ขุดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ (จ.พระนครศรีอยุธยา)
ผมแหงนมององค์พระปรางค์ขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงบนฐานสี่เหลี่ยมมีเจดีย์รายล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศ ยอดเป็นทรงสูงลักษณะคล้ายฝักข้าวโพด มีบันไดอยู่สองข้างนำขึ้นไปสู่โถงด้านบน มองดูผิวเผินก็ไม่ได้มีลักษณะแตกต่างอะไรไปจากพระปรางค์องค์อื่นๆ ที่เคยพบเห็นมา แต่เรื่องราวที่เคยตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษก่อนเป็นมูลเหตุให้ผมต้องเดินทางมาที่นี่
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2500 นายกฤษณ์ อินทโกศัย รองอธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้นได้รีบรุดเดินทางมายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าพบกับผู้กำกับการตำรวจเพื่อหารือคดีคนร้ายลักลอบขุดกรุสมบัติที่วัดราชบูรณะ โดยทางผู้กำกับร้องขอให้ท่านเร่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในคืนนั้นเลย เนื่องจากผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมมาให้การว่ายังมีสิ่งของมีค่าตกค้างอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
จากคำให้การของคนร้ายเล่าว่า ก่อนหน้านั้น 3 วัน ได้ชวนเพื่อนประมาณ 20 คน มาลักลอบขุดหาสมบัติภายในองค์พระปรางค์ ซึ่งเป็นรอยเดิมที่ทางกรมศิลปากรได้ทำการขุดสำรวจแล้วกลบเอาไว้ โดยได้ขุดเอาแผ่นศิลาออกลึกลงไปประมาณ 3.6 เมตร เจอกับพื้นปูนเพชรชนิดแข็งมากเป็นรูปวงกลมมีปล่องโลหะขนาดเท่าลำไม้ไผ่ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง จึงได้ถอดปล่องโลหะนั้นออกแล้วทำการเปิดพื้นปูนเพชรขึ้นมาพบว่าด้านล่างเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สูงประมาณ 1.5 เมตร กว้างยาวประมาณ 1.4 เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 1 ศอก อยู่ 3-4 องค์ แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรอีก จึงชวนกันจะกลับ แต่ดันมีคนหนึ่งลองกระทุ้งพื้นห้องมีเสียงดังก้องเป็นโพรงอยู่ด้านล่าง จึงใช้ค้อนปอนด์ทุบพื้นทะลุเป็นรูลงไป จากนั้นจึงลองเอาไฟฉายส่องดูพบว่าข้างล่างเต็มไปด้วยเครื่องทองและเพชรนิลจินดา!!
ขอบคุณภาพจาก matichononline
เมื่อท่านรองอธิบดีเดินทางมาถึงยังโถงด้านบนองค์พระปรางค์พบหลุมที่คนร้ายได้ขุดทิ้งไว้ จึงได้ปีนลงไปสำรวจยังกรุชั้นที่ 1 ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ จากนั้นปีนต่อลงไปตามช่องที่คนร้ายได้เจาะไว้สู่กรุชั้นที่ 2 แล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อพื้นห้องยังมีแก้วแหวนเงินทองคลุกเคล้าอยู่กับฝุ่นทรายมากมายแพรวพราวไปหมด!
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ปิดตายปากหลุมเอาไว้ด้วยตะแกรงเหล็ก แล้วขุดเจาะเป็นช่องทางใหม่ทำเป็นบันไดให้สามารถเดินลงไปยังกรุเบื้องล่างได้
ผมค่อยๆ ก้าวลงไปตามบันไดที่ค่อนข้างแคบและชันด้วยความระมัดระวังก่อนเดินแยกแวะเข้าไปภายในกรุชั้นที่ 1 ซึ่งตอนนี้ถูกปรับพื้นที่ขุดขยายรวมเข้ากับหลุมที่คนร้ายขุดลงมาจากโถงด้านบน กลายเป็นห้องที่มีเพดานสูงมองขึ้นไปเห็นตะแกรงเหล็กที่ปิดปากหลุมไว้
ผมเดินต่อลงไปสู่กรุชั้นที่ 2 มองลงไปข้างล่างมืดๆ เหมือนทางจะตันบันไดก็เริ่มชันและแคบกว่าเดิม แต่พอลงมาจนสุดถึงรู้ว่ายังมีช่องให้ก้มหัวมุดเข้าไปได้อีก ขณะที่ผมก้มหัวเข้าไปกลับต้องผงะออกมา! เฮ้ยนั้นมันขาคนนี่หว่า!! ผมเสียวสันหลังวาบถอยฉากออกมาแทบไม่ทัน! ก่อนตั้งสติพินิจพิจารณาว่านั่นคือขาคนไม่ใช่ขาผี! เป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังยืนชมอะไรบางอย่างอยู่ภายใน ซึ่งดูจากขนาดพื้นที่แล้วน่าจะยืนได้แค่คนเดียว ผมจึงรอจนเค้าออกมาแล้วค่อยๆ ก้มมุดเข้าไปในพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ มืดๆ นั้นทันที พอยืดตัวขึ้นยืนแล้วแหงนมองสำรวจไปรอบๆ พบว่าครึ่งตัวผมโผล่ขึ้นมาอยู่กลางห้องห้องหนึ่ง มีความสูงจากพื้นถึงเพดานประมาณ 2.7 เมตร กว้างยาวประมาณ 1.4 เมตร ผนังห้องทั้ง 4 ด้านทำเป็นซุ้มลึกเข้าไปประมาณ 37 เซนติเมตร ตามผนังและภายในซุ้มมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา ไม่ผิดแน่! ผมกำลังยืนอยู่ภายในกรุชั้นที่ 2 ห้องที่เคยใช้เก็บทองคำและทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาล!
ตามคำให้การของคนร้ายเล่าว่า ภายในกรุชั้นที่ 2 พอลงไปพบโต๊ะสำริดตั้งอยู่ 3 ตัว 3 ด้าน มีพระแสงทองคำปักไว้ตรงขอบโต๊ะ บนโต๊ะมีเสื้อทองคำ มีมหามงกุฎยอดประดับด้วยหัวมุกดาหารขนาดเท่าไข่ห่าน มงกุฎราชินีทองคำ ราชรถทองคำ เรือหงส์ทองคำพร้อมด้วยคนพายเรือที่ล้วนเป็นทองคำทั้งสิ้น ม่านทองคำสำหรับขึงท้องพระโรงอีกม้วนใหญ่ พระพุทธรูปทองคำ จอกกับกระบวยทองคำ ตลับทองคำประดับด้วยทับทิม แหวน กำไล และเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกนับพันๆ ชิ้น นอกจากนี้ยังพบผ้าพับไว้อย่างดีแต่เมื่อมือไปจับเข้าก็กลายเป็นฝุ่นผงไปหมด ซึ่งทองคำและทรัพย์สมบัติภายในกรุนี้รวบรวมขนกันมาได้ถึง 10 กระสอบ!!
ยังดีที่คนร้ายไม่ได้ขุดพบกรุชั้นที่ 3 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจุดที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ภายในพบเจดีย์ทองคำครอบแก้ว พระพุทธรูปทองคำ และเครื่องทองกระจุกกระจิกอื่นๆ อยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรมศิลปากรประเมินว่าเฉพาะทองคำภายในกรุวัดราชบูรณะแห่งนี้น่าจะมีน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม!!
ผมแหงนมองดูรูและรอยแตกร้าวบนเพดานด้วยความปวดร้าวใจ เพราะนั่นคือบาดแผลที่คนร้ายเจาะลงมาทำร้ายคนไทยทั้งชาติ น่าเสียดายเหลือเกินที่ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ตามจับและยึดคืนกลับมาได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วน เพราะกระจัดกระจายถ่ายทอดไปสู่บุคคลต่างๆ ทั้งนักค้าของเก่า ร้านทองที่นำทองไปหลอมแปรสภาพ บางชิ้นไปโผล่อยู่ตามพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ บางชิ้นก็แตกหักเสียหายถูกฉีกถูกลอกทองออกไป และอีกจำนวนมากที่ตกหล่นสูญหาย นับเป็นการสูญเสียมรดกของชาติและศิลปะของแผ่นดินครั้งสำคัญครั้งหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย
ถ้าหากผมมีโอกาสได้พาลูกพาหลานมาที่นี่ ผมจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เค้าฟัง ให้พวกเขาได้ตระหนักและปลูกจิตสำนึกให้เกิดความรักชาติหวงแหนแผ่นดิน อย่างน้อยๆ โตไปจะได้ไม่เป็นเหมือนข้าราชการหรือนักการเมืองบางคน ที่มีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากโจรปล้นชาติ!
อ้างอิง : หนังสือเครื่องทองกรุวัดราชบูรณะศิลปะของแผ่นดิน (กลุ่มวิจัยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ) :หนังสือจิตกรรมและศิลปวัตถุ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรมศิลปากร)
ปัจจุบันเครื่องทองและโบราณวัตถุต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
Create Date : 07 มกราคม 2561 |
Last Update : 12 มกราคม 2561 21:25:21 น. |
|
16 comments
|
Counter : 7783 Pageviews. |
|
|