ทำให้ลำไส้ใหญ่เป็นแหล่งสะสมสารพิษ กล้ามเนื้อกระตุก ภูมิต้านทานอ่อนแอ ติดเชื่อโรคได้ง่าย ปวดศรีษะ มีกลิ่นปาก และลมหายใจมีกลิ่น เป็นภูมิแพ้ พอง บวม รู้สึกอึดอัด ร่างกายเหนื่อยล้า ขับถ่ายไม่เป็นปกติ ง่วงนอนอยู่บ่อยๆ ผิดหนังไม่ดี สีผิวไม่เปล่งปลั่ง มีผื่นตามร่างกาย มีสิว เพราะลำไส้ใหญ่เป็นแหล่งสุดท้ายในกระบวนการขับถ่าย และมีแบคทีเรียที่จะก่อให้เกิดสารพิษสะสมอยู่มากมาย
จากกระทู้ซื้อขายชา NC tea ใน mthai
ผลของการศึกษาสัตว์ที่กินเนื้อเมื่อเทียบกับสัตว์กิบพืชโครงสร้างด้านกายภาพของสัตว์เหล่านี้ เช่น เสือ หมา แมว ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะมีกรงเล็บที่แหลมคมมาก กรามบดเคี้ยวที่แข็งแรง มีฟันที่แหลมคม ยาว เพื่อจะฉีกเหยื่อของมันสด ๆ พวกมันไม่มีฟันที่สั้นทื่อซึ่งเหมาะสำหรับการเคี้ยว และไม่ต้องมีการย่อยก่อน (pre-digested) การย่อยจึงอยู่ที่กระเพาะอาหารและลำไส้มากกว่า เมื่อดูสุนัขกินอาหาร มันจะไม่เคี้ยว แต่จะกลืนทันที ในทางตรงกันข้าม สัตว์ที่กินพืชไม่มีกรงเล็บที่แหลม แต่มีฟันที่เหมาะสำหรับเคี้ยวใบพืชผักเมล็ดและผลไม้ และมีเอนไซม์ไทอะลินที่อยู่ในน้ำลาย ซึ่งเป็นจุดที่เริ่มต้นย่อยอาหาร โดยเคี้ยวอย่างช้า ๆ ด้วยฟันทั้งสองข้าง ในขณะที่สัตว์กินเนื้อจะใช้ฟันเคี้ยวแบบ ขึ้น-ลง
ลักษณะของมนุษย์ไม่เหมือนกับสัตว์กินเนื้อ ฟันจะคล้ายสัตว์กินพืชและสามารถผลิตเอนไซม์ในน้ำลายได้ สัตว์กินเนื้อจะมีระบบการย่อยที่สั้น คือเพียง 3 เท่าของความยาวของร่างกาย และทำให้อาหารสดถูกย่อยสลายได้ไว ในขณะที่สัตว์กินพืชมีลำไล้ยาวมากประมาณ 12 เท่าของความยาวร่างกายทำให้อาหารมีเวลาอยู่ในร่างกายนาน มนุษย์ก็เช่นกันมีลำไส้ยาวมาก ทุกส่วนของร่ายกายที่ได้พัฒนามาเป็นพัน ๆ ปี บอกว่า มนุษย์มีชีวิตจากการกินผลไม้ ถั่ว เมล็ด และผัก
จากบทความของดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ในเว็บ osknetwork
มนุษย์เนี่ย การไปกินสัตว์ถือว่าเป็นบาปเนื่องจาก มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช (ดูจากบรรพบุรุษเราเกิดมาจากลิง)
จากกระทู้หนึ่งใน cp29.blackcipher.com
ด้าน พงศธร กิจเวช กล่าวว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืชเพราะโดยโครงสร้างของฟันและระบบย่อยอาหารเราเป็นอย่างนั้น พวกลิงเอพ (ape) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับมนุษย์เช่นชิมแปนซี อุรังอุตัง ก็เป็นสัตว์กินพืช จะกินเนื้อบ้างก็เป็นพวกแมลง
จากรายงานข่าว วัฒนเสวนา : เกษตรอินทรีย์ และธนาคารเมล็ดพันธุ์ ในเว็บ prachatai.com
โครงสร้างทางร่างกายของคน ไม่ได้ออกแบบมา เพื่อกินเนื้อสัตว์ เราสามารถพิสูจน์ได้ โดยการจับลิงมาสักตัว (พันธุ์ที่กินพืชเช่น ลิงชิมแปนซี) แล้วจัดการอ้าปากมันออก (ระวังมันกัดด้วยครับ) เราจะเห็นโครงสร้างฟัน ที่คล้ายๆ กับโครงสร้างฟันของคนนั่นเอง หลังจากนั้น ก็ไปจับเอาหมามาสักตัว หรือเสือ, สิงโต (ถ้าคุณคิดว่าจับมันไหว) ก็ได้ แล้วก็ทำแบบเดียวกัน เราจะพบความแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อเทียบกับฟันของคน
ฟันของคน กับสัตว์กินพืช จะไม่แหลมคม เรียงกันอยู่บนล่าง แบนเรียบ เหมาะกับการเคี้ยวพืช และผลไม้มากกว่า และไม่เหมาะสำหรับฉีกเนื้อสัตว์ แต่ฟันของสัตว์กินเนื้อ จะแหลมคม และแข็งแรงมาก เพื่อช่วยในการสังหารเหยื่อ และช่วยในการฉีกเนื้อเหยื่อออก อย่างง่ายดาย
จากบทความชิ้นหนึ่งที่อยู่ในเว็บสนับสนุนการกินเจ(se-ed.net/twc)
หลังจากนั้น คุณหมอได้เริ่มบรรยาย ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์เมื่อ ๔,๖๐๐ ล้านปี และเราได้หลงทาง ในเรื่องอาหารมานาน จริงๆแล้ว สรีระของมนุษย์นั้น เป็นสัตว์กินพืช ผักผลไม้เท่านั้น สาเหตุของการเกิดโรคมากมาย เพราะวิถีชีวิตของเรา ผิดจากธรรมชาติ หันไปกินเนื้อสัตว์ เพราะก่อนที่สัตว์จะตาย ได้หลั่งสารอะดีนารีน ซึ่งเป็นสาร ที่สัตว์ทุกตัว จะหลั่ง เมื่อเกิดความเครียด เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์เข้าไป จึงเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะ โรคมะเร็ง นอกจากนี้ น้ำย่อยของมนุษย์ เหมาะสำหรับย่อย พืชผักผลไม้ ไม่ใช่เนื้อสัตว์
จากเว็บข่าวอโศก
... ด้วยความที่เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าสัตว์ประเภทอื่น ... ... ทำให้มนุษย์วิวัฒนาการเผ่าพันธุ์ตัวเองด้วยสมอง ... ... ไม่ใช่สัญชาติญาณ ... ... โดยลืมคิดไปว่า ... ... เกิดมาอยู่บนธรรมชาติ ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ ...
... มีแต่มนุษย์เท่านั้น ... ... ที่ทำทุกอย่างตามใจปรารถนา โดยไม่สนใจว่าธรรมชาติให้มาอย่างไร ...
...
... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของอาหารการกิน ... ... สัตว์กินเนื้อ ... ... นอกจากจะมีกรงเล็บ หรือ ฟันที่แหลมคม เพื่อการล่าแล้ว ... ... ลักษณะทางกายภาพของระบบทางเดินอาหาร ยังถูกธรรมชาติออกแบบมาให้เหมาะสม ... ... โดยมีลำไส้ที่สั้น ... ... เพราะเนื้อสัตว์ กินเข้าไปไม่กี่ชั่วโมง ก็จะเริ่มเน่า ... ... หากอยู่ในลำไส้นานก็จะกลายเป็นว่า ร่างกายจะดูดแร่ธาตุจากของเสียแทน ... ... สัตว์ลำไส้ยาวทุกชนิดในโลกจึงเป็นสัตว์กินพืช ... ... ... ยกเว้นมนุษย์ ... ... ... เราไม่มีกรงเล็บ ... ... เราไม่มีฟันที่แหลมคม ... ... เราไม่มีขากรรไกรขนาดใหญ่ ... ... เรามีลำไส้ที่ยาวกว่า 30 เมตร ... ... ... แต่เรายังคงเป็นผู้ล่า ... ... และเป็นสัตว์กินเนื้อเสมอมา ...
จาก Diary of Pixel
การศึกษาทางด้านวิวัฒนาการของมนุษย์ได้แสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของเราเป็นมังสวิรัติกันโดยธรรมชาติ และโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ไม่เหมาะสมกับการกินเนื้อ เรื่องนี้ได้รับการอธิบายในข้อเขียนเกี่ยวกับกายวิภาคเปรียบเทียบที่เขียนโดย ดร. จี.เอส.ฮันติงเจน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของอเมริกา เขาอธิบายว่า สัตว์ที่กินพืชกินหญ้ามีลำไส้ที่ยาว ทั้งลำไส้เล็กและสำไส้ใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากอาหารประเภทเนื้อมีเส้นใยน้อยและมีโปรตีนมากลำไส้จึงไม่ต้องใช้เวลานานในการดูดซึมสารอาหาร ดังนั้นลำไส้ของสัตว์กินเนื้อจึงสั้นกว่าลำไส้ของสัตว์กินพืช เนื่องจากเส้นใยของพืชผักค่อนข้างย่อยยาก
มนุษย์เป็นเหมือนพวกสัตว์กินพืชทั่วๆ ไป คือมีลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่ยาว รวมความยาวประมาณยี่สิบแปดฟุต (แปดเมตรครึ่ง) ส่วนลำไส้เล็กขดพับไปมาหลายซับหลายซ้อน และผนังของมันก็เป็นรอยยับย่นไม่เรียบลื่น เนื่องจากลำไส้ของมนุษย์ยาวกว่าลำไส้ของสัตว์กินเนื้อ ดังนั้นเนื้อที่เรากินเข้าไปจึงตกค้างอยู่ในลำไส้ของเราเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการบูดเน่าเหม็นและสร้างสารพิษออกมา สารพิษเหล่านี้เกี่ยวข้องเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ส่วนปลายลำไส้ใหญ่ และยังเพิ่มภาระให้กับตับซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษ ทำให้เกิดโรคตับแข็งและโรคมะเร็งในตับด้วย
จากบทความ เหตุใดจึงต้องเป็นมังสวิรัติ ซึ่งคัดมาจากหนังสือ กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที โดย อนุตตราจารย์ชิงไห่ ผู้ถ่ายทอด ธรรมวิถีกวนอิม
ถ้าจะพูดตามหลักการแพทย์ ที่ฉันเคยได้ยินมา...บอกว่า ปากและฟันของคน ระบบย่อยอาหารของคน ....เป็นสัตว์กินพืช น้ำย่อยในกระเพาะอาหารของคน...เหมาะสำหรับย่อยพืช เมื่อเรากินเนื้อสัตว์ การย่อยจึงทำได้ไม่ดีนัก ทำให้มีสิ่งตกค้างในร่างกายมาก ปัญหาของคนที่ป่วยเป็นโรคในกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ อาจเกิดจากการกินอาหารย่อยยากอย่างเนื้อสัตว์หลายๆ ชนิด
จากบล็อกของ มัชฌิมา
พยายามกินเนื้อสัตว์ ให้น้อยที่สุด เพราะจากการศึกษา ธรรมชาติ สร้างมนุษย์ มาให้เป็นสัตว์ กินพืช โดยสังเกตจาก ตัวเราไม่มีเขี้ยวเล็บ เหมือน สัตว์กินเนื้อ ดังนั้น หากเรากินเนื้อ สารอาหารที่เป็น Antibody บางอย่าง อาจถูกหักล้างเนื้อจากสัตว์ เหล่านั้น นี่เป็นแนวคิดที่ผมวิเคราะห์เอง และศึกษาเอง
จากกระทู้หนึ่งใน pha.narak.com (PHA มาจาก People living with HIV and AIDS in Thailand)
ศาสดามูฮัมหมัดห้ามไม่ให้ทานเนื้อหมู แต่ผมว่าน่าจะไม่กินเนื้อสัตว์เลยจะดีกว่า เพราะมนุษย์เราพระเจ้าสร้างมาให้เป็นสัตว์กินพืชอย่างเดียว (ดูจากโครงสร้างร่างกายต่างจากสัตว์กินเนื้อ)
จากกระทู้หนึ่งในบอร์ด ศาสนาแห่งความจริง
คนมีฟันเหมือนเครื่องบดข้าว 20 ซี่ ดังนั้น อาหารหลักต้องเป็นข้าว คนมีน้ำลายเป็นด่างสำหรับย่อยสลายสารในข้าว ในขณะที่เสือมีน้ำลายเป็นกรด และมีเขี้ยวแหลมคมสำหรับกัดเนื้อ ซึ่งคนไม่มี
น้ำย่อยในกระเพาะของคน เป็นกรดอย่างอ่อน แต่ในเสือน้ำย่อยเป็นกรด อย่างแรง
ระบบลำไส้คนเรายาวกว่า 8 เมตร ในขณะเสือกินเนื้อสั้นกว่ามาก ลำไส้คนจึงไม่เหมาะสำหรับย่อยและเก็บมลพิษของเนื้อได้
ระบบการระบายความร้อนทางผิวหนังของคน ไร้ขน ในขณะที่เสือนั้นมีขนเต็มตัว ต้องช่วยระบายทางลิ้น ทางปากตลอดเวลา และประเด็นสำคัญที่สุดคือ สัตว์กินเนื้อ เช่น เสือ มีชีวิตเด่นในเวลากลางคืน เสือเป็นสัตว์กลางคืน แต่คนจะกลับเด่นในเวลากลางวัน คนเป็นหยาง เสือเป็นหยิน
สัตว์กินเนื้อมีอายุสั้นกว่าสัตว์กินพืชผัก คนจึงไม่ควรกินเนื้อ เพราะอายุจะไม่ยืนยาว
วัวนั้นเป็นสัตว์ช่วยเกษตรกรปลูกข้าว คนควรกินข้าว แต่อย่าไปกินวัวที่ช่วยเราปลูกข้าวจะผิดฝืนกฎฟ้า-ดิน
จากบทความในเว็บ ผู้จัดการออนไลน์
ธรรมชาติกำหนดให้ มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชผักเป็นหลัก เห็นได้จากฟันมีไว้กินพืช ไม่มีฟันซี่ใหญ่หรือเขี้ยวเพื่อไว้กัดหรือฉีกเนื้อ ขากรรไกรเล็ก มีลำไส้ค่อนข้างยาว ลำไส้สัตว์ที่กินเนื้อจะมีลำไส้สั้น ดังนั้นมนุษย์กินเนื้อจึงฝืนธรรมชาติ
มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่กินน้ำมันที่ผ่านการกลั่นกรองเป็นอาหาร ซึ่งผิดธรรมชาติ
มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่กินน้ำตาลทรายซึ่งเป็นอาหารที่ตายแล้ว และเป็นยาเสพติดอันดับ 1 เป็นอาหารประจำวัน ซึ่งผิดธรรมชาติไม่มีสัตว์ชนิดไหนทำกัน
โดยธรรมชาติสัตว์เมื่อเลยระยะหย่านม จะเลิกกินนม แต่มนุษย์ยังคงกินนม และกินจนโตจนแก่
จากเว็บไซต์ขายเอนไซม์เสริม
ท่าน... นพ. เฉก ..ยกตัวอย่างว่าคนเรามันสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อที่มีเขี้ยวซะเมื่อไหร่... ธรรมชาติสร้างเราให้อยู่ได้ด้วยการกินพืช ก็อย่าไปฝืนธรรมชาติ... (เออ... ก็น่าคิดนะ)
จากบล็อก บันทึกอิสระ..ของ ชีวิต
ธรรมชาติกำหนดให้มนุษย์เรากินพืชมากกว่ากินเนื้ออย่างเห็นได้ชัด เพราะบรรพบุรษของเราคือลิง ไม่ใช่เสือ ลิงจะกินแต่ผักผลไม้ ส่วนเสือจะกินแต่เนื้อสัตว์ไม่กินผลไม้ ฉะนั้นหากมนุษย์เรากินอาหารห่างไกลธรรมชาติของตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งป่วยมากขึ้นเท่านั้น
จากกระทู้เกี่ยวกับ Detox ในเว็บ Piwdee.net
คนเราไม่ใช่ สัตว์กินสัตว์นะ พวกเรานี่ เป็นสัตว์กินพืช ดูที่ฟันครับ ฟันเราเหมือนเก้ง เหมือนกวาง คือมันเรียบๆ ถ้าสัตว์ กินเนื้อสัตว์ จะมีเขี้ยว แบบหมา แบบงู แบบแมว แบบเสือ มีเขี้ยวงับแล้ว ก็ติดเลย เพราะฉะนั้น คนเรา เป็นสัตว์กินพืช
จากบทความ บุญของคนที่ได้เกิดในแผ่นดินไทย ในเว็บเครือข่ายอโศก
. . .
ทั้งหมดนี้มันจริงแน่หรือ?
โดยส่วนตัวผมไม่ได้มีอะไรต่อต้านการกินผักกินเจหรอกนะครับ เพียงแต่รู้สึกว่า เหตุผลต่างๆ ที่ท่านทั้งหลายนำมาอ้างเกี่ยวกับธรรมชาติเนี่ย ดูมันจะเป็นการสรุปอะไรอย่างง่ายดายเกินไปหน่อย..
เช่นนี้แล้ว กระผมอยากใคร่ชักชวนพวกเรา ลองมาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่างๆ กันอย่างลึกซึ้งกว่านี้อีกหน่อยจะดีไหม? เผื่อจะได้มาซึ่งเหตุผลในการละเว้นเนื้อสัตว์ ที่มันสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น (ถ้าหากท่านเชื่อว่าการอ้างอิงความจริงเป็นเรื่องสำคัญนะ)
อันดับแรกเลย ขอเชิญมาดูเรื่องฟันกันก่อนครับ
โอเค จริงอยู่ ฟันพวกสัตว์กินเนื้ออย่างหมากับแมว มีทั้งเขี้ยวแหลมคม ทั้งหยึกหยักขึกขัก แตกต่างจากของคนโดยชัดเจน อันนี้ต่อให้เอาเด็กอ้วนเบร้อ-นมบอดที่ไหนมาดูก็น่าจะสามารถบ่งบอกได้ เรื่องนี้มันไม่มีใครเถียงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ทว่า ในขณะเดียวกัน ครั้นจะฟันธงไปเลยว่าฟันคนมันเหมือนกับของสัตว์กินพืช..
อืมม.... อันนี้ ผมว่า.. มันก็ไม่ได้เหมือนซะทีเดียวนะ
หากดูให้ละเอียด ฟันกรามของสัตว์กินพืช จะมีลักษณะพิเศษคือซี่มันจะใหญ่โตโอราฬ แล้วก็จะงอกสูงตระหง่านขึ้นมาจากระดับเหงือกเยอะมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเผื่อเนื้อที่ในการสึกกร่อน อันมักบังเกิดจากการที่ต้องเสียดสีกับความหยาบคายของกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่ตลอดเวลา ฟันกรามของคนเรา เมื่อพินิจน์ดูแล้ว ช่างงอกเตี้ยติดเหงือกกว่าของพวกนี้มากนัก
ซ้าย: ฟันกรามคน ขวา: ฟันกรามม้า
ประการต่อมา สำหรับสัตว์กินพืช การบดๆๆ แล้วก็เคี้ยวๆๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งมีจำนวนฟันที่อุทิศให้กับหน้าที่นี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ดังนั้น ตลอดระยะเวลาวิวัฒนาการที่ผ่านมา ฟันกรามเล็กของสายพันธุ์สัตว์กินพืชจึงมักถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยทำหน้าที่ในการบดร่วมกันกับฟันกรามใหญ่ รูปร่างของมันก็มักจะได้รับการปรับแต่งจนมีหน้าตาและการใช้งานที่เหมือนกับฟันกรามใหญ่เป๊ะ ในขณะที่ ถ้าเรามาดูในฟันกรามเล็กของคนเรา จะพบว่า ลักษณะมันยังเป็นกึ่งๆ ระหว่างฟันกรามกับฟันเขี้ยวอยู่ คือมีทั้งหน้าตัดที่กว้าง แล้วก็มีทั้งยอดที่แหลมๆ ขึ้นมาด้วย คงความเอนกประสงค์เอาไว้ เผื่อสำหรับเวลากินเนื้อ ก็จะได้สามารถใช้ฟันพวกนี้แหละ ทั้งฉีกทั้งเคี้ยวในซี่เดียวกัน
บน: ฟันวัว ล่าง: ฟันคน สังเกตว่าฟันกรามใหญ่กรามเล็กของวัวจะหน้าตาเหมือนกันเอาไว้ใช้บดเคี้ยวทั้งคู่ ส่วนในคน กรามเล็กจะมียอดแหลมๆ อยู่ เอาไว้ช่วยฟันเขี้ยวในการเจาะฉีกมากกว่า
นอกจากนี้ อีกส่วนนึงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ก็คือ ในสัตว์กินพืช ฟันกรามทั้งหมด พื้นผิวหน้าตัดด้านบนมันจะได้รับการดัดแปลงพิเศษ ให้มีสันมีร่องต่างๆ มากมาย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบด ครูด ขยี้ อาหารที่มันกินเข้าไปให้แหลกละเอียด (นึกถึงภาพ ที่บดปลาหมึก ไม่ก็ไอ้เครื่องที่เค้าเอาไว้ใช้รีดน้ำอ้อย พวกนี้จะมีลักษณะพื้นผิวเป็นสันๆ ร่องๆ เหมือนกัน) ถ้าไปดูฟันกรามของวัว ของกวาง ของแกะ จะเห็นได้ชัดเลยว่าทุกซี่ล้วนมีสันมีร่องตามยาวไล่ขนานไปกับแนวขากรรไกร ยิ่งของม้านี้ยิ่งมีมากร่อง พับไปพับมา สลับซับซ้อนมาก..
บนซ้าย: ฟันกรามวัว บนขวา: ฟันกรามกวาง ล่าง: ฟันกรามกาเซล(สัตว์ตระกูลกวางชนิดหนึ่ง)
ทุกรูป: ฟันกรามม้า
ส่วนในสมเสร็จ พะยูน และสัตว์ตระกูลหนูกระรอกอีกหลายๆ ชนิด พวกนี้ฟันกรามก็จะมีร่องเหมือนกันแต่เป็นร่องตามแนวขวาง..
ของช้างนี่ยิ่งแล้วใหญ่ แค่ฟันกรามซี่เดียวของมัน ก็ยาวเท่าแขนเราแล้ว แต่ละซี่หนักถึง 4 กิโล มีร่องตามขวางซ้อนๆๆ กัน บางทีเป็นสิบกว่าร่อง ฟันซี่ใหญ่ขนาดนี้ ใช้ทีละไม่กี่ซี่ก็พอ ดังนั้น ทั้งปากช้างจึงมีฟันอยู่ทั้งหมดแค่ 4 ซี่ กรามบน 2 กรามล่าง 2 (ไม่นับงา) ที่เหลือสำรองเก็บไว้ พอฟันเดิมใช้งานสึกหรอไปเรื่อยๆ ซี่ใหม่ถึงค่อยงอกออกมาทดแทน.. และที่แปลกพิศดารมากก็คือ แทนที่มันจะงอกขึ้นมาตามแนวตั้งเหมือนอย่างฟันสัตว์อื่นๆ ทั่วๆ ไป ฟันกรามของพี่ช้างแกกลับงอกตามแนวนอน! ฟันเก่าค่อยๆ สึกไป ฟันใหม่ก็ค่อยๆ งอกดันออกมาเสียบแทนจากทางด้านหลังของขากรรไกรเรื่อยๆ ทั้งชีวิตมีสำรองให้ใช้ได้ทั้งหมด 6 ชุด หมดแล้วก็หมดเลย ช้างที่แก่มากๆ ซึ่งใช้ฟันมาจนครบหมดชุดแล้ว จึงต้องเลือกกินอาหารอย่างระมัดระวัง เพราะเกิดกินของแข็งๆ มากไป เคี้ยวไม่บันยะบันยัง ประเดี๋ยวฟันชุดสุดท้ายสึกหมด ต่อไปก็จะไม่สามารถกินอะไรได้อีก ก่อให้เกิดเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ (ยกเว้นจะมีคนทำฟันปลอมช้างให้ใส่)
ฟันกรามช้าง: ที่เห็นเป็นแผงยาวๆ ใหญ่ๆ มีร่องหลายๆ ร่อง นี่คือแค่ซี่เดียว ไม่ใช่หลายซี่
ลำดับการงอกของฟันกรามทั้ง 6 ชุดของช้าง: แต่ละชุดระบายสีคนละสีกัน ชุดใหม่จะค่อยๆ งอกดันออกมาแทนที่ชุดเก่าจากทางด้านหลังเรื่อยๆ สังเกตุว่าอายุ 30 แล้ว ฟันชุดสุดท้ายถึงเพิ่งจะขึ้น
นี่แหละครับ ถ้าดูกันที่ร่องที่สันของฟันกรามละก็ บนฟันคนเราไม่มีอะไรแบบนี้แน่นอน แตกต่างจากของสัตว์กินพืชโดยสิ้นเชิง ต่อให้เอาเด็กอ้วนเบร้อ-นมบอดคนเดิมมาดูก็น่าจะบ่งบอกได้ง่ายไม่แพ้กัน
ในความเป็นจริง พื้นผิวด้านบนของฟันกรามใหญ่ของคน มีลักษณะเป็นปุ่มๆ นูนๆ มนๆ โผล่ขึ้นมาตรงมุม ทั้งหมด 4 ปุ่ม ผิวฟันกรามแบบนี้ ไม่เหมือนทั้งของช้างม้าวัวควาย ไม่เหมือนทั้งของเสือสิงห์กระทิงแรด แต่กลับไปละม้ายคล้ายคลึงกับของหมูและหมีซะมากกว่า ซึ่งสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ หากดูตามพฤติกรรมการกิน จะพบว่าต่างก็เป็นสัตว์ที่ไม่เรื่องมากด้วยกันทั้งคู่ คือโดยทั่วไปกินอาหารได้หลากหลาย มีอะไรให้กินก็กินได้หมด ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเนื้อหรือเป็นพืชแต่อย่างเดียว เราเรียกพวกมันว่าเป็น Omnivore (คือ ผู้ที่กินทุกอย่าง)
Create Date : 13 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 13 ตุลาคม 2550 13:16:33 น. |
|
27 comments
|
Counter : 25872 Pageviews. |
|
|
ฟันหมู
ฟันหมี
ฟันคน
ฟันลิงบาบูน
ฟันชิมแพนซี
ฟันสัตว์ตระกูลต่างๆ ในกลุ่มไพรเมทส์ (primates)
แต่แน่นอน ถ้าจะเอาให้เหมือนของคนที่สุดจริงๆ เห็นจะได้แก่ฟันของสัตว์กลุ่มลิง ซึ่งถือเป็นญาติใกล้เคียงกับเรามากที่สุด
พูดถึงตอนนี้ คนกินมังสวิรัติบางคน อาจจะรีบลุกขึ้นกระโดดลอยตัวตบมือกลางอากาศ บอก อ่าฮ่ะ! พวกลิงมันชอบกินผลไม้หนิ! เห็นมั้ย บอกแล้วว่าคนเป็นสัตว์กินพืชตามธรรมชาติ!
ช้าก่อน..
หากประสกคิดว่าลิงเป็นสัตว์ที่กินแต่ใบไม้ผลไม้อย่างเดียวละก็ ประสกลองมาดูนี่ก่อนเถิด
ในธรรมชาติ ลิง*ชิมแพนซีปกติกินใบไม้ผลไม้เป็นหลักก็จริง แต่ทุกๆ 3-7 วัน (เดือนละ 4-10 ครั้ง แล้วแต่ฤดู) บรรดาพวกหนุ่มๆ มักจะมีการรวบรวมพลพรรคเพื่อนฝูง เดินตามกันเป็นแถวๆ เข้าไปในแนวป่า พวกมันเข้าไปทำอะไรกันน่ะรึ?
หึ หึ หึ.. คำตอบก็คือ เข้าป่าไปล่าสัตว์ครับ!
*หมายเหตุ-จริงๆ แล้ว ชิมแพนซีไม่ใช่ลิงแต่เป็นเอพ(Ape) อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เรียกง่ายๆ ในที่นี้ก็จะใช้คำว่าลิงไปน่ะแหละ เอาเป็นว่า เป็นที่เข้าใจกันละกัน
เหยื่ออันเป็นที่โปรดปรานที่สุดของชิมแพนซี ได้แก่ลิงขนาดเล็กที่ชื่อว่าลิงโคโลบัสแดง (red colobus monkey) ในความเป็นจริงแล้วโคโลบัสทั้งว่องไวทั้งปราดเปรียวเหนือกว่าชิมแพนซีอยู่หลายขุม ตัวก็เบา วิ่งไต่บนกิ่งไม้เล็กๆ ก็ได้ จะโดดข้ามจากต้นนึงไปอีกต้นนึงก็ทำได้อย่างง่ายดาย ว่ากันตามรูปการณ์แล้ว โอกาสที่ชิมแพนซีจะสามารถวิ่งไล่จับโคโลบัสได้สำเร็จแบบตรงไปตรงมา คงมีต่ำพอๆ กับเอาซูโม่ไปวิ่งไล่นักยิมนาสติก แต่กระนั้นก็ตาม ชิมพ์ก็ได้เปรียบตรงที่กลยุธครับ
ลิงโคโลบัสแดง
ในชิมแพนซีฝูงใหญ่ประมาณ 50-60 ตัว มักจะมีพวกพรานตัวผู้ที่ชำนาญและมากด้วยประสบการณ์อยู่ประมาณเกือบ 10 ตัวด้วยกัน พวกนี้แหละครับ จะทำหน้าที่เป็นผู้นำในการออกล่า และเพื่อให้เข้าใจแผนการรุกอันแยบยลของชิมแพนซี ผมจะสมมติให้คุณเป็นลิงตัวหนึ่งที่อยู่ในในทีมก็แล้วกัน ก่อนออกล่า ถ้าพวกมันคุยกันได้ คำสนทนาที่คุณจะได้ยินจากตัวหัวหน้า คงจะเป็นประมาณนี้แหละครับ
โอเค ทุกตัวเบาๆ นะ.. ตะกี๊ข้าเห็นละ โคโลบัสแม่งเป็นฝูงเลย นั่งอยู่บนยอดไม้..
ไอ้โกโก้ ประเดี๋ยวมึงเป็น ตัวต้อน โผล่หน้าออกไปให้มันเห็นก่อน พอพวกมันเริ่มแตกฝูง มึงก็ค่อยๆ วิ่งไล่ไปเรื่อยๆ พยายามต้อนให้พวกมันหนีไปทางต้นที่จับง่ายๆ หน่อย.. ไอ้ด่าง ไอ้ชัย ไอ้ยอด พวกมึงเป็น ตัวบล็อค วิ่งอ้อมไปประกบซ้ายขวากับข้างหลัง ปีนต้นไม้ขึ้นไป ทำตัวเด่นๆ ไว้ มันจะได้ไม่กล้าไปทางมึง พยายามล้อมกรอบ บีบขอบเขตในการหนีของพวกมันให้แคบเข้ามาเรื่อยๆ เข้าใจมั้ย..
โอเค พอแคบได้ที่ พอมันเริ่มจนมุมไม่มีที่จะไปแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะเล่นเป็น ตัวไล่ เอง ถึงเวลา ข้าจะปีนขึ้นไป แล้ววิ่งชาร์จเข้าใส่มันอย่างรวดเร็ว ทำท่าจะไล่ตะครุบมันเต็มที่ โคโลบัสมันเหลือทางหนีอยู่ไม่กี่ทาง มันก็ต้องวิ่งไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จังหวะนี้แหละ ไอ้ปังคุง มึงอ่านเกมให้ออก แล้วไปดักซุ่มรอไว้ได้เลย พอข้าไล่มันไปถึงที่มึงอยู่เมื่อไหร่ มึงรีบโผล่ออกมาตะครุบทันที! เท่านี้แหละ รับรองเสร็จ ไม่มีรอดแน่..
โอเค ทุกตัวเข้าใจตามนี้แล้วใช่มั้ย อย่าให้พลาดนะเว่ย ตั้งสมาธิให้มั่น งานนี้ถ้าสำเร็จ รับรองเย็นนี้ได้กินเนื้ออร่อยๆ กันทุกตัวแน่ เอาล่ะ ขอให้โชคดี ไปได้!
ปฏิบัติการลิงใหญ่ไล่ลิงเล็ก! ฮู่เร่!
นี่แหละครับ พวกชิมแพนซีในป่ามันใช้กลยุธในการล่ากันแบบนี้จริงๆ ที่สำคัญคือ ในความเป็นจริงมันตกลงวางแผนกันได้โดยที่ไม่มีภาษาพูดด้วยซ้ำ! ทุกตัวต่างรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเอง แล้วก็ปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยทีมเวิร์คเช่นนี้เอง ชิมแพนซีจึงเป็นผู้ล่าที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง ในการออกล่าแต่ละครั้ง มีโอกาสได้โคโลบัสติดมือกลับบ้านมากถึง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ (ในบางพื้นที่สูงถึง 84%).. โอเค 50% อาจจะฟังดูไม่เท่าไหร่ แต่จริงๆ สำหรับสัตว์ป่าแค่นี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว เพราะขนาดสิงโตอัฟริกาที่เรายกย่องกันว่าเป็นจ้าวป่า ยังมีอัตราสำเร็จในการล่าเฉลี่ยแค่ 20% เท่านั้นเอง! ไม่ถึงครึ่งของปังคุงด้วยซ้ำ!
ลิงล่าสัตว์เก่งกว่าสิงโต ใครมันจะไปคิดใช่มั้ยครับ? จริงๆ แล้วแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน พฤติกรรมการล่าเหยื่อของชิมแพนซีเพิ่งจะมาถูกค้นพบเมื่อประมาณยุคปี 1960s ต้นๆ นี่เอง โดยคุณเจน กู๊ดดอล(Jane Goodall) นักวิจัยหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งอุทิศตนบุกป่าเข้าไปศึกษาพฤติกรรมชิมพ์ในสภาพธรรมชาติเป็นคนแรก ก่อนหน้านั้น แม้แต่นักชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญเอง ก็ยังเชื่อว่าชิมพ์เป็นลิงมังสวิรัติ กินแต่พืชผักผลไม้เป็นอาหารอย่างเดียว เรียกได้ว่าเป็นการค้นพบที่ช็อควงการมากๆ
คุณเจน กู๊ดดอล กับเพื่อนๆ ชิมแพนซี
ตั้งแต่การค้นพบของคุณเจน กู๊ดดอลเรื่อยมา คนก็ให้ความสนใจศึกษาการล่าเนื้อของชิมแพนซีมาเรื่อย จนหลังๆ นี่เรารู้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของมันมากขึ้นเยอะ
ยกตัวอย่างเช่น ลิงโคโลบัสถือเป็นของโปรดของชิมแพนซีจริงๆ 80% ของเนื้อที่มันกินทั้งหมด มาจากโคโลบัส โดยเฉพาะตัวที่ยังเด็กๆ ละอ่อนๆ จับง่ายๆ นี่ปังคุงยิ่งชอบ (75% ของโคโลบัสที่ถูกจับทั้งหมด เป็นลิงเด็ก) ในปี 1990 นักวิจัยเฝ้าสังเกตุลิงชิมแพนซีฝูงนึงที่อุทธยานแห่งชาติกอมเบ้ (Gombe, Tanzania) ซึ่งมีสมาชิกอยู่ด้วยกันทั้งหมด 45 ตัว แล้วก็พบว่า แค่ระหว่างปลายเดือนมิถุนาถึงต้นเดือนกันยาแค่ช่วงเดียว (68 วัน เป็นช่วงพีคของฤดูกาลล่า) ชิมพ์ฝูงนี้ได้ฆ่าโคโลบัสไปมากถึง 71 ตัว ในการออกล่า 47 ครั้ง.. นี่แค่นับเฉพาะที่นักวิจัยเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น ส่วนที่ไม่เห็นยังไม่ได้นับ
นอกจาก ลิงโคโลบัสแล้ว ชิมแพนซียังล่าสัตว์อื่นกินเป็นอาหารอีกหลากหลายชนิด ที่ผ่านมาเคยมีคนเห็นมันกินตั้งแต่ หมูป่า กิ้งก่า เก้ง กวาง บาบูน รวมไปจนถึงลิงขนาดเล็กชนิดอื่นๆ (ดีไม่ดี ถ้าปังคุงหิวมากๆ เผลอๆ มันอาจจะจับเจมส์กินก็ได้)
อัตราส่วนของเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ชิมแพนซีล่ากิน
วันก่อนผมนั่งดูสารคดีรายการนึง (The Trial of Life ตอน Hunting and Escaping) เค้าไปถ่ายการล่าโคโลบัสของชิมแพนซีในป่ามา แน่นอน ไอ้ฉากที่นักล่าแต่ละตัวกำลังวิ่งไล่จับโคโลบัสกันอยู่บนยอดไม้ อันนั้น ก็ถือว่าน่าตื่นเต้นมากแล้ว แต่อีกฉากนึงที่เร้าใจพอๆ กัน กลับเป็นตอนที่ฉายให้ดูไอ้พวกเพื่อนๆ ญาติๆ ที่ยืนรอลุ้นอยู่ข้างล่าง พวกนี้ พอเห็นนักล่าข้างบนใกล้ๆ จะจับโคโลบัสได้ ทั้งฝูงจะพากันกระโดดโลดเต้น ส่งเสียงโห่ร้อง หุฮุ หุฮุ หุฮุ แว้กๆๆๆ!! ประสานกันจนดังก้องอื้ออึงไปทั่วป่า ทำราวกับกำลังเชียร์บอลโลกคู่ชิงชนะเลิศอยู่อย่างไรอย่างนั้น ยิ่งพอจับโคโลบัสได้สำเร็จ ทุกตัวนี่เหมือนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ต่างกรูกันเข้ามาร่วมเฉลิมฉลอง แล้วก็ทยอยกันขอรับส่วนแบ่งของตนเองไปกิน ตัวไหนที่ได้แล้ว ก็มักจะถือเดินไปหาที่เหมาะๆ นั่งแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย มือซ้ายกำซี่โครงโคโลบัส มือขวาคอยเด็ดยอดไม้อ่อนๆ ที่ขึ้นอยู่ข้างๆ มากินแกล้มกันไปด้วย ตัวที่สนิทๆ กัน พอเห็นเพื่อนกำลังกินอยู่ใกล้ๆ ก็มักจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วก็แบมือขอ นี่ๆๆ เอามากินมั่งดิ ซึ่งเจ้าของชิ้นเนื้อ ส่วนใหญ่ก็มักจะฉีกแบ่งให้เป็นอย่างดี.. ผมยิ่งดูๆ ไป ยิ่งรู้สึกหลอนครับ ลิงพวกนี้มันเหมือนคนมากๆ! ทั้งสีหน้าท่าทาง ทั้งการกระทำอะไรหลายๆ อย่าง ช่างมีส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเราอย่างน่าขนลุก
ยิ่งการศึกษาในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา ยิ่งแสดงให้เห็นว่า การได้ออกล่าร่วมกัน และการเอาเนื้อที่ได้มาแบ่งกินกัน มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อการกระชับสัมพันธ์ในหมู่คณะของสังคมชิมแพนซีเพศผู้ อันนี้ถ้าให้ผมคิด คงเป็นประมาณเดียวกับ มิตรภาพระหว่างเพื่อนผู้ชาย ระหว่างสหาย ที่ได้ออกศึกร่วมกันมา ต่างก็ยอมรับในฝีมือของกันและกัน มีสุขร่วมเสพ มีภัยก็ร่วมเสี่ยง คล้ายๆ กับนักกีฬาที่เล่นอยู่ทีมเดียวกัน รู้ใจกันและแชร์ความสำเร็จร่วมกันมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ บางทีเนื้อก็ทำหน้าที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ใครล่าเนื้อมาแบ่งให้เพื่อนได้มาก คนนั้นก็ยิ่งได้รับการยกย่องให้มีสถานะความเป็น พี่ใหญ่ สูง เหมือนกับเป็นการโชว์ให้เห็นถึงสมรรถภาพร่างกายและทักษะที่เหนือชั้นกว่า.. ยิ่งไปกว่านั้น ผลการศึกษาบางอันยังสังเกตพบอีกว่า ชิมแพนซี บางทีก็ใช้เนื้อเป็นกระทั่งเครื่องมือต่อรองกับตัวเมียในการขอมีเพศสัมพันธุ์ด้วย! (เอาของกินมาล่อ เพื่อแลกกับเซ็กส์.. อย่างไรก็ตาม ชิมแพนซีตัวผู้ใช้มุขนี้แค่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น จุดประสงค์หลักของการล่าเนื้อ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการซื้อใจตัวเมียเท่าไหร่ เพราะปกติชิมแพนซีตัวเมียมักจะใจง่ายอยู่แล้ว ไม่ต้องเอาเนื้อมาแลกก็ยอม)
ความเหมือนมนุษย์หลายๆ อย่าง ที่พบเห็นในสัตว์ที่เป็นญาติใกล้เคียงกับเรามากที่สุดในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ ฟังดูแล้ว มันชวนให้อดคิดถึงตัวเราเองไม่ได้.. ไม่แน่ บรรพบุรุษของเราสมัยก่อนนู้นเลย สมัยที่เพิ่งเริ่มหัดกินเนื้อกันใหม่ๆ อาจจะมีสภาพสังคมที่ไม่ต่างจากนี้มากนัก ก็เป็นได้
ปังคุงกินเนื้อแกล้มผัก
รูปแคพเจอร์จากสารคดี The Trial of Life ตอน Hunting and Escaping
ปังคุงขอแบ่ง
รูปแคพเจอร์จากสารคดี Planet Earth ตอน Jungles
ดูคลิปวิดิโอ ชิมแพนซีกินเนื้อ