happy memories
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๕๔





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










นิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พ.ศ. ๒๕๕๗


ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับการอนุรักษ์มรดกไทย” หัวข้อ “พิพิธภัณฑสถาน โบราณคดี และประวัติศาสตร์ ตามรอยพระบาทสยามบรมราชกุมารี” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และพระราชทานเข็มเกียรติคุณวันอนุรักษ์มรดกไทยแก่ผู้อนุรักษ์มรดกไทยและผู้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ จำนวน ๖๐ ราย ยังความปลื้มปีติและภาคภูมิใจให้แก่ผู้ได้รับเข็มเกียรติคุณวันอนุรักษ์มรดกไทยทุกคน






กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยพุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับการอนุรักษ์มรดกไทย” หัวข้อ“พิพิธภัณฑสถาน โบราณคดี และประวัติศาสตร์ ตามรอยพระบาทสยามบรมราชกุมารี” เพื่อให้ทราบถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่องานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม พิพิธภัณฑสถาน หอสมุด และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ นิทรรศการนำเสนอพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่แสดงให้เห็นถึงความสนพระราชหฤทัยในงานอนุรักษ์มรดกไทย พระราชดำริและพระราชกระแสพระราชทานให้แก่กรมศิลปากร ก่อให้เกิดการพัฒนางานด้านต่าง ๆ ตามแนวพระราชดำริ ได้แก่ การจัดตั้งโครงการศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมืองดงละคร อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก การอนุรักษ์หลุมขุดค้นทางโบราณคดีวัดชมชื่น อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ระบบชลประทานเมืองโบราณสุโขทัย เครือข่ายยุวมัคคุเทศก์ โครงการทดลองปลูกป่ารักเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย การพัฒนาคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ การจัดการและพัฒนาองค์ความรู้จากโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โดยนำโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ เครื่องทองจากอำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และศิวลึงค์ทองคำจากเขาพลีเมือง นครศรีธรรมราช มาจัดแสดง การพัฒนางานด้านวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ งานหอสมุดแห่งชาติ และงานหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตามแนวพระราชดำริ






นิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง “พิพิธภัณฑสถาน โบราณคดีและประวัติศาสตร์ ตามรอยพระบาทสยามบรมราชกุมารี” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมนิทรรศการฯ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๘ (ยกเว้นวันจันทร์-วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. สอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ ๐-๒๒๒๔-๑๓๓๓ , ๐-๒๒๒๔-๔๗๐๒



































ภาพและข้อมูลจากเวบ
finearts.go.th














รวมสุดยอดหัตถศิลป์ไทย งานฝีมือเชิงช่างระดับบรมครู


ร่วมเชิดชูครูช่างและครูศิลป์ของแผ่นดิน ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป. (SACICT) เปิดโครงการ “LUX by SACICT” รวบรวมสุดยอดผลงานจากฝีมือช่างชั้นบรมครู มาเป็นตัวแทนความงดงามของมรดกทางหัตถศิลป์ไทย เพื่อเผยแพร่แก่คนไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังสนองพระราชดำริของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการฟื้นฟูองค์ความรู้ด้านหัตถศิลป์ของชาติ เพื่ออนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งได้เชิญคณะทูตานุทูต,นักธุรกิจ และดีไซเนอร์ มาร่วมงานเปิดที่โรงแรมสุโขทัย เมื่อไม่นานมานี้





ฉวีวรรณ จันทนภุมมะ, อรนุช โอสถานนท์, การุณ กิตติสถาพร, พิมพาพรรณ ชาญศิลป์,
สนั่น–คุณหญิงณัฐิกา อังอุบลกุล และดวงพร รอดพยาธิ์ ร่วมชื่นชมสุดยอดหัตถศิลป์จากฝีมือช่างระดับบรมครู



ประธานบริหาร ศ.ศ.ป. “การุณ กิตติสถาพร” กล่าวถึงโครงการ LUX by SACICT ว่า จะเป็นช่องทางในการส่งต่อผลงานจากฝีมือครูช่างสู่ผู้ที่สนใจในงานศิลปะ และเป็นโอกาสในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อยกระดับงานหัตถศิลป์ของไทยในตลาดโลกด้วย นอกจากนี้ พิมพาพรรณ ชาญศิลป์ ผู้อำนวยการ ศ.ศ.ป. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการฟื้นฟู อนุรักษ์ และส่งเสริมงานหัตถศิลป์ระดับพื้นบ้านให้พัฒนาต่อยอดเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นสูง สนับสนุนและเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะผู้ที่รักงานศิลปะก็มีโอกาสสะสม หรือมีไว้ใช้ นำความภาคภูมิใจต่อเจ้าของผลงาน ซึ่งการสนับสนุนผลงานของครูช่าง จะเป็นหนึ่งกลไกที่ขับเคลื่อนขบวนการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางหัตถศิลป์ให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป





ครูเมตตา เสลานนท์ ครูช่างเครื่องลงหินแห่งชุมชนบ้านบุ กับผลงานที่ภาคภูมิใจ.



สำหรับโครงการ LUX by SACICT นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงหัตถศิลป์ไทย ที่ได้รวบรวมผลงานทรงคุณค่าที่รังสรรค์โดยครูศิลป์ของแผ่นดินและทายาทหัตถศิลป์ ๗ สาขา มาจัดแสดงเป็นนิทรรศการและการสาธิต อาทิ ครูวีรธรรม ตระกูลเงินไทย ครูช่างผ้าทอไหมยกทอง หัวหน้ากลุ่ม “ผ้าทอยกทองจันทร์โสมา” จาก จ.สุรินทร์, ครูธานินทร์ ชื่นใจ ครูภูมิปัญญาด้านงานสกุลช่างเมืองเพชร, ครูอุไร แตงเอี่ยม ครูช่างหัวหน้าบ้านเบญจรงค์ ดอนไก่ดี จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีผลงานเบญจรงค์ลายน้ำทอง อันโดดเด่น เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนำเสนอภายใต้สัญลักษณ์เดียวกัน ในแนวคิด “Gold Touch” ส่งผ่านความเปล่งประกายและจิตวิญญาณแห่งทองจากยุคสุวรรณภูมิ สู่ชิ้นงานหัตถกรรมระดับมาสเตอร์พีซ ติดตามโครงการนี้ได้ที่ sacict.or.th



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
thairath.co.th





































































ศ.ประหยัด พงษ์ดำ และ บุญชัย เบญจรงคกุล
ในงานพระราชทานเพลิงศพ อ.ถวัลย์ ดัชนี
















ภาพและข้อมูลจาก
นสพ.โพสต์ทุเดย์สุดสัปดาห์ ๑๑-๑๗ ต.ค. ๒๕๕๗














ภาพจากใบปิดศาลาเฉิลมกรุง













วินเซ็นต์กับคืนที่ดาวเต็มฟ้า
วิภว์ บูรพาเดชะ


ค่ำคืนที่ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้าคืนหนึ่งในเดือนมิถุนายนปี ๑๘๘๙ เคยเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินโพสต์-อิมเพรสชั่นนิสต์ชื่อ วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh ภาษาดัตช์ออกเสียงว่า ฟินเซนต์ ฟัน โคค) ถ่ายทอดภาพดวงดาวพราวพร่างในสายตาของตัวเอง จนกลายเป็นภาพเขียน The Starry Night อันโด่งดัง พอ ๆ กับภาพดอกทานตะวันหรือภาพพอร์เทรตของตัวเขาเองที่เป็นงานชิ้นสำคัญไม่แพ้กัน


วินเซนต์เขียนภาพนี้จากวิวนอกหน้าต่างของโรงพยาบาลบ้า


เราไม่รู้แน่ชัดว่าเขา ‘บ้า’ แค่ไหน ที่แน่ ๆ ก็คือวินเซนต์เคยคลุ้มคลั่งถึงขนาดที่ตัดหูข้างซ้ายของตัวเองทิ้ง และเขาต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้าเป็นเวลากว่าหนึ่งปี


แต่การตัดสินว่าใครบ้าหรือไม่บ้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก หากย้อนไปศึกษาประวัติของศิลปินชื่อก้องโลกคนนี้ เราจะพบว่าวินเซนต์อาจจะเป็นเพียงชายหนุ่มผู้อ่อนไหวคนหนึ่ง เขาเพียงแค่สนใจเรื่องศาสนาอย่างจริงจัง เขาเพียงแค่อยากจะมีชีวิตตามครรลองของสังคมในยุคนั้น เขาเพียงแค่มีความรักให้กับหญิงสาว แต่ทุกสิ่งที่เขาต้องการกลับตอบปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย ในที่สุดเขาก็พบว่าตัวเองเหลือเพียงแค่งานศิลปะ และน้องชายของเขาที่ชื่อธีโอเท่านั้น ที่ยังพอใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจได้บ้าง


หลังกลับคืนสู่สังคมปกติ วินเซนต์ยังคงใช้ชีวิตอย่างลำบากแร้นแค้น แต่เขายังวาดรูปเป็นจำนวนมากและเขียนจดหมายถึงธีโออย่างสม่ำเสมอ ผลงานในช่วง ๒ ปีหลังจากออกจากโรงพยาบาลถือว่าเป็นห้วงเวลาที่ความสามารถทางศิลปะของเขาเข้าสู่จุดสูงสุด เส้นสายสั่นสะเทือน สีสันรุนแรง แสดงถึงอารมณ์พลุ่งพล่านและเป็นภาพแทนมุมมองจากสายตาเฉพาะตัวของศิลปินได้อย่างน่าตื่นใจ


แต่ทุกอย่างยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น งานศิลปะของเขายังคงไม่มีใครสนใจ ในที่สุดวินเซนต์ก็พานพบกับความมืดมนในจิตใจอีกครั้ง เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการยิงสีข้างตัวเองเมื่ออายุ ๓๗ ปี


ตลอดชีวิตของวินเซนต์ เขาวาดรูปไปกว่า ๒,ooo ชิ้น และเขียนจดหมายถึงธีโอกว่า ๖oo ฉบับ จดหมายเหล่านี้ก็กลายเป็นหลักฐานบ่งบอกความคิดและชีวิตของวินเซนต์ที่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลัง


แล้วคนรุ่นหลังนี่เองที่ค่อย ๆ ยกย่องให้ วินเซนต์ แวน โก๊ะ เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก เมื่อเวลาผ่านไปผลงานของเขาก็กลายเป็นของล้ำค่า และชีวประวัติแสนขื่นขมของเขาก็กลายเป็นตำนาน


เวลาผ่านไปราว ๘o ปีหลังความตายของวินเซนต์ ในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วงปี ๑๙๗o ชายหนุ่มชาวอเมริกันชื่อ ดอน แม็กลีน (Don Mclean) กำลังอยู่กับวันเวลาที่ย่ำแย่ เขามีชีวิตแต่งงานที่ขมขื่น ความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องชื่อดังก็ยังไปไม่ถึงไหน ตอนนั้นการร้องเพลงของเขาก็มีแค่งานร้องเพลงให้เด็ก ๆ ในชั้นเรียนฟังเท่านั้น เช้านั้นดอนนั่งอ่านชีวประวัติของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ อยู่ตรงเฉลียงหน้าบ้าน เรื่องราวชีวิตของวินเซนต์กระทบใจของดอนอย่างรุนแรง เขาเข้าใจทันทีว่าวินเซนต์ไม่ใช่คนบ้า เขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของศิลปินคนนี้ แล้วเขาก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตของศิลปินผู้อาภัพคนนี้


ดอนหาภาพ The Starry Night มานั่งดู แล้วเขาก็เริ่มแต่งเพลง


“Starry, starry night...”


เพลง Vincent ไม่มีอินโทรใด ๆ ทั้งสิ้น นักแต่งเพลงหนุ่มเพียงเริ่มต้นคำแรกและโน้ตแรกของเพลงจากชื่อภาพของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ ที่เขาถืออยู่ในมือ แล้วหลังจากนั้น เนื้อเพลงที่งดงามที่สุดเพลงหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีอเมริกันก็ค่อย ๆ ถูกวาดขึ้นมา


ดอนใช้ถ้อยคำเกี่ยวกับสีสันที่เปี่ยมอารมณ์ในหลายๆ ท่อนเพลงอย่าง “Swirling clouds in violet haze”, “The eyes of China blue” หรือ “Snowy linen land” ซึ่งดูจะเป็นการใช้ถ้อยคำมาระบายสีในวิถีเดียวกับที่วินเซนต์ใช้พู่กันบรรเลงความรู้สึก มีการพูดถึงดอกทานตะวันจากภาพวาดเลื่องชื่อภาพหนึ่งของวินเซนต์ว่า “Flaming flowers that brightly blaze” นอกจากนี้ ดอนยังใส่ถ้อยคำปลอบประโลมราวกับว่าเขาแต่งเพลงนี้โดยมีวินเซนต์มานั่งอยู่ตรงหน้า ช่วงหนึ่งดอนเขียนว่า เขาเข้าใจความเจ็บปวดจากการพยายามทำให้ตัวเองให้ดูเป็นคนปกติของวินเซนต์!


นักแต่งเพลงหนุ่มแบ่งท่อนเวิร์สของเพลงออกเป็น ๓ ท่อน สองท่อนแรกลงท้ายด้วยความหวังที่ค่อย ๆ ริบหรี่ลง ก่อนจะปิดท้ายเพลงด้วยความหวังที่มอดดับไป ในช่วงกลางเพลงเขายังแทรกเรื่องอัตวินิบาตกรรมของวินเซนต์ไว้อย่างงดงามราวบทกวี


เพลง Vincent ของ ดอน แม็กลีน กลายเป็นดังขนาดที่ติดอันดับ ๑ ที่ประเทศอังกฤษ แล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อัลบั้ม American Pie (1971) ของเขากลายเป็นงานอมตะของคนดนตรีโฟล์กมาจนทุกวันนี้


เพลงนี้ยังเข้าไปอยู่ในใจของศิลปินจำนวนนับไม่ถ้วน นักร้องหลากหลายแนวเพลงคัฟเวอร์เพลงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า มีตั้งแต่วงร็อกหนัก ๆ ศิลปินป๊อปจ๋า ยันคนดนตรีแจ๊ส


แต่เวลาและสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่เพลง Vincent ถูกนำไปบรรเลง ก็คือที่พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะที่อัมสเตอร์ดัม เพลงหวานเศร้าเพลงนี้ถูกเปิดเป็นบรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ทุกวัน ในห้องที่จัดแสดงพู่กันที่ครั้งหนึ่งวินเซนต์ แวน โก๊ะ เคยใช้ระบายอารมณ์และความรู้สึก


“ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันเข้าใจสิ่งที่เธอพยายามบอกฉันแล้ว
รวมทั้งความเจ็บปวดจากความปกตินั่นด้วย
เธอพยายามที่จะปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ
แต่พวกเขาไม่เคยฟัง ...ตอนนี้ก็ยังไม่ยอมฟัง
บางที พวกเขาอาจไม่มีวันรับฟัง”


ชีวิตและผลงานของวินเซนต์ถูกนำมาตีความ วิเคราะห์ และเล่าซ้ำในปริมาณนับไม่ถ้วน วันนี้เขากลายเป็นศิลปินที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี แต่ภายใต้คำที่กว้างใหญ่อย่าง ‘ศิลปะ’ หรือ ‘ศิลปิน’ นั้น จะมีสักกี่คนกันที่เข้าใจชีวิตของเขาอย่างแท้จริง


แต่อย่างน้อยที่สุด วันนี้ใครบางคนก็อาจเคยตั้งใจรับฟัง และแว่วได้ยินสุ้มเสียงแผ่วเบาที่แอบกระซิบอยู่ในภาพวาดของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ บ้างแล้ว


ผ่านทางบทเพลงที่ชื่อ Vincent ของ ดอน แม็กลีน











ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net
wikiart.org














ที่ชอบ ที่ชอบ ของ 'วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์'


แค่ชื่อนิทรรศการ "Burium ที่ชอบ ที่ชอบ" ก็มีนัยยะ ชวนให้ตีความที่มากมาย เช่นเดียวกับผลงานศิลปะทั้งงานภาพถ่ายและเซรามิก ที่ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ทายาทโรงงานเถ้า ฮง ไถ่ ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่และมีชื่อเสียงของจังหวัดราชบุรี ที่หลงรักในงานศิลปะสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อจัดแสดงเดี่ยวครั้งล่าสุดให้ทุกคนได้ชมกัน ระหว่างวันที่ ๕ ตุลาคม-๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ที่ The Jam Factory ๔๑/๕ ถ.เจริญนคร คลองสาน กรุงเทพฯ


"ที่ชอบ ที่ชอบ คนอาจนึกไปผุดไปเกิด แต่จริง ๆ แล้วเป็นนัยยะที่เปลี่ยนไปตามความเชื่อของคน หลาย ๆ ชิ้นงาน ในงานแสดงเดี่ยวครั้งนี้ ใช้นัยยะในความหมายที่แตกต่าง ถ้าแปลตรง ๆ ก็งานที่ชอบ ที่ชอบ" วศินบุรีพูดถึงนิทรรศการ สำหรับ Burium (Buri+Arium) อ่านตามสำเนียงเยอรมันว่า “บุรีอุ้ม” เกิดจากการผสมคำ คือ บุรี ที่เป็นชื่อตอนเกิดของเขา และเป็นชื่อที่เริ่มเจอสิ่งที่ตัวเองชอบ และ Arium คำนี้มาจากภาษาละติน แปลว่าภาชนะที่ใส่ของหรือพื้นที่สำหรับบางสิ่ง


วศินบุรี ศิลปินศิลปาธร สาขาออกแบบ กล่าวว่า อยากทำในสิ่งที่ชอบ หรือสิ่งที่เห็น ผลงานทุกชิ้นมีความเชื่อมโยงกับตนเอง อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่เป็นมุมมองที่เราชอบ และเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่ทำมาตลอดคือ เรื่องมายาหรือความจริง วิธีการนำเสนอเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที อย่างงานเซรามิกชื่อ "Double Like" รูปทุเรียน ความจริงของคนหนึ่ง คือ ผลไม้ที่หอมหวาน น่ากิน แต่อีกคนหนึ่งกลับเหม็น ไม่ชอบ สื่อถึงเราจะเรียนรู้อยู่กับความแตกต่างได้อย่างไร หลายชิ้นงานมีรูปลักษณ์ความเป็นไทย ก็ตั้งใจล้อกับความเชื่อ เสียดสี อย่างงาน "Devadum" เป็นการอัพเกรดเทวดา งานสื่อผสมศาลพระภูมิก็ใหม่ ทำเสร็จเมื่อ ๓ เดือนก่อน ชื่อ "Devaland" น่าจะมีการพัฒนาให้ร่วมสมัยมากขึ้น มากกว่าหยุดที่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งทางวัฒนธรรม


สำหรับงานชุด "การเดินทางของเหล่าเทวดาและนางฟ้า" ที่มีเทวดานางฟ้า ๘ องค์ ร่ายรำบนฐานเหล็ก แถมรูป ๑ ชุด ๑๒ ภาพ วศินบุรีบอกว่า เคยทำแล้ว นำเอามาทำต่อ ล้อวิธีการใช้ชีวิตของคนไทยหรือคนกรุงเทพฯ พาเหล่าเทวดานางฟ้าตามติดไปตามสถานที่ต่าง ๆ ผู้คนไปทัวร์ ๗ วัน ๑o ประเทศ เสพอย่างผิวเผิน แต่การเข้าถึงนั้นมากกว่าดู สัมผัส ต้องลงลึก และให้เวลา เทวดานางฟ้าเป็นวัฒนธรรมป๊อป จะมีการตีความแตกต่างกันไป


หรืองานเซรามิกชื่อ พระ เสือ ไก่ มอด เป็นการละเล่นไทย ย้อนกลับไปในความทรงจำเก่า ๆ อีกชิ้นที่ชอบนำเซรามิก ๔oo ชิ้นมาทุบให้แตก เซรามิกเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง แต่ตนต้องการสื่อมันไม่มีอะไรแน่นอน และอาจไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป นอกจากนี้ยังมีงานชุด "พิมพ์ไทย" เกิดความรู้สึกศิลปินถูกตีกรอบจนต้องกลับไปหาสิ่งที่ชอบและเชื่ออีกครั้ง


"งานในครั้งนี้ ไม่ว่าเรื่องราว เทคนิค สิ่งที่เคยทำแล้ว นำเอามาทำต่อ สิ่งที่อยากทำ กำลังทดลองทำ คือทุกสิ่งที่ผมไม่อยากลืม วันนี้เลือกแต่สิ่งที่ชอบ ที่ชอบ ขอเอามาแสดงเป็นเครื่องช่วยจำ และเป็นความทรงจำร่วมกัน" ศิลปินเมืองโอ่งบอก


นอกจากการทำงานศิลปะที่ชอบ ดูแลธุรกิจของครอบครัวแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่า ศิลปินชาวราชบุรีผู้นี้ผลักดันให้งานศิลปะอยู่ในชุมชนและวิถีชีวิตของชาวราชบุรีมาอย่างต่อเนื่อง


"ยังมีสิ่งที่ค้างคา ที่กรุงเทพฯ มีหอศิลป์เปิดให้คนชมงานมากมาย แต่ จ.ราชบุรียังไม่มีโอกาสมากขนาดนั้น ถ้าเราไม่จัดงานศิลปะก็ไม่มีใครมาจัด ค้างคามากว่าเราทำได้แค่นี้เองหรือ วันนี้คิดจะทำต่อยังไงเพื่อให้ฐานศิลปะในราชบุรีหนักแน่นและมั่นคงมากยิ่งขึ้น ยังตายตาไม่หลับ ถ้าไม่สามารถทำฐานให้เด็กรุ่นใหม่ได้พัฒนาด้านศิลปะ ส่วนน้อง ๆ รุ่นใหม่ชาวราชบุรีที่เกิดขึ้นและทำงานศิลป์เป็นกำลังใจสำคัญ อย่างน้อยพวกเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เราเคยได้โอกาส ก็นำโอกาสมาให้ต่อ" วศินบุรีกล่าวพร้อมทุ่มเทเต็มที่


ทั้งยังเผยว่า ตอนนี้วางแผนจัดงานปกติศิลป์ ๒ เดือนธันวาคมนี้ รูปแบบงานใหญ่ขึ้น และสิ่งที่ทำจะถาวรมากขึ้น โดยประชุมกับชุมชน เพื่อขอพื้นที่ชาวบ้านที่ยินดีเสียสละพื้นที่นำมาให้สถาปนิกออกแบบเป็นพื้นที่แสดงงานถาวร เสร็จงานปกติศิลป์ไม่ต้องรื้อถอน จะเป็นพื้นที่จัดแสดงให้ศิลปินจากที่อื่น ๆ ได้ต่อไป นี่คือการผลักดันหอศิลป์ในชุมชน โดยคนในชุมชนร่วมกันสร้างขึ้นอย่างแท้จริง


"ผมใช้งานศิลปะเป็นตัวเชื่อมให้คนรู้จัก พูดถึง เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีในชุมชน" วศินบุรีย้ำเจตนารมณ์ที่มีมาตลอด


นิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ ๓ "บุรีอุ้ม ๒ : ที่ชอบ ที่ชอบ" โดยวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินศิลปาธร สาขาการออกแบบ จัดแสดงที่ The Jam Factory ๔๑/๕ ถ.เจริญนคร คลองสาน กรุงเทพฯ งานจัดแสดงตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม-๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๑๑.oo-๒o.oo น



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
เฟซบุคนิทรรศการ














วิจิตรงดงามแห่ง ประติมากรรมดอกไม้


กลับมาให้ตื่นตาตื่นใจกันอีกครั้ง สำหรับงานแสดงดอกไม้ยิ่งใหญ่แห่งปี มหัศจรรย์แห่งพรรณไม้ ประจำปี ๒๕๕๗ “Central Anniversary Flower Extravaganza” ระหว่างวันที่ ๒๙ ต.ค. ถึง ๒ พ.ย.นี้ เตรียมเนรมิตทั่วทั้งห้างเซ็นทรัลชิดลม ให้บานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้หลากสีสันนานาพันธุ์ เพื่อมอบความสุขแทนคำขอบคุณลูกค้า เนื่องในโอกาสฉลอง ๖๗ ปี ความสำเร็จของห้างเซ็นทรัล


นอกจากการจำลองพื้นที่ทั่วทั้งห้างเซ็นทรัลชิดลมให้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสดใสของแสงแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ เพื่อเปิดประตูสู่ดินแดนความสุข ภายใต้แนวคิด “Nature Creates Life” ธรรมชาติสร้างสรรค์ชีวิตให้ดำรงอยู่ ไฮไลต์ไม่น่าพลาดชมของงานมหัศจรรย์แห่งพรรณไม้ในปีนี้ ยังต้องยกให้การแสดงผลงานประติมากรรมดอกไม้สุดวิจิตรงดงาม ฝีมือประติมากรรุ่นใหม่จากรั้วศิลปากร “ยอ–เอกลักษณ์ สระแก้ว” ณ บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ ในรูปแบบ “Life Creates Arts” สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดที่เชื่อว่า ดอกไม้คือผลงานศิลปะอัศจรรย์ที่สุดที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาให้มีชีวิต ผลงานของเขาจึงเน้นถ่ายทอดรายละเอียดลึกลงไปถึงห้วงเวลาก่อนที่ดอกไม้จะผลิบานสร้างความสดชื่นให้โลกใบงาม ดอกไม้ทุกดอกล้วนเกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่ค่อยๆหยั่งรากลึกลงไปในผืนดิน ก่อนจะเติบใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาชูช่องดงามให้ได้ชื่นตาชื่นใจ


สำหรับวัสดุที่เขาเลือกใช้เป็นแผ่นยาง EVA ชนิดเดียวกับทำเสื่อโยคะ ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถตัดและโค้งประกอบเป็นรูปร่างได้งดงามราวกับงานช่างศิลป์ไทยชั้นสูง ที่สำคัญยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ภายในงานจะนำมาจัดแสดงทั้งสิ้น ๑๗ ต้น โดยต้นใหญ่ที่สุดมีความสูงถึง ๓.๔o เมตร.









สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดที่เชื่อว่า ดอกไม้คือผลงานศิลปะอัศจรรย์ที่สุดที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาให้มีชีวิต





ไฮไลต์ที่ไม่น่าพลาดชมของงาน





ฝีมือประติมากรรุ่นใหม่จากรั้วศิลปากร "ยอ–เอกลักษณ์ สระแก้ว"





ประติมากรรมดอกไม้





ประติมากรรมดอกไม้จากแผ่นยาง EVA



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thairath.co.th














ธารทิพย์-แดนมังกร
เสงี่ยม ยารังษี


เพราะ "ขัว" หมายถึง "สะพาน"

ศิลปินเชียงรายจึงรวมใจกันสร้าง "สะพาน" เพื่อเชื่อมศิลปะให้เข้ามาใกล้ชิดกับชุมชน


มีโอกาสไปเยือนเชียงรายเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน ตรงกับวันครบรอบวันเกิดของศิลปินแห่งชาติ ถวัลย์ ดัชนี ทาง "บ้านดำ" มิได้จัดงานใดๆหากมีแต่สมุดลงนามไว้อาลัยสำหรับผู้มาเยือนที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับ "ขัวศิลปะ" แกลลอรี โรงเรียนสอนศิลปะ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ขึ้นป้ายคำไว้อาลัยพร้อมภาพของศิลปินชาวเชียงรายขนาดใหญ่ไว้บริเวณด้านหน้า ภายในจัดสมุดลงนามไว้อาลัยต่อการจากไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันของ ๒ ศิลปินแห่งชาติ ถวัลย์ ดัชนี และ ศาสตราจารย์ประหยัด พงษ์ดำ






ขัวศิลปะ ในวันนี้กล่าวได้ว่าเป็นแกลลอรีที่มีพื้นที่แสดงผลงานศิลปะขนาดใหญ่ทีเดียว บริเวณลอบบี้จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินเชียงรายและใช้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรม ส่วนห้องแสดงศิลปะที่อยู่ถัดไปนั้นกำลังจัดงานแสดงนิทรรศการ ธารทิพย์ - แดนมังกร ผลงานของ เสงี่ยม ยารังษี ศิลปินเชียงรายที่มีฝีมือในการวาดภาพธรรมชาติได้จับใจผู้คน


ภาพเขียนสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาด ๒oo x ๓oo ซม. ลดหลั่นกันไป ๑๖o x ๒๖o ซม. บางชิ้น ๑o๕ x ๒o๕ ซม. คงพอบ่งบอกถึงความกว้างขวางของแกลลอรีแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความต้องการพื้นที่ในการแสดงผลงานของศิลปินได้อย่างเข้าใจ






เหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะว่า ขัวศิลปะ เกิดขึ้นจากศิลปินเชียงรายที่ได้รับเงินทุนตั้งต้นจาก เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ มอบเงินทุนตั้งต้น ๕oo,ooo บาท สำหรับก่อตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการทำงานของศิลปินและการศึกษาของนักศึกษาศิลปะในเชียงราย (เมื่อปี ๒๕๕๕) หลังจากการประชุมระดมสมองหาวิธีที่จะทำให้กองทุนนี้งอกงามอย่างยั่งยืน






เสงี่ยม ยารังษี ถ่ายทอดความงามของ "จิ่วจ้ายโกว" ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ เขาบอกว่า สวรรค์บันดาลให้เขาได้มาเห็นภาพความงามที่ติดตาจากภาพยนตร์เรื่อง ฮีโร่ และได้มายืนเขียนรูปอยู่มุมหนึ่งในฉากนั้น






"ผมซื้อเฟรมผ้าใบชุดใหญ่ เพื่อเตรียมความพร้อมไปเขียนรูปดินแดนในฝันให้อิ่มเอม พอรถออกจากเมือง ลัดเลาะขึ้นตามไหล่เขา ความสวยงามของธรรมชาติก็เริ่มเปิดม่านให้ชมเป็นลำดับ ดุจดังไต่บันไดขึ้นสรวงสวรรค์ ถึงจะจุดหมาย






ในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ผมเริ่มเขียนงานชิ้นแรกตั้งแต่เช้า ตอนสายพวกเราเข้าเดินชมในจุดน้ำเที่ยวอันตระการตา สุดยอดสมคำร่ำลือ สีสันเม็ดสีทุกเม็ดมารวมตัวกันอยู่บนภูเขาแห่งนี้ สายน้ำเขียวขจีดุจสีของกำไลหยก ใสสะท้อนดั่งกระจกเงา






จนช่างปั้นอย่างพี่สมลักษณ์ ปันติบุญ ยังอดใจไม่ไหวต้องจับพู่กันป้ายสีอย่างสนุกสนาน เราต่างได้รับแรงบันดาลใจจากที่นั่น ต่างทำงานศิลปะกันอย่างเมามันในสไตล์ของตัวเอง ตกเย็นก็เอารูปมาอวดกัน ตัวผมนั้นยอมซื้อตั๋วราคา ๑,๖oo บาทุกวันเพื่อผ่านเข้าไปในจิ่วจ้ายโกว เขียนงาานจนเฟรมที่เตรียมมาหมดเกลี้ยง


แต่ความรู้สึกยังตราตรึงอยู่ จนต้องกลับมาขยายเป็นผลงานชิ้นใหญ่ในสตูดิโออีกชุดหนึ่งให้ผมอิ่มเอมในหัวใจ"


ความอิ่มเอมของศิลปินส่งผ่านงานศิลปะสู่ผู้ชมได้อย่างเต็มอิ่ม

หากผ่านมาเชียงรายอยากให้แวะมาสัมผัสความรู้สึกนี้ที่สะพานศิลปินดูสักครั้ง

หมายเหตุ : ขัวศิลปะ ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ใกล้ทางแยกเข้าสนามบิน โทร. o๘-๘๔๑๘-๕๔๓๑



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุคกรุงเทพธุรกิจวันอาทิตย์














Dramathais



นิทรรศการ "Dramathais - ดรามาไท้ส์"


ผลงานโดย ปรียวิศว์ นิลจุลกะ, ฑีฆวุฒิ บุญวิจิตร และ ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล


จัดแสดงระหว่างวันที่ ๙ ตุลาคม - ๓o พฤศจิกายน ๒๕๕๗


ณ Adler Subhashok Gallery : แอดเลอร์ ศุภโชค แกลอรี่







ภาพและข้อมูลจากเวบ
contestwar.com














สาระภาพ รัก


มร. คริสตอฟ เฌอโฟรค์, ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต ร่วมกับ คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรต์ จัดนิทรรศการงานแสดงภาพวาด สาระภาพ “รัก” (The Essence of LOVE) โดยกลุ่มศิลปิน สห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ ณ บริเวณล็อบบี้ ของโรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต ซึ่งงานแสดงนิทรรศการนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๘ – ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๑๓๑-๑o๒๓



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














ระลึกชาติในแบบเรียน


เปิดความรู้และจินตนาการไม่สิ้นสุด ผ่านกิจกรรมเขียน-อ่านจาก ๔๓๕ สำนักพิมพ์ ชวนสนุกอย่างไร้ขีดจำกัดใน “Book Wonderland” ต่อยอดการอ่านอย่างมีคุณภาพด้วยหนังสือคุณภาพสร้างคนคุณภาพในกิจกรรม “วัน ๑ อ่าน ล้านตื่น” พร้อมแจก Wi-fi ผู้เข้าชมงานฟรี ๒ ชั่วโมงต่อวัน


สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) พร้อมจัดงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ ๑๙ (Book Expo Thailand 2014)” ในระหว่างวันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม- วันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (๑๒ วัน) เวลา ๑o.oo - ๒๑.oo น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด “ก. เอ๋ย ก. ไก่ เรียนรู้อดีต มุ่งสู่อนาคต”


ชวนชมนิทรรศการ “ระลึกชาติในแบบเรียน” วิเคราะห์อดีตถึงปัจจุบันของกระบวนการสร้างชาติผ่านแบบเรียนไทยในแต่ละยุคสมัย เป็นการ “แลหน้าเพื่อก่อความหวัง แลหลังเพื่อแก้ความผิด” ผ่านการนำเสนอด้วยรูปแบบสุดล้ำที่จะทำให้ลืมภาพนิทรรศการแบบเรียนเดิม ๆ รวมถึงโซนหนังสือ Book Wonderland ซึ่งเปิดพื้นที่ให้วัยรุ่นได้แลกเปลี่ยนจินตนาการผ่านการอ่าน และนิทรรศการภาพถ่าย “Asian Smile” เสนอเรื่องราววิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีของผู้คนจาก ๑o ประเทศในมุมมองที่แตกต่างและหลากหลาย รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีประโยชน์อีกมากมายตลอด ๑๒ วัน






จรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เผยว่ามหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ ๑๙ ถือเป็นงานแสดงหนังสือช่วงปลายปีที่ได้รับความสนใจและรอคอยจากบรรดาคนรักการอ่านมาโดยตลอด โดยในปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สวนกระแสเศรษฐกิจ และมีสำนักพิมพ์ทั่วประเทศตอบรับเข้าร่วมงานกว่า ๔๓๕ สำนักพิมพ์ รวมทั้งสิ้น ๙๒๓ บูท บนพื้นที่ประมาณ ๒๑,ooo ตารางเมตร


“ไฮไลต์สำคัญในงานครั้งนี้คือนิทรรศการ “ระลึกชาติในแบบเรียน” ซึ่งนำเสนอวิวัฒนาการของแบบเรียนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก การสอดแทรกแนวคิดทางการเมืองในแต่ละยุคสมัยเข้าไปในแบบเรียนไทยตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึงปัจจุบัน จนอาจกล่าวได้ว่า แบบเรียนไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของการอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างพลเมืองตามอุดมคติของสังคมในแต่ละยุคด้วย เน้นย้ำให้เห็นถึงการสร้างแบบเรียนในอดีตที่ผ่านมาว่าประสบความสำเร็จและล้มเหลวอย่างไร รวมถึงผลของการสร้างแบบเรียนเพื่อตอบโจทย์ฝ่ายการเมืองในอดีตที่ผ่านมา สามารถสร้างผลกระทบในระยะยาวของประเทศได้อย่างไร เป็นการแลหน้าเพื่อก่อความหวัง แลหลังเพื่อแก้ความผิด เพราะนี่คือหน้าที่ของทุกคนที่จะร่วมสร้างร่วมสะท้อนปัญหาและการแก้ไขไปพร้อม ๆ กัน เพื่อไม่ให้ปัญหาเก่า ๆ ได้กลับมาอีก”


“ในด้านรูปแบบนิทรรศการ ได้รับการออกแบบที่โดดเด่น แตกต่างจากที่เคยทำมา แยกเป็นยุค ๆ รวม ๖ ยุค โดยในแต่ละยุคกล่าวถึงหนังสือเล่มเด่นที่เป็นตัวแทนแนวคิดของยุคนั้น ๆ เช่น แบบเรียนยุคแรก- ตาหวังหลังโก่ง แบบเรียนยุคชาติผู้ดี - พ่อหลีพี่หนูหล่อ แบบเรียนยุคประชาธิปไตย -ป้ากะปู่ กู้อีจู้ฯ เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงปัญหาและร่องรอยของพัฒนาการแบบเรียนไทย อันจะส่งผลต่ออนาคตของประเทศชาติและคนรุ่นต่อไป เพราะการศึกษาอดีตเพื่อแก้ไขความผิดในปัจจุบัน ย่อมสามารถสร้างความหวังในอนาคตได้ เมื่อเข้าใจถึงปัญหาต่าง ๆ ในอดีตแล้ว จะได้มองภาพอนาคตของประเทศชัดเจนขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาไทยใหม่อีกครั้ง และที่ขาดเสียไม่ได้ คือตัวอย่างหนังสือในแต่ละยุค ที่นำมาจัดแสดงให้คนรุ่นพ่อแม่ได้หวนรำลึก ขณะเดียวกันคนรุ่นปัจจุบันก็ได้สัมผัสมากมายหลายเล่ม”






จรัญ ยังเผยอีกด้วยว่า นอกจากนิทรรศการดังกล่าวแล้ว ยังมีกิจกรรมในงานที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ นิทรรศการภาพถ่าย “Asian Smile” จากช่างภาพชื่อดัง ที่จะมาร่วมเสนอเรื่องราววิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีของผู้คนจาก ๑o ประเทศ ด้วยมุมมองที่แตกต่างและหลากหลาย โซนอ่านสนุกอย่าง “Book Wonderland” ในห้องบอลรูม ดินแดนที่จะทำให้คุณตื่นเต้นไปกับจินตนาการแห่งโลกหนังสือ พร้อมของรางวัลมากมายที่แจกไม่อั้นในทุกวัน นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ผู้เข้าชมงานมหกรรมหนังสือฯจะสามารถใช้Wi-Fi ได้ฟรีรวม ๒ ชั่วโมงต่อวัน ในบริเวณพื้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผ่าน SSID @ QSNCC Free Wi-Fi โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เคิร์ซ จำกัด


ที่สำคัญอย่างยิ่งคือกิจกรรมส่งเสริมการอ่านอย่างมีคุณภาพ “โครงการ ๑ อ่าน ล้านตื่น” โดยปีนี้คึกคักเป็นพิเศษเพราะมีของที่ระลึก ซึ่งออกแบบโดย โตโต้-องอาจ ชัยชาญชีพ นักวาดภาพประกอบชื่อดัง ส่งคอลเลคชั่น “เจ้าหัวแตงโมรักอ่าน” ทั้งเสื้อ กระเป๋า สมุดโน้ต รอสมนาคุณผู้ใจบุญ เพราะเพียงบริจาคเงินเริ่มต้นที่ ๔o บาท ก็จะได้รับของที่ระลึกน่ารักนอกเหนือไปจากการมีส่วนเป็นผู้สร้างทุนทางปัญญาแก่เด็กด้อยโอกาส หรือเพียงบริจาคเงิน ๕ บาทสำหรับแผ่นพับผู้เข้าชม รายได้ก็จะนำเข้าโครงการ ๑ อ่าน ล้านตื่นเช่นกัน


“โครงการ ๑ อ่าน ล้านตื่น” ถือเป็นโครงการแรกที่ให้สิทธิ์ผู้รับบริจาคในการเลือกหนังสือได้ด้วยตนเอง โดย สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ จะจัดซื้อหนังสือตามการเลือกสรรจากผู้ดูแลศูนย์เด็กเล็กและตัวแทนชุมชนคนรักอ่าน ทั้งนี้รายการหนังสือดังกล่าว จะได้รับการพิจารณาจากผู้แทนของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเป็นหนังสือคุณภาพ


นอกจากนี้ยังต่อยอดโครงการด้วยกิจกรรมพิเศษคือ “วัน ๑อ่าน ล้านตื่น” ซึ่งจะชวนเด็ก ๆ ด้อยโอกาสกว่า ๔oo คน ได้มาเลือกหนังสือที่ตัวเองอยากอ่านในมหกรรมหนังสือฯ อีกด้วย


“กิจกรรมในวัน ๑ อ่าน ล้านตื่น จะจัดขึ้นในวันพุธที่ ๑๕ และ ๒๒ ของเดือนตุลาคม เป็นกิจกรรมที่ยกระดับการส่งเสริมการอ่านที่คาดหวังในเชิงคุณภาพ เด็กที่ได้รับเชิญมาจะเป็นเด็กด้อยโอกาสที่รักการอ่าน ซึ่งจะรับสิทธ์เลือกหนังสือให้ตนเอง ๑ เล่ม และเลือกหนังสือไปฝากเพื่อนในโรงเรียนหรือชุมชนที่เป็นต้นสังกัดในคูปองส่วนที่เหลือ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รู้จักการแบ่งปัน เพราะต้องนำหนังสือที่เลือกกลับไปเข้าห้องสมุดของชุมชนหรือองค์กรของตน เพื่อให้เด็กอื่น ๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงหนังสือด้วย และถ้าโรงเรียนหรือองค์กรใดต้องการได้รับเชิญมาอีกในครั้งต่อไป เด็ก ๆ จะต้องเขียนความประทับใจในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่อ่านจบ ส่งกลับมายังสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ก็จะได้รับเชิญให้มาร่วมงานอีกในโอกาสต่อไป






เราตั้งใจทำอย่างนี้เพื่อส่งเสริมการอ่านให้เกิดขึ้นจริง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้อ่านหนังสือที่ตนเองเลือกเอง ไม่ใช่เก็บไว้เฉย ๆ ในห้องสมุด และเด็กที่รักการอ่านจะเป็นเชื้อไฟอย่างดีที่จะชวนเพื่อนเด็กด้วยกันอ่าน เพราะหนังสือที่มีคุณค่าคือหนังสือที่มีคนอ่าน”


งานใหญ่เช่นนี้ยังไม่หมดกิจกรรมดี ๆ “Thai Book Society” เว็บไซต์ชุมชนคนทำหนังสือจัดกิจกรรมต้อนรับสมาชิกด้วย “คาราวานวาดสด” พบศิลปินนักวาดภาพประกอบชื่อดังได้ทุกวันบริเวณฮอลล์ เอ พร้อมรับวาดภาพเหมือน การ์ตูนล้อ ให้ได้เก็บเป็นที่ระลึกในราคาพิเศษที่นี่ที่เดียว โดยรายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนโครงการ๑ อ่าน ล้านตื่นเช่นกัน


ในส่วนของความคาดหวังนั้น นายจรัญกล่าวว่านอกจากในส่วนของเศรษฐกิจที่สำนักพิมพ์ทุกแห่งหวังว่างานครั้งนี้น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ในระดับหนึ่ง หลังจากที่ผ่านมาภาพรวมของธุรกิจหนังสือค่อนข้างซบเซาแล้วนั้น ความคาดหวังสูงสุดของสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ คือ งานที่เกี่ยวกับหนังสือในทุกครั้งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นและจูงใจให้คนที่รักการอ่านหรือคนที่เริ่มจะอ่านมาร่วมกิจกรรมการอ่านการเขียนต่าง ๆ มากขึ้น แม้กำลังซื้อจะลดลงบ้างตามสภาพเศรษฐกิจก็ตาม


เตรียมตัวให้พร้อม ช้อปความสุข พกความรู้กลับบ้านในงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ ๑๙ (Book Expo Thailand 2014)” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม- วันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (๑๒ วัน) เวลา ๑o.oo - ๒๑.oo น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














อบรมถ่ายภาพกับ ช่างภาพสารคดี Philip Blenkinsop และ สุเทพ กฤษณาวารินทร์


กลุ่ม PhotoJourn ร่วมกับ Philip Blenkinsop หนึ่งในช่างภาพสารคดีเชิงข่าวที่รับการยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ และ สุเทพ กฤษณาวารินทร์ ช่างภาพสารคดีระดับอินเตอร์ชาวไทย จัดการอบรมภาพถ่ายสารคดีสำหรับคนไทยเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ จังหวัดเชียงใหม่


หลังจากที่พบว่าช่างภาพไทยส่วนใหญ่ ประสบปัญหาเรื่องการสื่อสารถึงเรื่องราวที่ตัวเองเข้าใจ แต่ยังไม่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นรับรู้ได้ ซึ่งแม้แต่มืออาชีพก็ยังประสบปัญหานี้ โดยเริ่มนับตั้งแต่ว่า ถ่ายภาพอะไรถึงจะสื่อให้คนอื่น เข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการจะบอก ไปจนถึงการคัดเลือกภาพ ที่ถ่ายมาเพื่อนำไปลงบนหน้าเว็บไซด์ต่าง ๆ หรือ ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร


ปัจจุบันการถ่ายภาพสารคดีก็เป็นงานอีกแขนงหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาก ช่างภาพในปัจจุบันให้ความสนใจกันมากขึ้น นอกเหนือจากช่างภาพข่าวที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่จะว่าไปแล้วช่างภาพมีความเข้าใจเกี่ยวกับการถ่ายงานสารคดีในระดับไหน และอะไรคือการถ่ายภาพเชิงสารคดี การต้องสื่ออย่างไรให้คนเข้าใจ จะถ่ายอะไร แล้วจะเลือกภาพอย่างไร


นี่จึงเป็นที่มาของการเปิดการอบรมครั้งนี้ขึ้นเพื่อให้คนที่สนใจได้นำไปปฏิบัติให้เกิดผล จากผู้สอนทั้งสองท่านที่มีประสบการณ์ถ่ายภาพสารคดีมาอย่างยาวนาน มีผลงานตีพิมพ์ไปทั่วโลก และได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย


ในการอบรมเชิงปฏิบัติการภาคสนามนี้คุณจะได้เรียนรู้ขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และนำไปปฏิบัติใช้งานได้จริง


การอบรมนี้ไม่เหมือนกับการอบรมการถ่ายภาพที่มักจะทำกัน ไม่มีการจัดฉากให้ ไม่มีแบบ ไม่มีการจัดไฟ ผู้อบรมจะต้องผลักดันตัวเองจนถึงขีดสุดของตน โดยผ่านการแนะแนวของผู้สอน เพื่อจะได้รู้ถึงขีดความสามารถของตนเอง และแนวทางที่จะพัฒนาต่อไป


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ลิปปนนท์ พิพัฒน์อนันต์ โทร o๘๙-๖๘๓-๒๘oo และ อริพ่าย เลี้ยงเพ็ชร โทร o๘๕-๘๖๘-๕๘๗๘ E-mail : photojourn@outlook.com, photojourn.net











ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














สอนทำดอกไม้กระดาษ


Thaipaperart เปิดสอนทำดอกไม้กระดาษ Basic 1


วันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ / ๔,๕oo บาท


จองคอร์สหรือสอบถามเพิ่มเติมทาง Lind id : paperart และกล่องข้อความแฟนเพจเท่านั้น


๑ กลุ่มเรียนไม่เกิน ๖ คน มีวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค Thaipaperart














วันศุกร์ไปดูหนังกันมั้ย?! “‎จิตรกรรมฯ กลางแปลง”


PSG Art Gallery หอศิลป์ประจำ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ จัดกิจกรรม “‎จิตรกรรมฯกลางแปลง” ฉายภาพยตร์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะ ให้ผู้สนใจได้ชมทุกวันศุกร์ เวลา ๑๘.oo น.


โดยศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น. ประเดิมด้วยการฉายภาพยนตร์เรื่อง Exit through the gift shop ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Banksy ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังระดับโลก


ทว่าก่อนหน้าการฉายภาพยนตร์ประมาณครึ่งชั่วโมง (เวลา ๑๗.๓o น.) พบกับกิจกรรม talk เล็ก ๆ กับ Writer รุ่นใหม่ Graffiti Street Art


Banksy คือศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังระดับโลก ผลงานของเขาปรากฏอยู่ตามสถานที่ต่างๆมากมาย แม้แต่บนกำแพงหลังพายุเฮอร์ริเคนที่นิวออลีนส์ หรือ เขตเวสต์แบงค์ในปาเลสไตน์ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครและทำได้อย่างไร


แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าชาวฝรั่งเศสผู้ลี้ภัยมาอยู่ LA พยายามถ่ายทำสารคดีและตามติดชีวิตของ Banksy แต่เขากลับโดน Banksy หันกล้องกลับมาถ่ายตัวเขาและกำกับสารคดีนี้ซะเอง ซึ่ง Banksy เอง ก็ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า 'เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งผู้ตั้งใจถ่ายในสิ่งที่ไม่อาจถ่ายทำได้ ..และล้มเหลว' !?







ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














มหากาพย์โด่งดัง ผ่านงานศิลปะ Pattachitra แบบดั้งเดิม


ศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย สถานทูตอินเดีย กรุงเทพฯ เชิญชมนิทรรศการภาพวาดชุด MOTIF ผลงานของศิลปินชาวอินเดีย นีรชา ทาทา ปัจจุบัน นีรชา ทาทา อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เธอได้ทุ่มเทให้กับงานศิลปะ โดยเฉพาะภาพวาดมาเป็นเวลากว่า ๒o ปี โดยได้รับการฝึกฝนทางด้านนี้อย่างเป็นทางการที่ประเทศอินเดีย ในด้านของศิลปะ “Saora” หรือศิลปะที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าและการวาดแบบศิลปะพื้นบ้าน Pattachitra (มีความหมายว่าการวาดภาพศิลปะลงบนผ้าไหมเป็นภาษาสันสกฤต)


ผลงานส่วนใหญ่ของนีรชามาจากศิลปะ Pattachitra แบบดั้งเดิม โดยมีแนวความคิดในการรังสรรค์ผลงานจากมหากาพย์โด่งดังจากประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็น รามายณะ มหาภารตะ พุทธประวัติ และเทพและเทพีต่าง ๆ ของฮินดู


นอกจากนี้นีรชามีความชื่นชอบในการวาดศิลปะในแบบของเธอลงบนผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่สามารถหาได้จากประเทศไทย เช่น ผลิตภัณฑ์พอร์ซเลน แก้ว เครื่องปั้นดินเผา ไม้ และ ไม้ไผ่เป็นต้น และจุดเด่นของการจัดแสดงนิทรรศการในครั้งนี้จะเน้นชิ้นงานสำหรับตกแต่งผนัง เช่น ศิลปะบนใบบัวที่ได้ผสานศิลปะไทยดั้งเดิมเพื่อเพิ่มมิติใหม่ให้กับผลงาน หนึ่งในจำนวนผลงานที่จัดแสดง มีผลงานที่ติดตั้งไว้ ณ Siri Fort Auditorium ที่พักของประธานาธิบดีอินเดีย ณ กรุงเดลี ประเทศอินเดีย


ผลงานต่าง ๆ ของเธอได้จัดแสดงอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ และสหรัฐอเมริกา ในปี ๒o๑๑ เธอได้ร่วมจัดแสดงผลงานในนิทรรศการ India from my window ที่ Watchung Art center และนิทรรศการ CHINDIA ร่วมกับศิลปินชาวจีน ณ รัฐ New Jersey ประเทศสหรัฐอเมริกา


และ ปี ๒o๑๒ ร่วมจัดแสดงผลงานในนิทรรศการ Waterside Art Show ณ Baptist Church ตั้งอยู่ที่ Madison Avenue, กรุง New York ประเทศสหรัฐอเมริกา


นิทรรศการภาพวาดชุด MOTIF ผลงานของศิลปินชาวอินเดีย นีรชา ทาทา วันที่ ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๑.oo น. - ๑๘.oo น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย ชั้น ๒๓ อาคาร Lake Rajada ถ.รัชดาภิเษก โทร o-๒๒๖๑- ๕๓o๑-๒











ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














Days of (endless)


100 ต้นสนแกลเลอรี่ขอเสนอนิทรรศการส่งท้ายปลายปี ๒๕๕๗ ด้วยผลงานภาพวาดชุดใหม่ในนิทรรศการ “วันว่าง(เปล่า)_Days of (endless) Meaninglessness”โดย ภาพตะวัน สุวรรณกูฎ ศิลปินไทยฝีมือดีที่อาศัยอยู่ ณ เมืองซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย มาเป็นเวลานาน และมีผลงานแสดงอย่างต่อเนื่องทั้งไทยและต่างประเทศ โดยหลังจากนิทรรศการเดี่ยว “Locution-(re)-locations.. ผนังของโลกหม่นบางคล้ายผนังระฆังทองคำ (เต็มไปด้วยทัศนะ..เต็มไปด้วยความรู้สึก)” ที่ 100 ต้นสนแกลเลอรี่เมื่อปี ๒๕๕๔ ภาพตะวันยังได้รับคัดเลือกให้แสดงใน 18th Biennale of Sydney รวมไปถึงนิทรรศการกลุ่มอื่น ๆ ในนิวยอร์ก และเมลเบิรน์และอีกมากมายอีกด้วย


นิทรรศการเดี่ยว “วันว่าง(เปล่า)” ในครั้งนี้นำเสนอผ่านชุดผลงานภาพวาดสีอะคลิริคบนผืนผ้าใบ ในลักษณะ Triptych จำนวน ๕ ชุด เป็นผลงานที่ศึกษาความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพถ่ายที่ศิลปินบันทึกได้โดยบังเอิญจากช่วงสถานการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ เมื่อปลายปี ๒๕๕๖ ถึงต้นปี ๒๕๕๗ ระหว่างที่ศิลปินเดินทางกลับมาสู่กรุงเทพฯ พร้อมกับครอบครัว โดยภาพถ่ายสถานที่ว่างเปล่า ภาพประตูปิดกั้น มุมที่หาทางไม่เจอเหล่านี้ ได้ถูกนำมาสรรค์สร้างขึ้นจากแผ่นภาพสู่ผืนผ้าใบ โดยตีความและดัดแปลงสีสันขึ้นใหม่ และเรียบเรียงขึ้นตามเวลาที่ถ่ายโดยไม่ได้เน้นเล่าเรื่องที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนั้น


นิทรรศการ : “วันว่าง(เปล่า)”
ศิลปิน : ภาพตะวัน สุวรรณกูฎ
วันที่ : ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ – ๔ มกราคม ๒๕๕๘
สถานที่ : 100 ต้นสนแกลเลอรี่
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : (ฮามิช) o๒-๖๘๔-๑๕๒๗, o๘๖-๘๘๔-๖๒๕๔
อีเมล : info@100tonsongallery.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 19 ตุลาคม 2557
Last Update : 19 ตุลาคม 2557 17:20:01 น. 0 comments
Counter : 3789 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.