All Blog
เวียงจันทร์-อุดรธานี สัมผัสกลิ่นวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน


น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ
อารยธรรม 5,000 ปี ธานีผ้าหมี่ขิด
แดนเนรมิตหนองประจักษ์ เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรชันไฌน์


ครั้งนี้ มีเวลาหยุดติตต่อกันหลายวัน ประจวบเหมาะกับทางบ้านไปทัวร์
เวียงจันทร์ - อุดรธานี - หนองคาย เลยได้มีโอกาสติดตามไปด้วย

การเดินทางต้องออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยรถทัวร์ปรับอากาศ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง เพื่อจะให้ถึงเช้าที่หนองคายพอดี เป็นการนั่งรถที่ใช้เวลานานพอสมควร ปวดเมื่อยไปตามๆกัน แต่ก็สนุกไปอีกแบบ

ความคาดหวังตามการพยากรณ์อากาศ บอกไว้ว่า อุณหภูมิเช้านี้จะหนาวประมาณ 17 องศา เราก็ขนเสื้อกันหนาวไปซะเต็มที่ หนาวได้เพียงวันเดียว ที่เหลือ เปลี่ยนเป็นฤดูร้อนเรียบร้อย เริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการข้ามฝั่งไปยังประเทศลาว เพื่อมุ่งหน้าไปยังนครหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด่านผ่านเข้าเมืองจังหวัดหนองคายมากนัก

เนื่องจากไปกับทัวร์ ดังนั้นการดำเนินการด้านเอกสารการผ่านเข้าเมือง เราไม่ต้องดำเนินการอะไร ทางทัวร์จัดการให้เรียบร้อย แต่การข้ามไปฝั่งลาวด้วยกรุปทัวร์ จะต้องจ้างคนลาวเป็นไกท์ในการนำเที่ยว และ เปลี่ยนรถปรับอากาศจากฝั่งไทย เป็นรถของลาว สภาพรถก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด



แต่ถึงยังนั้นก็พาเราไปถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย การซื้อรถของคนลาว รัฐบาลเขามีแนวคิดไม่ให้ชาวบ้านเป็นหนี้เป็นสิน ดังนั้นการซื้อรถ จึงต้องซื้อเป็นเงินสดเท่านั้น การซื้อผ่อนอย่างคนไทยแทบจะไม่มีให้เห็น ดังนั้นคนที่ซื้อได้ก็แสดงว่ามีเงินจริง รถยนต์ส่วนใหญ่เป็นของ ฮุนได หรือ รถจากจีนเนื่องจากราคาถูก ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น จากไทย ยิ่งโดนภาษีกันอีกเท่าตัวเลยทีเดียว ภาษาลาว ก็เป็นภาษาที่ฟังแล้วสบายหู น่ารัก อดอมยิ้มไม่ได้
เช่น ไฟแดง เรียก ไฟอำนาจ , ไฟเขียว เรียก ไฟอิสระ , ห้อง ไอ ซี ยู เรียก ห้องมรสุม , ห้องคลอด เรียก ห้องประสูตร เป็นต้น

สถานที่ไปเยี่ยมชมที่แรก เพื่อนมัสการพระธาตุหลวง ศาสนสถานที่สำคัญของลาว เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาวทุกคน



ศิลปะก็มีความสวยงามตามแบบฉบับของลาว แต่ความอ่อนช้อย ของไทยเรางดงามกว่า



หลังจากไหว้เรียบร้อย ก็เดินดูของที่ชาวบ้านนำมาขาย ส่วนมากจะเป็นของที่มาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้เงินไทยซื้อหาได้ หรือจะใช้เงินกีบลาวก็ไม่ว่ากัน ใครไปกินน้ำมะพร้าวลาว แล้วจะรู้ว่าของไทยอร่อยกว่าแยะเลย หรือจะลองชิมพุทรา แก้ง่วงก็ดี เปรี้ยวได้ใจจริงๆ ว่าแล้วทำไมให้พริกกับเกลือมาด้วย



ใช้เวลาดูของสักระยะ มารู้ตัวอีกทีว่าแดดร้อนมาก แต่เนื่องจากอากาศเย็นกำลังสบาย ปรากฎว่ากลับมากรุงเทพฯ มีแต่คนทักว่าไปทำอะไรมาหน้าดำไปเลย

หลังจากนั้น สถานที่ต่อไปคือ พิพิธภัณท์หอพระแก้ว ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดสีสะเกด บนถนน เชษฐาธิราช ติดกับทำเนียบประธานประเทศ แต่เดิมเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเชษฐาธิราชมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้างหลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปีพ.ศ.2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย

สำหรับหอพระแก้วที่นักท่องเที่ยวเห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ในปีพ.ศ.2480-2483 ภายใต้การควบคุมดูแลการก่อสร้างของ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมายังได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับเอกราชอีกด้วย แม้หอพระแก้วปัจจุบันจะไม่ใช่วัดอีกต่อไป
แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ก็ยังเดินทางมาสักการะบูชากันเป็นจำนวนมาก สำหรับส่วนในของพิพิธภัณฑ์นั้น จัดแสดง พระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏก ภาษาขอมและกลองสำริดประจำราชวงศ์ลาว สำหรับประตูใหญ่ทั้งสองเป็นของเก่าที่หลงเหลือมาแต่เดิม บานประตูจำหลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริเวณโดยรอบของหอพระแก้วเงียบสงบ ร่มเย็นมีไหขนาดกลางจากทุ่งไหหิน ในเชียงขวางวางตั้งอยู่ 1 ใบ อาณาบริเวณรอบๆ วัดสีสะเกดและหอพระแก้วเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานปกครองของฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมมาก่อน ปัจจุบันเป็นที่ตั้งจองสถานฑูตฝรั่งเศส บ้านพักฑูต อาคารหน่วยงานด้านการปกครอง อาคารที่พักอาศัยและโบสถ์โรมันคาทอลิกที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปี 1928 และยังเปิดประกอบศาสนพิธีอยู่เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ แม้อาณานิคมลาวจะทำเงินให้กับฝรั่งเศสได้ไม่คุ้มค่า แต่ผลกำไรที่ได้จากกัมพูชา และเวียดนามก็มีมากพอที่จะแบ่งมาสร้างตึกรามต่างๆ ขึ้นในนครเวียงจันทน์ได้ไม่น้อย
ภายในหอพระแก้ว ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิดครับ



ใกล้ๆกันนั้น จะมีอีก 1 สถานที่เยี่ยมชมคือ ประตูชัย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทน์บนถนนล้านช้างไปสิ้นสุดที่บริเวณประตูชัย สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันได้สร้างเพราะอเมริกาแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวันให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ บนยอดของประตูชัยอีกด้วย ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก
แต่ขอบอก ร้อนมาก บริเวณติดกัน เป็นสำนักงาน นายกรัฐมนตรี

อาหารการกินของฝั่งลาว ไม่ตรงกับที่คาดหวัง ตอนแรกคาดคิดว่าน่าจะเป็นอาหารรสจัดจ้าน เพราะคิดว่าคนแถบอีสาน ชอบกินรสชาดประมาณนี้ แต่ตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะเขาทำให้สำหรับนักท่องเที่ยว รสชาดไม่ถูกปากเหมือนคนไทย



อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ไหว้พระกันต่อ เนื่องจากเที่ยวภายตัวเมืองเวียงจันทร์ ส่วนมากจึงมีแต่วัดให้สักการะ ซึ่งต่อไปเป็นวัดศรีเมือง ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ทางทิศตะวันออกของสถานทูตฝรั่งเศส เป็นวัดแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ที่มีประชาชนลาวเดินทางไปสักการะบูชาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ภายในวัดศรีเมืองเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ วัดศรีเมืองสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2106 โดยเหล่าเสนาอำมาตย์ของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ลงความเห็นให้สร้างวัดศรีเมือง ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาถูกกองทัพสยามทำลายลงในปีพ.ศ.2371 และสร้างวัดศรีเมืองขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2458 ภายในวัดศรีเมืองมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชำรุดไปบางส่วน ซึ่งชาวลาวเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก

สิ่งที่จะนำไปกราบไหว้พระที่อยู่ภายในพระอุโบสถของวัดสีเมือง เรียกว่า ต้นเทียน ลักษณะเป็นแผ่นขี้ผึ้งบาง ๆ ทำเป็นดอกเหมือนดอกไม้ แต่ใช้เทียนไขปั้มใส่แบบ แกะออกมาเป็นดอก ๆ จากนั้นนำใส่ด้ามไม้ นำไปประดับที่ต้นกล้วยขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป ที่โคนต้นใส่ลงในกระป๋อง เพื่อเป็นฐานสำหรับวางตั้งไว้
หลังจากเลือกต้นดอกไม้เทียนเรียบร้อยแล้ว ให้เดินเข้าไปภายในพระอุโบสถ เพื่อนำดอกเทียนไปไหว้พระ ต้นดอกเทียนจะต้องวางบนถาดที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ ธูป 3 ดอก และเทียน 2 เล่ม จุดและนำปักที่ถาด จากนั้นก็นำถาดที่มีต้นดอกเทียน วางไว้ด้านหน้าพระพุทธรูป กราบพระ 3 ครั้ง ตั้งนะโม 3 จบ ไหว้พระและอธิฐานตามแต่ใจปรารถนา



ก่อนกลับออกจากลาว เพื่อข้ามมาฝั่งไทยต่อไป ได้แวะตลาดเช้า ร้านขายผ้าไหมลาว เครื่องเงิน และ ร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งขอบอก มีตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ เสื้อผ้า หนัง กระเป๋า และสินค้า Brand Name มากมาก อยู่ที่ปากแล้วละ ต่อได้เป็นต่อ ราคาที่บอกลดกันได้ถึง 50 % ทีเดียว



คราวนี้ได้เวลาเที่ยวฝั่งไทยกันบ้าง เป็นอุทยานประวัติศาตร์ ภูพระบาท ไปดูหินแต่ละแบบกันว่าธรรมชาติ เรียบเรียบแต่ละลักษณะที่แตกต่างกัน สภาพป่าออกจะแห้งแล้งพอสมควร แต่ทางเดินเข้าชม สะดวกสบาย



หินแต่ละก้อน ก็มีรูปร่างที่แตกต่างกัน



มีเวลาอีกนิด แวะไหว้พระวัดโพธ์ชัย ซึ่งเป็นวัดที่นับถือของชาวหนองคาย



ก่อนกลับ ได้ต้องไปดุตลาดท่าเสด็จหน่อย ว่าจะเหมือนกับฝั่งลาวหรือเปล่า
เดินดูแล้ว ก็ไม่เห็นต่างกับจตุจักร เลย



สุดท้ายแล้ว ไม่ได้ซื้อของฝากจากฝั่งไทยเลย หิ้วมาจากฝั่งลาวทั้งนั้น



Create Date : 14 ธันวาคม 2553
Last Update : 6 กันยายน 2554 19:58:33 น.
Counter : 1490 Pageviews.

7 comments
  
โดย: เชิญจุติ วันที่: 15 ธันวาคม 2553 เวลา:0:59:29 น.
  
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ
มิลชอบจัง ไฟอิสระ 5555++ น่ารักอ่ะ ^^
โดย: มิลเม วันที่: 15 ธันวาคม 2553 เวลา:6:54:11 น.
  
มาเยี่ยมชม เมืองเวียงจันท์ ครับ
โดย: Kavanich96 วันที่: 15 ธันวาคม 2553 เวลา:13:59:05 น.
  
สวัสดีค่ะ ขอไปเที่ยวด้วยคนค่ะ

ชอบประเทศลาวค่ะ ดูเป็นธรรมชาติดี
โดย: ภูผา กะ วาริน วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:36:51 น.
  
ชอบมากๆ
โดย: คนฮักลาว IP: 10.0.3.210, 124.121.163.212 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:22:00 น.
  
ชอบบรรยากาศของประเทศลาวเป็นอย่างมาก เคยไปแต่แขวงสวรรค์ณาเขตตรงข้ามจว.มุกดาหารของไทยธรรมชาติยังคงอยู่ครบถ้วนมากๆสวยจริงคับ
โดย: คนฮักผู้สาวลาว IP: 10.0.3.210, 124.121.163.212 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:39:41 น.
  
เคยไปสองครั้ง ต่างกันมาก เขาพัฒนาบ้านเมืองเร็วมากค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:22:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pd
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]