เดินเทรลกลางสายฝน ชมบึง 5 สี Goshiki-numa Nature Trail





เดินเทรลกลางสายฝน ชมบึง5สี
Goshikinuma Nature Trail


บันทึกการเดินทาง สู่ดินแดน Aizu ทริป 7 Days 6 Nights มาถึงตอนที่ 3 แล้ว และนี่คือตอนที่ธรรมชาติสวยงาม มหัศจรรย์ นะจังงังที่สุดในทริป กับสุดยอดธรรมชาติสร้างสรรค์ บึง 5 สี แห่งดินแดนตอนเหนือของภูเขา Bandai ที่เนรมิตกลุ่มบึงน้ำจำนวนมากให้เกาะกลุ่มกันแถมรังสรรค์ให้สีของผืนน้ำในแต่ละบึงนั้นแตกต่างกัน! อะเมซซิ่ง

เช้าวันนี้ตรงกับวันที่ไต้ฝุ่นลูกถัดจาก ซูเปอร์ไต้ฝุ่นลังเฉียดเกาะญี่ปุ่นพอดี หางมันฟาดผ่านกลางภูมิภาคไอสึซะด้วย ก็ได้แต่นั่งมองนอนมองออกนอกหน้าต่างโรงแรม ภาวนาให้มันขาดเม็ดพร้อมลมสงบ จะได้ออกเที่ยวสักที เบื่อจัดอุดอู้อยู่แต่ในที่พักแล้ว

สำหรับตอนที่แล้ว

ตอน 1 ลัดฟ้าสู่แดนซามูไรไอสึวาคามัตสึ
ตอน ใบไม้เปลี่ยนสีที่หมู่บ้านโบราณ และหน้าผาหินล้านปี



เมื่อสายฝนไม่ยอมเลิกรา เราจึงตัดสิ้นใจกางร่มฝ่ามันออกไป สู่สถานีรถไฟ Aizu wakamatsu จุดเริ่มต้นเดินทางของทุกวัน และแพลนวันนี้ก็ถูกกำหนดไปตามตารางรถไฟสาย ชานไหนออกตัวก่อนก็ไปสายนั้น และผลก็ออกมาคือมุ่งหน้าสู่ UraBandai ไปชมเส้นทางบึงน้ำ  5 สี ปะปะ ไปกัน




กลับมาขึ้นรถไฟสาย Ban Etsu West Line อีกครั้ง ที่ใช้โดยสารเข้ามายังเมืองไอสึในวันแรกที่มาถึง วันนี้จะย้อนเส้นทางสายนี้ออกจากไอสึ ไปลงสถานีกลางทาง Inawashiro ซึ่งอยู่ห่างจาก Aizu wakamatsu ไป 30 นาที บนเส้นทางสาย Aizuwakamatsu – Koriyama มีรถไฟออก 17 เที่ยว/วัน

ค่าโดยสาร 500 เยน แต่เนื่องจากเป็นขบวนของ JR Railway เราจึงใช้ JR EAST Pass อันที่จริงโชว์บัตร Aizu Gurutto card ก็ขึ้นได้ ซึ่งเราก็โชว์มันทั้งสองบัตรนั่นแหละ แฮร่ เราได้ขบวนเที่ยว 11:08




11:37 ถึงแล้ว หนีมาถึงนี่ก็ยังอยู่ในเงื้อมเงาฝน แหง๋สิ คงปกคลุมไปทั่วจังหวัดฟูกุชิมะนั่นแหละ หน้าสถานี Inawashiro วันอาทิตย์ เงียบเชีย! ผู้คนหายไหนกันหมดนะ



จากหน้าสถานี Inawashiro เราจะต้องเดินทางต่อด้วยรถบัส หรือรถเมล์นั่นแหละ ซึ่งบึง 5 สีอยู่ห่างไปอีกราว 15 โล

Bandai ToTo Bus
หน้าตาบัสสายที่เราจะขึ้น ซึ่งจะเลี้ยวเข้ามาจอดรับหน้าสถานี ยังครับ ยังไม่ใช่คันนี้ ต้องดูให้ดี ออกจาก Inawashiro มันจะมีสามสาย สามเส้นทาง อันนี้รู้มาเพราะเดินเข้าไปถามคนขับรถคันนี้ บอกเค้าว่าจะไปบึง5สี เค้าก็บอกว่าคันที่จะไปนั้นจะเป็นเที่ยว 12:45 อ่า รอไป ยาวๆ ไป เกือบชั่วโมง!


มาละ หลังจากนั่งรอเสียนาน แต่ละสายสีรถมันเหมือนกันเลย ดูกันให้ดีดีนะครับ สำหรับคันนี้ที่จะไปบึง5สี จะจอดคอยอยู่บริเวณนี้ ก็คือออกจากสถานีแล้วมองเยื้องไปทางซ้าย สิบเอ็ดนาฬิกา เดิมทีจะมีจุดสังเกตคือรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์เล็กๆ แต่วันนี้ไม่มีรูปปั้นดังว่า เพราะลานหน้าสถานีกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง ตารางเวลาเดินรถจะแตกต่างไประหว่างวันธรรมดากับวันเสาร์อาทิตย์นะครับ ดูภาพประกอบด้านบนกันเลย

12:45 – 13:16 เที่ยวรถที่เราได้ ค่าโดยสารปกติ 770 yen เป็นเรทตามระยะทางนะครับ ไปกลับก็อยู่ที่ 1540 yen แต่ว่าเราใช้บัตร Gurutto Card ที่ยังเหลือสิทธิ์อยู่อีกหนึ่งวัน (รายละเอียดบัตรผมลงไว้ในตอนที่ 2 ลิงค์อยู่ด้านบนนะครับ)


เส้นทางรถบัส มันจะอ้อมไปอ้อมมาในเมืองก่อนจะตรงดิ่งออกมา ขึ้นเขามาเรื่อยๆ สู่ด้านเหนือของภูเขา Bandai พื้นที่ที่เรียกว่า UraBandai ( Ura แปลว่าด้านเหนือ ) อีกชื่อนึงของ Urabandai ก็คือ Bandai Highland หรือ Bandai Kogen ในเสียงภาษาญี่ปุ่น หรือแปลเป็นไทยว่าพื้นที่ที่ราบสูงเหนือภูเขาบันไดนั่นเอง ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นดินแดนแห่งทะเลสาบ




ย้อนไปเมื่อปี คศ.1888 Mount Bandai ซึ่งเป็นภูเขาไปได้เกินระเบิดครั้งใหญ่ หลังจากสงบมานับพันปี ถล่ม 3 หมู่บ้านด้านเหนือราพณาสูร กลืนชีวิตผู้คนไปทันทีกว่า 477 คน การระเบิดครั้งใหญ่ครั้งนั้นได้ปิดกั้นทางน้ำของแม่น้ำต่างๆ กำเนิดเป็นทะเลสาบน้อยใหญ่มากมายในเวลาต่อมา





31 นาทีจากหน้าสถานี Inawashiro บัสก็มาหยุดให้ลงหน้าป้ายทางเข้าบึง 5  สี  Goshikinuma  นี่เป็นหน้าตาป้ายรถเมล์ที่เหมือนเป็นเกาะลอย รถเทียบได้ทั้งสองฝั่ง

Goshi แปลว่า 5 (五)
Ki แปลว่า สี (色)
numa แปลว่า บึง (沼)
ส่วน Iriguchi ก็แปลว่า ทางเข้า (入口)




เลิกลุ้นเรื่องฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่แล้วนะครับ ฟ้าฉ่ำด้วยเมฆฝนขนาดนี้วันนี้คงตกทั้งวันทั้งคืน มองเห็นหลังคาใหญ่ๆ อยู่นั่นท่ามกลางต้นไม้ เดาทันทีว่าเป็น Visitor Center ก็กางจ้องลุยฝนไปตั้งหลักกันที่นั่นก่อน เดาถูกจริงๆ ด้วย

UraBandai Visitor Center





ระหว่างหลบฝนที่ตกหนักลงมาอีกก็ย่ำๆ เตร็ดเตร่ชมบอร์ดนิทรรศการในศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวของที่นี่พร้อมสอบถามข้อมูลคำแนะนำ จนได้ทราบว่ามันจะมีเทรลเดินผ่านบึงมากมาย ระยะทางราว 4 กิโล ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงไปโผล่ปลายทางห่างไปตามระยะทางถนนสามกิโลตรงนั้นมีอีกป้ายรถเมล์นึงนั่งกลับเมืองได้  ที่นี่มีร่มกันฝนให้เช่าด้วย สนนราคาก็คันละ 50 yen เงื่อนไขคือเช่าแล้วต้องกลับมาคืนที่นี่ (ผมยังไม่มีร่ม) ว่าจะเช่าสักคันก็เลยอด เพราะไม่ต้องการโดดลงรถเมล์มาคืนร่มแล้วรอรถเมล์เที่ยวต่อไป ว่าแล้วก็รออีกพักใหญ่กว่าฝนจะซาจนพอจะเดินลุยฝนต่อไปได้




Goshiki-numa Nature Trail

มาเริ่มเดินกันครับ เทรลกลางสายฝนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ป่าที่นอกจากจะสวยหลากสีสันแล้วก็ยังชุ่มฉ่ำด้วย





เดินสักพักนึงก็มาเจอ parking lot ก็แสดงว่ามันจะมีเส้นทางสำหรับคนขับรถมาเองตรงเข้ามาตรงนี้ได้เลย ส่วนเรามันพวกนั่งรถเมล์ ซึ่งข้อดีของการนั่งรถเมล์มาก็คือได้เริ่มต้นเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั่นล่ะครับ //ลานจอดรถสวยมากด้วยกลุ่มใบไม้เปลี่ยนสี //ใกล้กันนั้นก็มีกลุ่มร้านรวงขายของที่ระลึกขายของกินต่างๆ ก็เลยได้ซื้อร่มเพิ่มอีกคันที่ตรงนี้ ดีกว่าเช่าแน่นอนเพราะว่าจะได้เก็บไว้ใช้ต่อในวันถัดๆ ไป




ใบไม้เปลี่ยนสีที่บึง 5 สี

โอยๆ ใจละลาย มันสวยมาก แดงไปทั้งต้น และตรงที่เรายืนอยู่ตรงนี้ก็คือจุดชมวิวหลักของบึง 5 สี กับบึงที่มีขนาดใหญ่สุด ที่ชื่อ Bishamon-numa 




Bishamon-numa บึงแรก บึงใหญ่สุดและบึงที่สวยที่สุด

นักท่องเที่ยวหนาตาพอสมควรขนาดฝนตก คงเพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ด้วย และก็คนไทยเยอะด้วยสิ แสดงว่ามากันตามโปรแกรมแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน แต่ก็คุ้มค่านะ แม้จะเป็นการชมวิวกลางสายฝน




สีของใบไม้เปลี่ยนสีตัดกับฉากหลังของสีเทอร์คอยซ์ของบึง Bishamon //ถ่ายติดสายฝนเข้ามาในภาพด้วย คิดดู




สำหรับใครที่ไม่ต้องการเดินเทรล เพียงจอดรถแล้วเดินมาแค่ร้อยกว่าเมตรก็ได้วิวมุมหลักนี้แล้วครับ คุ้มค่ากลับบ้านได้แล้ว จริง แต่สำหรับเราวันนี้ขอใช้เวลาทั้งหมดกับที่นี่ล่ะครับ ไหนๆ มาถึงแล้วนี่ เทรลเดิน 4 กิโลต้องมีความงามซ่อนอยู่บ้างล่ะ ลัดฟ้ามาจากไทยไกลโพ้นจะหยุดอยู่แค่มุมนี้มุมเดียวได้ยังไง ใช่มั้ย




มาครับ เริ่มเทรลด้วยการเดินสำรวจรอบๆ บริเวณนี้กันก่อน เดินเลาะบึงไปเรื่อยๆ น้ำเจิ่งทางเดินจนดูเหมือนว่าไปต่อไม่ได้แน่ก็ตัดป่าเลาะชิ่งขึ้นมาแล้วเลี้ยวกลับขึ้นลานชมวิวอีกที ทางเลาะบึงเพลานี้คงไปไม่ได้แม้จะมีเส้นบ่งชี้อยู่ในแม็บ





นี่คือแผนที่เทรลทั้งหมด สีฟ้าๆ คือเส้นทางที่ผมเดิน เก็บแทร็กจากจีพีเอส ส่วนระยะทาง 4,330 โลนั้นผมนับจาก visitor center จนมาโผล่ปากทางถนนอีกฝั่งอันเป็นจุดสิ้นสุดเทรล ทางจะผ่านบึงเกือบสิบบึง อันที่จริงมีบึงบริเวณนี้กว่า 40 เพียงแต่ตลอดเส้นทางเทรลนั้นเราจะผ่านเพียงสิบบึง ซึ่งผมก็ว่าโคตรเยอะแล้วครับ มันจะมีทั้งบึงเล็กๆ ใหญ่ๆ ซึ่งใหญ่สุดก็คือ Bishamon ใหญ่ลองลงมาก็คือ Benten




เส้นทางจะฉ่ำๆ และหลายต่อหลายจุดน้ำท่วมขังจนหาทางสักหลีกไม่ได้ ก็ลุยดุ้ยๆ กันไปเลย ไม่มีถอย




กิโลเมตรที่ 1 เลาะBishamon

ทางช่วงเริ่มต้นต้องเดินนานหน่อยกว่าจะพ้นบึงแรกไปได้ เรียกว่าร่วมๆ กิโลแรกทีเดียว




ตลอดทางเดินปกคลุมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีที่ปลิดจากกิ่ง




1.5 กิโล บึงที่ 2
Aga-numa

ว่ากันตามชื่อนี่ความหมายมันคือบึงสีแดงนะ แต่ไหงเป็นสีเขียวก็ไม่รู้สิ  บึงนี้มีขนาดเล็กมาก สีจะออก Palegreen  สีเขียวสว่างๆ เขียวตระไคร่อะไรประมาณนั้น




ถัดจาก Aga มาอีกร้อยกว่าเมตรเท่านั้นก็เจอบึงที่ 3

Midori-numa 

สีบึงยังคงเป็น Palegreen เหมือนกับ aga จนแยกแทบไม่ออก แต่ว่าบึงนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นไปกว่าหน่อย แต่ก็ยังจัดว่าเป็นบึงขนาดเล็กๆ เวลานั้นเริ่มคิดว่าตรูคุ้มค่าเดินมั้ยเนี่ย แต่เดินมาโลกว่าแล้วนิ ไงก็ต้องเดินต่อไปไม่ย้อนละ





ถัดจากบึง Midori มา 700 เมตร เราก็แทบกรี๊ดลั่นป่า เจอเข้ากับบึงใหญ่ที่สวยมากกก บึงที่ 4

Benten-numa

บึงเบ็นเท็นนี้สีน้ำจะออกแนวสีน้ำทะเล Aqua blue ตกลงถ้านับไปนี่เราเจอสีที่สามละนะ




ถึงเวลานี้ผมสุขใจมากละครับ กับความมหัศจรรย์ตา กับปรากฏการณ์บึงต่างสีที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันแท้ๆ




เดินกันเกือบครึ่งกิโลนะครับ บึง Benten ถึงจะเริ่มห่างออกไปทางด้านหลัง และจางเข้าไปในสายหมอกฝนอีกที




ถัดมาอีกร้อยเมตรเราก็เจออีกบึง คราวนี้ไกลลิบตาอยู่ล่างๆ นี่แสดงว่าเราคงเดินไต่เนินอ่อนๆ มาโดยไม่รู้ตัว ได้แต่มองผ่านม่านป่าออกไป จัดว่าสวยมากอีกบึง บึงที่ 5 มีชื่อว่า

Ao-numa

หรือบึงสีเขียว ซึ่งดูแล้วก็สีเดียวกันกับเบ็นเท็น




ลำธารเล็กๆ เหมือนสายน้ำตกน้อยๆ ตัดผ่านเทรลเดิน ไหลลงเขาไปในทิศทางสู่บึง Ao ดูสิ น้ำยังเขียวซะ




บึงที่ 6

Ruri-numa

บึง2-5 ล้วนโผล่มาทางกาบขวาของเทรลเดิน พอมาบึงนี้แหวกมาอยู่ฝั่งซ้าย เฉกเดียวกับ Bishamon มีการทำยกพื้นสูงให้เป็นลานชมวิว จริงๆ แล้วที่เบ็นเท็นก็มีลานชมบึงเหมือนกันนะ แต่มันรกตาจนมองบึงไม่ค่อยเห็นซะงั้น สำหรับบึงนี้ Ruri ก็มีขนาดใหญ่พอสมควรเหมือนกัน แต่ยังเป็นรองเบ็นเท็นเยอะ สีน้ำก็สังเกตไม่ค่อยถนัด ฝนมันลงหมอกมันคลุมเยอะไปหน่อย แต่ว่าลานชมบึงนี่สวยดีนะ สวยด้วยใบไม้แดง




ดูเวลาก็ล้ำสี่โมงเย็นไปแล้วครับ ซึ่งก็นับว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว เพราะช่วงเวลาของทริปนี้ดวงอาทิตย์จะตกก่อนห้าโมงเย็น คือสี่โมงกว่าๆ นั่นเอง ตอนนี้ก็สาวเท้าเร่งเดินละครับ ฝนเองก็ยังตั้งหน้าตั้งตาตกไม่เลิก พ้น Rurinuma มาหน่อยบึง Ao ก็โผล่มาในสายตาอีกทีทางฝั่งซ้าย คราวนี้ใกล้สายตาเลย  ตกลงช่วงตรงนี้เนี่ยมีบึงขนาบทั้งซ้ายขวาเลยว่างั้น บึง Ao มุมนี้สวย และเพิ่งสังเกตชัดว่าขอบบึงเต็มไปด้วยป่าสนขนาดใหญ่




บึงสุดท้าย

Yanagi-numa 

บึงนี้สีจะออกแนว Darkblue หน่อย จริงแล้วอาจจะเป็นเพราะว่าฟ้าสลัวมากแล้วก็ได้ทำให้สังเกตสีไม่ชัด แต่ฝั่งตรงข้ามก็มีบึงเล็กๆ เหมือนกันแต่ว่าสีน้ำในบึงจืดสนิด เหมือนน้ำธรรมชาติทั่วๆ ไป ไม่รู้ว่าเราย่ำเลยบึงอะไรสวยๆ ไปบ้างหรือเปล่านะครับ เพราะบางช่วงเวลาเราก็เร่งฝีเท้ากันมาก เพื่อให้ทันเวลารถเมล์ตามที่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว




15:51 16:51 และ 18:11 เป็นเที่ยวรถเมล์ 3 เที่ยวสุดท้ายที่เหลือของวันนี้ ซึ่งเป็นตารางรถสำหรับวันหยุดซึ่งเที่ยวรถกลับน้อยกว่าวันธรรมดา! เดิมตั้งใจจะเดินมาให้ทันเที่ยว 15:51 แต่ไม่ทันแล้วครับ เวลานี้ 16:23 ละ เรายังอยู่บนเทรลอยู่เลย เหลือเวลาอีกยี่สิบกว่านาที แต่ยังใจชื้นขึ้นหน่อย เพราะว่าเหลือระยะทางอีกเพียงร้อยกว่าเมตรตามป้าย ก็จะสิ้นสุดเทรล



สองชั่วโมงเต็มๆ ในที่สุดก็สุดเทรล

สภาพกล้องที่เปียกโชก และภาพที่เปรอะไปด้วยละอองน้ำหลังจากกลับมาเปิดดูบนคอมฯ T T




จากตรงนี้พอเราเจอถนน ก็จะมีทางม้าลาย เดินข้ามม้าลายไปก็จะเป็นป้ายรถเมล์นี่พอดี ตอนแรกก็ไม่รู้นะ มองไม่ออกว่าเป็นป้ายรถเมล์ เดินหาอยู่พักใหญ่ จนไปเจอร้านอาหาร ก็เข้าไปถามคนในนั้น เค้าก็ประชุมกันใหญ่ว่าจะฟังภาษาอังกฤษของเรารู้เรื่องดีมั้ย กว่าจะเจออาสาสมัครใจกล้ามาคุยกับเรา พอจับใจความได้ว่าเรากำลังตามหาป้ายรถเมล์ ก็อาสาพาเราเดินย้อนกลับมาชี้ๆ ว่าป้ายรถเมล์คือหลังนี้ เกือบตกรถ! ถ้าตกรอบนี้เนี่ยรอยาวอีกชั่วโมงกว่าเลย




มีเรื่องเล่านิดนึง ตอนรอที่ป้ายรถนี้ //เรียกศาลารอรถก็ได้ จู่ๆ มีรถเมล์เข้ามาคันนึง หน้าตา retro มาก รู้ว่าไม่ใช่คันที่เรารอแน่ แต่ก็กะจะถามข้อมูลเค้าหน่อย พอโดดขึ้นไปบนรถอ้าปากจะถามคนขับเท่านัน พอภาษาอังกฤษหลุดปากไปคำเดียวโชเฟอร์รีบทำท่ายอดมนุษย์อุลตร้าแมนเลย รู้ใช่มั้ยท่าอะไร ยอดมนุษย์ปล่อยลำแสง หรือทำมือท่ากากบากนั่นเอง 555 พร้อมกับพูดว่า no englishๆๆ ตรูล่ะมึน ดีว่าเจอะกระปี๋หรือกระเป๋ารถเมล์หญิงที่สนทนาอังกฤษได้บ้าง เลยรู้ว่ารอตรงนี้ไม่ผิดแล้วอีกสองสามนาทีรถเมล์ที่คุณรอก็จะมาแล้ว

ในที่สุดก็ได้ขึ้น แต่ขึ้นมาแล้วก็เพิ่งรู้ว่าสายนี้ไปไม่ถึงสถานีรถไฟ มันเป็นสายที่วิ่งมาจากต้นทางคีตะกะตะไปสุดสายแค่ Urabandai Royal Hotel ซึ่งเป็นป้ายถัดจาก Goshikinuma Iriguchi ป้ายที่เราลงรถเมื่อขามานั่นแหละป้ายนึง ดังนั้นเค้าเลยส่งเราลงที่ goshikinuma i. เนี่ยแหละ บอกให้รออีกเด๋วรถไปสถานีรถไฟจะมาเทียบ เหอะๆ ลงสิครัชรออัลไร นั่งป้ายเดียวยังดีกว่าเดินสามโล






กลับมารอที่เดิม

Goshikinuma Iriguchi Bus stop 

รอแป๊บเดียวรถเมล์ Bandai ToTo Bus ก็แล่นเข้ามาเทียบ ได้นั่งยาวๆ ซะที แต่แล้ว! แต่แล้วๆๆๆ เราลืมบัตร Gurutto Card ทิ้งไว้บนรถเมล์คันตะกี้ งานเข้า




มีเรื่องสุดเซอร์ไพรส์และแสนประทับใจในคนญี่ปุ่น เมื่อขณะนั่งรถเมล์ทอดสุดท้ายเข้าสถานีรถไฟโคริยะมะ คนขับรถเมล์ซึ่งตามฟอร์มก็คือสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลยผมจึงหันไปคุยเล่นปรับทุกข์กับผดส.ที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดใกล้คนขับ ทั้งรถก็มีแค่คนขับรถ เรา กะผดส.คนนี้แหละในมาดนักธุรกิจสงสัยเพิ่งกลับจากออฟฟิค เริ่มด้วยถามเค้าว่าค่าโดยสารไปถึงปลายทางเท่าไหร่ จะได้เตรียมนับตังค์ แกก็บอกมาว่า 890 yen (เอ๊ะ ใช่เหรอ นึกว่า 770yen ตามโพยที่อ่านมา หรือเขาอัพเดทราคาใหม่แล้ว) จากนั้นผมก็เล่าต่อ ว่าเสียดายเนี่ยตะกี้ลงจากรถเมล์คันก่อนหน้านี้แล้วดั๊นลืม ทิ้งบัตรฟรี gurutto card ไว้บนนั้น แกฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าพลขับ แถมแกมีเครื่องมือ แอฟช่วยแปลภาษา ยื่นมือถือมาให้เราพูดกรอกๆ ไปแล้วแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกที พอแกจับใจความได้แกลุกขึ้นยืน! ก้าวไปข้างคนขับ! เอื้อมมือไปคว้าวิทยุสื่อสาร วอ หาใครสักคน! เท่านั้นแหละ ผมเริ่มเดาได้ละว่าแกน่าจะเป็นพวกนายตรวจ และน่าจะกำลังวอหาคนขับรถเมล์คันตะกี้ จากนั้นแกก็หันมาบอกกะเราว่า เราพบ gurutto card ของคุณทั้งสองคนแล้ว สรุปคุณไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารนะ เฮ้ย คือดีอ่ะ ก็เหลือแค่รถไฟเที่ยวกลับไอสึ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาละ แม้จะไม่ได้บัตร gurutto กลับมา แต่เรามี JR East pass อยู่ในมือนิ แต่ๆๆๆ ความเซอร์ไพรส์ยังไม่หมด ตอนเราลงจากรถที่หน้าสถานี แกบอกว่าคอยเดี๋ยวนะ คอยอะไร หือ! ทันใดนั้นที่ด้านท้ายรถเมล์ก็มีเก๋งคันนึงห้อเข้ามาจอด แกก็ตรงไปหาเก๋งคันนั้น ผมเห็นเก๋งลดหน้าต่างลงมา คนขับเก๋งยื่นสิ่งหนึ่งใส่มือนายตรวจคนนี้ เฮ้ย!!! นั่นคือ guruuto card 2 ใบของเรานั่นเอง โห นี่ถึงกับใช้คนควบเก๋งมาส่งคืนเลยหรือเนี่ย ต้องบอกว่าสุดประทับใจมากๆ ครับ แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม


นี่คือตารางเวลารถไฟขาล่อง

Inawashiro Station – Aizuwakamatsu Station

0637-0709 0736-0808 0908-0940 1025-1056 1120-1150 1229-1259 1329-1358 1423-1456 1536-1609 1622-1650 1720-1754 1825-1858 1902-1936 1950-2023 2025-2056 2131-2202 2230-2258 2322-2352

ค่าโดยสารปกติ 500 Yen ตัวทึบนั่นคือเที่ยวที่เรานั่งกลับ จบทริป Day3 ด้วยความประทับใจทั้งธรรมชาติและน้ำใจคนญี่ปุ่น  พบกันใหม่ตอนหน้า จะพาไปนั่งรถเมล์เล่นในเมืองแบบประหยัดด้วย One Day Pass นั่งทั้งวันด้วยเงินเพียง 500 เยน





Create Date : 23 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2560 15:51:15 น. 7 comments
Counter : 3179 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtuk-tuk@korat, คุณtoor36, คุณKavanich96, คุณSweet_pills, คุณtanjira


 
สวยจังค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 23 พฤศจิกายน 2560 เวลา:15:11:59 น.  

 
ภาพสวยครับ


โดย: 城市猎人 (สมาชิกหมายเลข 4149951 ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2560 เวลา:16:29:52 น.  

 
ถึงฝนจะตกแต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนอนต่อไปครับ

คนหายหมดเพราะฝนมั้งครับ แต่ที่ไปในวันนี้แม้จะฝนตกแต่ผมว่ามันก็คุ้มค่านะครับ ได้ภาพดีๆ กลับมา

สุดยอดเลยเอาการ์ดมาให้น่าประทับใจจริงๆ ครับ ถือเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2560 เวลา:0:26:30 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2560 เวลา:4:05:04 น.  

 

บึง 5 สี สวยมากค่ะคุณหยี
ประทับใจในน้ำใจชาวญี่ปุ่นที่ติดต่อจนคุณหยีได้รับบัตรสองใบคืนด้วยค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 25 พฤศจิกายน 2560 เวลา:8:13:09 น.  

 
แวะมาทางนี้บ้างเนอะ

ทางไหนๆก็มัแต่รูปสวยๆ ชื่นตา ชื่นใจ ^^

ไปล่ะค่ะ แล้วจะมาใหม่นะคร๊าาาาา


โดย: tanjira วันที่: 26 พฤศจิกายน 2560 เวลา:9:51:30 น.  

 
ภาพสวยงาม
ขอบคุณข้อมูลการเดินทางค่ะ


โดย: Poona IP: 103.51.66.89 วันที่: 11 ตุลาคม 2561 เวลา:16:02:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 186 คน [?]







ทำไมต้อง น้ำ ฟ้า ป่า เขา
เริ่มท่องเที่ยวไกลบ้านครั้งแรกตอนอายุได้ 12 ขวบ ไปไกลถึงเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ครั้งนั้นได้วิ่งไล่จับเมฆบนดอยปุย ก็ใจแตกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชอบถ่ายภาพเพราะหนังสือถ่ายภาพท่องเที่ยวของ"ทอม เชื้อวิวัฒน์"
รักภูเขาเพราะหนังสือ "คืนสู่ภูเขา" ของดวงดาว สุวรรณรังษี
ภาพถ่ายผลงานของคุณดวงดาวในหนังสือเล่มนั้นมันสร้างแรงบันดาลใจแก่ผม ให้ผมหลงรักเหลี่ยมเขา และอยากถ่ายทอดเป็นภาพถ่าย เมื่อถึงเวลาต้องใช้นิคเนม เลยเลือกคำสั้น ๆ 4 คำที่เกี่ยวกับธรรมชาติที่เราชอบมาเป็นชื่อ น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา
ความตั้งใจ: ยังมีอีกหลายภู หลายดอย ที่ยังไม่ได้พิชิต เรี่ยวแรงก็เริ่มน้อยถอยลง พักนี้ของชีวิตก็ได้แต่เที่ยวฉาบฉวย สไตล์แคมป์คาร์ ไปเรื่อย ๆ
ยังจะเดินทางต่อไป ต่อไป ... และต่อไป

รู้จักจขบ.เพิ่มเติมได้ที่บทสัมภาษณ์พิเศษ
Interview The Blogger น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา




Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2560
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
23 พฤศจิกายน 2560
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.