happy memories
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
แก้รัฐธรรมนูญ (๓)






บล็อกแก้รัฐธรรมนูญ (๑)
บล็อกแก้รัฐธรรมนูญ (๒)



"สู้ตามประชาธิปไตย 'เล่นไม่ยาก"
เปลว สีเงิน


"พฤษภาคม" เป็นแค่ "ต้นยก ๔" น้องสาว-หัวหน้าคอกเพื่อไทย "ตัวหลอก" วิ่งไปจีบปากตะโกนฟ้อง "ไอบา" ที่เวทีโลก "อูลาน-บาตอร์" ส่วนเจ้าพี่ชาย-หัวหน้าคอก "ตัวจริง" สไกป์พล่านรอบเวทีรัฐสภา ตะโกนสั่งนักมวยแดงให้ออกอาวุธเผด็จศึก ดูเหมือน "กระบือแดง ศิษย์ทักษิณ" เป็นต่อ แต่เกจิมวยบอก "ถ้ามั่นใจ ๕-๑ เอาไปเลย" ลองพล่านจนวิกคลุมหัวล้านพะเยิบ "สั่งบู๊กระทั่งกับศาล" แบบนี้

ถ้าตัวลูกพี่ไม่บ้า ก็หมายความว่า....

ในหมู่ตัวลูกน้องเริ่มมี "กูไม่บ้าไปกะมึง" เกิดขึ้นบ้างแล้วแน่!

พักเรื่องนี้ไว้ซักวัน อยากจะเตือนเพียงว่า "พรรคเพื่อไทย" รัฐมนตรีก็ดี ส.ส.ก็ดี เป็นรัฐบาลก็สุขัง-สุขี อิ่มหมีพีมันดีแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนจากสุขี-สุขัง เป็น "มรณัง-สังขารา" ก็บ้าตามลูกพี่ที่เหมือนผี เที่ยวสไกป์กรีดร้องอยู่นอกวงสายสิญจน์นั่นไปเถอะ

ที่ทำกันอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่รบกับปัจเจกบุคคล แต่เป็นการ "รบเพื่อล้ม" สถาบันศาล แค่คิดก็บ้าในคริสต์ศักราช ๒o๑๓ แล้ว...ทักษิณเอ๋ย ฉายแสงสกัดไม่อยู่ พิษมันเลยกำราบซาบซ่านขึ้นสมองหรืออย่างไร

จึงเป็นไปถึงขนาดนี้?

เคยมีงานวิจัยทางแพทย์ "อย่าปล่อยคนบ้าให้บริหารประเทศ" เนี่ย...เข้าองค์ประกอบครบหมดทุกอย่าง กับ ส.ส.เพื่อไทยทุกคน ผมเชื่อ...ไม่ได้เข้าสังกัดพรรค เพื่อเป้าหมายล้มระบอบ-ล้างสถาบัน ตามแนวคิด-แนวปฏิบัติทักษิณทุกคน มาสังกัดเพื่อไทยด้วยเหตุผลเพียงว่า....

"ทักษิณ-เพื่อไทย เป็นกระแสขาขึ้น อยู่พรรคนี้หาเสียง-หากินง่าย ได้เป็น ส.ส.ชัวร์" ธรรมชาติคนอาชีพนักเลือกตั้ง ก็แค่นี้เป็นหลัก!

โบราณบอกว่า "อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัว-ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" ดังนั้น เมื่อได้เป็น ส.ส.สังกัดพรรคเขา เขาสั่งอย่างใด ก็ต้องทำตามเขาสั่ง

แต่ทุกอย่าง มันมี "กรอบ"!

กระทั่งกับคำสั่งทางราชการ กฎหมายระบุว่า "คำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ และกฎหมาย ให้ถือเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ต้องปฏิบัติตามได้ โดยไม่มีความผิด"!

กรณีนี้ก็เหมือนกัน ผมเชื่อทั้งรัฐมนตรี ทั้ง ส.ส.เพื่อไทย คงมีบางคนไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะทำตามคำสั่งทักษิณไปหมดทุกเรื่อง

ทักษิณเป็น "หมาหัวเน่า" หนีหมายศาล-คำสั่งศาล-คำตัดสินศาล พล่านอยู่นอกประเทศ จะกลับเข้ามาก็กลับได้ แต่ไม่กล้าเอง เพราะกลัวถูกตำรวจจับชอร์ตไข่

ก็เลยหาพวก!

หาใครก็ไม่ง่ายเหมือนพวกที่ล้อมกระถางน้ำข้าวในบ้านตัวเอง เมื่อหมดท่า-หมดทาง อยากกลับมาตายบ้าน ก็เลยแบไต๋-แบสันดาน ตะโกนสั่งรัฐมนตรี-ส.ส.เพื่อไทยได้ยินกันทั้งบ้าน-ทั้งเมือง "อันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย"

ให้ทำสงคราม "ล้มอำนาจ" ศาลรัฐธรรมนูญ!

ถึงขั้น "ล้มล้างสถาบันศาล" ส่งกองกำลังเสื้อแดงเข้าปิดล้อม ตามล่าตัวตุลาการมาขึ้นศาลประชาชนที่ขบวนการทักษิณเขาตั้งขึ้น

นี่ไง...หมายความว่า เมื่อเจ้าของพรรคเป็นหมาหัวเน่า หางด้วนอีกตะหาก ก็เลยต้องการให้สมุนเป็นเหมือนเขา คือหัวเน่า-หางด้วน ด้วยการ "ดื้อแพ่ง" ต่ออำนาจศาล แล้วลามปามไปถึงขั้นกระทำตนเป็นปฏิปักษ์เพื่อล้มล้างกันเลย!

การสั่งให้อำนาจบริหาร-อำนาจนิติบัญญัติ ผนึกกำลังกระด้างกระเดื่องถึงขั้นล้มล้างสถาบันตุลาการเช่นนี้ ถ้าผู้ควบคุม "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมาย "ทำหน้าที่" ตามอำนาจหน้าที่ของบุคคลในเครื่องแบบตำรวจพึงมีในสายเลือดและจิตวิญญาณละก็

รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลบางคน และ ส.ส.ในรัฐสภาบางคน

เจอ "หมายเรียกตำรวจ" ไปแล้ว!

ส่วนกองกำลัง นปช.ที่ล้อมศาลนั้น พูดตามภาษาชาวบ้าน..ตำรวจไม่ปล่อยไว้ทำพ่อหรอก....กวาดต้อนขึ้นรถปราบจลาจลไปดำเนินคดีหมดแล้ว!!

ไม่ต้องดู "คดีเปรียบเทียบ" อื่นไกล เอาแค่ชุมนุม เสธ.อ้ายก็พอ ยังไม่ทันชุมนุม ยังไม่มีใครทำผิดกฎหมาย ยังไม่มีใครตะโกนให้ไปจับตัวนายกฯ มาขึ้นศาลประชาชน แต่รัฐบาลออกกฎหมายให้ผิดล่วงหน้า กรีธาทัพตำรวจเข้าล้อมปราบ จับ-กระทืบ-ตี

ดำเนินคดีอีกตะหาก!

ตัดฉากกลับมา ณ สถานการณ์ "ปฏิบัติการล้มล้างสถาบันตุลาการ" ของทักษิณในปัจจุบัน ผบ.ตร.ก็ดี ผบช.น.ก็ดี หลังจากเดินทางไปให้โจรดูตัวที่ฮ่องกง ก็มีวลีทองประดับสถาบันตำรวจ

"มีวันนี้เพราะ...พี่ให้"!

บ้านเมืองวันนี้ จึงเป็นดัง "กาพย์พระไชยสุริยา" ตอนที่ว่า...

ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา
ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปราณี
ผีป่ามากระทำ มรณกรรมชาวบูรี
น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาศัย
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล
ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี

แต่....ไม่เป็นไร เมื่อผีห่าเข้าธานี ในความอึงอลสับสนระส่ำ ปานว่า "สถาบันตุลาการ-องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ" ตกอยู่ในสภาพ "หอยนอกเปลือก" แต่จริง ๆ แล้ว...ไม่หรอก

ในซอกหลืบฟ้าแรม มี "ดวงตาดุลยทัณฑ์" จ้องจับความเคลื่อนไหว "ไม่เว้นระยะ" เพียงแต่ว่า "ดวงตามนุษย์" ฟางพร่าในกิริยาพล่าน จึงไม่เห็นอะไร ก็โวยวาย บ้างกรีดร้อง บ้างคล้ายคลั่ง บ้างคล้ายงั่ง บ้างพาโลโทษซ้าย-โทษขวา คนโน้นทำไมไม่ออก คนนี้ทำไม่มา

ก็ไม่รู้จะให้ออกทำไม มาทำอะไร ในเมื่อเราเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในระบบรัฐสภา ก็ต้องเข้าใจให้ชัดว่า ศูนย์กลางระบอบ-ระบบประชาธิปไตย อยู่ที่

"มหาประชาชน"!

ถ้าเป็นปัญญาชน ต้องแยกได้เป็นชั้นๆ ในความเชื่อ ระหว่างตัวสถาบัน กับตัวคนที่อาศัยสถาบัน นั่นก็คือ...วันนี้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง คือ

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ๓๕+๑ ในกระดองสถาบันบริหาร และรัฐสภา โดย ส.ส.-ส.ว.๓๑๒ คน ในกระดองสถาบันนิติบัญญัติ

และอีก ๑ โจรหน้าเหลี่ยม!

บ้านเมืองมีปัญหา ก็จากคนเหล่านี้...ตัวสร้างปัญหา!

คนเสื้อแดง หรือเสื้อไหนก็ตาม ไม่ใช่ปัญหา นั่นแค่ "หนอน" ในต้นไม้พิษ หรือในผลไม้พิษ อันเป็นผลพวงที่เกิดตามมาจาก "ตัวสร้างปัญหา" นี้โดยตรง

นั่นก็คือ สถาบันบริหาร กับ สถาบันนิติบัญญัติ คือ "ตัวองค์กร" ยังคงเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง เช่นเดียวกับ "สถาบันตุลาการ" ที่เป็น "เสาหลัก" ค้ำประเทศให้อยู่ได้ โดยไม่ล้มครืนกันไปทั้งหมดในวันนี้!

หลักที่ควรมองในปัญหาของบ้านเมืองขณะนี้ อย่ามองพี่น้องประชาชนด้วยกัน ไม่ว่าสีแดง หรือสีไหน กระทั่งที่ไต่ตอมอยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นหนอนบ้านเมืองที่ต้องกำจัด

"ต้นไม้พิษ-กับผลไม้พิษ" นั่นแหละ ต้องกำจัด!

กำจัดแบบไหน...ประชาชนต้องคว้าขวานคนละด้ามไปจามโค่นงั้นหรือ?

ไม่จำเป็น และยังไม่ถึงขั้นนั้น ในเมื่อเรายึดระบอบ-ระบบประชาธิปไตย ก็ต้องมั่นใจแต่ละองค์กรในระบอบ-ระบบด้วย ยกตัวอย่าง ตำรวจก็ดี ทหารก็ดี อัยการก็ดี ดีเอสไอก็ดี ข้าราชการก็ดี มีแค่ ๑ ในร้อย ที่เลเพลาดพาดในการคิดและการทำ

"ส่วนใหญ่" ยังเป็นกลไกรัฐ "ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์" ชัดเจน!

การใช้อำนาจที่ถูกต้อง ต้องมาจากสติ จากขั้นตอน จากกรอบกฎหมาย จากเหตุผล และจากความรับผิดชอบ ประชาธิปไตยเป็นอย่างนี้ อย่าเรียกร้องให้เอาวิธีการเผด็จการมาใช้กับคน "คิดต่าง-เห็นต่าง" ตามวิถีทางประชาธิปไตย

แล้วต่อคำถามที่ว่า ในเมื่อคนใน "สถาบันบริหาร-สถาบันนิติบัญญัติ" อันเป็นผู้ใช้อำนาจผ่าน "องค์กรรัฐ" ทั้งหลายเป็นเสียเองล่ะ จะทำยังไง?

คำตอบง่ายๆ .....

๑.ต้องเชื่อใจ "องค์กรรัฐ" ก่อน เมื่อองค์กรรัฐไม่ทำหน้าที่

๒.โปรดพลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปที่มาตรา ๖๙

แล้ว "ลงมือ" ตามนั้น....พี่น้อง!


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒ พ.ค. ๒๕๕๖








"เมื่อเหิม 'หักสถาบัน' ก็คือวันจบ"
บทบ.ก.นสพ.แนวหน้า


ลือปลด "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" ทำให้หุ้นตก ถ้าต้องการให้หุ้นขึ้น ต้องลือปลด "รัฐมนตรีคลัง" แต่ถ้าให้ขึ้นยกแผง-ยกประเทศ ต้องไม่แค่ลือ ต้องปลดจริงๆ ทั้งรัฐมนตรีคลังและนายกฯ หญิง ผมก็บอกแล้ว "พุธมันเสีย" ข่าวลือ-ใบปลิว-ฟ้องร้อง-ชุมนุม เอกสารสัญญาใด ๆ ฟังได้ แต่เชื่อยาก เป็นประเภท "ร้อยลิ้นกะลาวน-ตอแหลตอหลดตดใต้น้ำ" ซะมากกว่า!

กรณีลือปลด "คุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล" มีมูลมั้ย...มีครับ แต่ยังไม่ใช่วันนี้ กลางเดือนไปแล้ว...ไม่แน่ เพราะรัฐบาลอาจหน้ามืด เนื่องจากโครงการอิ่มฝัน เช่น โครงการน้ำ ๓.๕ แสนล้าน หมูเนื้อแดงกำลังเข้าปากหมาอยู่รอมร่อ

พรรคพวกเฮละโลเอาตะกร้อมาสวมปากซะนี่!

แบบนี้ "๘ พฤษภา มาเป็นแสน" ที่ นปช.เพื่อไทยโปรโมตอยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะมา ๒ แสน ๓ แสนก็ได้ เพราะ "เสาร์คู่ราหู" คือ "รัฐบาลคู่รัฐสภา" ที่จ้องเขม็งเมือง เมื่อจันทร์ดับ เกิดสุริยคราสในราศีเมษ อาจอยากแสดงฤทธิ์-แสดงเดช

เพื่อ "วางบิล" งวดแรกก่อนก็ได้!

อยากบอกให้ทำใจกันไว้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมเสิร์ฟ "ต้มยำกุ้งน้ำใส" ให้คนไทยได้ซดจนสำลักออกรูจมูกแน่ ราว ๆ ปลายไตรมาส ๒ ต้นไตรมาส ๓ นี่แหละ

"ทิดโกร่ง" เตรียมยึด "แบงก์ชาติ" เป็นตัวประกันก่อนแล้วเห็นมั้ย ยกบาทแข็ง อ้างผู้ว่าฯ ไม่ยอมทำตามที่ให้ "ลดดอกเบี้ย" เป็นเหตุ ตัวเลขขาดทุนเป็นล้านล้านบาทที่จะออกมาตอนสิ้นปี โทษรัฐบาลไม่ได้นะ ต้องโทษแบงก์ชาติที่ไม่อยู่ในโอวาทกิตติรัตน์เขา!

ตอนนี้หุ้นก็ดี เงินไหลเข้าก็ดี มันเป็นกระดี่ได้น้ำ เพราะหวังเงินจากโครงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ๓.๕ แสนล้าน กับโครงการเข็นสากกะเบือขึ้นภูเขา "รถไฟความเร็วสูง" ใช้ขนผัก ๒ ล้านล้านเป็นหลัก

คนจึงแห่ซื้อหุ้นก่อสร้าง วัสดุ-อุปกรณ์ เกี่ยวกับการก่อสร้าง พวกกองทุนนอกก็แห่เอาเงินมาต่อเงิน ซื้อหุ้นบ้าง ซื้อพันธบัตรบ้าง มองว่าเศรษฐกิจไทยเจ๋ง ด้วยเงินเมกะโปรเจ็กต์มากมายก่ายกอง เป็นน้ำบ่า-น้ำหลาก ต้องเข้ามาตักตวงกันไว้

ฝรั่งมันไม่รู้ แต่คนโลภภายในมันลืม คือลืมว่า ประเทศไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ด้วยเหตุผลอันไม่มีในศาสตร์เศรษฐกิจโลกบ่งบอก ตัวเลขกินประเทศ กับตัวเลขเลี้ยงประเทศ มันถัว ๆ นัวเนียอยู่ด้วยกัน แต่ตัวเลขที่ทำให้ประเทศไม่ล้ม คือเลข ๙ แห่งองค์พระสยาม

เพราะอย่างนี้ รัฐบาลทักษิณริ-ยิ่งลักษณ์ยำ จึงออกอาการหลุด "ด้วยโกรธ" เพราะหลายสิ่ง-หลายอย่างนิ่งสนิท แบหราอยู่ในฝ่ามือแท้ ๆ แต่พอจะกำ

โดดแผล็วไปซะงั้น!

ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้งรายมาตรา ทั้งเรื่องล้างโทษทักษิณ เรื่อง ๓.๕ แสนล้าน เรื่อง ๒ ล้านล้าน ที่แน่ใจว่าเป็น "ของตาย" เอาเข้าจริง ตัวเองนั่นแหละที่จะตาย ส่วนสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น "หลุดมือคนโฉด" ไปได้ ชนิดอัศ จ.ร.หัน การันต์ ย.

"ศาล" เป็นด่านสุดท้าย ที่อำนาจระบอบทักษิณ "ซื้อไม่ได้-สั่งไม่ได้"!

รัฐบาล-รัฐสภา ลุยเลี้ยงเดี่ยวเหน่ง ๆ พอเงื้อตีนจะยิงประตู ถูกฝ่ายค้านบ้าง ๔๐ ส.ว.บ้าง องค์กรประชาชนผู้พิทักษ์ประโยชน์ชาติบ้าง เตะตัดลูกไปกินต่อหน้า-ต่อตา

ศาล-โดยเฉพาะ "ศาลรัฐธรรมนูญ" อันดับ ๑ "ศาลปกครอง" อันดับ ๒ และ "ป.ป.ช." อันดับ ๓ ที่รัฐบาล-รัฐสภาในอาณัติทักษิณแค้นนัก แค้นถึงขนาด "ทักษิณเป็นบ้า" สั่งให้ รัฐบาล-๓๑๒ ส.ส.-ส.ว. "ขบถรัฐธรรมนูญ" ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล แล้วส่งสมุนแดงล้อมศาลรัฐธรรมนูญ

ประกาศ "จับตัว" ตุลาการขึ้นศาลเตี้ย!

แค่นี้ก็จบแล้ว...รัฐบาล ถือว่า "ตายแล้ว" จากระบอบประชาธิปไตย และสังคมอารยะบ้านเมือง อ้างเทิดทูน แสวงหาประชาธิปไตย แต่กลับสร้างตัวอย่างเลว "กบฏ" กลไกประชาธิปไตยเสียเอง

อะไรที่ใช้ "กลไกประชาธิปไตย" ทำให้ตัวเองได้...บอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่อะไรที่ตัวเองเสีย กลับบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย รู้บ้างมั้ย...รัฐบาลยุคยิ่งลักษณ์ -รัฐสภายุคนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กลายเป็นรัฐบาล-รัฐสภา "ตลกโลก"

ที่ปฏิเสธอำนาจศาล แล้วสั่งสมุนล้อมไล่จับศาล!

วันนี้ (๓ พ.ค.) เป็นวันยื่นซองประมูลโครงการน้ำ ๓.๕ ล้าน ที่แยกเป็น ๑๐ โมดูล ญี่ปุ่นถอนตัวไปแล้ว เหลือเกาหลีใต้ กับกลุ่มอิตัลไทย เครือข่ายเฮีย ๆ เจ๊ ๆ เขา เป็นโครงการงบมโหฬาร แต่เชื่อมั้ย TOR ของรัฐบาล โดย กยน.-กนอช. และ กบอ. ภายใต้โค้ชปลอดประสพ

มีซัก ๑๐-๒๐ บรรทัดได้มั้ง!?

พูดง่าย ๆ โครงการน้ำ ๓.๕ แสนล้าน รัฐบาลบอก...กูก็ไม่รู้ว่าจะทำตรงไหน แบบไหน อะไรบ้าง รู้อย่างเดียว ทำอะไรก็ได้ ทำแล้วกันน้ำท่วมได้ อย่าให้ชาวบ้านมาด่าแม่รัฐบาลได้ก็แล้วกัน

สรุปว่า...รัฐบาลไปเรียกผู้รับเหมามา แล้วบอก กูมีเงิน ๓.๕ แสนล้าน แต่..ฮะแฮ้ม..ต้องงั้นๆๆๆๆ ด้วยนะ (ตรงนี้ป้องปากพูด กันคนอื่นได้ยิน เหมือนพวกลิเก) แต่จะทำตรงไหน แบบไหน วิธีไหน พื้นที่ไหน อย่างไร กูไม่รู้...

รู้แต่ว่า กูมีความต้องการอย่างนี้ๆๆๆๆ ส่วนรายละเอียดเป็นยังไง มีความเป็นไปได้แค่ไหนหรือไม่ ไปคิดแทนให้รัฐบาลด้วย!

นี่แหละผลงาน "ทักษิณริ-ยิ่งลักษณ์ยำ"!

ด้วยองค์พระสยามนั่นแหละ จึงมีคนที่ทนเห็นยำชาติไม่ไหว ต้องออกมา "โวยเพื่อชาติ" คนโวยก่อนเพื่อน ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ "นายอุเทน ชาติภิญโญ" อดีตประธานคณะกรรมการผันน้ำทางทะเล ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) คือคนที่ทำงานกับรัฐบาลนั่นแหละ

เห็นบกพร่องโดยทุจริตก็ทนไม่ไหว นำร่องด้วยการทำหนังสือยื่นสหประชาชาติเมื่อ ๑๙ เม.ย.๕๖

"ขอให้ตรวจสอบคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน ๓.๕ แสนล้าน เพื่อบริหารจัดการน้ำ โดยออก TOR อาจนำมาซึ่งการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งอาจไม่ชอบด้วยอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๖ อันประเทศไทยเป็นรัฐภาคี และให้สัตยาบันไว้เมื่อ ๑ มี.ค.๕๔"

นอกจากยื่นยูเอ็นแล้ว นายอุเทนได้ยื่นฟ้อง กบอ. ที่มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นประธาน ต่อศาลปกครองกลาง แผนกคดีสิ่งแวดล้อมด้วย หากให้ยื่นซองประมูลวันที่ ๓ พ.ค.นี้ จะทำให้รัฐบาลและประชาชนในพื้นที่ได้รับความเสียหายร้ายแรง

ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิก TOR ทั้ง ๑๐ โมดูล!

นอกจากนี้ บรรดาเครือข่ายภาคประชาชนก็ดาหน้าออกมาคัดค้าน มีทั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) ศูนย์ข้อมูลเพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัย Thaiflood.com และเครือข่ายธุรกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม

คุณศศิน เฉลิมลาภ เลขาฯ มูลนิธิสืบฯ ชำแหละ TOR ไว้ดี วันหลังจะนำมาให้อ่าน เอาเป็นว่าเครือข่ายดังกล่าวนี้ พร้อมนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบเอาผิดทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ครม.ยิ่งลักษณ์และคณะกรรมการ กบอ.

และเมื่อ ๑ พ.ค. นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน "นายศรีสุวรรณ จรรยา" ได้ยื่นฟ้องนายกฯ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ (กยน.) คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อศาลปกครองกลาง

ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนแผนการบริหารจัดการน้ำวงเงิน ๓.๕ แสนล้าน และสั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้งหมดร่วมกันจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน ผู้มีส่วนได้เสียทั่วประเทศอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ โดยจัดทำประชามติตามมาตรา ๑๖๕ ของรัฐธรรมนูญ โดยงบประมาณของผู้ถูกฟ้อง

รวมทั้งสั่งให้ผู้ถูกฟ้องปฏิบัติ หรือดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๗, ๕๘, ๖๗, ๘๕, ๘๗ และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม มาตรา ๓๗, ๓๘, ๖๐, ๖๓ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา ๕ ประกอบมาตรา ๑๑ ให้ครบถ้วนก่อนการดำเนินโครงการ

โดยระหว่างพิจารณา ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษาสั่งให้ผู้ถูกฟ้องยุติการเปิดซองประมูลในวันที่ ๓ พ.ค.นี้ ระงับการเซ็นสัญญาจัดซื้อ-จัดจ้างไว้ จนกว่ารัฐบาลจะดำเนินการให้ถูกต้อง

เห็นมั้ย...อหังการ-ย่ามใจ ถือดีในอำนาจว่า รัฐบาลของกู รัฐสภาก็ของกู จะทำอะไร ต่อให้ฟ้าก็ห้ามบ่ได้ แต่ศาลท่านห้ามได้ ซึ่งศาลปกครองกลางจะมีสำสั่งคุ้มครองชั่วคราว "หยุดเปิดซองประมูล" วันนี้ได้หรือไม่ เมื่อคืนผมยังไม่รู้

แต่เช้า ๓ พ.ค.นี้ ขณะนี้...ก็คงรู้กันแล้ว!

ประเทศไทย แผ่นดินไทย ใครจะเอาไปต้มยำทำแกง "ด้วยไม่ซื่อ" นอกจากไม่สำเร็จแล้ว ยังจะมีอันเป็นไปอีกต่างหาก และอย่าลืมว่าศาลนั้น ตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย

ฉะนั้น รัฐบาลก็ดี ๓๑๒ ส.ส.-ส.ว.ก็ดี โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ ตัวประธานสภาผู้แทนฯ และนายนิคม ตัวประธานวุฒิสภา เป็นถึงประมุข ๑ ใน ๓ สถาบันหลักของชาติในระบอบประชาธิปไตย

แต่คิดได้แค่นี้ และทำอย่างที่ปรากฏ...

คุกเข่าต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์เหนือบัลลังก์ แล้วคว้านท้องตัวเอง แผ่นดินนี้จึงจะให้อภัยในความบังอาจ "กบฏอำนาจ" ด้วยสยบต่ออสัตย์ชาติ-อสัตย์แผ่นดินตัวนั้น!

แก้รัฐธรรมนูญ "เป้าหมาย" ยึดอำนาจประเทศ ออก พ.ร.บ.กู้เงิน ๒ ล้านล้าน "เป้าหมาย" ขายประเทศ ลากกันไปได้...แต่ไม่สำเร็จ ก็ทั้งโกรธ...ทั้งแค้นใช่มั้ย

เหิมเกริม...ประกาศไม่ขึ้นต่ออำนาจกฎหมายไทย "เป้าหมาย" จะใช้ "กองกำลัง นปช." ผสม "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" เข้าหักหาญ ตีรานประเทศไทยให้ "ลุกฮือ" ไปทุกจังหวัดอย่างนั้นใช่มั้ย?

สวรรค์ให้หน้าตาที่สะสวยมา แต่น่าเสียดาย...

สวรรค์ไม่ยักให้ "ความคิดคน" มาด้วย.


จากคอลัมน์ "มิติโลกาภิวัฒน์"
นสพ.ไทยโพสต์ ๓ พ.ค. ๒๕๕๖








"เมื่อนิติบัญญัติไม่ฟังตุลาการ ประชาชนจะโค่นนิติบัญญติ"
บทบ.ก.นสพ.แนวหน้า


อำนาจอธิปไตยคืออำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐคำว่าอธิปไตยนี้ Jean Bodin (ฌอง โบแดง) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เป็นผู้ใช้คำนี้เป็นคนแรก

อำนาจอธิปไตยของประเทศที่มีการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยถูกกำหนดว่าเป็นอำนาจของประชาชน คือประชาชนมีอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ โดยใช้อำนาจนี้ผ่านตัวแทนโดยชอบธรรมของตน อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น ๓ ชนิด (Separation of Power) คือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ โดยอำนาจทั้งสามนี้ต้องสามารถถ่วงดุลและตรวจสอบกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ (ดูเพิ่มเติมในการแบ่งแยกอำนาจ โดยมงแตสกีเยอ)

เมื่ออ้างอิงตามหลักทฤษฎีที่ว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน จะยอมรับว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชนทุกคนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้วยตนเองในกิจกรรมทุกอย่างทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

การใช้อำนาจอธิปไตยโดยอ้อมคือการที่ประชาชนเลือกตัวแทนของตนเพื่อให้เข้าไปทำการแทนตน ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดเรื่องสัญญาประชาคมของฌองฌาก รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ที่เชื่อว่ามนุษย์ยินยอมพร้อมใจร่วมกันเพื่อรวมเป็นสังคมโดยมีสัญญาประชาคมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว แต่การมอบอำนาจให้เช่นนี้มิได้หมายความว่ามนุษย์ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพใด ๆ เพราะสิทธิเสรีภาพยังคงเป็นของมนุษย์อยู่คงเดิมทุกประการ

ที่อารัมภบทมายาวนานเช่นนี้ก็เพียงต้องการจะเตือนความจำของนักการเมืองบ้าอำนาจบางกลุ่มให้จงเข้าใจด้วยว่า อำนาจที่ประชาชนมอบให้นั้นมิได้หมายความว่าเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของนักการเมือง และนักการเมืองจงจำไว้ด้วยว่า อำนาจอธิปไตยมีสามขา โดยแต่ละขานั้นสามารถถ่วงดุลและคานกันและกันได้อย่างมีเหตุและผล

กรณีที่นักการเมืองไทยสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลในยุคนี้ ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าเป็นยุคนักการเมืองขี้ข้าระบอบทักษิณ ออกมาแสดงอาการไม่ยินยอมรับฟังคำท้วงติงใด ๆ ของอำนาจฝ่ายตุลาการ โดยอ้างว่าฝ่ายนิติบัญญัติมาจากประชาชนนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่เกินเลยความจริง และไม่เคารพหลักการถ่วงดุลของอำนาจอธิปไตย

นักการเมืองลืมตัวบ้าอำนาจต้องจำไว้เสมอว่าฝ่ายตุลาการก็มาจากความยินยอมของประชาชนเช่นกัน และต้องไม่ลืมว่าประชาชนมีสิทธิ์ถอดถอนตัวแทนของเขาออกจากอำนาจได้ เนื่องจากประชาชนคือผู้ควบคุมผู้แทนของเขา มิได้หมายความว่าเมื่อได้เป็นผู้แทนแล้วจะกลายเป็นพ่อของประชาชน แต่ที่สำคัญคือนักการเมืองบ้าอำนาจที่หลงตัวลืมตีนต้องสำเหนียกตลอดเวลาว่า ประชาชนมีสิทธิ์มีส่วนร่วมในทางกฎหมายตลอดเวลา ดังนั้นการที่จะลิดรอนสิทธิ์ประชาชนในเรื่องดังกล่าวจึงไม่บังควรอย่างยิ่ง แล้วประชาชนก็จะไม่มีวันยอมให้นักการเมืองบ้าอำนาจทำเช่นนั้นเป็นอันขาด

ขอย้ำว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน อำนาจอธิปไตยมิใช่ของรัฐบาลหรือของนักการเมืองหน้าไหนดังนั้นนักการเมืองและรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ลิดรอนสิทธิ์ประชาชน หากรัฐบาลและนักการเมืองยังขืนดันทุรังหน้าทนลิดรอนสิทธิ์ประชาชนต่อไป ประชาชนจะต้องโค่นรัฐบาลและนักการเมืองเลวชาติอย่างแน่นอน


จากนสพ.แนวหน้า ๒๖ เม.ย. ๒๕๕๖








"พรรคหรือมาเฟียการเมือง?"
บทบ.ก.นสพ.แนวหน้า


นับวันพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยจะถูกตั้งคำถามและข้อสงสัยว่าเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามแนวทางรัฐสภาอย่างแท้จริงตามที่พยายามสร้างภาพมาตลอดหรือไม่ เพราะจากพฤติการณ์ที่เป็นจริงถูกตั้งข้อสังเกตว่าตรงกันข้ามกับสิ่งที่พยายามสร้างภาพอย่างสิ้นเชิง

หากย้อนกลับไปศึกษาและวิเคราะห์ปูมหลังการก่อกำเนิดของพรรคเพื่อไทยซึ่งก็คือพรรคไทยรักไทยในอดีตที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคเมื่อราว ๑o ปีที่แล้วถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นพรรคธุรกิจการเมืองที่อาศัยทุนจำนวนมหาศาลและผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการกวาดต้อนซื้อพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง ตลอดจนบรรดานักการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นพวกเสือสิงห์กระทิงแรดรวมตัวเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวนสส.มากที่สุดจนสามารถเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไปและทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรก

ในยุคพรรคไทยรักไทยเรืองอำนาจมีความพยายามแทรกแซงบรรดาองค์กรอิสระด้วยการผลักดันคนของระบอบทักษิณเข้าไปยึดกุมองค์กรอิสระต่าง ๆ เพื่อผูกขาดอำนาจ โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในยุคนั้นจนทำให้องค์กรอิสระกลายเป็นเครื่องมือรับใช้ระบอบทักษิณ ขณะเดียวกันมีการถอนทุนมหาศาลที่ทุ่มไปกับธุรกิจการเมืองเพื่อให้ได้อำนาจรัฐแล้วบวกกำไรอีกมหาศาล ซึ่งการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารและย่ามใจนี่เองเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกรัฐประหารโค่นล้มพ้นจากอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙

สำหรับแนวคิดและพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมุ่งในเรื่องธุรกิจและการผูกขาดอำนาจเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยหาได้ให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตยหรือระบบรัฐสภาอย่างแท้จริงไม่ ซึ่งเห็นได้จากในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจแทบจะไม่เข้าร่วมการประชุมสภาโดยอ้างว่าเอาเวลาไปบริหารประเทศดีกว่า และถึงกับเคยกล่าวว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เครื่องมือที่จะทำให้ชาติเจริญรุ่งเรือง แต่อยู่ที่อำนาจในการบริหารประเทศซึ่งแนวคิดและพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงสืบทอดมายังพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นบริษัทการเมืองซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของตัวจริง

การเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ และเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหนึ่งในตราบาปของรัฐบาลชุดนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีโทษจำคุกในคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลกลับแสดงบทบาทเป็นผู้นำรัฐบาลและเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงด้วยการสั่งการคณะรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยโดยตรงตลอดเวลาทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่บริหารด้วยระบบ “๑ ประเทศ ๒ นายกรัฐมนตรี” ซึ่งแม้แต่สื่อระดับโลกยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นประชาธิปไตยที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกองกำลังมวลชนนอกระบบรัฐสภาคือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งที่ผ่านมาใช้วิธีการนอกระบอบประชาธิปไตยจุดชนวนสร้างความรุนแรงเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐ ทั้งการก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี ๒๕๕๒ และเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนพินาศเมื่อปี ๒๕๕๓

เหตุการณ์ล่าสุดที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในความเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของพรรคเพื่อไทยก็คือการเคลื่อนไหวคู่ขนานกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยกกำลังไปชุมนุมปิดล้อมที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นองค์กรอิสระและประกาศจะยกระดับการชุมนุมรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อขับไล่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน ก็ยกพวกไปขับไล่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยทั้งสองกรณีมีเหตุผลเพียงเพราะไม่สนองตามความต้องการของรัฐบาลชุดนี้

นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาศัยพวกมากลากไปลุแก่อำนาจเพื่อตัวเองตามใจชอบไม่ต่างอะไรจากเผด็จการรัฐสภาในคราบประชาธิปไตยโดยพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญและผลักดันกฎหมายเพื่อเปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นและผูกขาดอำนาจปูทางไปสู่การยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

จากพฤติการณ์ของพรรคเพื่อไทยดังกล่าวข้างต้นทำให้สาธารณชนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่านี่คือพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือเป็นพรรคธุรกิจการเมืองที่ไม่ต่างอะไรจากมาเฟียทางการเมือง


จากนสพ.แนวหน้า ๒๙ เม.ย. ๒๕๕๖








"เผด็จการทุนสามานย์"
ท่านขุนน้อย ณ ลีลาแห่งบุปผากระบี่


อย่างที่ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย อาจารย์ มีชัย ฤชุพันธุ์ ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า...“ลองคิดดูว่า ถ้าศาลไม่เห็นด้วยกับฝ่ายนิติบัญญัติ พอออกกฎหมายอะไรมาแล้วก็ไม่ยอมตัดสินคดีตามกฎหมายนั้น ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายใดก็ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ตำรวจไม่ยอมบังคับการตามกฎหมาย อัยการไม่ยอมฟ้องตามกฎหมาย พอศาลตัดสินคดีแล้ว กรมราชทัณฑ์ไม่ยอมเอาตัวไปลงโทษตามคำตัดสิน หรือกรมบังคับคดีไม่ยอมบังคับคดีตามคำพิพากษา คนแพ้คดีแล้วไม่ยอม ยกพวกมาล้อมบ้านโจทก์ หรือขู่เข็ญว่าจะทำร้ายโจทก์ ตำรวจเห็นก็เฉยเสีย...แล้วบ้านเมืองจะไปเหลืออะไร”

การกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ศาลรัฐธรรมนูญ โดยอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจมวลชน ในช่วงนี้...ไม่ว่าจะก่อให้เกิดความ ถูกใจ สะใจ ต่อผู้ที่มักอ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก หรือเป็นเสียงส่วนใหญ่ก็ตาม สุดท้ายแล้ว ย่อมนำไปสู่ความฉิบหายของชาติ บ้านเมือง อย่างทั่วทั้งระบบ ชนิดมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตามที่มีอำนาจดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่ยังอุตส่าห์ออกมาจีบปาก จีบคอ สรุปว่าการกระทำของมวลชนหน้าศาล ถือเป็น การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อยู่แล้วล่ะก็ นอกจากจะเป็นอะไรที่ หญ้าแพรก อย่างชนิดเหลือกำลังลากแล้ว ยังน่าจะเร่งให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปเป็นนายก อบจ.จังหวัดหาดใหญ่ ให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว กันไปซะที หรือจะให้เดินทางไปเจรจากับ ประธานาธิบดีมาเลเซีย ในช่วงเดือน พฤศจิกาคม ที่จะถึงนี้ แทนที่จะมาลอยหน้า ลอยตา เดินทางไปโน่น มานี่ ตาม ใบสั่ง ของพี่ชาย โดยมิได้คำนึงถึงสถานะ ตำแหน่ง และหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง เอาเลยแม้แต่น้อย...

เหมือนอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ท่านได้ตั้งคำถามเอาไว้นั่นแหละว่า...ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่ง หรือมวลชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คิดจะจัดตั้ง สน.ประชาชน แล้วป่าวประกาศให้จับตัวนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล เอาไปทำปู้ยี่ ปู้ยำ ได้ตามชอบใจ จะถือเป็น การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ได้เช่นกันหรือไม่ แน่ล่ะว่า...ถ้าใครต่อใครดันหันไปใช้ มาตรฐานเดียวกัน กับที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้ออกมาให้คำรับรองเอาไว้ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ย่อมมีแต่จะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไม่จำเป็นจะต้องมีนายกรัฐมนตรีกันอีกต่อไป เพราะระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมต้องกลายสภาพไปเป็นระบอบ อนาธิปไตยอันมีพระเจ้ามูลเมืองทรงเป็นพระประมุข แบบโดยเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์...

จากนั้นใครคิดจะฆ่าใคร ขู่ใคร คิดจะเล่นงานใครต่อใคร ก็ย่อมได้ ขอเพียงแต่ให้เอารูป ทักษิณ ทูนหัวเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น ก็พอจะอยู่รอด ปลอดภัย หรือพอได้กร่าง ได้แสดงออกถึงความเป็นกุ๊ย ได้ในทุก ๆ สถาน ทุกกาล และโอกาส อันนี้...มันน่าจะเป็นอะไรที่หนักหนา สาหัส ซะยิ่งกว่าระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบบอำมาตย์ของแท้แต่ดั้งเดิม ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า เรียกว่า...แทบไม่ต้องไปพูดถึงมาตรา ๑๑๒ หรือมาตราอื่น ๆ ใด ๆ กันอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เรียกว่า กฎหมาย ย่อมไม่มีโอกาสที่จะหลงเหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่ กฎหมู่ ล้วน ๆ กฎที่ว่าด้วยใครที่มีเงินมากกว่า หรือมีอำนาจมากกว่า คนนั้น...ก็เอาไป!!! หรือแบบเดียวกับ กฎแห่งป่า หรือ กฎของสัตว์เดียรัจฉาน ธรรมดา ๆ เราดี ๆ นี่เอง...

อันที่จริงก็พอจะเป็นที่รู้ ๆ กันอยู่...ว่าถ้าหากไม่มี ไฟเขียว ให้เดินหน้า ทาส ที่ไหนที่จะยอมเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา ยอมเสี่ยงคุก เสี่ยงตะราง ออกมาเล่นงานศาลกันแบบจะจะ ซึ่ง ๆ หน้า เพราะสำหรับผู้ที่พอจะมีความคิด ความอ่าน อยู่บ้างแล้ว การแสดงออกถึง สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ด้วยวิธีอื่นๆ มันยังมีอยู่อีกเยอะแยะมากมาย ไม่ถึงขั้นต้องล้อมศาล ปิดศาล ห้ามไม่ให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ตามภาระหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ให้ต้องดูแล รับผิดชอบ หรือถึงขั้นประกาศไล่ล่า คิดจะจับตัวศาลสูงสุด ตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ มาขึ้นศาลเตี้ยเอาดื้อ ๆ เรียกว่า...ถ้าไม่ถูกใจ ไม่พอใจ กันจริง ๆ แล้ว จะหันไปใช้วิธี อดหญ้าประท้วง ยังน่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหน ๆ คือนอกจากจะไม่ถือเป็นการใช้ความรุนแรง ยังพอจะเรียกว่าเป็นการใช้สิทธิ โดยไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้อีกด้วย...

แต่การที่มวลชนเดินหน้าใส่เกียร์ห้า โดยมีมวล ส.ส.และ ส.ว.ใส่เกียร์สาม ตามหลังมาติดๆ อันนี้...แทบไม่ต้องเสียเวลาไปคิด ไปวิเคราะห์ อะไรให้มากเรื่อง มากความ เอาเป็นว่า...น่าจะพอสรุปได้ว่า มันเอาเราแน่ ก็แล้วกัน คือกะจะเถลิงอำนาจในแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด กะจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตย ให้กลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุนสามานย์ กันแบบเห็น ๆ การออกเดินสายปลุกระดมมวลชน ของคนระดับรัฐมนตรี ระดับรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้ เอาทักษิณกลับมา นั้น ไม่ว่าจะอ้างเหตุ อ้างผล อ้างอารมณ์ ความรู้สึก อ้างรสนิยม แห่งความเป็นทาส กันในแบบไหน อย่างไร สุดท้ายแล้ว...มันก็คือความพยายามที่จะ ข้ามศพ อำนาจตุลาการ หรือความพยายามที่จะเหยียบย่ำกฎหมาย เพื่อทำให้ สิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ผิด ไม่ต้องถูกลงโทษใด ๆ แถมยังกลายเป็นสิ่งถูกต้อง ชอบธรรม ไปซะอีกต่างหาก...

พูดง่าย ๆ ว่า...ไม่ใช่แต่เฉพาะอำนาจมวลชน และอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น ที่แสดงออกถึงการรับ ใบสั่ง ให้เดินตามกันมาเป็นพรวน ๆ เป็นระลอก ๆ กระทั่งอำนาจบริหารเองก็เถอะ ไม่ใช่แค่คิดจะใส่เกียร์ว่าง แสดงอาการไม่รู้ ไม่ชี้ ต่อการข่มขู่ คุกคาม อำนาจตุลาการเท่านั้น การตระเตรียมออกเดินสาย ปลุกระดมมวลชน กันอย่างเป็นระลอก แจ้งกำหนดการ แจ้งรายชื่อบรรดาแกนนำ ที่ตระเตรียมจะขึ้นเวที เพื่อจุดไฟในนาคร ออกมาเป็นรายตัว ให้เห็นกันอย่างเป็นระบบ อันนี้...ต้องถือเป็นการกระชากเกียร์ เข้าเกียร์หนึ่ง เตรียมที่จะโยกไปสู่เกียร์สอง เกียร์สาม ไปจนถึงเกียร์ห้า ในอีกไม่นานไม่ช้า และถ้าหากไม่แหกโค้งหักศอก วิ่งชนราวสะพาน หรือตกเหว ตายห่ากันไปทั้งขบวน การเดินหน้าเช่นนี้...ย่อมต้องนำไปสู่การสถาปนาระบอบทุนสามานย์สิทธิราชย์ ขึ้นมาแทนที่ระบอบประชาธิปไตย ตามความปรารถนา ความต้องการ ของ นายใหญ่ ในขั้นตอนสุดท้ายอยู่แล้วแน่ ๆ หรือแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ ยึดอำนาจ การ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง โดยอาจมีเนื้อหาที่เลวร้ายซะยิ่งกว่า การปฏิวัติรัฐประหาร ของพวก เผด็จการทหาร ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า!!!

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Aristotle...There is no free state where the laws are not supreme. - ไม่มีเสรีรัฐใด ๆ ที่กฎหมายมิใช่สิ่งสูงสุด...


จากนสพ.ไทยโพสต์ ๒๙ เม.ย. ๒๕๕๖








"รัฐบาลเจว็ด-หน้าไหว้หลังหลอก"
เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์


ความที่เซ็งกับสถานการณ์ของกลุ่มคนที่ออกมาแสดงพลัง ในลักษณะของการข่มขู่ คุกคาม หยามเกียรติศาลรัฐธรรมนูญ ผมเลยขออนุญาตประท้วงด้วยการหยุดเขียนเสียวัน แล้วก็เขียนออกมาได้สั้นๆ อย่างที่เห็นเมื่อวานนี้ ซึ่งก็เขียนไปอย่างเซ็ง ๆ อย่างนั้นเอง

ก็จะไม่ให้รู้สึกเซ็งยังไงล่ะครับ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่จะเห็นลักษณะที่แสดงออกในการปรามให้เพลา ๆ ลงเสียบ้าง เพราะภาพที่เห็นนั้นไม่สวยเลย แต่นายกฯ ที่ยกย่องกันเสียเหลือเกินว่าเก่ง ฉลาด หลักแหลม บริหารบ้านเมืองเก่งนั้น กลับให้สัมภาษณ์ว่าเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ (คือข่มขู่ คุกคาม หยามเกียรติศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างที่เห็น) เป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย (สมัยรัฐบาลนี้) ในขอบเขตของกฎหมาย

ผมถึงบอกได้แต่ว่า ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ไปเอง สิ่งหนึ่งที่เรากำลังจะเห็น "บ้านนี้เมืองนี้" (สำนวนนายเสนาะ เทียนทอง) ก็คือ ลักษณะของการมีกลุ่มอำนาจซ้อนอำนาจรัฐบาล อยู่ในช่วงสมัยตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันของประเทศ ไทยขึ้นมาครองอำนาจ ขณะนี้กลุ่มอำนาจดังกล่าว นอกจากหนุนเกื้อการขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้ว ยังได้แสดงให้เห็นในหลายครั้งทั้งโดยพฤติกรรมและโดยพฤตินัย ต่อการใช้อำนาจบงการ สั่งการ กระทำการที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจอิทธิพลครองเมือง โดยไม่กริ่งเกรงอำนาจรัฐที่แท้จริงเลย

หลายครั้งของการแสดงออกในลักษณะดังกล่าวเช่นนี้เอง ผมถึงได้บอกมาตลอดว่า ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในอาณาจักรของความกลัว กลัวอำนาจของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งหากไม่พอใจสิ่งใด หากคิดเอาเองว่าไม่เป็นผลดีแก่คนของกลุ่มตัวเอง ก็จะออกอาการกดดัน ข่มขู่ คุกคาม น่ากลัวนะครับกับภาพที่เห็นค่อนไปในทางกดดันที่มีแนวโน้มของความรุนแรง

ครั้นสังคมเริ่มเห็นอาการอันเลยเถิด หรือติติงสิ่งที่เกิดขึ้นและมองเห็น หัวหน้ารัฐบาลนี้กลับไม่ได้กังวลกับพฤติกรรมดังกล่าวเลย พูดเป็นอยู่แต่คำเดียวว่า เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ในขอบเขตของกฎหมาย (แล้วก็บินไปต่างประเทศ) ซึ่งไม่ได้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์แห่งการข่มขู่ คุกคามนั้นเลย คงปล่อยให้เข้าใจเอาเองว่า การข่มขู่ คุกคาม หยามเกียรติศาลรัฐธรรมนูญ

นั้น เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้อย่างนั้นหรือไร มันขัดกันเหลือเกินกับความรู้สึกที่ได้เห็น กับคำสัมภาษณ์ของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมันคงต้องกังวลกันมากขึ้น จนเริ่มหวาดหวั่นต่อเหตุอันจะเกิดตามมานั่นแหละ เพราะมิฉะนั้นแล้วตำรวจก็คงไม่มาปกป้องดูแลศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ขึ้น ภาพอย่างนี้ชี้แสดงให้เห็นความเป็นกังวลจนตำรวจต้องมาดูแล นี่เองที่ทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดจิตใจ (Mentality) ของนายกฯ คนปัจจุบันของไทยได้ยากนัก

ไหน ใครไม่เซ็งกับรัฐบาลและหัวหน้ารัฐบาลอย่างนี้!คงไม่ต้องพูดถึงมูลเหตุจูงใจ ว่าทำไมกลุ่มคนเหล่านี้จึงแสดงออกซึ่งลักษณะอันน่าชิงชังอย่างยิ่ง กับการข่มขู่ คุกคาม ถึงขั้นประกาศให้คนในกลุ่มของตนจับตัวผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ตรงไหนของนายกรัฐมนตรีหรือที่จะมองเห็นได้ว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตยอันพึงกระทำ คนที่เป็นผู้นำ คนที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองกลับไม่ปราม ไม่ห้ามให้เพลาลงเสียบ้าง ชอบกล!!

เราอาจจะเข้าใจได้ไม่ยากจากพฤติกรรมเหล่านี้ จากที่ได้เห็นชัดเจนในบทบาทของคนกลุ่มนี้ที่เอ่ยอ้างมาก่อน ถึงการได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ เราเห็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลชุดนี้ ในการใช้คนกลุ่มนี้ขับเคลื่อนการเมืองภาคพื้นดิน ภาคสนามการเมือง เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลในประเด็นต่าง ๆ ที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อน ดังกรณีการที่รัฐบาลขอแก้รัฐธรรมนูญคราวนี้เช่นกัน

การข่มขู่ คุกคามที่เกิดขึ้น มาจากการที่ศาลรับคำร้องขอให้พิจารณาการขอแก้รัฐธรรมนูญคราวนี้ ว่าผิดกฎหมาย ผิด

รัฐธรรมนูญหรือไม่ สร้างความไม่พอใจให้คนกลุ่มนี้ จนออกอาการไม่ต่างกับกลุ่มอิทธิพลครองเมืองในการข่มขู่ คุกคาม ถ้าไม่จริงศาลคงไม่ต้องแจ้งตำรวจให้มาดูแลความปลอดภัยให้ และคิดจะฟ้องร้องผู้ข่มขู่ คุกคามศาลรัฐธรรมนูญ

วิธีการแห่งพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าว เห็นได้หลายครั้งในคณะรัฐบาลชุดนี้ และแสดงให้เห็นความหน้าไหว้หลังหลอกของการดำเนินการทางการเมือง ที่ไม่เกรงใจประชาชนที่มองเห็นพฤติกรรมเหล่านี้บ้างเลย ยามใดที่ศาลดำเนินการในเรื่องอันเป็นคุณกับรัฐบาล รัฐบาลก็ชื่นชอบชมเชยศาลรัฐ ธรรมนูญ ยามใดที่วินิจฉัยในเรื่องซึ่งจะขัดใจรัฐบาล คนกลุ่มนี้ก็จะออกมาแสดงพลังกดดัน ข่มขู่ คุกคามศาลรัฐธรรมนูญ ดังกรณีที่เกิดขึ้นขณะนี้เช่นกัน

ผมพูดในหลายครั้ง เขียนให้ปรากฏในข้อเขียนนี้ เรียกรัฐบาลนี้ว่า "รัฐบาลเจว็ด" เพราะได้เห็นชัดเจนขึ้นทุกวัน และจากการเปิดเผยโดยคนของรัฐบาลเองว่า รัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ตกอยู่ใต้อิทธิพลของการบงการและสั่งการให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ และกิจกรรมทางการเมืองจากคนข้างนอก กลุ่มคนผู้แสดงอิทธิพลเหล่านี้ก็ไม่ต่างกัน ที่เกิดขึ้นและรับการสนับสนุนมาจากผู้บงการคนเดียวกัน

"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ประกาศมาแต่ต้นตั้งแต่เลือกตั้ง จนแม้เมื่อมาเป็นรัฐบาล คนของรัฐบาลเองถึงกับยอมรับในสภาด้วยซ้ำไปว่า พี่ชายคิด น้องสาวทำ มันจะผิดอะไร เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่าก็รับความคิด คำสั่ง คำบงการมาจากแหล่งอื่นที่มีอิทธิพลกว่า คิดกันได้เท่านี้เอง ทำกันได้อย่างนี้เอง

สาธารณชนโดยทั่วไปจะต้องพยายามทำความเข้าใจ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญขณะนี้ ใช้ความเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น และช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ อย่าให้กลับไปสู่สภาพไม่ผิดกับสงครามกลางเมืองอีก ดีที่สุดที่จะทำได้ในเวลาอย่างนี้คือ ช่วยกันให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้มาก บ้านเมืองต้องมีขื่อมีแป

อย่าหวังอะไรมากนักกับรัฐบาลเจว็ดอย่างนี้ หน้าไหว้หลังหลอก จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ปล่อยไปตามยถากรรม ไม่นานนัก ไม่ต้องทำอะไร ก็ไปเอง.


จากคอลัมน์ "มิติโลกาภิวัฒน์"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒o เม.ย. ๒๕๕๖








"ตรวจแนวรบ"
ประชา บูรพาวิถี


เมื่อพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินหน้าชน "ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ" เต็มตัว

จึงมีเสียงผู้คนที่ไม่พอใจฟากฝ่ายทักษิณ ออกมาเพรียกหา "องค์กรมวลชน" ที่จะออกมายืนเคียงข้างตุลาการ และนำพาการต่อสู้เหมือนพันธมิตรประชาชนฯ

วันก่อน สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เจ้าสำนักทีนิวส์ จึงโพสต์ข้อความในหน้าเฟซบุ๊ค

"ประชาธิปัตย์จะทำอย่างไร ๑. เฉย ๆ เพราะขัดหลักการการเลือกตั้ง ๒. สนับสนุนการต่อสู้ของประชาชนเพราะเห็นว่าปล่อยให้โดดเดี่ยวไม่ได้ ๓. เป็นผู้นำการต่อสู้เอง เพราะมีความพร้อมกว่าองค์กรไหน นำพาสังคมไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านที่ตรงข้ามกับทักษิณ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงตามวิถีไทย ไม่ต้องเดินตามฝรั่ง"

พรรคประชาธิปัตย์ จะออกสู่ท้องถนนตามคำเชิญชวนของ "สนธิญาณ" หรือไม่? คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ

เฉพาะหน้า "สนธิญาณ" ได้โหมประโคมเปิดตัว "สหายช่วง" ธงชัย สุวรรณวิหค เลขาธิการสันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (สปท.) ผ่านทุกช่องทางสื่อของทีนิวส์ไปแล้ว

"สันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย" ประกอบด้วยคณะบุคคลกลุ่มใด ไม่มีการเปิดเผยตัวตน "ก่อตั้งขึ้นด้วยคณะบุคคลอันประกอบด้วยผู้รักชาติจำนวนหนึ่ง ทั้งอดีตนายทหารระดับสูง นักธุรกิจ นักวิชาการ ผู้ใช้แรงงาน นักศึกษา ฯลฯ.."

ภารกิจของ สปท.คือ การประสานองค์กรมวลมิตร โดยมีเป้าหมายโค่นล้มทุนสามานย์เผด็จการทักษิณเหมือนกัน

พูดตรง ๆ นี่คือ "ขบวนการ เสธ.อ้าย" ภาค ๒ เพราะวันแรกที่มีการเสวนากึ่งเปิดตัว สปท.เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็เต็มไปด้วยคณะบุคคลที่เคยไปหนุนช่วย "ม็อบ เสธ.อ้าย" ถึงคนเหล่านั้นไม่เปิดหน้า แต่พอคาดเดาได้ว่า มาจาก ๒ กลุ่มนี้

๑. กลุ่มสยามสามัคคี นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ,สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา, พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ฯลฯ

๒. กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ที่เป็นกลุ่มนักวิชาการฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ

นอกจากนี้ ก็มีนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเกาะเกี่ยวอยู่กับ "สนธิญาณ" ตั้งแต่ครั้งที่ทำทีวีดาวเทียมช่องไทยทีวีดี โดยคนกลุ่มนี้ได้พยายามแสวงหาความร่วมมือไปยังกลุ่มเอ็นจีโอในทั่วทุกภาค

น่าจับตาว่า องค์กรใหม่ใต้การนำของ "สหายช่วง" จะสามารถประสานกับมวลมิตรได้มากน้อยแค่ไหน?

ส่วนเวที "เดินทางไกลกอบกู้ ราชอาณาจักรไทย" ที่ปักหลักอยู่บริเวณวังมัจฉา ลำตะคอง โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ

จากหลักร้อยขยับเป็นหลักพัน โดยได้รับการหนุนช่วยจากหลายฝ่าย จัดว่าเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดของ "กลุ่มช่อง ๑๓ สยามไท" และเชื่อว่าวันไหนที่มีเสียงเป่านกหวีด ต้องเป็นหลักหมื่น

การชุมนุมในนาม "เครือข่ายภาคประชาชนไทย" อันประกอบด้วย แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน , กลุ่มพลังธรรมาธิปไตย (กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และ สภาเกษตรกรไทย ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววัน

ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายภาคประชาชน ประกาศว่า ขบวนมวลชนพร้อมเมื่อใด ก็จะเคลื่อนกำลังจากลำตะคองเข้าสู่กรุงเทพฯ ในทันที

แม้ก่อนหน้านี้ ในเว็บบอร์ดคนเสื้อแดงพยายามปล่อยข่าวว่า กลุ่มกองทัพปลดแอกฯ จะยกพลมาปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนปีที่แล้ว แต่แกนนำ "อดีตสหายอีสาน" ต่างยืนยันว่า ไม่เข้ากรุงในช่วงนี้แน่นอน

ถึงเงื่อนไขคู่สงคราม จะสร้างให้เกิดความสุกงอมของสถานการณ์ พอให้ขับเคลื่อนมวลชนได้ ทว่าอดีตสหายประเมินว่ายังไม่ถึงเวลาเผด็จศึก

หากเข้าสู่เมืองหลวง ต้องมั่นใจว่าชนะ ซึ่งวันเวลานั้น มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงดังคำปลุกเร้าที่ลำตะคอง หรือไม่?


จากคอลัมน์ "แกะรอย"
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ๓ พ.ค. ๒๕๕๖








"บรรษัทการเมืองที่กำลังไล่ล่าสังคมไทย"
อภิชาติ ทองอยู่


ความระอุร้อนทางการเมืองที่ปะทุขึ้นขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นความเคลื่อนไหวสั่งการจากผู้มีบารมีเหนือพรรคเพื่อไทยที่อยู่นอกประเทศ ความเชื่อมโยงของกิจกรรมและเหตุการณ์ทางการเมืองจากแกนนำฝ่ายรัฐบาลจึงเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่ ผลประโยชน์ทางการเมือง-อำนาจ และ ทุน-เงินตรา เป็นสำคัญ

การสถาปนา "ระบอบทักษิณ" ภายใต้เงาของวาทกรรม "ประชาธิปไตย" ที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทยนั้น มาถึงวันนี้ระบอบดังกล่าวยังคงแข็งแกร่งในทุกกระแสความเคลื่อนไหวทั้งใต้ดิน บนดิน และผ่านการบริหารประเทศของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ที่นับวันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพรรคการเมือง/การบริหารจัดการอำนาจทางการเมืองในระบอบทักษิณนั้น เป็นแบบ "บรรษัทการเมือง" ที่ยึดเอา "ทุน" และ "ผลประโยชน์" เป็นที่ตั้ง ซึ่งสอดรับกับสังคมเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ที่เคลื่อนตัวอยู่ในความแบนราบของ "โลกผลประโยชน์" ที่มีการเชื่อมข่าวสาร/ทุน ถึงกันอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี ที่สามารถเชื่อมต่อทุกเรื่องถึงกันในเวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว! ใครที่เผลอเข้าใจผิดคิดว่าระบอบทักษิณปรับโฉมหน้า/ปรับกระบวนระบบใหม่ไปแล้วนั้น คิดผิด! ซ้ำร้ายยิ่งจะขยายอิทธิพลมากขึ้น/ใช้ความรุนแรงมากขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ

บรรษัทการเมืองยุค "ยิ่งลักษณ์" ครองอำนาจ แม้จะดูอ่อนโยน/ดราม่า/เนียนกว่ายุคพี่ชาย ตั้งแต่การเปิดตัวก้าวสู่เส้นทางการเมืองแบบโปร่งเบาสบาย "แก้ไขไม่แก้แค้น" กวาดชัยชนะเกือบ ๓oo ที่นั่ง ชูภาพลักษณ์สตรีเพศที่มีความอ่อนน้อมชื่นชมแนวทางประชาธิปไตย แต่ลึก ๆ แล้วยิ่งวันก็จะยิ่งดุดัน/โหดหนัก/และกินรวบไม่แพ้บรรษัทการเมืองยุคพี่ชาย เพียงแต่ความเคลื่อนไหวในวันนี้ของผู้นำหญิงมีการสร้างวาทกรรมที่เกิดจากความขัดแย้งในสังคมหลายกลุ่มมารองรับมากกว่ายุคก่อน มีสื่อสนับสนุนมากกลุ่มกว่า มีความเคลื่อนไหวที่ดูอ่อนโยนเนียนกว่า มีความร่วมมือกันจัดการผลประโยชน์เป็นระบบกว่าทำให้ดูเหมือนไม่มูมมาม และไม่มีการแกว่งปากหาศัตรูเหมือนยุคก่อน แม้บางกลุ่มในสังกัดจะแสดงอาการดิบถ่อยเป็นบางครั้ง เช่น ที่ไปกดดันศาลฯ ไปเถื่อนถ่อยเล่นงานสื่อเมื่อไม่กี่วันมานี้ ฯลฯ

โดยเนื้อแท้ของหัวใจความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง และกลไกในการทำงานการเมืองแบบ "บรรษัท" จะยึดเอา "ผลประโยชน์" เป็นตัวตั้งสำคัญ ส่งผลให้ "เงินตรา" มีอำนาจครอบงำสูงสุด ในฐานที่เป็นหลักการในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนดูเหมือนว่าไม่มีหลักการอื่นใดเป็นทางเลือกอีกแล้ว! ชัยชนะของ "ตลาด" เหนือรัฐ/เหนือคุณธรรม/เหนือสิทธิส่วนบุคคลจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาของกลไกแบบนี้ ซึ่งด้วยเหตุที่ผลประโยชน์และเงินเป็นใหญ่ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองตามแนวทางนี้จึงเคลื่อนไหวปฏิบัติการทางการเมืองด้วยแนวทาง "ประชานิยม" เพื่อมุ่งสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนทุกชั้นชน เพื่อให้เข้าร่วมเสพผลประโยชน์ (ปลายแถว) และเปลี่ยนความคิด-กระบวนทัศน์แบบถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นหนึ่งในกลไกของ "บรรษัท" ผ่านกิจกรรมความคิดและกระแสที่มีการจัดตั้งขึ้นโดยปริยาย และกลายเป็นการเมืองระบบอุปถัมภ์ใหม่ที่ใช้เงิน/ผลประโยชน์เป็นทั้ง "ตัวล่อ" "ตัวเร่ง" และ "เป้าหมาย" ที่มุ่งตอบสนองความร่วมมือทางการเมืองซึ่งกันและกัน ระหว่างพรรคและกลุ่มสนับสนุน ขณะที่อำนาจและผลประโยชน์มากมายมหาศาลจะตกอยู่กับผู้นำและวงศาคณาญาติเป็นหลัก

สมการความเคลื่อนไหวของระบอบทักษิณ ที่พยายามกลับมาครองสังคมการเมืองแบบเผชิญหน้าอีกครั้งในสังคมไทย ได้ปรากฏให้เห็นความเคลื่อนไหวดังนี้คือ การจัดการธุรกิจการเมืองแบบบรรษัท + การตลาดสร้างภาพ + เพศวิถีแบบ ดราม่า + ประชานิยม + ระบบอุปถัมภ์ผลประโยชน์และเงินตรา + การชิงอำนาจด้วยสารพัดวิธีการ + ไพ่การเมืองหลายหน้า + ผลประโยชน์ซ้อนทับคอรัปชั่น + วาทกรรมประชาธิปไตยลวง + ความเคลื่อนไหวล้างแค้น + ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอำนาจ + ร่วมมือกับทุกคนทุกกลุ่มตามที่ต้องการใช้งานในแต่ละสถานการณ์/โอกาส/และกิจกรรม ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏการณ์จากสมการที่เคลื่อนไหวนี้ย่อมจะไม่ขับเคลื่อนสังคมการเมืองไทยให้ก้าวไปสู่ความเป็น "ประชาธิปไตย" ที่แท้จริงแน่ ไปได้ไกลสุดของความเคลื่อนไหว นี่คือการตอกลิ่มบรรดาสาวกให้จมดิ่งลงในความเชื่อที่ถูกจัดตั้งไว้ หรือไม่ก็บูชาประโยชน์โพดผลที่ได้รับเพื่อฝังความจงรักภักดีไว้กับ "นายหัว" หรืออุดมการณ์จอมปลอมที่ถูกดูดให้เข้าร่วม เพราะอำนาจการเมืองในรูปบรรษัททางการเมืองไม่สนใจในเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ต้องการ "ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของอำนาจและการใช้อำนาจ" ที่ซ่อนอยู่ใต้ความเคลื่อนไหวที่เนียนไว้กับระบบตลาด/การเลือกตั้ง/และเสียงข้างมาก ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมประชาธิปไตยของกลุ่มพวกนี้มักจะย่อสาระสำคัญให้เข้าใจรับรู้กันอยู่แค่ "เสียงส่วนใหญ่" กับ "การเลือกตั้ง" เท่านั้น เพราะจะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ถ้าได้ครองอำนาจอยู่ ในขณะที่การบริหารจัดการก็ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตย ๓ ส่วนคือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ รวมทั้งการตรวจสอบอื่น ๆ ขององค์กรอิสระที่ขวางผลประโยชน์ การไล่ล่ากดดันทำลาย อำนาจตุลาการ ที่อำนาจของตัวเองยังครอบงำไม่ได้เช่นกับอำนาจบริหารและนิติบัญญัติจึงเกิดขึ้นตลอดมาทุกรูปแบบ มีสมุนได้ใช้วิธีการหยาบช้าสามานย์ติดสินบนถุงขนม ไปจนถึงการเชื่อมผลประโยชน์เข้าหากลุ่มวิชาการในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งแสดงความดิบถ่อยตั้งม็อบไปก่นด่า/กดดันตุลาการฯ นี่คือความจริงที่ประจักษ์ในสังคมที่ผู้คนได้พบเห็นอยู่ในวันนี้!

ที่จริงแล้วกลไกและเป้าหมายของการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องรับใช้ชีวิต ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และความผาสุกของประชาชนในทุกมิติ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจจนทำให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป! การเมืองในลัทธิบรรษัทนิยมนั้นได้สร้างความวุ่นวายในตลาดการเงินเมื่อยุคปี ๑๙๙๘ จนสังคมโลกมีการทบทวนพิจารณาร่วมตระหนักถึงภัยในยุคโลกาภิวัตน์ว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหันมาคำนึงถึงมิติทางสังคมและอื่น ๆ รวมถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนให้มาก เพราะพัฒนาการของวัฏจักรผลประโยชน์ที่เดินตามกลไกบรรษัทการเมือง ซึ่งกำกับสังคมเศรษฐกิจนั้น ได้สร้างมายาภาพทำให้เกิดความเชื่อว่า ขอให้มีตลาดเสรีเท่านั้นแล้วสังคมเศรษฐกิจทั้งระบบก็จะดำเนินไปได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ได้พบว่า นั่นคือการโป้ปดหลอกลวงอย่างแท้จริง! ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ลวงโลก/หลอกตัวเองได้สมบูรณ์ที่สุด ในฐานที่ใช้สัญลักษณ์ได้ดีที่สุดและมีภาษาพูดที่สื่อสารได้!


จากคอลัมน์ "โลกใบใหม่"
นสพ.ไทยโพสต์ ๔ พ.ค. ๒๕๕๖



บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 05 พฤษภาคม 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 19:39:10 น. 0 comments
Counter : 2055 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.