happy memories
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๗๓





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










ศรีสวรินทิรา ราชกรณียานุกิจ สิรินธรพินิจราชกรณียานุการ


วันที่ ๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๗ เวลา เวลา ๑๘.o๕ น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังหอนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม ทรงเปิดนิทรรศการ "ศรีสวรินทิราราชกรณียานุกิจ สิรินธรพินิจราชกรณียานุการ" ซึ่งมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า จัดขึ้นในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อเฉลิมพระเกียรติที่ทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายตลอดพระชนม์ชีพที่ผ่านมา อันยังประโยชน์แก่ประเทศชาติและอาณาประชาราษฎร์ เป็นแบบอย่างที่ดียิ่งแห่งการดำรงชีวิตที่ดีงามและยังเป็นการสืบสานพระราชปณิธาน และพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตลอดเวลาที่ทรงดำรงพระชนม์ชีพยาวนานถึง ๖ รัชกาล


เนื้อหาของนิทรรศการ แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรก คือ สว่างวัฒน์เทพรัตนานุประวัติ แสดงพระราชประวัติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงสืบสายพระบรมราชจักรีวงศ์และราชสกุลมหิดล ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และพระราชบุพพการี ผู้ทรงมีคุณูปการใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวไทย ส่วนที่ ๒ คือ พันวัสสาราชปนัดดาราชกรณียานุวัตร แสดงพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติ ตามรอยพระยุคลบาท สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าพระเปตามหัยยิกา ซึ่งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศเฉลิมพระเกียรติคุณ ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกผู้มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ในด้านสาธารณสุข วัฒนธรรมสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ในวาระ ๑๕o ปี พระราชสมภพ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระราชธิดาใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑o กันยายน ๒๔o๕ มีพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี มีพระราชโอรส พระราชธิดา ๘ พระองค์ พระราชโอรสพระองค์แรกคือ สมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรก พระราชโอรสพระองค์เล็ก คือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สวรรคตเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๙๘ พระชนมายุ ๙๓ พรรษาเศษ


และในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในวันนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ คุณชวลี อมาตยกุล กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นผู้แทนพระองค์ ในการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายภัตตาหารเพลและถวายสังฆทานพระสงฆ์ ณ พระตำหนักเขียว วังสระปทุม ด้วย






































































พระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ ภาพและข้อมูลจากเวบ
tnews.co.th
nationtv.tv
บล็อกพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาฯ














อันมีทิพเนตรส่องไป' เห็นได้ดั่งตาทิพย์


พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนคนไทยมาหลายครั้ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕o ทรงมีพระมหากรุณา ธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่ทรงบันทึกไว้ระหว่างเสด็จฯ เยือนสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ มาจัดแสดงนิทรรศการอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบันเพื่อเป็นการให้ความรู้แก่นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ในปีนี้ สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “อันมีทิพเนตรส่องไป” รวมทั้งหมด ๑๕๘ ภาพ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองจากสายพระเนตรที่ทรงประสบพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ทรงสนพระทัยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ถ่ายทอดร้อยเรียงเป็นเรื่องราวผ่านภาพ ซึ่งแต่ละภาพที่นำมาจัดแสดงนอกจากเป็นภาพที่สวยงามทรงคุณค่าทางศิลปะการถ่ายภาพแล้ว ยังให้ข้อคิดเตือนใจในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย และเมื่อวันพุธที่ ๑o ธ.ค. ที่ผ่านมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเปิดนิทรรศการ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


ก่อนเสด็จฯ เปิดนิทรรศการซึ่งจัดบริเวณชั้น ๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายถึงที่มาและแรงบันดาลพระราชหฤทัยของชื่อนิทรรศการนี้ว่า เกิดจากการที่ทาง สวทช. มีภาพถ่ายจากกล้อง เอสอีเอ็ม (สแกนนิ่ง อิเล็กทรอนิกส์ ไมโครสโคป) ที่สามารถมองเห็นภาพหรือ สิ่งต่าง ๆ ในระดับนาโนได้ ทำ ให้ภาพที่ปรากฏมีความสวยงาม จึงอยากถ่ายภาพดังกล่าวบ้าง ทำให้ในปีนี้มีภาพแปลก ๆ ที่ถ่ายผ่านกล้องโทรทรรศน์ จุล ทรรศน์ และโดรน (ยานไร้คนขับ) ด้วย ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้เปรียบเสมือนตาทิพย์ที่ทำให้เห็นในสิ่งที่ไม่น่าเห็นได้ ขณะเดียวกันได้นำช่วงหนึ่งของคำกลอนในเรื่องอิเหนา ตอนจรการำกฤช ที่ว่า “ยอกรขึ้นเพียงศิโรเพฐ ไหว้ไทเวศน้อยใหญ่ อันมีทิพเนตรส่องไป อย่าได้เข้าด้วยคนร้าย” มาเป็นชื่อของนิทรรศการ


จากนั้นทรงบรรยายถึงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ไฮไลต์สำคัญกว่า ๔o ภาพ อาทิ ภาพ “ดาวพฤหัส” ถ่ายด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาด ๒.๔ ม. ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่หอดูดาวแห่งชาติดอยอินทนนท์ ภาพ “เนบิวลารูปหงส์” เป็นภาพที่มีการเพิ่มฟิลเตอร์สร้างสีสันให้สวยงามขึ้น ถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์ซีทีไอโอ ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศชิลี ถ่ายผ่านอินเทอร์เน็ตที่อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา กว่าจะได้ถ่ายภาพนี้ต้องจองคิวกล้องกันนาน แต่โชคดีที่เวลาของไทยและชิลีสลับกลางวันกลางคืนกัน จึงไม่ต้องอดหลับอดนอน ขณะที่ภาพที่ถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อย่าง ภาพ “กระเปาะเก็บน้ำมันใบกะเพรา” เป็นพืชที่ทำน้ำมันหอมระเหยได้ ถ่ายด้วยการใช้เทคโนโลยีระดับนาโนกำลังขยายถึง ๗oo เท่า ทำให้ได้เห็นกระเปาะเก็บน้ำมันที่ให้กลิ่นของกะเพราบรรจุอยู่ในแคปซูล ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อนว่าในกระเปาะจะมีน้ำมันอยู่ ส่วนภาพ “รูปที่โดรนถ่าย” และ “มุมสูงที่วังสระปทุม” เป็นบรรยากาศที่ใช้โดรน หรือยานไร้คนขับ ถ่ายที่วังสระปทุม ทำให้เห็นว่ารายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด เคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินหลงเข้ามาเพราะคิดว่าเป็นสวนลุมพินี


นอกจากนี้ยังมีภาพที่ทรงบันทึกจากกล้องส่วนพระองค์อีก เป็นจำนวนมาก อาทิ ภาพ “ใบตองอ่านแบงค็อกโพสต์” ซึ่งเป็นแมวที่รักมาก จนวันหนึ่งใบตองหายไป รู้ภายหลังว่าไปอยู่ที่วังสวนจิตรลดาจึงให้คน พากลับมา และยังอยู่ถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังเป็นแมวชอบอ่านหนังสือพิมพ์เป็นอย่างมาก ภาพ “พบกันวันสุดท้าย อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี” เป็นภาพถ่ายสุดท้ายที่ได้เจอ อ.ถวัลย์ ที่กำลังวาดรูปโดยลงฝีแปรงอย่างมั่นคง, ภาพ “งานซ้อน ๓” ภาพของ ดร.สุเมธ ที่ถ่ายขึ้นหน้าแปลง พริกปู่เมธ พริกชนิดนี้เป็นพริกที่มีคุณภาพดี เผ็ดเป็นพิเศษ ปู่เมธนำมาขยายพันธุ์ที่ จ.เชียงราย แต่เด็ก ๆ ที่ไร่ไม่ทราบชื่อพันธุ์เลยนำรูปปู่เมธมาปักและเรียกกว่า พริกปู่เมธ เลยต้องถ่ายรูปท่านกับรูปถ่ายท่านทุกปีไปเรื่อย ๆ และภาพ “ชัยชนะของเจ้าแม่ นครศรีธรรมราช” เป็นภาพที่ประชาชนนำชุดไทยและของเซ่นมาไหว้ที่ต้นไทรขนาดใหญ่กลางคลองชลประทาน เนื่องจากสมัยที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ยัง จ.นครศรีธรรมราช มีชาวบ้านจำนวนมากมาบอกว่ามีเรื่องเดือดร้อนอยากได้คลองชลประทาน จะขุดคลองอย่างไรเมื่อมีต้นไทรขวางอยู่ คนงานอื่น ๆ ก็มีอันเป็นไป พระองค์จึงมีรับสั่งให้ตั้งศาลหลวงขึ้นมา ทำให้การทำคลองชลประทานลุล่วงไปได้ แต่มีข้อสงสัยว่าต้นไทรเป็นที่พำนักของเจ้าพ่อหรือเจ้าแม่ สุดท้ายมีประชาชนนำของมาถวายให้เจ้าแม่มากกว่า


สำหรับนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “อันมีทิพเนตรส่องไป” เปิดให้เข้าชมระหว่างนี้ถึงวันที่ ๘ มี.ค. ๒๕๕๘ (หยุดวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา ๑o.oo-๒๑.oo น. และมีการจัดจำหน่ายหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “อันมีทิพเนตรส่องไป” ในราคาเล่มละ ๙oo บาท ที่ห้องนิทรรศการ ชั้น ๙ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน) และศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรายได้ทั้งหมด นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย.







ภาพและข้อมูลจากเวบ
dailynews.co.th














พระองค์โสม ประทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ ร่วมงาน ๖๕ ปี ๖๕ ภาพเขียนแห่งความทรงจำ.


พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จทรงเป็นองค์ประธานในงานกาลาดินเนอร์การกุศล “๖๕ ปี ๖๕ ภาพเขียนแห่งความทรงจำ” พร้อมกันนี้ได้ประทานภาพเขียน จำนวน ๓ ภาพ จัดแสดงร่วมกับผลงานของศิลปินสมาชิกมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร ซึ่งมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร จัดขึ้นเพื่อรายได้จากการจัดงานมอบให้กับองค์กรการกุศล ๑๒ องค์กร โดยจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ณ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ





พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
ทอดพระเนตรนิทรรศการภายในงาน โดยมี ลลิสา จงบารมี ทูลถวายรายงาน



นางสาวลลิสา จงบารมี ประธานคณะกรรมการมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร เผยว่า การจัดงานกาลาดินเนอร์การกุศล ๖๕ ปี ๖๕ ภาพเขียนแห่งความทรงจำ จัดขึ้นเนื่องในมหามงคลโอกาสวันบรมราชาภิเษกครบ ๖๕ ปี ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่จะมาถึงนี้ เป็นปีมหามงคลแห่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ60 พรรษา เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดีในมหามงคลโอกาสทั้งสอง มูลนิธิฯ จึงได้สร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ ในครั้งนี้ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทุกพระองค์ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนคนไทยมาโดยตลอด





ภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระองค์โสม



“๖๕ ปี ๖๕ ภาพเขียนแห่งความทรงจำ” เป็นการจัดแสดงผลงานภาพเขียนสีน้ำมัน ผลงานของ ลลิสา จงบารมี ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานมาตลอด ๑๕ ปี จำนวน ๖๕ ภาพ ได้นำออกจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจ ภาพละ ๕o,ooo บาท โดยรายได้จากการจัดงานนำไปจัดสรรมอบให้กับมูลนิธิฯและองค์กรการกุศล จํานวน ๑๒ แห่ง ซึ่งงานกาลาดินเนอร์จัดขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณแก่ผู้จิตศรัทธาที่ได้ร่วมซื้อภาพเขียนและร่วมทำบุญกับองค์กรการกุศลทั้ง ๑๒ แห่ง โดยภายในงานยังได้มีการจัดแสดงผลงานศิลปะ ทั้ง งานจิตรกรรม ประติมากรรม ผลงานของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินชั้นครูและศิลปินสมาชิกมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกรอาทิ ศ.ประหยัด พงษ์ดำ, อ.อินสนธ์ วงศ์สาม,อ.แนบ โสตถิพันธุ์ และนับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ไม่เพียงเสด็จทรงเป็นองค์ประธานในงานนี้เท่านั้น ยังทรงได้ประทานผลงานภาพเขียนฝีพระหัตถ์ จำนวน ๓ ภาพ ร่วมจัดแสดงในงานนี้อีกด้วย






อีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน คือการวาดภาพประกอบดนตรีของ ๔ ศิลปินชั้นครู ประกอบด้วย อาจารย์แนบ โสตถิพันธุ์,อาจารย์สุเทพ สังข์เพ็ชร, อาจารย์สมยศ คำแสง และอาจารย์ศุภกิจ อุตตรนคร ในแนวคิด “ทะเล” ซึ่งทั้ง ๔ ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานตามความถนัดออกมาได้อย่างประทับใจในเวลาอันสั้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ประมูลเป็นเจ้าของ เพื่อนำรายได้ในส่วนนี้สมทบทุนมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกรเพื่อเป็นทุนช่วยเหลือศิลปิน เป็นค่ารักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ได้ป่วย และสนับสนุนสวัสดิการในยามที่ประสบปัญหาในการดำรงชีวิต





อ.แนบ โสตถิพันธุ์ อีกหนึ่งหัวเรือคนสำคัญของมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร



“๖๕ ปี ๖๕ ภาพเขียนแห่งความทรงจำ ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความเอื้ออาทร ดูแลซึ่งกันและกันของสังคมที่สามารถเข้าถึงให้ความสําคัญ และแบ่งปันความห่วงใยแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยก็ตาม ตรงตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร” แม่งานใหญ่ ลลิสา กล่าวสรุป















ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
banmuang.co.th














แถลงข่าว ๑๐๐ ปี ชาตกาล "แก้วฟ้า" รัตนศิลปิน


พลเอกจรัล กุลละวณิชย์ ประธานโครงการฯ ร่วมด้วย นายอภินันท์ จันทรังษี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายเจน สงสมพันธ์ นายกสมาคมนักเขียนฯ นางอติพร สุนทรสนาน เสนะวงศ์ และ รศ.นภาภรณ์ อัจฉริยะกุล ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน ๑๐๐ ปี ชาตกาล"แก้วฟ้า" รัตนศิลปิน ซึ่งจะจัดกิจกรรมขึ้น ในชื่อ แก้ว อัจฉริยะกุล ขุนพล อักษร ละคร เพลง ภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการ เสวนางานเขียนทุกประเภทของครูแก้ว วิเคราะห์การใช้ภาษาในการประพันธ์เนื้อเพลง และมีการบรรเลง ขับร้องเพลงของครูแก้ว โดยวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ ในวันเสาร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และวงกาญจนะผลิน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการจัดประกวด การเขียนบทละครวิทยุ ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๘ จัดทำหนังสือที่ระลึก ทำซีดีผลงานเพลง และ การสร้างรูปปั้นครูแก้ว เพื่อประดิษฐาน ณ สถานที่ๆเหมาะสม เพื่อเป็นที่ศีกษาของประชาชนโดยทั่วไป



























ภาพและข้อมูลจากเวบ
hq.prd.go.th
บล็อกคุณก๋งแก่(หง่อมจริงๆ)














'เวนิซ' กลางซอยวัชรพล ตลาดนัดศิลปะสุดฮิปใจกลางเมือง


เมื่อพูดถึง “เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี” คงจะเป็นเมืองในฝันที่ใครหลายคนอยากจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต แต่ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ การจะบินลัดฟ้าข้ามไปถึงอีกซีกโลกหนึ่งคงจะเป็นเรื่องยาก แต่ไม่ต้องเสียใจไป เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไอริส กรุ๊ป เอาใจนักเที่ยวรับลมหนาวยกเมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี มาไว้ใจกลางกรุง กับ “โครงการเวนิซ ดี ไอริส” พร้อมเปิด “ตลาดนัดศิลปะ” แห่งใหม่บนถนนวัชรพล ให้ช็อป ชิม ชม ชิล กันแบบจุใจตลอดเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม


กิตติพงษ์ สุมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอริส กรุ๊ป จำกัด เผยถึงที่มาของโครงการเวนิซ ดี ไอริส ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองเวนิซ อิตาลี จึงลงทุนสร้าง Shop house & Community Mall ขนาดใหญ่ที่สุดในย่านวัชรพล ครอบคลุมทุกประเภทงานบริการ โดยแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่าง ๆ อาทิ ร้านอาหาร ร้านขายของตกแต่งบ้าน สถาบันสอนพิเศษ คลินิก สถาบันความงาม สปา ร้านขายเสื้อผ้า และธนาคาร ตัวอาคารทั้งภายในและภายนอกออกแบบให้เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นอายของความเป็นเวนิซ ที่นำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองซ์มาผสมผสานไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการใช้สีทาอาคารที่เป็นแบบเดียวกับในตึกรามบ้านช่องในนครเวนิซ และการตกแต่งที่ให้บรรยากาศของงานเทศกาลคาร์นิวัลที่น่าตื่นตาตื่นใจแห่งนครเวนิซ


ล่าสุด ไอริส กรุ๊ป ได้จัดกิจกรรมตลาดนัดศิลปะภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Art-Mosphere Flea Market at Venice Di Iris” ฮิปมาร์เก็ตที่รวบรวมสินค้าหลากหลายไอเดียสุดเก๋ วางขายกันตั้งแต่ของสะสม ของเก่า ของเล่น ของใช้ ของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่นแนวอินดี้และวินเทจให้ขาช็อปได้เลือกกันแบบจุใจ


นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สตรีท เธียเตอร์ (Street Theatre) ดนตรีเปิดหมวก และอีกหลากหลายการแสดงสดบนถนนสายศิลปะ (Art Venue) ท่ามกลางบรรยากาศชวนฝันของเมืองเวนิซ อาทิ การแสดงโบโซ (Bozo)/ หุ่นนิ่ง Statue/ จักกลิ้ง (Juggling)/ สตรีท เพนติ้ง (Street Painting)/ Installation art พร้อมชมรถคลาสสิกหลากหลายสไตล์ และชิมอาหารสูตรเด็ดชื่อดังจากย่านสยาม เยาวราช สำเพ็ง ประตูน้ำ จตุจักร และมินิคอนเสิร์ตจากหลากหลายศิลปินชื่อดัง อาทิ ลุลา กันยารัตน์, โรส ศิรินทิพย์, เอ๊ะ จิรากร, โอ้ เสกสรรค์ และศิลปินอื่น ๆ อีกมากมายที่จะสลับสับเปลี่ยนมาสร้างความบันเทิงเพิ่มความสนุกสนานกันตลอด ๒ เดือนเต็ม


คนที่รักการถ่ายรูปก็สามารถแชะภาพประทับใจกันได้ไม่มีลิมิตกับจุดถ่ายภาพแบบอาร์ตๆ ก่อนทางเข้างานที่จัดขึ้นภายใต้ ๓ คอนเซ็ปต์ Love "ความรัก" Hope “ความหวัง" และ Dream "ความฝัน" ที่สื่อถึงความสุขที่อยู่ปลายทาง นั่นก็คือบรรดาร้านค้าหลากหลายไอเดียในราคาไม่แพง ที่ทำให้เหล่าขาช็อปสุขใจทุกครั้งที่มาจับจ่ายในตลาดแห่งนี้ นอกจากนั้นทุกคนที่มาเยือนถึงที่นี่ต้องไม่พลาดถ่ายรูปกับประติมากรรม ๓ ชิ้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้าเป็นอันดับแรก เรียกได้ว่าใครไม่ถ่าย แปลว่ามาไม่ถึง Venice Di Iris กันเลยทีเดียว


ตลาดนัดศิลปะแห่งนี้เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๖.๓o-๒๒.oo น. ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ศกนี้ ที่ตั้งของตลาดนัด “The Art-Mosphere Flea Market at Venice Di Iris” ตั้งอยู่ในโครงการเวนิซ ดี ไอริส วัชรพล สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. o-๒๙๔๘-๗๗๑๑


venicediiris.com
เฟซบุค Venicediiris



























ภาพและข้อมูลจากเวบ
mthai.com
thaipost.net
เฟซบุค Venicediiris














'เมืองโบราณ' กับ 'เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์'


ต้องบอกว่าช่วง ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ที่ผ่านมา รถติดมากเป็นประวัติการณ์ สำหรับเส้นทางสุขุมวิทสายเก่า มุ่งหน้าสู่บางปู


เท่าที่สังเกตด้วยสายตา คะเนว่า ๘o เปอร์เซ็นต์ จะมีเป้าหมายไป "เมืองโบราณ" เพื่อร่วมงาน "รำลึกเล็ก ๑oo ปี เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์" ที่เปิดให้เข้าชมฟรี พร้อมร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย


ยิ่งมาเช็กจากเจ้าหน้าที่ ยิ่งน่าตกใจ เพราะยอดผู้เข้าชมงาน ๓ วัน มีมากถึง หนึ่งแสนห้าหมื่นคน!!


คงไม่เพียงคนทั่วไปที่อยากเข้าชม "เมืองโบราณ" อันเลื่องชื่อเท่านั้น ดิฉันเองในฐานะ "สื่อ" ก็ขอร่วมขบวนนี้กับเขาเหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากรู้ "ความคิด" ของนักธุรกิจคนหนึ่งที่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาล เพื่อให้เราได้ศึกษา "รากเหง้า" ของตัวเอง !


คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เกิดเมื่อปี ๒๔๕๗ เป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๔o ปี แต่เหตุใดเขาถึงไม่กอบโกยเงินทอง หรือต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ทำไมเขาถึงคิดอยากสร้างอาณาจักร "เมืองโบราณ" ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ขึ้น ทั้งที่มองตัวเลข "กำไร" แทบไม่เห็น !


น่านับถือแนวคิดของคุณเล็ก ที่เล็งเห็นว่าในช่วงเวลา ๔o กว่าปี (ในยุคนั้น) สังคมไทยพัฒนาอย่างลืมอดีต และเน้นความต้องการทางวัตถุเป็นหลัก ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างขาดรากเหง้า จึงจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษา และรวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของสังคมอดีตมาไว้เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและเรียนกัน


และไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะสร้างได้ เพราะคุณเล็กใส่ใจในรายละเอียดมาก ทำให้ตลอดเวลาเกือบ ๑๕ ปีต่อจากนั้น เขาได้ออกตระเวนไปทั่วทุกภูมิภาค แล้วซึมซับสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำมาออกแบบสร้างอย่างที่เขาต้องการ


ดังนั้น อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกชิ้น จึงมีความหมายและจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มาเยือน มากกว่าสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นแค่ภาพนิ่งทั่วไป !


เมืองโบราณของคุณเล็ก จึงหมายถึงกระบวนการเรียนรู้ ที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


คุณเล็กได้วางโครงสร้าง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้นำเรื่องราวจากอดีต มาสร้างเป็นความรู้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะให้คนในสังคม โดยเฉพาะเยาวชน


อย่างที่ คุณไพศาล สินรัมย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองโบราณบอกกับดิฉัน ระหว่างสัมภาษณ์ ผ่านรายการ "เนชั่นมิตรไนท์" ว่าการเปิดโรงเรียนเมืองโบราณ ก็เป็นการสืบสานแนวความคิดของคุณเล็กให้เป็นจริง และจับต้องได้


การเดินทางท่ามกลางผู้คนมหาศาลในวันนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ดิฉันได้รู้ได้ฟังและได้เห็น ความเป็นมาและแนวคิดของผู้ชายคนหนึ่ง กับสถานที่ที่ไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกและมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย...


แต่ยังเป็นตำนานของผู้ก่อตั้ง รวมถึงความพิเศษของสิ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า ๘oo ไร่ ที่มีลักษณะคล้ายรูปขวานประเทศไทย


เป็น "กว่า ๑o,ooo วัน ณ เมืองโบราณ กับ ๑oo ปี ของผู้สร้าง" ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














นิทรรศการจิตรกรรมสีน้ำ โดย สุรพล แสนคำ


แม่น้ำนครชัยศรี อีกนามของแม่น้ำท่าจีน


“บ้านริมน้ำนครชัยศรี” คือชื่องานแสดงศิลปกรรมสีน้ำของ “สุรพล แสนคำ” จิตรกรผู้โดดเด่นในผลงานสีน้ำ ที่มี “อัตลักษณ์” ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง ด้วยความแปลกใหม่แตกต่างจากจิตรกรสีน้ำ ท่านอื่น ๆ สุรพล แสนคำ ใช้สีน้ำด้วยวิธีการที่เป็นแบบฉบับของตนเอง


สุรพล แสนคำ เป็นชาวนครปฐม จบปริญญาโททางจิตรกรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นศิษย์เก่าเพาะช่าง


การแสดงศิลปกรรมสีน้ำ “บ้านริมแม่น้ำนครชัยศรี” จะมีพิธีเปิดนิทรรศการในวันที่ ๑o มิถุนายน เวลา ๑๗.oo น. ณ หอศิลป์บรมราชกุมารี อาคารศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ตรึงใจ บูรณสมภพ วุฒิสมาชิก และ รศ.ดร.คณิต เขียววิชัย รองอธิการบดีพระราชวังสนามจันทร์ ให้เกียรติเป็นประธาน


งานแสดงครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญของ อ.สุรพล แสนคำ เนื่องจากท่านมีปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย ขั้นหนักหนาสาหัส ผ่านการผ่าตัดลำไส้ เพื่อขจัดเนื้อร้าย ปัจจุบันอยู่ในระหว่างฟื้นฟูร่างกายเพื่อดำรงและดำเนินชีวิตบนหนทางศิลปะต่อไป ทุกขเวทนาจากความเจ็บป่วย มิได้บั่นทอนพลังการสร้างสรรค์ ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานที่ขับเคลื่อนออกมาเป็นผลงานจิตรกรรม แสดงออกด้วยสีสันและทีแปรง สะท้อนเรื่องราวจากสิ่งที่รักผูกพันและคุ้นเคย คือบ้านเรือนตลาดเก่าริมแม่น้ำท่าจีน อันเป็นทัศนียภาพแห่งความอบอุ่น สงบร่มเย็น สะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา ด้วยมุมมองที่คมชัดอย่างภาพถ่าย หากแต่ละเอียดละเมียดละไมด้วยความรู้สึกที่ซ่อนแฝงนัยทางนามธรรม ที่ภาพถ่ายไม่สามารถบันทึกได้ ความแม่นยำ เรื่องรูปทรง น้ำหนัก แสงเงา และความเฉียบคมในการเลือกมุมมองมานำเสนอ มนุษย์มีความทรงจำอันหลากหลาย แต่ละคนมีวิธีการถ่ายทอดความทรงจำแตกต่างกันไป เล่าเรื่องด้วยปาก เล่าด้วยการเขียน ขับร้อง ภาพถ่าย ภาพยนตร์ สำหรับจิตรกร สุรพล แสนคำ ถ่ายทอดผ่าน “สีน้ำ”


สุรพล แสนคำ เดินทางไกลบนถนนสายศิลปะมายาวนาน บันทึกเรื่องราวด้วย “สีน้ำ” มามากมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลงานของเขาแต่ละช่วงก้าวเวลา เป็นเสมือนบันทึก “ไดอารี่ชีวิต” ของเขาเอง


งานแสดงศิลปกรรมสีน้ำ “บ้านริมน้ำนครชัยศรี” เป็นเสมือนการย้อนรอยการเดินทางของเขา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันด้วย


สำหรับผู้ชื่นชอบ “สีน้ำ” จะได้ชมผลงานจิตรกรรมสีน้ำที่ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากที่คุ้นเคย ผมเองซึ่งเป็นเพื่อนร่วมสมัย ศิษย์เก่าเพาะช่าง ด้วยกัน รู้สึกเป็นห่วงเขาในด้านสุขภาพร่างกาย แต่เรื่องหัวใจแล้ว เชื่อมันเสมอว่า ไม่ว่าเขาจะต้องเผชิญทุกขเวทนาจากความเจ็บป่วย (อันเป็นธรรมดาตามกฎอนิจจัง) สักเพียงไรเขาจะยังคงสร้างสรรค์งานศิลปะต่อไป เพราะนั่นคือลมหายใจของเขา เขาเป็นจิตรกร เป็นศิลปิน เป็นครูบาอาจารย์ เขาเกิดมาบนโลกศิลปะ ดำรงชีวิต ดำเนินชีวิตบนวิถีแห่งศิลปะ







ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














Hope : Me My Mind Part II


กิจกรรม : พบปะพุดคุยกับศิลปินและรับสูจิบัตร
นิทรรศการ : Hope : Me My Mind Part II
ศิลปิน : มานิตย์ ศรีสุวรรณ์
พิธีเปิด : พฤหัสบดีที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.
ระยะเวลา : ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ – ๑๗ มกราคม ๒๕๕๘
สถานที่ : นัมเบอร์วันแกลอรี่ อาคาร เดอะสีลมแกลเลอเรีย ชั้น ๔ กรุงเทพฯ


นัมเบอร์วันแกลลอรี ยินดีนดีนำเสนอนิทรรศการ “Hope: Me My Mind: Part II” โดย มานิตย์ ศรีสุวรรณ์ หากเราเข้าใจในความเป็นธรรมชาติของชีวิต เราก็จะพบเจอกับความสุข ผลงานชุดนี้ยังคงความเฉพาะตัวของมานิตย์ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากชุดที่แล้ว “Me My Mind” เป็นเหมือนการเดินทางของความรู้สึกผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของมานิตย์ ท้ายที่สุดเขาได้พบว่า มันเป็นความธรรมดาของธรรมชาติ หลายครั้งที่มนุษย์ถูกบดบังด้วยเมฆหมอกของความสิ้นหวัง
อันเกิดจากเหตุต่างๆ ความทุกข์ การหมดสิ้นหนทาง


“ สายน้ำที่ไหลรินและเหือดแห้ง ต้นไม้ที่ผลิดอกและร่วงโรย แสงอาทิตย์ที่สาดส่องในยามเช้าและลาลับไปในตอนเย็น ” ความไม่สมความปรารถนา นกน้อยที่เริ่มโผบินและจบชีวิตลง
หากเราเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ที่มีประกายแห่งความหวังเฝ้ารอเราอยู่ ประตูภายในใจเราจะเปิดออกไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความหวังให้เรี่ยวแรงและก่อเกื้อความเบิกบานในชีวิต พัดพาเมฆหมอกเผยให้เห็นแสงสว่างผ่านใจของเรา ให้เราได้มีความกล้าที่จะก้าวเดินอีกครั้ง “ตราบใดที่มีหวัง ตราบนั้นย่อมมีชีวิต”

มานิตย์ ศรีสุวรรณ










ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net














Wonderful Journey: ท่องโลกศิลปะ


พบกันเร็ว ๆ นี้ โครงกรเด็กศิลป์@bacc 2558 ตอน “Wonderful Journey: ท่องโลกศิลปะ”
กิจกรรมวันเด็ก โดย หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ขอเชิญชวนเด็ก ๆ มาร่วมท่องโลกศิลปะไปกับกิจกรรมสร้างสรรค์วันเด็กสไตล์หอศิลปกรุงเทพฯ


สนุกกับเวิร์คช็อปสร้างสรรค์สื่อผสม โดยอาจารย์อิ่มหทัย สุวัฒนศิลป์, เวิร์คช็อปแต่งหน้าคัพเค้กและปั้นตุ๊กตาน้ำตาล, กิจกรรมแต่งเติมสีสันบนผนังโค้ง “กราฟิตี้ คิดส์”, กิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปะจากดินเหนียว, เวิร์คช็อปเข็มกลัดทำมือ, ร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเขียนทราย ณ ลานด้านหน้าหอศิลปฯ กับพี่ชลิต นาคพะวัน, ชมนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ในสมเด็จพระเทพฯ “อันมีทิพเนตรส่องไป”


ร่วมชมการแสดงต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน อาทิ ละครนิทานสร้างเสริมจินตนาการ การแสดงดนตรีคลาสสิคโดยเยาวชน Bangkok Symphony Music School และการแสดงละครใบ้โดยพี่ ๆ Babymime และ Mute ร่วมชมภาพยนตร์สั้นสำหรับเด็ก คัดสรรโดยหอภาพยนตร์ และกิจกรรมพิเศษวันเด็กกับร้านค้าต่าง ๆ ในโซนอาร์ตฮับอีกมากมาย


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร o๒-๒๑๔-๖๖๓o-๘ ต่อ ๕๓๔
อีเมล artnetwork@bacc.or.th



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุคหอศิลป์กทม.














ก.วิทย์-ต่างประเทศรวมพลังชู “การทูตวิทยาศาสตร์” เน้นทำงานบูรณาการ


2 กระทรวง มุ่งเป้าแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร และสภาพภูมิอากาศ หวังเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจไทย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย นาย ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันจัด”การประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การทูตวิทยาศาสตร์เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ครั้งที่ 1” เปิดมิติใหม่ของการทำงานบูรณาการระหว่างกระทรวงโดยใช้ “การทูตวิทยาศาสตร์” เป็นแนวทางระดมความร่วมมือทางการทูตกับนานาประเทศ เพื่อประยุกต์ใช้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย หายุทธศาสตร์ร่วมกันในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ ภายในงานได้เชิญนักธุรกิจและนักวิชาการชั้นนำร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อใช้การทูตกำหนดทิศทางเชื่อมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์กับต่างประเทศ ประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อใช้ในการพัฒนา เช่น ความมั่นคงทางอาหาร หรือการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยในการแข่งขันกับเวทีโลก





ดร.ญาดา มุกดาพิทักษ์_รองเลขาธิการ สวทน



“ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การทูตวิทยาศาสตร์เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ครั้งที่ ๑“ จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรม เซนทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ โดยในภาคเช้า มีการเชิญนักธุรกิจและนักวิชาการชั้นนำ อาทิ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้อำนวยการสถาบัน Sasin Institute for Global Affairs นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายทรงศัก สายเชื้อ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ และ ดร.ญาดา มุกดาพิทักษ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ร่วมเสวนาในประเด็น“ภาพรวมและทิศทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการต่างประเทศ”





ดร.พิเชฐ






ในภาคบ่ายเป็นการจัดประชุมกลุ่มระดมความคิดเห็นแยกตามสาขา ได้แก่ กลุ่มเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มการแพทย์ สุขภาพ และชีววิทยาศาสตร์ กลุ่มความมั่นคงทางพลังงาน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อภาคการผลิต กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัล และกลุ่มการพัฒนากำลังคน การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการระดมความคิดเห็นดังกล่าว เพื่อหาแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา การกำหนดประเทศเป้าหมายและรูปแบบของความร่วมมือ เช่นรัฐต่อรัฐ หรือ ภาครัฐกับเอกชน เป็นต้น ดร.พิเชฐ กล่าวว่า การประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นดังกล่าว ถือเป็นการทำงานบูรณาการระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ







ดร.พิเชฐ กล่าวต่อว่า “การทูตวิทยาศาสตร์” (Science Diplomacy) มีความหมายครอบคลุมในหลายมิติของการมีปฏิสัมพันธ์กับต่างประเทศในเรื่อง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเช่นการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเครื่องมือส่งเสริมความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ และเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านกลไกความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการศึกษาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ไทยสามารถนำเอาวิทยาศาสตร์ของต่างประเทศ มาประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ





รมช.กระทรวงต่างประเทศ



ขณะเดียวกัน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯก็ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย ทั้งในเชิงนโยบายและการนำไปปฏิบัติ การประชุมในวันนี้ จะเกิดเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่ทั้งสองหน่วยงานใช้ร่วมกัน โดยจะมีการระบุในรายละเอียดสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมและประเทศเป้าหมายที่ไทยประสงค์จะผลักดันความร่วมมือประเด็นความมั่นคงทางอาหาร และ เทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเรื่องสำคัญที่อาศัยความร่วมมือในการให้การสนับสนุนด้วยการทูตวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยกำลังดำเนินการโครงการจัดตั้งหุบเขาแห่งอาหาร (Thailand Food Valley) หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอาหารแบบครบวงจรโดยใช้องค์ความรู้ และผลงานวิจัยทางวิชาการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารให้มีความเข้มแข็ง ผ่านการสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ สถาบันวิจัย สถาบันการ ศึกษาต่าง ๆ






และที่สำคัญการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศผ่านการทูตวิทยาศาสตร์ นำความรู้และเทคโนโลยีทันสมัยจากต่างชาติมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเพื่อให้สินค้าเกษตรและอาหารไทยสามารถผลักดันให้ออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ได้ หรือ โครงการประเมินความต้องการเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์ โดย สวทน. กำลังดำเนินการอยู่ ก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ( Global Environmental Facility : GEF) และ สหประชาชาติ เช่น เทคโนโลยีระบบพยากรณ์และระบบเตือนภัย เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อภาคการเกษตรสามารถรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือเทคโนโลยีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การคาดการณ์ภูมิอากาศ ระบบตรวจจับและติดตามภัยน้ำท่วมและดินถล่ม ซึ่งจะได้รับการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความจากองค์กรระดับโลก เป็นต้น






ดร.พิเชฐ กล่าวทิ้งท้ายถึงการจัดทำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดทำขึ้น เพื่อเสนอต่อรัฐบาล ในการอภิวัฒน์ประเทศไทยออกจากกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) “ การทูตวิทยาศาสตร์” เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์



ภาพและข้อมูลจากคุณจันทรธณี พิสิทธิพร (ปู)



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 18 ธันวาคม 2557
Last Update : 18 ธันวาคม 2557 23:22:18 น. 0 comments
Counter : 2205 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.