|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปันใจไปเนปาล ตอนอวสาน-โรงแรมในฝันที่นครแห่งความงาม
จากบันดิปูร์ เหลือเวลาอีก 3 คืน สามีถามจะกลับบางกอกเลยไหม ไม่มีอะไรจะเที่ยวแล้วนะที่รัก รู้เลยว่าท่านพี่ไม่อยากกลับไปนอนที่กาฏมัณฑุ เลยบอกเขาไปว่า ยังไม่กลับ รีบกลับทำไมบางกอกน่ะ มันไม่หนีหายไปไหนหรอก
ไปนอนปาตัน (Patan) กันอีกสามคืนเหอะที่รัก
*********************************************** Durbar Square ที่เมืองปาตัน

เมืองปาตันก็เหมือนฝั่งธนฯ ถ้าเปรียบกาฏมัณฑุกับกรุงเทพนะ คืออยู่ห่างกันแค่ข้ามแม่น้ำไปอีกฟากหนึ่งเป็นเมืองเล็กกว่ากาฏมัณฑุ แถมปาตันยังเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของเนปาลด้วย เป็นเมืองมรดกโลกด้วยแน่ะ

ชื่อเก่าของปาตันเป็นภาษาสันสกฤตคือ ลลิตปูร์ (Lalitpur)
ลลิต (ละ-ลิด-ตะ) แปลว่าความงาม (ลลิตา แปลว่าหญิงงาม เหมือนชื่อของหมิว ลลิตาไงคะ)+ปุระ หรือ บุระ แปลว่าเมือง

ลลิตปูร์ แปลว่า เมืองแห่งความงาม...แค่ได้ยินคำว่าลลิตปูร์เข้าไป เล่นเอาดิฉันอ่อนปวกเปียกเหมือนโดนมือชายหนุ่ม ค่าที่มันช่างไพเราะเพราะพริ้งเหลือเกิน เอาเข้าจริงแล้ว ความงามของลลิตปูร์นั้นสมชื่อจริงๆค่ะ เพราะว่าถ้าเอา durbar square ของปักตะปูร์กับกาฏมัณฑุมารวมกัน ยังงามสู้ลลิตปูร์ไม่ได้เลย

ต่อจากนี้ของเรียกเมืองปาตันว่าลลิตปูร์ เพราะดิฉันหลงรักชื่อนี้เข้าไปอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

ไปถึงก็ต้องหาโรงแรมก่อนดิ อีบ้านนี้ไปไหนไม่เคยจองโรงแรมเลย ที่ลลิตปูร์มีโรงแรมน้อยมาก ประมาณ 5-6 แห่งเท่าที่หาเจอในอินเตอร์เนตนะคะ เพราะว่าร้อยทั้งร้อย นักท่องเที่ยวจะนั่งรถมาเที่ยวลลิตปูร์ตอนสายๆจากกาฏมัณฑุ พอบ่ายก็นั่งรถกลับ ไม่ค่อยมีคนมาค้างเพราะมันแสนจะใกล้กาฏมัณฑุ

คนที่จะมาค้างลลิตปูร์คือคนที่อยากจะมาปลีกวิเวกจากกาฏมัณฑุจริงๆ
ถ้านั่งรถแท็กซี่จาก Durbar Squareที่กาฏมัณฑุมาลงที่ Durbar square ของลลิตปูร์ ใช้เวลาไปเกิน 15-20 นาทีค่ะ ค้างที่นี่แล้วจะเข้าไปเที่ยวกาฏมัณฑุเมื่อไรก็ได้

***TIPS***ค่าแท็กซี่จากDurbar Squareที่กาฏมัณฑุมาลงที่ Durbar square ของลลิตปูร์ ประมาณ 250 รูปีค่ะ ไม่เกินนี้นะคะ

แน่นอน ดิฉันหาร้านอาหารให้สองคนพ่อลูกนั่งกินขนมรอระหว่างดิฉันเดินหาโรงแรม หน้าที่เดินหาโรงแรมนี่เป็นหน้าที่หลักของดิฉันเวลาไปเที่ยวค่ะ ถ้าให้พี่เข้าเลือกแล้วดิฉันไม่ชอบล่ะก็ คืนนั้นทั้งคืนพี่ท่านนอนไม่หลับเพราะเมียจะ bitch, bitch, bitch ไม่ไล่ไม่เลิก

มีชื่อโรงแรมอยู่ในมือสองสามชื่อ ไปดูแห่งแรกเลยดีกว่า เดินทาง main entrance ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ durbar square เดินตัดตรงไปเรื่อยๆเลยค่ะทางทิศเหนือ พอเดินมาสุดเขต durbar square จะเป็นถนนเล็กๆ เดินต่อไปเรื่อยๆค่ะ ทั้งหมดประมาณ 400 เมตรจาก main entrance ก็จะเจอโรงแรมแรก
โรงแรมชื่อ Newa Chen ค่ะ Newa คือชาวนาวารี ชนชาติดั้งเดิมของเนปาลChen ภาษาเนปาลี แปลว่าบ้าน
//www.newachen.com/index.html

โอ้...คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย...
แค่ย่างเข้าไปพ้นประตูโรงแรมนี้เท่านั้น ดิฉันเกิดอาการแบบที่ฝรั่งเรียกว่า deja vu เคยเป็นกันไหมคะที่บางครั้งคุณไปที่ๆคุณเคยเหยียบครั้งแรกในชีวิต แต่คุณรู้สึกคุ้นเคยมากเหมือนเคยมาที่แห่งนี้แล้ว...
************************************************ ส่วนที่เป็นรีเซปชั่นของเนวาเช็น

ฉันกลับมาบ้านแล้ว...ดิฉันบอกตัวเองเมื่อก้าวเข้ามาใน Newa Chen เป็นครั้งแรกในชีวิต

โรงแรมนี้มีความวิเศษวิโสอะไรยังไง หลายๆคนคงจะสงสัย...
ความพิเศษอยู่ที่อายุของโรงแรมแห่งนี้ค่ะ โรงแรมแห่งนี้มีอายุ...สามร้อยปีเศษแล้ว
*********************************************** ประตูออฟฟิซ น่าร๊ากกกก

เป็นบ้านเก่าสามร้อยปีของตระกูลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สร้างบ้าน คือตระกูล Shresta
บ้านหลังนี้ก็เสื่อมโทรมตามกาลเวลา ตระกูลนี้สร้างบ้านแบบใหม่อยู่ข้างๆ ไม่ได้คิดจะซ่อมแซมบ้านเก่าเพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก

แต่วันดีคืนดี สำนักงานยูเนสโกประจำเนปาลก็ติดต่อเจ้าของบ้าน บอกว่าตอนนี้ยูเนสโกมีโครงการอนุรักษ์บ้านเก่าแบบเนวารีไว้ ด้วยการออกเงินลงทุนให้ซ่อมแซม
เพราะการซ่อมแซมบ้านเก่านั้น มีราคาแพงมาก ร้อยทั้งร้อย เจ้าของบ้านจะรื้อทิ้งเสีย แล้วสร้างบ้านใหม่เป็นตึกน่าเกลียดน่ากลัวไว้แทน (ใครไปเนปาลก็จะเห็นตึกใหม่ๆนี้ทั่วเมือง)

เมื่อซ่อมเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านจะจ่ายเงินทุนคืนยังไงล่ะ ก็จ่ายด้วยการดัดแปลงบ้านเก่าแสนสวยนี้ ให้เป็นโรงแรมแบบบูติก ให้คนที่รักบ้านเก่าอย่างนี้มาพัก

เจอโรงแรมอย่างนี้ ไม่ต้องไปเดินหาโรงแรมอื่นแล้วค่ะ แพงหน่อยดิฉันก็ยินยอมและยินดีที่จะจ่าย

เดินไปถามผู้จัดการว่ามีห้องว่างไหม ใจตุ๋มๆต่อมๆกลัวว่าเขาจะบอกว่าที่นี่เต็ม เดชะบุญผู้จัดการบอกว่ามีห้องว่างอยู่สองห้อง ยูไปเลือกเอาเลยว่าจะนอนห้องไหน

ที่เนวาเช็นนี้ มีห้องพักเพียง 8 ห้องนะคะ เป็นห้องพักแบบห้องน้ำรวม สามห้อง (ห้องน้ำสะอาดมาก) ค่าพักห้องละ 30 เหรียญยูเอส รวมอาหารเช้าและภาษีแล้ว

ห้องที่แพงที่สุดมีอยู่แค่ห้องเดียว ราคา 50 เหรียญยูเอส นอนได้สองคน เป็นห้องเดียวที่มีอ่างอาบน้ำ

อีก 4 ห้องที่เหลือนั้น เป็นห้องพักแบบห้องคู่ ค่าห้องพัก 40 เหรียญยูเอส สำหรับสองคน แต่ดิฉันให้เขาเพิ่มที่นอนให้ไท 1 ที่ คิดเพิ่ม 10 เหรียญ รวมเป็น 50 เหรียญยูเอสต่อคืน รวมภาษีทั้งหมดและอาหารเช้าด้วย
ดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้มีวาสนานอนโรงแรมสวยๆ ราคาน่ารักอย่างนี้
************************************************ พลับพลาในสวนหลังโรงแรม เอาไว้กินข้าวเช้า

ผู้จัดการเล่าให้ฟังว่า เนื่องจากมันเป็นบ้านสามร้อยปี ไม่มีระบบไฟหรือท่อน้ำประปาในบ้านเลย
เมื่อยูเนสโก้ให้ทุนมาซ่อมแซม ต้องเดินระบบไฟฟ้าและท่อประปาในบ้าน ปรากฏว่ายูเนสโก้ต้องไปเอาช่างไฟฟ้าและช่างประปาชาวญี่ปุ่นที่มีความชำนาญเกี่ยวกับการเดินระบบในบ้านโบราณ อิมพอร์ตช่างมาจากญี่ปุ่นเลยเพราะว่าช่างเนปาลีทำไม่ได้ค่ะ
************************************************ เอ ตรงกลางลานบ้านมีอะไรอยู่

เข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นเทวาลัยเล็กๆนั่นเอง

วิวจากหน้าต่างห้องเรา ดิฉันสามารถนั่งนิ่งๆเป็นครึ่งค่อนวัน ดูลายละเอียดของไม้ที่แกะสลักอย่างงามเลิศ ดูลายละเอียดของการก่ออิฐ จินตนาการไปต่างๆนาๆว่า เมื่อสามร้อยปีก่อน คนที่อยู่ในบ้านนี้จะแต่งตัวยังไง กินอยู่ยังไง มีความสุขทุกข์ยากยังไง
เฮ้อออ แค่นี้ก็สุขจะแย่แล้ว

จากหน้าต่างห้องนอน ถ้ามองไปทางซ้ายสุด จะเห็นบ้านใหม่ของตระกูลนี้ เป็นบ้านตึกสามชั้น สร้างอย่างมีรสนิยม แปลว่าเป็นบ้านคนมีฐานะเลยล่ะค่ะ

ดูข้างในบ้างนะคะ โชคดีมากที่ห้องที่พัก เป็นห้องที่ดีที่สุดกว้างที่สุด โรงแรมเล็กๆอย่างนี้ ขนาดของห้องไม่เท่ากันนะคะ (แต่ราคาเท่ากัน) เพราะฉะนั้น ดิฉันถึงไม่เคยจองโรงแรมเลยเวลาไปไหน ต้องขอดูห้องเปรียบเทียบก่อน

ส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น ให้เขาปูที่นอนของไทที่นี่ (แต่พ่อมันนอนแทน เพราะไทอยากนอนกับแม่)

ห้องน้ำ

งามมาก

ชั้นสี่เป็นครัวแบบเก่าค่ะ บ้านของชาวเนวารี ครัวจะอยู่ชั้นบนสุดของบ้าน

ชั้นสามมีห้องนอนแค่สองห้อง นอกนั้นเป็นห้องนั่งเล่นนอนเล่นของผู้ที่มาพัก


เพราะว่าบ้านนี้เป็นบ้านเก่า เพดานบ้านจะต่ำมาก คนตัวสูงต้องระวังอย่างยิ่ง พี่ท่านนั้นเผลอไปหน่อยเดียว เดินชนขื่อบ้านลงไปนอนนับดาวกับพื้นอยู่พักนึง ดีนะหัวไม่แตก
คุยเล่นๆกับผู้จัดการ เลยถามว่าแขกยูเคยบ่นหรือเปล่าเรื่องขื่อต่ำมาก เคยมีใครหัวแตกอ่ะยัง ผู้จัดการหัวร่อร่า บอกว่าไม่เคยมีแขกฝรั่งคนไหนบ่นเลย ชอบบ้านนี้กันทุกคน มาอยู่กันเป็นอาทิตย์ๆ เรื่องหัวแตกน่ะเหรอ เคยมีบ้างสองสามคน แต่ไม่ถึงกับต้องไปเย็บที่โรงพยาบาลนะ
************************************************ ให้ดูว่าเพดานต่ำขนาดไหน

ถ้าจะถามว่า นอนโรงแรมอย่างนี้ไม่กลัวผีเหรอ
ต้องตอบว่าไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะดิฉันเป็นคนไม่กลัวผีทั้งๆที่เคยเจอแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งจะเป็นการเจอแบบไม่ตั้งใจจะเจอ กลัวนั้นไม่กลัว แต่ตกใจมากกว่า

ตอนที่อยากเจอนี่ก็ไม่มาให้เห็น อช.หาดวนกรที่เขาร่ำลือกันหนักหนาว่าผีดุอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันไปเที่ยวกับสามีและไท ตกดึกนอนไม่หลับออกมานั่งที่ชายหาดตั้งแต่ตีหนึ่งถึงตีสี่ ไม่เห็นมีผีสักตัว
************************************************ ตู้เก่าสวยมาก อยากซื้อต่อเอากลับบ้าน

ครั้งล่าสุด เจอที่ไหนไม่เจอ เจอในห้องน้ำที่บริษัทวันที่ดิฉันไปเทรนนิ่ง ยืนห่างกันไม่ถึงสามสี่เมตรดิฉันยังไม่รู้เลยว่าเป็นผีจนเจ้าหล่อนคงรำคาญ เลยต้องสำแดงตัวกันหน่อยว่าชั้นเป็นผีนะยะ
บางทีก็รำคาญเหมือนกันเวลาเจอคนมาโพสในห้องบลูว่า โรงแรมนั้นโรงแรมนี้มีผีไหมคะ...

มันมีทุกที่ล่ะค่ะ แต่จะเจอหรือไม่เจอนั้นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างมงายเรื่องประเภทนี้ ให้ดิฉันเจอผีกับเจอโจรในโรงแรม ดิฉันเลือกผีค่ะ ผีทำร้ายเราไม่ได้ ฆ่าเราไม่ได้ ปล้นเราไม่ได้ อย่างดีก็แค่มาหลอก จะมายืนแหกอกหลอกกันทั้งคืนให้มันรู้ไป
ที่เนวาเช็นนี่อยากเจอเหมือนกันพูดๆไป เพราะว่าอยากจะจับเข่าผีคุยด้วยว่า สมัยก่อนนั้นบ้านนี้สวยยังไง รุ่งเรืองยังไง คนสมัยก่อนนี่เขาแต่งตัวกันสวยแค่ไหน แต่ไม่มีมาให้เห็น หลับสบายทั้งสามคืนค่ะ
เทวาลัยอายุสี่ห้าร้อยปี แต่คนเนปาลก็ใช้เป็นที่นั่งเล่นแฮ้งเอ้าท์อยู่ทุกวัน ตอนเย็นๆนี่ที่จตุรัสโบราณคนเยอะมาก เป็นที่นัดพบของชาวบ้านทั่วไป นั่งดูคนแล้วเพลินมาก นั่งได้เป็นชั่วโมง ไม่มีใครมาวุ่นวายกับเราด้วย

ดิฉันนั้นไปไหนมาไหนมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เข้าพิพิธภัณฑ์มานับไม่ถ้วน
...แต่เจอแล้วค่ะ พิพิธภัณฑ์ที่สวยที่สุดในโลก อยู่ที่ลลิตปูร์นี้เอง เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังของนครแห่งความงามนี้เอง

ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ลลิตปูร์คือ 250 รูปี แพงเหมือนกันค่ะ ดิฉันเลยเข้าไปดูคนเดียว สองคนพ่อลูกไปเที่ยวสวนสัตว์แทน
*********************************************** บัลลังค์ราชาแห่งลลิตปูร์





คันทวยสวยคลาสิกที่สุดในโลก

สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของเนปาลนี่สวยจริงๆค่ะ

คันทวยรูปนาคราช สวยอีกแล้ว อยากตายแล้วไปเกิดใหม่ในยุคโบราณ ดิฉันนี่มันเกิดผิดยุคผิดสมัย

พระพุทธรูปอันงามหมดงดนี้ ถ่ายรูปมาจากในพิพิธภัณฑ์ที่ลลิตปูร์นะคะ เผื่อใครเสียดายตังค์ 250 รูปี ดูที่นี่ก็ได้ค่ะไม่ต้องเข้าไปให้เสียตังค์






ออกจากพิพิธภัณฑ์ ดิฉันก็นั่งถ่ายรูป นั่งเล่นดูคนอยู่แถวๆนั้นรอสองพ่อลูกที่ไปสวนสัตว์กันสองคน
************************************************หนุมานนั่งลากไส้ใครออกมาดูเล่นก็ไม่รู้ ใครอยากรู้ต้องไปหาโพยมานั่งอ่านกันเองนะคะ

เห็นแขกขายถั่วคนนี้เท่ดี เลยขอพี่เขาถ่ายรูป พี่แกก็ดีใจหายจัดท่าจัดถั่วของแกอย่างดีแล้วแอ๊กท่าให้ถ่าย
นี่ถ้าเป็นที่กัวเตมาลา(ทริปที่แล้วของดิฉัน) คนไม่ใจดีอย่างนี้หรอกนะคะ อาจจะโดนด่า หรือถ่ายรูปก้ได้แต่ต้องเสียตังค์
เห็นคุณพี่ขายถั่วคนนี้ก็ได้แต่นึกถึงความหลังครั้งเรียนหนังสืออยู่แถวๆท่าพระจันทร์ ในธรรมศาสตร์จะมีแขกขายถั่วคนหนึ่งชื่อ เบอนาร์ด เบอนาร์ดนั้นเป็นตำนานหนึ่งของธรรมศาสตร์ พอๆกับจิ๊งหน่องที่คณะศิลปศาสตร์เลยเชียวนะคะ
ใครที่เรียนอยู่ที่ท่าพระจันทร์ ต้องรู้จักเบอนาร์ด ต้องเคยโดนตามตื้อให้ซื้อถั่วจากเบอนาร์ดทุกคน
ไม่รู้ตอนนี้เบอนาร์ดยังขายถั่วอยู่หรือเปล่า หรือกลับไปอยู่อินเดียเสียแล้วก็ไม่รู้




สิ่งที่ดิฉันสามารถทำได้ทั้งวันที่ลลิตปูร์นี้ก็คือ นั่งดูคน
ที่ๆเหมาะกับการนั่งดูคนที่สุดคือ Durbar square ลืมบอกว่า durbar ภาษาเนปาล่แปลว่า Royal เป็นจตุรัสในเมืองต่างๆที่คนจะมานั่งแฮ้งค์เอาท์พูดจาพบปะกัน


ที่ดิฉันชอบมองที่สุดก็คือ ผุ้หญิงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสาวแก่แม่ม่าย ผู้หญิงเนปาลีจะแต่งตัวด้วยชุดส่าหรีเป็นส่วนใหญ่ ส่าหรีของแม่นางพวกนั้น จะมีสีสันตัดกันมาก แบบนุ่งเขียวห่มม่วง นุ่งเหลืองตัดเทา นุ่งฟ้าตัดชมพู นั่งดูทั้งวันไม่มีวันเบื่อ

ไทกับพ่อกลับมาจากไปเที่ยวสวนสัตว์ อีนังลูกดิฉันจิตตกมาแต่ไกล มันดีเพรซอีกแล้วค่ะท่านผู้อ่าน นั่งทำหน้ามุ่ยไม่พูดไม่จา ถามพ่อมันว่าลูกมันไปกินรังแตนจากที่ไหนมา
พ่อมันบอกไทมันดีเพรซมาจากสวนสัตว์ มันเห็นสัตว์อยู่ในกรงแคบๆแค่ขยับตัวก็ยังจะทำไม่ได้ มันเลยเศร้า
สามีบอกว่าเขาดินยังดีกว่าเยอะแยะเลยเธอ ยังมีการปรับปรุงให้กรงสัตว์เลียนแบบธรรมชาติ ไม่ต้องอยุ่ในซี่กรง

ไทเหลือบไปเห็นสร้อยเงินที่ดิฉันซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์ลลิตปูร์
Did you buy the new bracelet?
แม่นแล้ว
How much is it?
50 bucks ดิฉันตอบมันไป
มันโมโหค่ะ มันหันไปฟ้องพ่อมันทันทีว่า She just paid 50 bucks for a bracelet. Why didn't you say something?
พอ่มันหันไปบอกมันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า Because your mother has something called "A FULL-TIME JOB"
มันเงียบกริบ กลับไปทำหน้ามุ่ยอย่างเดิม

จบเสียทีนะคะสำหรับเนปาล ขอข้ามเรื่องของกินของซื้อไปเพราะคราวนี้เจ้าของกระทู้ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาจากเนปาลเลย อุตส่าห์หอบเงินไปตั้งหลายฟ่อน ไม่มีอะไรสวยๆถูกใจเจ้าของกระทู้ค่ะ
Until the next trip นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ

Create Date : 16 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 9:13:55 น. |
|
23 comments
|
Counter : 7186 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: หน่อยจิง IP: 124.120.243.235 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:10:35:37 น. |
|
|
|
โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:10:50:00 น. |
|
|
|
โดย: momnic วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:10:59:24 น. |
|
|
|
โดย: น้องอ้อย IP: 75.72.83.26 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:11:30:41 น. |
|
|
|
โดย: Parakeet IP: 75.73.179.139 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:11:32:12 น. |
|
|
|
โดย: micky IP: 58.8.12.170 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:11:40:55 น. |
|
|
|
โดย: micky IP: 58.8.7.104 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:21:49:02 น. |
|
|
|
โดย: หนูริวจัง วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:23:23:23 น. |
|
|
|
โดย: flymom (flymom ) วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:2:32:43 น. |
|
|
|
โดย: flymom IP: 97.127.6.163 วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:8:40:06 น. |
|
|
|
โดย: bite25 IP: unknown, 202.44.135.35 วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:16:46:01 น. |
|
|
|
โดย: Tip IP: 125.26.140.66 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:2:14:52 น. |
|
|
|
โดย: offita วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:9:28:15 น. |
|
|
|
โดย: แม่จัน Brainerd MN IP: 66.188.147.129 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:11:37:22 น. |
|
|
|
โดย: micky IP: 58.8.6.111 วันที่: 3 มกราคม 2553 เวลา:16:11:37 น. |
|
|
|
โดย: Let it be IP: 124.121.195.17 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:21:53:36 น. |
|
|
|
โดย: ลูกน้ำสีส้ม วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:6:09:59 น. |
|
|
|
โดย: สุดใจ IP: 192.168.1.123, 110.77.231.225 วันที่: 4 พฤษภาคม 2555 เวลา:12:56:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แปลกใจมากที่ไม่มีของช๊อปปิ้ง หนูเคยคิดว่าเนปาลน่าจะมีงานผ้าปักงาม ๆ เหมือนแถบอินเดียซะอีก