happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
22 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
รายการ "ตอบโจทย์" (๑)





"ไทยพีบีเอสตอบโจทย์ใคร?"
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นสาธารณะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏอยู่ในกระแสข่าวที่สังคมให้ความสนใจอยู่หลายกรณี

๑) ปฏิญญาฟินแลนด์

วันที่ ๑๒ มี.ค. ๒๕๕๖ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่ทักษิณฟ้องร้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผม (นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง)นายชัยอนันต์ สมุทวณิช นายปราโมทย์ นาครทรรพ และคนทำสื่อในเครือผู้จัดการอีกหลายคน กรณีจัดเสวนาเรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย” ถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV

ฝ่ายทักษิณได้อ้างต่อศาลว่า ในการเสวนานั้นมีการกล่าวหาว่า ทักษิณวางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว, การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ เป็นการหมิ่นประมาท

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปก่อนหน้านี้ ต่อมาฝ่ายทักษิณได้ยื่นอุทธรณ์

สุดท้าย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การเสวนาดังกล่าวไม่ได้มุ่งให้ความสำคัญหรือยืนยันว่าข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่ แต่ได้เน้นวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายโจทก์ในฐานะที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปจะแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตหรือวิพากษ์วิจารณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนและประเทศได้ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท พิพากษายกฟ้อง

ประเด็นที่น่าสนใจในกรณี “ปฏิญญาฟินแลนด์ : ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย” คือ ไม่ได้มีการยืนยันว่าปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่ แต่พฤติกรรมการบริหารราชการ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว, การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ ทั้งหมดน่าสงสัยว่าเกิดขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่

การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมในประเด็นต่าง ๆ ด้วยเจตนาปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ จึงสามารถทำได้

ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ของผู้บริหารประเทศในขณะนั้นที่เพิ่มความคลางแคลงสงสัย เช่น การประกอบพิธีกรรมทำบุญประเทศ ในวัดพระแก้ว โดยทักษิณ ชินวัตร สะท้อนเจตนาตีเสมอพระมหากษัตริย์หรือไม่? การใช้อำนาจรัฐบาลเปลี่ยน“ข้าราชการ” เป็นเจ้าหน้าที่พนักงานของรัฐ ประกอบกับพฤติกรรมคำพูด ท่าที การแสดงออกที่มิบังควรหลายกรรมหลายวาระของทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยิ่งสมควรจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์

๒) ล็อบบี้ยิสต์ปิดล้อมสถาบันกษัตริย์ไทย

โดยส่วนตัว ผมได้ทราบข่าวมาระยะหนึ่งแล้วว่า มีขบวนการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศ เดินเกม สร้างข่าว สร้างกระแส จงใจที่จะโจมตีบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย

ล่าสุด ได้พบข้อเขียนของอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ “ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์” หัวข้อ “ประชาชนคือป้อมปราการ” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ นำเสนอข้อมูลสำคัญและมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่งขออนุญาตคัดมาแสดงไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้

“นับตั้งแต่ปี ๒๕๕o เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริงแต่เป็นความเท็จ ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและบริษัทประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ ๓ บริษัท บริษัทละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี(ประมาณ ๓o.๓ ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกันเพื่อผลทางการเมืองของตน อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน ๒ คน คนหนึ่งคือ เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้ และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.๑๑๒ เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี ๒๕๕๖ นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่ การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้เมื่อปี ๒๕๕๔ ในวาระครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ ๑๑๓ ในปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า ๑,๕oo ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน ๒oo - ๓oo ล้านบาทให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมาโดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุดและไปเคลื่อนไหวชักจูง ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชนอ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ

พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะถ้าสถาบันไม่สู้ สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน และเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีนที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันแพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญาณมาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธ.ค. ๒๕๕๕ ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าฯ พระพร สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอนส์ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป

ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. ๒๕๕๓ และสถานการณ์ความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และสงครามไซเบอร์ สงคราม ทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่าสหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ ๕ - ๖ ชุด มาประจำอยู่ในไทย โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในลาตินอเมริกามาแล้ว

อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง ๑ ส่วน แต่อีก ๙ ส่วนอยู่ใต้น้ำ

บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้ และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ”

๓) ทีวีสาธารณะไทย ตอบโจทย์ใคร?

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายการตอบโจทย์ประเทศไทย สถานีโทรทัศน์สาธารณะของประเทศ ไทยพีบีเอส ดำเนินรายการโดยนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ได้นำเสนอเทปสัมภาษณ์บุคคล ว่าด้วยเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ” โดยนำเสนอต่อเนื่องหลายตอน อาทิ

วันจันทร์ ๑๑ มีนาคม สัมภาษณ์ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อังคาร ๑๒ มีนาคม สัมภาษณ์นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการที่มักแสดงท่าทีต่อต้านสถาบันกษัตริย์
พุธ ๑๓ มีนาคม สัมภาษณ์ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจประจำราชสำนัก
พฤหัสฯ ๑๔ มีนาคม เชิญนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กับ ส.ศิวรักษ์ มาพูดคุยพร้อมกัน

บทบาทของสื่อสาธารณะ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสข้างต้น มีข้อพิจารณา ดังนี้

(๑) หากพิจารณาอย่างใสซื่อ โดยไม่สนใจบริบทของสิ่งที่เกิดขึ้นและกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยและในต่างประเทศ

ไม่สนใจว่าในประเทศมีขบวนการล้มเจ้า มีการกระทำตามแนวทางปฏิญญาฟินแลนด์ มีความต้องการจะสร้างรัฐไทยใหม่ ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์

ไม่สนใจว่าต่างประเทศมีการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ เดินเกม กดดันโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี เพื่อปิดล้อมสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ถ้าคิดตื้นๆ แบบนี้ รายการตอบโจทย์ฯ ของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสข้างต้น ก็อาจถูกมองได้ว่านำเสนอรายการโดยเชิญคนที่คิดต่าง นำมาออกรายการของตนในประเด็นที่เชื่อแน่ว่าจะร้อนแรงเป็นที่สนใจของสังคมไทยและต่างชาติ เป็นเสรีภาพที่อาจจะทำได้

แต่ถ้าพิจารณาภายใต้บริบทที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกประเทศเพื่อกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยในขณะนี้ ก็อาจจะเกิดความสงสัยว่า จะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือจงใจ

หรือมีคนวางแผนแจกบทบาท แบ่งงานกันทำ

บทบาทของตอบโจทย์ฯ อาจจะถูกมองได้ว่าจะเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น

การเล่นบทบาทในลักษณะนี้ น่าสนใจว่า กรรมการนโยบายผู้บริหารไทยพีบีเอส จะมีส่วนรู้เห็นกับผู้ผลิตผู้ดำเนินรายการด้วยหรือไม่? ถ้ารู้ก็แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจ สนับสนุนการกระทำดังกล่าว แต่ถ้าไม่รู้ ก็แสดงว่าคนทำรายการเขาจัดแจงจัดการด้วยตนเอง ซึ่งจะมีใครอื่นช่วยสนับสนุนหรือไม่ ก็ยังต้องหาคำตอบกันต่อไป

รายการตอบโจทย์ฯ ตอบโจทย์ใคร?

(๒) ล่าสุด ไทยพีบีเอสระงับการออกอากาศรายการในวันที่ ๑๕ มี.ค. ซึ่งตามกำหนดเดิมจะมีอีกตอน

เมื่อเป็นดังนี้ ประเด็นต้องพิจารณาต่อไปคือ เพราะอะไร และใครจะต้องรับผิดชอบ

การระงับรายการ เท่ากับยอมรับรายการตอนดังกล่าวมีปัญหาหรือสร้างปัญหา ก็จะต้องดำเนินการกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งความผิดสำเร็จแล้ว หากการทำรายการตอนนี้ กรรมการนโยบายก็ดี กรรมการบริหารก็ดี ผู้บริหารสถานีก็ดี มีส่วนรู้เห็นเป็นใจตั้งแต่ต้น ก็จะต้องออกมาชี้แจงและร่วมแสดงความรับผิดชอบ

หรือถ้าเป็นความผิดของผู้ผลิตรายการ ผู้ดำเนินรายการ ก็จะต้องมีความชัดเจนต่อสังคม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เพราะตัวผู้ดำเนินรายการ หากทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ก็มีสิทธิที่จะร้องเรียน ฟ้องร้อง หรือแม้แต่จะประท้วงผู้บริหารสถานีด้วยการลาออก

เรื่องนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น กรรมการบริหาร กรรมการนโยบาย ผู้บริหารสถานี หรือคนทำรายการ ด้วยมาตรฐานของทีวีสาธารณะที่อวดอ้างมานั้น ไทยพีบีเอสต้องมีความเด็ดขาด ไม่เล่นพวก ลูบหน้าปะจมูก

ไม่ใช่แค่เกาหลังกัน แล้วเงียบ ๆ กันไป

ไม่เช่นนั้น อาจจะถูกมองด้วยซ้ำว่า จงใจสร้างเรื่อง เพื่อให้ฝ่ายโจมตีสถาบันได้นำไปขยายผลต่อ

ไทยพีบีเอส ตอบโจทย์ใคร


จากคอลัมน์ "ขอคิดด้วยคน"

นสพ.แนวหน้า ๑๘ มี.ค. ๒๕๕๖








"โลกเราถูกทดสอบด้วยกาลเวลา"
อัญชะลี ไพรีรัก


โลกของเรา...เล็กลง และ หมุนเร็วขึ้น...ใครตามไม่ทัน มีสิทธิถูกแรงเหวี่ยงหลุดวงโคจร!!!

โลกใบเก่ากำลังเปลี่ยนแปลง และขนาดไม่สำคัญเท่าความเร็ว!!!

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเรื่องอื้ออึงทั้งดีและไม่ดี ในและต่างประเทศมากมาย เหมือนโลกเก่ากำลังลอกคราบ

นอกบ้านเรา..ภัยพิบัติทางธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนรุนแรงและถี่ขึ้น รูปแบบคำเตือนก็แตกต่าง บ้างมาในรูปของฝนฟ้าคะนอง พายุหิมะ คลื่นความร้อน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า สึนามิ ฝนฝุ่น หรือแม้แต่การอพยพย้ายถิ่นฐานและหนีตายของสัตว์นานาพันธุ์ เป็นต้น

“นครรัฐวาติกัน” ปล่องไฟ และ สีของควัน ก็ยังคงการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง “สันตะปาปา” ในรูปแบบดั้งเดิมที่ยึดถือมานับพันปี ไปยังคนทั้งโลก ด้วยการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียม เว็บไซต์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และอินสตราแกรม

ดังนั้น ผู้คนที่รอคอยผลหน้าโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน กับคนทั้งโลกจะเห็น “ควันขาว” พวยพุ่งจากปล่องไฟเหนือโบสถ์น้อยซิสทีนพร้อม ๆ กัน และได้ยินพระคาร์ดินัลอาวุโสเปล่งเสียง “ฮาเปมุส ปาปัม” -เรามีสันตะปาปาองค์ใหม่แล้ว-พร้อมกันด้วย...โลกใบนี้เล็กนิดเดียวจริง ๆ

พระคาร์ดินัลจอร์จ มาริโอ เบอร์ลอกจิโอ วัย ๗๖ ปี จากอาร์เจนตินา ได้รับเลือกจากพระคาร์ดินัลอายุต่ำกว่า ๘o ปีจำนวน ๑๑๕ รูป จาก ๔๘ ประเทศทั่วโลก เผยโฉมแรกต่อสาธารณชนและกล้องจากสื่อมวลชนแทบทั่วโลกที่รอถ่ายทอดสดนาทีแรกของ “โป๊ป” พระองค์ใหม่ที่จะเผยโฉมจากหลังม่านสีแดงสดบนระเบียงของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกันสถานที่พำนักแห่งใหม่ขององค์สันตะปาปาพระองค์ใหม่

โลกใบนี้หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เพราะองค์สันตะปาปาใหม่ในพระนาม “ฟรานซิส ที่ ๑” เป็นสันตะปาปาพระองค์แรกที่มาจากประเทศแถบลาตินอเมริกา ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในรอบ ๑,ooo ปี ที่องค์สันตะปาปาไม่ได้มาจากยุโรปแถมพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ ยังเป็นพระคาร์ดินัลที่พำนักในอพาร์ทเมนท์กะทัดรัด ไม่ใช่ตำหนักหรูหราประจำตำแหน่ง เป็นนักเคลื่อนไหวด้านสังคมสงเคราะห์ ชอบช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ทรงเสด็จไปไหนมาได้ด้วยรถประจำทางมากกว่ารถประจำตำแหน่ง ทั้งมีบิดาเป็นชาวอิตาลี

องค์สันตะปาปาฟรานซิสที่ ๑ เป็นพระผู้ทรงศีลเคร่งครัด สมถะ เปี่ยมล้นด้วยเมตตา ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมเก่าแก่ เรียกได้ว่าพระองค์มาจากโลกใบเก่า ซึ่งจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่สั่งสมในวาติกัน ไม่ว่าเรื่องปัญหาการคุกคามทางเพศ-การเบี่ยงเบนทางเพศ-การข้ามเพศ และบัญชีเงินที่ยุ่งเหยิงในที่ลับและที่สว่างอันฉาวโฉ่ของวาติกัน...หลังควันสีขาวเหนือปล่องไฟบนยอดโบสถ์น้อยซิสทีน วาติกันมีปัญหารอสันตะปาปาพระองค์ใหม่แก้ไขมากมาย ล้วนเป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับโลกใบเก่าที่ค่อยๆ รูดม่านลง

อีกด้านหนึ่งของโลกใบเดียวกัน “เอียง สารี” วัย ๘๗ ปี ได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยสำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มี.ค. ๒๕๕๖ อ้างคำแถลงของศาลพิเศษสหประชาชาติ หรือ อีซีซีซี ว่า อดีตผู้นำเขมรแดง นายเอียง สารี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรัฐบาลเขมรแดง ภายใต้การนำของนายพลพต ได้เสียชีวิตอย่างสงบที่โรงพยาบาลในวัย ๘๗ ปีหลังจากที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ ๔ มีนาคม

เอียง สารี เป็นอดีตแกนนำเขมรแดงที่อายุมากที่สุด กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมสงคราม คนที่เคยอยู่เคยสั่งการช่วงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรเหลืออีกไม่กี่คนแล้ว สร้างความหวั่นวิตกว่า จำเลยที่เหลืออาจไม่รอดชีวิตจนถึงวันพิพากษา

เอียง สารี เกิดในครอบครัวชาวเขมรยากจนในพื้นที่ทางใต้ของเวียดนาม ปฏิเสธการรู้เห็นสังหารคนจำนวนมาก อ้างว่า ไม่มีอำนาจในการจับกุมคน เขามีภรรยาชื่อ นางเอียง ธิริธ อดีตรัฐมนตรีกิจการสังคม ซึ่งควรต้องอยู่ในศาลด้วย แต่พบว่า หญิงชราคนนี้ไม่แข็งแรงพอจะเข้ารับการพิจารณาคดีเมื่อปีก่อน หลังได้รับการวินิจฉัยว่า ป่วยเป็น “โรคอัลไซเมอร์”...แปลว่า เธอจำอะไรไม่ได้เลย? ในช่วงที่เธอและสามีพร้อมพรรคพวกเขมรแดง “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” จนเกิดทุ่งสังหาร การอพยพ และบ้านแตกสาแหรกขาด

อีกไม่กี่วันข้างหน้าเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่หมอดูทุกสำนักฟันธงขาดว่า เมษาหน้าร้อน.. มาก

นับจากนี้เป็นต้นไป การเมืองเรื่อง คนโลภ จะเดือด เลือดพล่าน!!!

การประชุมรัฐสภาจะเกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายรัฐกับฝ่ายค้าน โดยมีภาคประชาชนรออยู่ด้านนอก กับกรณี “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นครรัฐปัตตานี ประสาทพระวิหาร” และนายกรัฐมนตรีเฉิดฉาย ลอยตัว พูดจาบ้าใบ้ไปวัน ๆ

การ “ยัดเยียด” พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่สภาฯโดย สส.เพื่อไทย ๔๒ คน ในร่างที่ชื่อว่า “วรชัย” ของ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ เพื่อไทย กำลังได้รับการโจษขานอื้ออึงว่า เกิด “ยัดไส้”ช่วยพา “ทักษิณ ชินวัตร” กลับบ้าน หลังจากนายใหญ่พรรคเพื่อไทยสไกป์โอดครวญว่า “ลอยคอ”-รอคอยมานานหลายปีแล้ว

การจะให้นิรโทษกรรมราบรื่นจำต้องมีทุกกลุ่ม แต่ลงท้าย “เจริญ จรรย์โกมล” รองประธานสภาฯคนที่ 1 หัวโจกงานนี้ ก็พลาดท่าเพราะ ๔ กลุ่มใน ๑๑ กลุ่มไม่เอาด้วยคือ ประชาธิปัตย์–พันธมิตรฯ–หลากสี–นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ท่ามกลางเสียงขู่ของพันธมิตรฯที่ว่า ถ้าขืนยัด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภาฯไปสมทบกับร่างเดิม ๔ ร่างที่ยังคาอยู่ พันธมิตรฯจะบุกล้อมสภาฯอีกครั้ง!!!

เสียงนี้สะเทือนจากถนนอู่ทองถึงดูไบ แต่ ไทกร พรหมสุวรรณ จากช่อง ๑๓ สยามไท เล่าว่า นายใหญ่ดูเหมือนได้ยาดี กินดีหมี หัวใจเสือมาหรือไร เพราะอยู่ๆ มาโผล่ที่เชียงราย ว้ายยย!!! ตาเถร ยายชี คราวนี้จริง ทั้งเครื่องและคน

นั่นคือที่มาของการบินไทย กรุงเทพฯ-เชียงราย แน่นตึ้บทุกลำ ล้วน สส.เพื่อไทยท้างงงงนั้น...และคนที่เดินนำหน้าไม่ใช่ใคร..เขาคือ วรชัย เหมะ อดีตนักการเมืองสี่ตัวสลึงในอุ้งมือ ประชา ประสพดี มาวันนี้กล้าตายให้นายใหญ่ เลยได้ตบรางวัลหน้าผ่องยองใยกลับกรุงมุ่งเดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่สนเสียงขู่พันธมิตรฯ..เป็นไงก็เป็นกัน..หมอดูถึงบอกว่า เดือนเมษายนปีนี้ “ร้อนนัก ร้อนหนา”…มันอย่างนี้นี่เอง

อีกด้านหนึ่งของสภาฯไม่ใช่เรื่องตู้เสื้อผ้าเดินได้ หรือการบินนอกสะสมไมล์ของนายกฯหญิงแห่งไทยแลนด์ แต่เป็นเรื่อง “นครรัฐปัตตานี” ที่พรรคเพื่อไทยเคยขึ้นป้ายหาเสียงไว้ และพยายามทำให้ลุล่วงจนได้

ก่อนหน้านี้มีการจับมือกันทุกฝ่ายที่มาเลเซียยกเว้น “กองทัพ” ที่ทักษิณ ชินวัตร สไกป์บอกพรรคพวกว่า “อย่าไปยอมอ่อนข้อให้กับพวกมัน” จึงพอมองเห็นลู่ทางการกลับมาของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ในรัฐบาลปู ๔ และ “นครรัฐปัตตานี” เขตการปกครองพิเศษ ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ดูเหมือนกองทัพจะเห็นต่างติดเบรก เพราะเสียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก บอกชัดเจนว่า “เรื่องการพูดคุย

ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันทั้งสิ้น ไม่ได้บอกว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร...
แต่เรายืนยันไปแล้วว่า ต้องทำตามรัฐธรรมนูญไทย แบ่งแยกดินแดนไม่ได้ ส่วนเรื่องเขตปกครองพิเศษ ยังมองว่าอีกไกล”

ไปอ่านเฟซบุ๊คของ @Sermsuk Kasitpradit หรือพี่เป๊ปซี่ ผู้สื่อข่าวมือดีที่เชี่ยวชาญปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้มากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย เขียนถึงการเจรจาสร้างสันติภาพที่ปลายด้ามขวานได้น่าสนใจ เพราะเอาไปเปรียบเทียบกับกรณีศึกษาของ “ฟิลิปปินส์” ว่า

“กว่าผู้นำ โมโร MILF จะได้ข้อยุติเบื้องต้นกับผู้นำรัฐบาลฟิลิปปินส์ สร้างสันติภาพบนเกาะมินดาเนา มีการเจรจากันกว่า ๑๕ ปี

จากปี ๒๕๔o ในปี ๒๕๔๖ มาเลย์เข้ามาเป็นผู้ประสานการพูดคุย ก่อนลงนาม ๑๕ ต.ค. ๒๕๕๕ ระหว่างพูดคุยเกือบล้มหลายครั้ง มีผู้คนเสียชีวิตไป ๑๒o,ooo คน ครับ หนึ่งแสนสองหมื่นคนจากเหตุสู้รบยาวนาน ๓o กว่าปี ถึงจุดหนึ่งรัฐบาลอาคิโน ต้องยอมหาทางออกทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหา ทำให้มีการพูดคุยสันติภาพเกิดขึ้น ของไทยสิบปี ห้าพันคน...การพูดคุยสันติภาพของไทยยังไม่ได้เริ่มเป็นทางการ ๒๘ มีนาคม นัดแรกครับที่มาเลย์..เริ่มแล้วจะไปได้ถึงไหน..ข่าวเรื่องนครปัตตานี ยังเร็วไป แต่เป็นปลายทางที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ตั้งเป้าไว้ในเรื่องรูปแบบการกระจายอำนาจจะเป็นแบบไหน อย่าได้กังวลเลยเถิดไปถึงว่า จะเสียดินแดน เพราะข้อตกลงใดๆ ที่มีจะต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญไทย และขบวนการ BRN ก็ยอมรับเงื่อนไขการพูดคุย จะไม่ไปไกลถึงเรื่องการตั้งรัฐปัตตานี เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญ”

“หลังลงนามสันติภาพที่มินดาเนา คณะทำงานอยู่ระหว่างพูดคุยจัดตั้งเขตปกครองตนเอง แต่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง จะมีรูปแบบอย่างไร..”

“มหานครกรุงเทพ กรุงเทพมหานคร หรือเชียงใหม่มหานคร มหานครเชียงใหม่ คนฟังไม่สะดุ้ง แต่พอบอกมหานครปัตตานี สะดุ้งโหยงเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของการกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางเหมือนกัน...”

ซีกฝ่ายค้าน “ถาวร เสนเนียม” บอกว่า ทักษิณมุ่งมั่นจะให้เกิดนครรัฐปัตตานี เพื่อดับไฟใต้แบบขอไปทีและหวังผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่พลังงานกลางอ่าวไทย ถูกนพดล ปัทมะออกมาเบรกทันควันก่อนไฟจะลามทุ่งว่า “เป็นความเท็จทั้งเพ”

อย่างว่า “ทนายหน้าหอ” ต่างจาก “ทนายหน้าหม้อ” เพราะหน้าหอก็ต้องแก้ต่าง แต่หน้าหม้อก็ต้องแก้ผ้า ต่างกันอย่างนี้ ก็มีวิธีทำต่างกัน พูดไม่เหมือนกัน แยกแยะง่ายสบายใจ

ที่เด็ดคือข้อมูลของ สส.เพื่อไทยที่ระบุว่า ทักษิณสไกป์ สั่งทุกคนในการประชุมพรรคครั้งที่แล้วว่าเขาขอกลับมาคุมพรรคด้วยตนเอง ๑oo% หลังพ่ายศึกผู้ว่าฯ กทม. อย่างน่าอับอาย ทั้งซุบซิบกันว่า ทักษิณด่ากราดทั้งน้องสาว–สุดารัตน์–ภูมิธรรม และสส.ทุกคนที่นำความพ่ายแพ้มาให้ ดังนั้น ต้องใบเหลือง “ชายหมู” ต้องตั้ง “นครรัฐปัตตานี” ต้องยกประสาทพระวิหารให้เขมร และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม “เดินหน้าเต็มสูบ”…คนซุบซิบว่าบ้าแล้ว คนสั่งบ้ากว่า

อีกไม่กี่สัปดาห์จากนี้ กรณีประสาทพระวิหารที่ถกเถียงกันมาน้าน นาน จะถูกนำขึ้นพิจารณาครั้งสำคัญที่ศาลโลก กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะคว่ำจะหงายก็งานนี้ เผลอ ๆ “ยิ่งลักษณ์” อาจเก็บกระเป๋า กระโปรง รองเท้าที่มากมายประดามีหนีไม่ทันก็เป็นได้

ปิดท้ายด้วยเรื่องเมื่อไม่กี่คืนจนถึงคืนนี้ที่ TPBS กับรายการตอบโจทย์ของคุณภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา ในประเด็น กม.๑๑๒ ที่มีผู้เกี่ยวข้องมานั่งคุยกับพิธีกรคนเก่งครบรอบด้าน ทั้ง อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล-ส.ศิวรักษ์–พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร–อานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น เรื่องร้อนแรงจนคนดูแบ่งซีกสองฝ่าย

แนะว่าควรอ่านโพสต์ของ @Noppanan Arunvongse Na Ayuddaya เผื่อจะคิดอะไรกันได้บ้าง

“ครั้งหนึ่ง ในการสนทนากับผู้อาวุโสชั้นผู้ใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ชราภาพมากแล้วท่านหนึ่ง  หัวข้อการสนทนานั้นว่าด้วยเรื่องการเมืองระหว่างประเทศไทยและจีนในช่วงสงครามเย็น ท่านผู้อาวุโสกล่าวกับผมว่า

“คุณรู้ไหมว่าทำไมคอมมิวนิสต์จึงพ่ายแพ้ในประเทศไทย คุณดูสิ เหมา เจ๋อ ตุง ไปไหน ในหลวงไทยก็เสด็จไปได้เหมือนกัน ไร่นา ขุนเขาลำเนาไพร ท้องถิ่นทุรกันดาร เหมา เจ๋อ ตุง ไปในหลวงไทยก็เสด็จไปเหมือนกัน ขนาด เหมา เจ๋อ ตุง เลิกไปแล้วเพราะแก่เฒ่า แต่ในหลวงไทยยังไม่เลิกเสด็จแม้หลังจากนั้นอีกหลายสิบปี แล้วอย่างนี้คอมมิวนิสต์จะชนะได้อย่างไร”

“คนจีนนับถือในหลวงไทยนะ เพราะในแง่สังคมนิยมสมัยใหม่ของจีนนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าใครมีชาติกำเนิดอย่างไร ไม่ว่ากรรมกรหรือพระเจ้าแผ่นดิน หากใครทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เรานับถือคนนั้น”

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ


จากคอลัมน์ "เล่าหลังไมค์"
นสพ.แนวหน้า ๑๔ มี.ค. ๒๕๕๖








"ตัดรายการ 'ตอบโจทย์' จะโทษใคร"
จิตกร บุษบา


สังคมกำลังถกเถียงกัน เรื่องการไม่นำรายการ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” เทปที่ ๕ ที่ว่าด้วย “สถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยมาออกอากาศ” เมื่อคืนวันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคมที่ผ่านมา  หลังออกอากาศไปแล้ว ๔ ตอน
               
โดยเริ่มจากการสัมภาษณ์ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ๑ ตอน  ตามมาด้วยนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ๑ ตอน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ๑ ตอน และมาถึงการโต้แย้งกัน ระหว่างนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ กับนายสมศักดิ์ ซึ่งจะออกอากาศถึง ๒ ตอนด้วยกัน  แต่ออกไปได้เพียงตอนเดียวก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์  กระทั่งมีประชาชนกลุ่มหนึ่ง เดินทางไปขอพบผู้บริหารสถานีไทยพีบีเอส  ขอร้องให้ยุติการเผยแพร่ตอนสุดท้าย  เนื่องจกาเนื้อหารายการกระทบกับความรู้สึกของคนไทยที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งบางท่านรู้สึกเหมือนกำลัง “ถูกย่ำยี”
               
เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าพิจารณามากมายครับ
               
๑. เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย หรือเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เป็น “วาระของประเทศไทย” หรือเป็นเพียงความสนใจ ความต้องการของคนบางกลุ่ม?
               
ท่านอาจจะเถียงว่า แม้เป็นความต้องการของคนบางกลุ่ม ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มน้อยในสังคมด้วย แต่เราจะไม่ให้โอกาสเขาพูดบ้างหรือ  ในประเด็นนี้ผมไม่เถียงหรอกครับ  และรายการก็ทำได้ดี ในการเปิดพื้นที่ให้นายสมศักดิ์ได้มาพูดในที่แจ้ง  หลังจากพูดในที่จำเพาะมานาน  และพยายามจะให้มีเสียงอื่นๆ ที่ต่างจากนายสมศักดิ์มาพูดด้วย เช่น พล.ต.อ.วสิษฐ  แต่คุณดูการให้น้ำหนักของเรื่องสิครับ  สมศักดิ์ได้ออกถึง ๓ ตอนด้วยกัน  และดูวิธีวางโครงการสื่อสารถึงประชาชนนะครับ 
               
เปิดด้วยสุรเกียรติ์ ซึ่งไม่ใช่ผู้นำทางความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  คุณสุรเกียรติ์ไม่ได้สังกัดสำนึกคิดไหน  ไม่เคยเอาจริงเอาจังในเรื่องสถาบันกษัตริย์มาก่อน  เอามาพูดหรือไม่ ไม่มีผลใดๆ กับผู้ชมหรือประเด็นซึ่งมีคู่ขัดแย้งนี้เลย
               
พล.ต.อ.วสิษฐ ใช่เลย  อยู่ฝ่ายเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านขบวนการไม่เอาเจ้า  พล.ต.อ.วสิษฐ นี่ต่างหาก ที่ควรเป็นคู่สนทนากับนายสุลักษณ์ ซึ่งเคารพเจ้า รักเจ้า แต่มีความคิดซ้อนทับกับนายสมศักดิ์ เรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒  เมื่อภิญโญและทีมงานเลือกให้ ส.ศิวรักษ์ กับสมศักดิ์ สนทนาปิดงาน มันก็ต้องไปจบที่การควงแขนกันแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ซึ่งเป็นบทสรุปที่ชี้นำผู้ชม ดดยขาดน้ำหนักถ่วงดุล ถามว่าคนอย่างนี้ พลอตการเล่าเรื่องอย่างนี้ มีเจตนาที่ตรงไปตรงมาหรือไม่
               
ผู้ชมจำนวนหนึ่งจึงมีสิทธิ์สงสัย กังวลใจ ไม่ไว้ใจ ว่าไทยพีบีเอส โดยภิญโญ กำลังใช้สื่อสาธาระ ยกระดับ ยกน้ำหนัก ยกราคา ของปัญหาคาใจของคนบางกลุ่มขึ้นมาปลุกกระแสหรือเปล่า  การบอกว่า เอาเรื่องในที่มืดมาคุยในที่แจ้งนั้นใช่  แต่ใจของพิธีกรและวิธีการสื่อสาร เทไปข้างไหนหรือเปล่า?
               
๒. วิธีการซักถามของพิธีกร  คนเขาก็จับตาและรู้สึกว่า  กับ พล.ต.อ.วสิษฐ ภิญโญซักค้านและทำเป็นไร้เดียงสา ไม่เชื่อว่าพวกไม่เอาเจ้า ล้มเจ้า มีจริงหรือ  แต่กับสมศักดิ์ ภิญโญกลับซักเสริมมากกว่าซักค้าน  เขาจึงตั้งคำถามว่า พิธีกรนี่ เอียงหรือไม่ มีวาระซ่อนเร้นอะไรในการนำเสนอประเด็นนี้ และให้โอกาสแก่สมศักดิ์มากกว่าคนอื่น ๆ
               
๓. อย่างไรก็ตาม ผมฟังแล้วก็ได้ประโยชน์  ถ้าเรารับฟังโดยไม่มีอคติหรือความเกลียดชัง  ก็จะเห็นว่า สาระของนายสมศักดิ์มีไม่มาก  ผมรู้สึกว่านายสมศักดิ์ไม่รักพระเจ้าอยู่หัวหรือสถาบันพระมหกษัตริย์เหมือนคนไทยทั่วๆ ไป  อาจเพราะประสบการณ์การได้เห็นสถาบันกษัตริย์กับสังคมต่างประเทศ เป็นไปอีกแบบ  แล้วนายสมศักดิ์แกชอบแบบนั้น  แกก็กลับมาคิดฝัน อยากให้โครงสร้างทางสังคมของเราได้รับการปรับเปลี่ยน ซึ่งแน่นอน แกต้องเจอแรงเสียดทาน  ซึ่งหากแกมีหัวใจเป็นประชาธิปไตย แกต้องรับได้  และหากแกไม่มีอคติในใจ แกก็ต้องรู้ว่า บ้านแต่ละหลังไม่ต้องตกแต่งแบบเดียวกัน  การที่บ้านเราเป็นแบบนี้ แล้วคนในบ้านเขามีความสุขของเขากันดี มีเพียงไม่กี่คนที่ทุกข์ระทมขมขื่น แกก็ต้องชักจูงให้คนเห็นด้วย  ซึ่งถ้าคนเขาไม่เห็นด้วย ก็ต้องรู้จักเคารพเขาเหมือนกัน

ประเด็นถัดมา เห็นชัดว่านายสมศักดิ์รู้สึกมีปัญหากับ ม.๑๑๒  แกบอกว่ามันทำให้เราพูดอะไรกันไม่ได้เลย ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์ก็ดีนะ ก็บอกว่าพูดได้ แต่ห้ามดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายเท่านั้น ก็ถูกของอาจารย์สุลักษณ์  แต่นายสมศักิด์มองไกลไปถึงว่า ม.๑๑๒ นี้ มีปัญหากับความเป็นประชาธิปไตยด้วย ถึงกับบอกว่า สถาบันกษัตริย์ไม่เป็นประชาธิปไตย  พอบอกให้อธิบาย แกก็บอกว่า ด้วยเงื่อนไขของกฎหมาย ผมพูดไม่ได้  อ้าว! ก็ถ้าไม่ได้ใส่ความอะไร ก็พูดออกมาสิ  จะมาเล่นลิ้นเอาประโยชน์จากความคลุมเครือทำไมล่ะ
               
ผมว่านั่งฟังด้วยใจเฉย ๆ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่แกคิด มันก็เป็นจริตบิด ๆ เบี้ยว ๆ ของแก  ม.๑๑๒ คุ้มครององค์พระประมุขของรัฐ  แต่เหมือนกเข้าใจว่าคุ้มเครองเพราะท่านเป็นกษัตริย์ เป็นเจ้า ไม่ใช่ครับ  ม.๑๑๒ เป็นความคุ้มครองต่อประมุขของรัฐ ที่อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ  จริง ๆ ผมรู้ว่าแกรู้ แต่แกชอบทำเป็นงง ให้คนงงตาม แกจะได้ยัดความคิดของแกให้เขา  แกถึงอยากให้ยกเลิก ม.๑๑๒ ไปเสียเลย  ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยก็ควรรับฟังแกได้  ถ้าเป็นความเห็นที่ป่วยไข้ไม่ได้ความ ก็ปล่อยแกไป ส่วนสังคมส่วนหใญ่ ก็ต้องอธิบายหลักคิดที่ถูกต้องกว่าให้รับรู้  ผมจึงบอกว่า ถ้าจะให้ดี ต้องให้สมศักดิ์คุยกับ พล.ต.อ.วสิษฐ ไม่ใช่ อ.สุลักษณ์
               
๔. ผมจึงไม่เห็นด้วย ที่ไทยพีบีเอสระงับการออกอากาศตอนสุดท้าย  ทั้ง ๆ ที่ออกอากาศมาแล้วตั้ง ๔ ตอน  ไทยพีบีเอสจะมาบอกว่า เพราะมีประชาชนมาทักท้วง เราจึงต้องตัดตอนดังกล่าวทิ้งไปนั้น ไม่ได้!!  เท่ากับว่าโยนความผิดไปให้ประชาชนที่ไปทักท้วง  ทำให้พวกเขาถูกเกลียดชัง ถูกมองเป็นพวกคุกคามขัดขวางสิทธิเสรีภาพของสื่อ ถูกมองว่าเป็นพวก “คลั่งเจ้า” ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เคารพความเห็นต่าง
               
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสให้นายภิญโญ ไตรสุริยธรรม และคณะ ดำเนินการผลิตรายการ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” เป็นรายการแบบ “บันทึกเทป” ก่อนนำออกอากาศในภายหลัง  คุณย่อมรู้เนื้อหา เห็นเนื้อหา หรืออย่างน้อยๆ ก็พอจะคาดเดาปฏิกิริยาจากผู้ชมได้
               
มองในแง่ดี  ไทยพีบีเอสอาจจะคิดว่า คนไทยมีเหตุผลมากกว่านี้ รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากว่านี้  จึงคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เพราะนายสมศักดิ์ก็พูดในเชิงทฤษฎีและความเชื่อของตน ไม่ได้มีการให้ร้าย ดูหมิ่น หมิ่นประมาท ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเลย
               
แต่ไทยพีบีเอสลืมมอง “ปูมหลัง” ว่านายสมศักดิ์ ได้ต่อสู้เรื่องนี้ ผ่านการสื่อสารที่ “ลำหักลำโค่น” ต่อความรู้สึกของประชาชนหนักหนาสาหัสเกินไป  คนเขาเจ็บ เขาจำ เขารู้สึกว่ารับไม่ได้มามาก เช่น นายสมศักดิ์เคยถามคนไทยว่า รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงงานหนัก  หรือเคยให้ข้อมูลผิดๆ ว่าพระเจ้าอยู่หัวรวยมากๆ โดยไปนับเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์ส่วนพระองค์ไปรวมด้วย มันก็ไม่ถูกและไม่ยุติธรรม จริงไหมครับ 
               
ขณะที่ปูมหลังของนายภิญโญ ก็เคยเดินทางไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต่างประเทศ แล้วนำมาออกอากาศในช่องไทยพีบีเอส ซึ่งใช้เงินภาษีของชาติเป็นทุนในการดำเนินการ จนกลายเป็นปัญหามาครั้งหนึ่งแล้ว
               
ไทยพีบีเอส ควรที่จะระมัดระวังปูมหลังเหล่านี้ ว่าจะมีความอ่อนไหว เมื่อมารวมกับการจัดน้ำหนักของแขกรับเชิญที่เทให้แก่สมศักดิ์มากเกินควร  ย่อมห้ามไม่ได้ ที่คนดูจะรู้สึก  และใช่ว่าคนดูทุกคน จะวางเฉยกับเรื่องนี้ได้
               
๕. ไทยพีบีเอสต้องรู้ว่า ปัญหาลำดับต้น ๆ ของประเทศชาติคืออะไร เช่น ข้าวยากหมากแพง ภัยแล้งที่กระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ปัญหาพลังงานและแผนการฮุบแหล่งพลังงานในอ่าวไทย ปัญหาการรับจำนำข้าว หนี้ของ ธ.ก.ส.  ปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างจากนโยบายค่าแรง ๓oo บาท  ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้  ปัญหาการหนีสภาของนายกรัฐมนตรี  ปัญหาการคุกคามธนาคารแห่งประเทศไทยของฝ่ายการเมือง  ปัญหาความไม่เป็นอิสระของดีเอสไอที่กระทบต่อการให้ความเป็นธรรม  ปัญหาการทุจริตโครงการจัดการน้ำ ที่ ป.ป.ท. ตรวจพบ ฯลฯ มีเยอะมาก  มากจนแทบจะนำเสนอไม่ทันแล้ว  ทำไมจึงเลือกนำเสนอเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นประชาธิปไตยในเวลานี้ ซึ่งไม่ใช้เวลาที่มีปัญหาในเรื่องนี้

๖. ไทยพีบีเอสต้องยืนหยัดที่จะออกอากาศรายการ “ตอบโจทย์” ตอนที่ ๕  ต้องกล้าที่จะอธิบายกับประชาชนที่ไปขอให้ท่านปิด  ด้วยหลักการการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน  ท่านต้องช่วยภิญโญยืนยันว่า นี่เป็นสิทธิเสรีภาพของสื่อ นี่คือความงดงามของระบอบประชาธิปไตยที่เสียงส่วนน้อยจะต้องมี “เวที” แสดงความคิดเห็น  เมื่อเขาแสดงความคิดเห็นแล้ว  พวกท่านซึ่งคิดว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ จะอธิบาย หักล้างแนวคิดกันอย่างไร ก็ว่ามา  เรายินดีให้พวกท่านมาออกอากาศในเรื่องนี้เพิ่ม
               
แต่ไทยพีบีเอสกลับไม่ยืนหยัดหลักการ  แถมอธิบายว่าต้องยุติการออกอากาศด้วยข้อ ๔๖ ในพระราชบัญญัติขององค์กรณ์ตัวเอง ซึ่งน่าแปลกว่า ข้อ ๔๖ นี้ ทำไมไม่ทำงานมาตั้งแต่ตอนแรก ๆ ทำไมจำเพาะต้องมาบังคับใช้เอาตอนสุดท้าย
               
เรื่องทั้งหมดจึงลุกลามบานปลายเพราะไทยพีบีเอส กล่าวคือ ขณะนี้ มีคนไม่น้อยคิดว่าประชาชนฝ่ายรักเจ้าปิดกั้นเสรีภาพสื่อ คุกคามสื่อ ในความเป็นจริง เกิดขึ้นเพราะสื่อไม่ยืนหยัดต่างหาก
               
ถามว่าคนที่ไปไปแล้วป่าเถื่อน เอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปข่มขู่หรือ เปล่าเลย เขาไปพร้อมจดหมาย พร้อมคำพูดที่พรั่งพรู แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย เคารพสถานที่ของท่าน   ซึ่งท่านจะเจรจากับพวกเขากี่ชั่วโมงก็ได้  แต่เมื่อถึงเวลาออกอากาศ ท่านก็ออกอากาศไป  โดยยืนยันสิทธิเสรีภาพของท่าน และพร้อมจะรับผิดชอบ หากการสนทนาในรายการนั้น ผิดกฎหมาย  ท่านไม่อาจทำรายการที่ถูกหูถูกใจทุกคนได้ แต่ท่านต้องให้โอกาสทุกสำนักคิดในบ้านเมืองมีโอกาสได้นำเสนอ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
               
๗. การตัดสินใจไม่ออกอากาศของไทยพีบีเอส มีผลเสียหายร้ายแรง
               
๗.๑) ไม่เคารพสิทธิของผู้ชมที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่ยืนหยัดการทำหน้าที่ ด้วยการออกอากาศเสียให้จบครบตอน
           
๗.๒) ทำให้ประชาชนที่เดินทางไปทักท้วงกลายเป็นผู้ร้าย ไม่มีหัวใจประชาธิปไตย คุกคามและปิดกั้นเสรีภาพสื่อ  ซึ่งลุกลามไปถึงการวิพากษย์วิจารร์สถาบันพระมหากษัตริย์หนักขึ้นอีก
           
๗.๓) ทำให้สื่อมวลชนอย่างนายภิญโญ ไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสถานี กลายเป็นบุคคลที่สังคมเกลียดชัง  โดยการไม่ออกอากาศนั้น เสมือนคำพิพากษาต่อการทำหน้าที่ของนายภิญโญด้วย
               
ผมยังยืนยันในหลักการการทำหน้าที่สื่อว่าต้องมีเสรีภาพ  แต่ก็ต้องใคร่ครวญว่าการใช้เสรีภาพของตนนั้น จะไปกระทำย่ำยีต่อความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดด้วยหรือไม่  ไปเพิ่มประเด็นอ่อนไหวทำให้สังคมโยกคลอนอย่างมิสมควรหรือเปล่า
               
ผมยังยืนยันที่จะเห็นฝ่ายรักเจ้าใจคอเข้มแข็ง มีเหตุผล และมีหูไว้ฟังเสียงที่แตกต่างอย่างมีศักดิ์ศรีและมีปัญญา
               
ผมยังยืนยันว่า ขบวนการล้มเจ้ามีจริง มีหลายส่วน และต่างกำลังทำงานของเขา
               
เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้าหรือไม่ ผมไม่ทราบ
               
แต่ไทยพีบีเอสต้องตรวจสอบตัวเอง ว่านำเสนอเรื่องนี้ถี่ไปไหม ด้วยความคิดที่ซ่อนลึกว่าอย่างไร และจะเกิดประโยชน์อะไรกับสังคม เมื่อเทียบกับ “ความร้าวฉาน” ที่ถูกถ่างให้กว้างขึ้น
               
แต่ที่แน่ ๆ เรื่องนี้เหมือนลูกฟุตบอลที่เข้าทางตีนฝ่ายที่พยายามบอกคนทั้งโลกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นอุปสรรคในการแสดงความคิดเห็น
               
แม้ในความเป็นจริงอาจไม่จริง  แต่กรณีตัดรายการตอบโจทย์ตอนที่ ๕ นี้ คือการผลิต “ใบรับรอง” ให้แก่ขบวนการเคลื่อนไหวไม่เอาเจ้า
               
ส่วนใครช่วยกันผลิตใบรับรองนี้ขึ้นมาบ้าง ก็จงทบทวนกันดู


จากคอลัมน์ "เส้นใต้บรรทัด"
นสพ.แนวหน้า ๑๗ มี.ค. ๒๕๕๖








"ภุมรัตน์ ตอบโจทย์"
สุทิน วรรณบวร


การนำคนไร้ราคา คนที่สังคมรังเกียจ การนำเสนอข้อมูลแง่ลบ นำไปสู่ความขัดแย้งของสังคม สร้างความเสื่อมเสียให้สถาบัน มาออกรายการถึงสามครั้ง...ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้ดำเนินรายการ มีเจตนาจะตอบโจทย์ หรือกำลังหาโจทย์

หลังจากกระแสสังคมกระหน่ำ ถึงความไม่เหมาะสมและเจตนาแอบแฝงของรายการ”ตอบโจทย์” ที่สร้างข้อครหาเป็นที่น่าสงสัยมากมาย จนต้องออกแถลงการณ์ อ้างสิทธิ์เสรีภาพสื่อตามรัฐธรรมนูญ การดำรงซึ่งจรรยาบรรณสื่อ มาปกป้องตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ผู้ดำเนินรายการไม่มีจรรยาบรรณ และจริยธรรมของสื่ออยู่ในตัวแม้แต่นิดเดียว เพราะแม้แต่กฎเบื้องต้นของสื่อและการประชาสัมพันธ์ง่ายๆที่บอกไว้ว่า “ไม่เสนอข่าวสารในแง่ลบซ้ำซาก”(do not repeat negative) ผู้ดำเนินรายการก็ยังไม่เข้าใจ

การนำคนไร้ราคามาร่วมรายการ คนที่สังคมรังเกียจ การนำเสนอข้อมูลในแง่ลบ นำไปสู่ความขัดแย้งของสังคม และ สร้างความเสื่อมเสียให้กับสถาบัน มาออกรายการถึงสามครั้ง ท่ามกลางกระแสต่อต้านของสังคม ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้ดำเนินรายการ มีเจตนาจะตอบโจทย์ หรือกำลังหาโจทย์

บังเอิญได้อ่าน บทความที่เขียนโดยท่านภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่โพสต์ทางเฟสบุ๊ค จึงขออนุญาตนำข้อความบางตอนของท่านมาอ้างอิงในบทความชิ้นนี้  ด้วยเหตุว่า เราได้พบเห็นสิ่งที่ท่านเสนอมาด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาที่ยังทำงานอยู่กับสำนักข่าวต่างประเทศ

ท่านภุมรัตน์ เขียนไว้ว่า “นับตั้งแต่ปี ๒๕๕o เป็นต้นมา การทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติอย่างเปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง และบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ ๓ บริษัท บริษัทละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ ๓o.๓ ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภา และรัฐบาลอเมริกัน เพื่อผลทางการเมืองของตน อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน ๒ คน คนหนึ่งคือ เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว  อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้ และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.๑๑๒ เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจาก นักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี ๒๕๕๖ นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่ การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆแล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน”

ข้อเขียนท่านภุมรัตน์ยังมีรายละเอียดและหลักฐานของขบวนการต่อต้านสถาบันอีกมาก แต่ขอตัดเพียงแค่นี้ เพื่อจะได้เพิ่มเติมข้อมูลจากที่ตัวเองพบมาช่วงเวลาที่ทำงานกับสำนักข่าวต่างประเทศ บทความของ Association of Asian Studies ที่ท่านภุมรัตน์กล่าวถึงนั้นมีจริง และถูกส่งผ่านมาในอีเมลล์ของสำนักข่าวต่างประเทศเป็นประจำ ชิ้นแรกที่ส่งมาให้สำนักข่าวต่างประเทศ อ้างคำพูดอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไปพูดกับผู้สนับสนุนในออสเตรเลีย กล่าวหาประธานองค์มนตรีว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ  ให้เกิดรัฐประหารล้มล้างนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับความนิยมสูงเป็นประวัติศาสตร์ บทความชิ้นนั้นอ้างว่าที่ต้องขจัดนายกฯคนนั้น เพราะเกิดความหวั่นไหวว่า ผู้คนที่ยากจนในชนบทจะให้ความรักความนิยมเหนือผู้อื่นทั้งหมด

หลังจากนั้นบทความจะส่งเข้าเป็นระยะ ๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยการปฏิวัติรัฐประหารที่มีถึง ๑๘ ครั้งหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี ๒๔๗๕ แล้วจะตามมาด้วยการเลือกตั้ง ครั้งประวัติศาสตร์ ที่พรรคการเมืองพรรคเดียวได้รับความนิยมสูงสุด แล้วถูกล้มล้างด้วยทหาร และพาดพิงไปถึงสถาบันทุกครั้ง บางครั้งบทความเขียนถึงเรื่องไม่บังควร และเรื่องไม่บังควรเหล่านี้ล้วนออกมาจาก ข้อเขียนที่ยังไม่สมบูรณ์ของนายพอล เอลลี่ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง king never smile

ผู้เขียนหนังสือ king never smile เป็นผู้สื่อข่าวอิสระที่มาทำงานในเมืองไทย ช่วงสงครามอินโอจีน ซึ่งรู้กันในหมู่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเวลานั้นว่า เป็นพวกต่อต้านสถาบัน ด้วยความที่คนมีชื่อเสียด้านนี้เอง ทำให้เขาถูกเชิญมาพบกับเลขาฯผู้มีอำนาจในปี ๒๕๔๗ ในช่วงเวลาที่มีการพูดถึงเรื่องลดบทบาท ลดอิทธิพลสถาบัน ตั้งแต่นั้นมา โครงการเขียนหนังสือ King Never Smile ข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐกับข้อมูลจากเลขาผู้มีอำนาจ ก็ถูกส่งไปให้ผู้เขียนหนังสือทำลายสถาบัน และประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา

Draft (ข้อเขียนที่ยังไม่สมบูรณ์) บางตอนของหนังสือ ถูกส่งมายังอีเมลล์ของสำนักข่าวต่างประเทศเป็นระยะๆ หลังจากการยึดอำนาจในเดือนกันยายน ๒๕๔๙ และบทความทำลายสถาบัน บวกกับข้อเขียนที่ยังไม่สมบูรณ์จากหนังสือเล่มนี้ก็มีมากขึ้น และเปิดเผยตั้งแต่ปี ๒๕๕o เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามข้อเขียนในแง่ลบเหล่านี้ ไม่ได้ถูกนำไปใช้มากนักในบรรดาสำนักข่าวที่มีมาตรฐานอย่างรอยเตอร์ เอพี หรือ เอเอฟพี มีบ้างที่มาตรา ๑๑๒ ถูกนำมาขยายในบางครั้ง แต่บทความเหล่านี้ถูกนำไปขยายมากในหมู่นักข่าวอิสระที่เขียนบทความให้กับ วารสารภาษาอังกฤษ  นอกจากนั้นข้อมูลในบทความทำลายสถาบันเหล่านี้ถูกนำมาขยายใน เวทีการชุมนุมต่อต้านการปฏิวัติ ในเว็บไซด์ต่าง ๆ และ สื่อไทยบางฉบับที่อยู่ในเครือข่ายของกลุ่มตรงข้ามสถาบัน

การขยายความของคนกลุ่มนี้ จะออกมาในรูปของการสร้างประเด็น เพื่อให้สื่อมาขยายความต่อ  เช่น มีชายคนหนึ่ง ไม่ลุกยืนในโรงภาพยนตร์ ขณะที่เปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี ความจริงถ้าขบวนการนี้ไม่ทำให้เป็นข่าวก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร แต่จู่ ๆ มีการส่งข้อความเป็นภาษาอังกฤษไปถึงสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และสำนักข่าวทุกแห่งว่า เขาจะไปรับทราบข้อหาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้ง ๆ ที่ตำรวจยังไม่ได้ตั้งข้อหา ผู้สื่อข่าวทุกสำนักแห่กันไปทำข่าว แต่ด้วยการยึดมั่นกับกฎที่ว่า “ไม่เสนอซ้ำในเรื่องที่เป็นแง่ลบ” เราไม่ยอมไปทำข่าว

เป็นครั้งแรกในการทำงานสามสิบสี่ปี ที่ถูกหัวหน้าตำหนิพูดว่า “ผิดหวังในตัวเรามาก” ที่ไม่ยอมไปทำข่าวนี้ เราไม่ยอมทำข่าวนี่เพราะรู้ทันว่า ฝ่ายตรงข้ามสถาบันต้องการ นำเรื่องคนที่ไม่ยืนทำความเคารพเป็นประเด็นขยายความ แล้วก็เป็นจริงตามความคาดหมายสื่อต่างๆประโคมข่าวนายคนนั้นกันทุกฉบับ แม้กระทั่งทีวีกรมประชาสัมพันธ์ยังนำผู้ที่สวมเสื้อมีข้อความว่า“ไม่ยืนไม่ผิด” มาออกอากาศ

ตั้งแต่วันนั้นมา เราเริ่มเป็นเป้าหมายของผู้ที่ลงทุนจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ มีการร้องเรียนไปถึงสำนักข่าวว่า เราไม่เป็นกลางบ้าง ร้องเรียนว่าเราเป็นพวกเดียวกับฝ่ายขบถบ้าง จนวันหนึ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสำนักข่าวในวอชิงตัน แจ้งมาว่ามีผู้ที่ใช้ชื่อ Ekapipop ทำหนังสือร้องเรียนไปว่า ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวคนหนึ่ง (ชื่อเรา) สร้างความเสียหายต่อสถาบัน (สำนักข่าว) โดยการการตั้งคำถามที่หยาบคาย ใช้คำพูดดูหมิ่นผู้นำของประเทศไทย โดยใช้คำพูด“ไม่เหมาะสม”กับผู้ที่เป็นนายกฯ เรียกร้องให้สำนักข่าวขอโทษ และ ลงโทษนักข่าวคนนั้น

ที่นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อยืนยันข้อเขียนของท่านภุมรัตน์ว่า อิทธิพลของบริษัทประชาสัมพันธ์มีจริง เพราะไม่มีใครในสำนักงานสาขาต่างประเทศรู้ช่องทางติดต่อกับผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ข้อร้องเรียนผู้สื่อข่าวธรรมดาคนหนึ่งส่งไปถึงระดับผู้อำนวยการ ข้อร้องเรียนที่ส่งไปจากเมืองไทยต้องผ่านการจัดการโดยบริษัทประชาสัมพันธ์เท่านั้น

ข้อเขียนของท่านภุมรัตน์ยังบอกว่า สถาบันแห่งชาติของสหรัฐบางแห่ง เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า ๑,๕oo ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน ๒oo - ๓oo ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา โดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

ถ้ายังสงสัยกันว่า คอลัมนิสต์บางคน ในหนังสือพิมพ์ไทยบางฉบับ รายการทีวีบางรายการ มีวาระซ่อนเร้น ในการทำลายกัดกร่อนสถาบัน โดยการนำเอาประเด็นที่คนของฝ่ายตรงข้ามสถาบันมาขยายความเผยแพร่ด้วยสาเหตุอะไร และ เงินทุนสร้างความเลวร้ายเหล่านี้มาจากไหน บทความของท่านภุมรัตน์ “ตอบโจทย์”ได้เป็นอย่างดี


จากคอลัมน์ "วิภาคสื่อเทศ วิเทศสื่อไทย"
นสพ.แนวหน้า ๒๑ มี.ค. ๒๕๕๖


บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 22 มีนาคม 2556
Last Update : 22 มีนาคม 2556 9:27:48 น. 0 comments
Counter : 2334 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.