All Blog
ถูกตาต้องใจของจมื่นศรี


ถูกตาต้องใจของจมื่นศรี
 
            อันว่าความรักของหนุ่มสาวแรกรุ่นที่ริเริ่มจะมีรักแรกเช่นใคร ๆ เขา มิได้เกิดจากการคัดสรรเลือกให้เหมาะสมหรือผ่านการพิจารณาจากผู้ใด แต่เกิดจากหัวใจที่ปิ๊งรักโดยอัตโนมัติล้วน ๆ ห้ามปรามให้หยุดรักมิได้
            หลังจากหลวงพิชัยอกหักดังเป๊าะแลทำตัวสำมะเลเทเมา เอาแต่คลุ้มคลั่งถึงแต่แม่หญิงบัวผู้เป็นหลานสาวของสมุหพระกลาโหมศัตรูทางการเมืองของจ้าวทัศน์พระมหาอุปราช ทำให้แม่หญิงบัวต้องรีบออกเรือนไปแต่งงานกับคนที่สมุหพระกลาโหมพึงพอใจโดยเร็ว เพื่อกันไม่ให้หลวงพิชัยได้มีโอกาสใกล้ชิดอีกต่อไป
            สมุหพระกลาโหมคงไม่ต้องการให้แม่หญิงบัว หลานสาวไปรักใคร่ชอบพอกับพรรคพวกสมุนของศัตรูทางการเมืองเป็นแน่แท้ ด้วยประจักษ์แก่ใจเป็นแน่ชัดว่า อีกไม่นาน ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องมีอันเป็นไปด้วยการฆ่าล้างอีกฝ่ายให้หมดสิ้นไป ขึ้นกับโอกาสนั้นจะเป็นของใครได้ก่อน
            ใครจะยินยอมให้หลานสาวตกไปอยู่ในเงื้อมมือมัจจุราช ที่อาจมาคร่ายื้อยุดฉุดชีวิตไปได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิตที่มีรักนี้ให้คงอยู่ต่อไป อย่างน่าสงสารมากเพียงใด
            เมื่อแรกที่รู้ความ สมุหพระกลาโหมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลูกน้องคนสนิทที่เป็นสายสืบในวังหลวง ได้แอบมากระซิบข้างหู
“เห็นจะไม่เหมาะไม่ควรแล้วนะขอรับ กระผมสืบข่าวมาว่า หลวงพิชัยได้มาชอบพอหลงรักแม่หญิงบัว หลานสาวของท่าน”
            “อะไรกัน มันบังอาจมาก รู้ก็รู้กันอยู่ พวกเราเป็นอริทางการเมืองต่อกัน ยังริมาลักลอบเช่นนี้ มันหวังสิ่งใดกัน มาสืบความลับ รึมาหลอกให้หลงรัก ต้องจัดการอย่างรีบเร่งซะแล้ว ไอ้นี่มันกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว มาแหย่หนวดเสืออย่างข้าได้เยี่ยงไร”
สมุหพระกลาโหมพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อหน้าลูกน้องคนสนิท ด้วยไม่คิดว่า สองหนุ่มสาวรักกันด้วยใจ หาได้หวังผลทางการเมืองไม่ แลไม่ใส่ใจว่า หลานสาวจะเป็นเช่นไร เมื่อต้องพรากจากชายหนุ่มคนรัก แล้วแต่งงานกับชายอื่นที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นแม้สักนิด
สมุหพระกลาโหมยังคงด่ากราดเกรี้ยวเสียงดัง ด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อไปอีกสักครู่ มีแต่คำหยาบที่ผรุสวาทด่าทอหลวงพิชัย ที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่คงแอบสะอึกไปหลายยกแล้วกระมัง
 
            หลังจากนั้น พรรคพวกคนสนิทได้คิดหาวิธีพรากหนุ่มสาวคู่นี้ให้จากกัน
            “วิธีที่ดีที่สุด น่าจะให้แม่หญิงบัวออกเรือนแต่งงานกับคนของเราที่ไว้ใจได้นะขอรับ”
            “ต้องเลือกที่มันเชิดหน้าชูตา ให้ดูดีมีสง่าสมศักดิ์ศรีด้วย ต้องดีกว่าไอ้หลวงคนนั้น จะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าพวกมันที่กล้ามาหยามหน้าพวกเรา” สมุหพระกลาโหมตอบคนสนิท
            หลังจากการคัดสรรชายหนุ่มที่คิดว่ามีคุณสมบัติพร้อมสรรพ เหนือกว่าหลวงพิชัยมากมายนัก กำหนดการแต่งงานจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ
            คนทั่วไปอาจหลงเข้าใจว่า หลานสาวเผลอท้องหรืออย่างไร จึงต้องจัดงานอย่างกระทันหันเร่งด่วนเช่นนี้ แต่พรรคพวกของทั้งสองฝ่าย รู้แน่แก่ใจว่า นี่คือเกมการเมืองที่สมุหพระกลาโหมต้องการหยามหน้าอีกฝ่ายว่า จะมีปัญญาทำอะไรได้ไหม โดนหยามหน้าเสียขนาดนี้
            กลุ่มก๊วนของสมุหพระกลาโหมหัวเราะชอบใจที่วางแผนครั้งนี้ได้ ไม่คำนึงเลยว่า ผลร้ายจะตกแก่ใคร หลานสาวคนสวยต้องเสียน้ำตามมากเท่าไร เพียงเพื่อให้สาแก่ใจ ที่เอาชนะอีกฝ่ายได้
 
            เมื่อสมุหพระกลาโหมเรียกตัวแม่หญิงบัวออกจากวัง โดยทูลขอตัวว่า มีธุระด่วนจะเจรจาความนั้น แม่หญิงบัวเมื่อรู้เรื่อง มีสีหน้าตกใจและร้องไห้คร่ำครวญว่า “เวลาผ่านมานานสองนาน จนหลานรู้สึกยินดีในตัวคุณหลวงแล้ว เจ้าคุณลุงจะใจดำพอจะแยกเราสองจากกันหรือเจ้าคะ”
            อาการเศร้าสร้อยที่แม่หญิงบัวแสดงออกมานั้น ทำไมสมุหพระกลาโหมจะไม่รู้สึกและออกอาการสงสารเชียวหรือ จะใจอ่อนยอมตามหลานสาวหรือไม่ แต่ใจที่คัดค้าน บอกตัวเองว่า จำเป็นต้องทำ
สมุหพระกลาโหมรู้อยู่เต็มอกว่า อีกไม่นานนัก อาจเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันได้ แล้วถ้าหลานสาวแต่งงานกับฝ่ายตรงข้าม คงกระอักกระอ่วนใจพิกลที่จะจัดการกับฝ่ายนั้นให้เด็ดขาดลงไป
            หนทางแรกต้องแยกหลานสาวให้พ้นจากห้วงเหวแห่งความเศร้า ก่อนที่หลานสาวจะหลงรักหลวงพิชัยอย่างหัวปักหัวปำจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงจะมีอาการเศร้าบ้างที่แอบชอบพอเขาให้บ้างแล้ว อย่างไรเสียดีกว่าจะปล่อยให้เลยตามเลยไป ที่จะยิ่งแย่กว่าที่คิดเสียอีก
            จะว่าใจดำคงต้องยอม ที่ทำร้ายจิตใจหลานสาว แต่มันจำเป็นนี่นะ ได้แต่ให้คำแก้ตัว แก่ตัวเองไปว่า ธรรมดาหญิงสาวเมื่อแต่งงานไปกับชายใด สักวันจะรักสามีแน่นอน และลืมชายคนรักได้
“เจ้าคุณลุงเจ้าคะ หลานไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่หลานไม่ได้รักเลยนะคะ ขอเวลาสืบต่อไปอีกสักน้อย ให้เวลาหลานได้เลือกคู่ชีวิตคนใหม่ด้วยตัวของหลานเองเถอะนะคะ ถึงหลานจะรักคุณหลวงมากสักเพียงใด แต่เมื่อเจ้าคุณลุงไม่พึงพอใจเป็นอันมาก ด้วยเหตุผลทางการเมือง หลานจะไม่มีวันขัดคำสั่งเป็นอันขาด”
แม่หญิงบัวร้องไห้คร่ำครวญพร้อมพิรี้พิไร “ขอให้เวลาอีกสักนิด อย่าตัดรอนโดยเร็วนะเจ้าคะ หลานทำใจไม่ได้จริง ๆ”
ปกติสมุหพระกลาโหมไม่ยินยอมฟังใครให้มาคร่ำครวญ ร้องไห้ฟูมฟาย หรือโวยวายใส่ ด้วยความเป็นชายชาติทหารนักรบ ไม่ชอบคนอ่อนแอ แต่แม่หญิงบัวเป็นหลานสาวที่รักมาก จึงมีโอกาสได้สิทธิ์นี้ แต่ทว่าหาทำให้ใจอ่อนลงไม่ คงยืนกรานในความคิดเดิมและโดยรวดเร็วเสียด้วย ในการจัดงานแต่งให้แม่หญิงบัวกับนายทหารผู้มีอนาคตไกลคนหนึ่ง แต่จะไปไกลแค่ไหน ยังไม่มีใครยืนยันได้แน่ชัด
“คงไม่ดีกระมังหลานรัก ยิ่งนานวันยิ่งยากจะทำใจ หักด้ามพร้าด้วยเข่ามันบ่ดีหรอก ลุงเข้าใจ แต่เวลาเยี่ยงนี้ สถานการณ์รุนแรงเช่นนี้ วิธีนี้เหมาะที่สุดแล้ว พอแต่งงานกันไปก็รักกันเองนั่นแหละ เชื่อลุงเถอะนะคนดี” สมุหพระกลาโหมตัดบททันที แล้วรีบลุกหนีไป เป็นอันว่า ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์อีกต่อไป คำไหนต้องเป็นคำนั้น
 
หลังจากวันนั้น แม่หญิงบัวไม่ได้เข้าไปในวังอีกเลย ทำให้หลวงพิชัยไม่มีแม้แต่โอกาสจะร่ำลาสั่งเสียคำใด ๆ ต่อกัน รู้แต่ว่าแม่หญิงบัวกำลังจะแต่งงานในเร็ววันนี้เท่านั้น อย่างนี้จะไม่ทำให้วิมานทรายพังครืนลงไปต่อหน้าต่อตาได้เยี่ยงไรกัน
หน้าที่ปลอบใจคนอกหักดังเป๊าะ จึงเป็นของสหายรุ่นพี่ แต่หารู้ไม่ว่า จมื่นศรีกำลังดำเนินรอยตามหลวงพิชัยเข้าให้แล้ว สำคัญแต่ว่า จะเดินตามสุดเส้นทางหรือไม่ ในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองแสนจะอึมครึมมากมายเช่นนี้ ราวกับพายุพยับหมอกเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วปานฉะนี้
 
            จมื่นศรีกับหลวงเดชจึงมีหน้าที่ดูแลช่วยเหลือไม่ให้หลวงพิชัยอาการทรุดหนักลงกว่าเดิมด้วยการชักชวนให้ออกไปเที่ยวเล่นเผื่อว่าหลวงพิชัยจะไปปิ๊งรักกับสาวคนใหม่ทำให้ลืมแม่หญิงบัวได้ แต่ทว่าการณ์หาเป็นเช่นที่คิดไม่
หลวงพิชัยยังหาติดใจสาวใดไม่เพราะในใจมีแต่แม่หญิงบัวผู้สวยงามดังเทพธิดาในใจของเขาและคงจะหาผู้ใดมาทัดเทียมไม่ได้เลย ถึงจะหมดหวังในสาวคนรักแต่ใจหายอมเปิดรับรักใหม่ไม่
ไม่ว่ายามหลับตาลงนอน ก่อนหลับครั้งใด อดนึกถึงอุปสรรคที่ทำให้รักไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ครั้นนอนหลับสนิท ยังฝันร้ายเหมือนโดนเสือมาขย้ำตรงหัวใจ ให้รู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ เมื่ออยู่ว่าง ๆ ให้นึกถึงรักอันหวานชื่นครั้นตกหลุมรัก ใจพลอยเป็นสุข แต่พอตระหนักแจ้งแก่ใจว่า มันไม่ใช่นี่หว่า สาวเจ้ากำลังจะไปแต่งงานแล้ว ใจแป๊วขึ้นมาทันที
 
            ตอนนี้คนที่มีอาการหลงรักสาวจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นและมีอาการละเมอเพ้อพกถึงแต่หญิงงามในดวงใจกลับกลายเป็นจมื่นศรีผู้ซึ่งปกติมีมาดเคร่งขรึม เอาการเอางานแลจริงจังกับชีวิตไปเสียทุกเรื่องราว กลับเป็นคนที่มีอาการน่าเป็นห่วงเสียยิ่งกว่าหลวงพิชัย
            จมื่นศรีคิดถึงคะนึงหาแต่แม่เอื้อย ผู้ซึ่งยังไม่เคยเอ่ยปากพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มนิด ๆ จากปากของนาง เสียงหัวเราะเบา ๆ แบบกุลสตรีที่ไม่อ้าปากหัวเราะเสียงดังลั่นเช่นสาวน้อยมะลิ แค่นี้ทำให้ใจของจมื่นศรีสั่นระรัวได้เสียแล้ว
            ก่อนลาจากกันในวันแรกที่ได้พบ จมื่นศรีผู้เทใจให้แม่เอื้อยไปหมดห้องหัวใจแล้วนั้น ได้เอ่ยปากครั้งแรกเพื่อหวังได้ยินเสียงตอบรับจากสาวที่คิดว่าตนหลงรักไปหมดใจ ให้แน่ใจว่า สาวนี้ไม่ได้เป็นใบ้ให้หลงรักเก้อ
            “พี่ไปก่อนนะขอรับ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่อีกครา หวังว่าแม่เอื้อยคงยินดีที่จะพบเจอะเจอพี่นะขอรับ”
จมื่นศรีตั้งใจเจรจากับสาวคนรักโดยตรง ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิต รอยยิ้มเปื้อนหน้าเพราะความรักแท้ ๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ใจที่แข็งกระด้างกลับอ่อนโยนได้อย่างฉับพลัน
            “ค่ะ คุณพี่” คำตอบรับเพียงเท่านี้ สั้น ๆ ง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทำให้ใจของจมื่นศรีพองโตราวอึ่งอ่างที่ได้น้ำฝน สดชื่นอย่างหาใดมาเปรียบปานได้ ยิ่งรอยยิ้มนิด ๆ บนใบหน้าขณะตอบรับ ทำให้หัวใจของจมื่นศรีพองโตคับอกขึ้นมาทันที
            “ไม่นานนะขอรับ พี่จะมาหาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เสียงเบาแทบกระซิบตอบแม่เอื้อยอย่างรู้สึกเขินอายในการเจรจาความเช่นหนุ่มน้อยหลงรักสาวที่ยืนตรงหน้า
ส่วนสาวเจ้าให้รู้สึกเขินอายตอบเช่นกัน เมื่อรู้ภาษากายของหนุ่มตรงหน้าว่ามีเจตนาเช่นไรในคำพูดนี้
            คงเป็นครั้งแรกกระมัง ที่จมื่นศรีเริ่มเข้าใจหลวงพิชัยเพื่อนรัก ความรักเป็นเช่นนี้เองหนอ และรักแรกพบที่สะดุดหัวใจให้หยุดลงที่เธอเพียงผู้เดียว นี่เป็นฤทธิ์ของศรรักที่ปักอกดังปึ๊บของกามเทพ
หัวใจเต้นตึ๊ก ๆ ตั๊ก ๆ มันดังออกมานอกใจ ให้ใคร ๆ ได้ยินหรือไม่
            ส่วนหลวงเดชและหลวงพิชัยที่เฝ้ามองจมื่นศรีผู้พี่ ได้แต่แอบอมยิ้มในใบหน้า ด้วยไม่เคยเห็นท่วงทีกิริยาของพี่ท่านเช่นนี้มาก่อน จึงแอบขำอยู่แต่เพียงในใจ ไม่กล้าหัวเราะเสียงดังให้พี่ท่านเขินอายมากกว่านี้
            หลวงพิชัยยิ่งขำมากกว่าใคร ต่อไปพี่ท่านคงไม่กล้าหยอกล้อเรื่องรักของใครอีกแล้วเป็นแน่ เมื่อเจอเข้ากับตัวเองจริง ๆ จัง ๆ แค่แรกพบประสบพักตร์ก็หลงรักถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่การหยอกล้อเล่นของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาว แบบก้อร้อก่อติ๊กหรอก
 
            นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกัน จากเจตนาแรกหวังให้หลวงพิชัยได้พบเจอสาวคนใหม่ที่ถูกใจเพื่อลบภาพของแม่หญิงบัวให้จางหายไปจากใจ กลับกลายเป็นจมื่นศรีโดนศรกามเทพปักอกแทน
จมื่นศรีกลายเป็นคนที่มีจิตใจร้อนรนและคอยชวนเพื่อนไปแวะเยี่ยมหาสาวเอื้อยอีกบ่อยครั้ง จากชายหนุ่มเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อมีรักกับหญิงที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“แปลกไหมล่ะ พี่ท่าน อย่างนี้ต้องเรียกว่ากามเทพแผลงศร พี่ท่านเคยค่อนขอดน้องพลว่า ทำมั้ยทำไมแค่เจอแม่หญิงบัวให้หลงรักหัวปักหัวปำได้ คราวนี้ได้คำตอบหรือยังขอรับ”
หลวงเดชทำเสียงขำ ๆ หัวเราะในลำคอ เมื่อจมื่นศรีเอ่ยปากชวนให้ไปหาแม่เอื้อยอีกครั้ง หลังจากผ่านไปเพียงสองวัน “พอออกเวรให้ใจร้อนรุ่มถึงเพียงนี้เลยหรือขอรับ”
“อย่าพูดมากไปพี่เดช ไม่ถึงคราวตัวเองก็พูดมากได้ อยากรู้นักว่าถึงคราวที่พี่เดชโดนศรรักปักทรวงจะเป็นเช่นไร”
หลวงพิชัยตอบแทนจมื่นศรีที่กำลังหน้าแดงและพูดไม่ออกเมื่อโดนน้อง ๆ ล้อเลียนอาการที่หลงรักสาวเจ้า แม่เอื้อยลูกสาวกำนัน “อาจจะเฝ้าที่บันไดเรือนสาวเจ้าเช้าเย็นก็เป็นได้”
คราวนี้ทั้งสามถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น เมื่อต่างฝ่ายต่างล้อเลียนปฏิกริยาที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติของหนุ่มกลัดมัน ที่อยากพบเจอะเจอสาวคนรักด้วยแรงขับที่ไม่อาจห้ามปรามหรือหยุดยั้งได้ มีแต่คอยรับคำสั่งให้ทำตามใจปรารถนาเท่านั้น
            สามหนุ่มแวะเวียนไปหาสามสาวบ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ โดยมีจมื่นศรีเพียงผู้เดียวที่ใจเต้นระรัวทุกครั้งที่ไปหาแม่เอื้อย ส่วนสองหนุ่มไปเป็นเพื่อนเท่านั้นไม่ได้ยินดีหรือหลงใหลในอีกสองสาวอย่างคู่รัก ทุกคนคุยกันสนุกสนานในที่เปิดเผยโดยพ่อกำนันรับรู้ในการมาของหนุ่มทั้งสาม
            เมื่อจมื่นศรีแวะเวียนมาหาบ่อยครั้งขึ้น พ่อกำนันชักไม่ชอบใจ จึงเอ่ยปากสอบถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถึงเชื้อสายวงศ์ตระกูล ราวกับเป็นนายทะเบียนสอบข้อมูลลูกบ้านใหม่ว่าเป็นใคร มาจากไหน ฐานะเป็นเช่นไร ด้วยเริ่มแน่ใจแล้วว่าเป็นชายหนุ่มมาก้อร้อก้อติกหวังจีบลูกสาว ไม่ใช่มาเยี่ยมในฐานะคนรู้จักกันเท่านั้น
            กำนันเริ่มหวงลูกสาว กลัวหนุ่มในเมืองรูปร่างหน้าตีหล่อเหลาเอาการมาเคลมลูกสาวไปฟรี ๆ จึงต้องตีกันให้ชัดเจน ให้รู้ว่าจะมาจีบฟรี ๆ ไม่ได้ ถ้าจะมาและเล็มต้องคิดจริงจังตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวเปิดเผย ไม่ใช่มาทิ้งมาขว้างภายหลัง เป็นอันโดนลูกปืนเป็นแน่ขืนทำเช่นนั้น
            จมื่นศรีกราบพ่อกำนันอย่างอ่อนน้อม แล้วรายงานตัวอย่างเป็นทางการถึงยศตำแหน่ง  ชาติตระกูลและความจริงใจในการมาคบลูกสาวกำนัน
            “กระผมชื่อจมื่นศรีเป็นหัวหมื่นมหาดเล็กในเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ บิดาคือคุณพระศรีธรรมาขอรับ ที่กระผมมาเรือนท่านกำนันหวังผูกไมตรีด้วยใจจริงนะขอรับ ถ้ากระผมแน่ใจในความรักครั้งนี้ด้วยตกลงปลงใจแน่วแน่ทั้งสองฝ่ายแล้วไซร้ จะให้ท่านบิดามาสู่ขอเป็นทางการนะขอรับ ไม่ทราบท่านกำนันจะคิดเห็นเป็นประการใดบ้างขอรับ”
          กำนันได้รับรู้ข้อมูลว่าหนุ่มที่มาติดพันลูกสาวนั้นมีพร้อมทั้งฐานะการเงินชาติตระกูลตำแหน่งหน้าที่การงาน ให้รู้สึกยินดี แต่จะแสดงออกนอกหน้าคงดูไม่งาม จึงทำสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจ หัวใจพองโตด้วยความยินดีที่ลูกสาวชาวบ้านจะได้โอกาสอันดีได้คู่ครองเป็นขุนนางมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นศักดิ์ศรีแก่วงศ์ตระกูล
            อีกใจหนึ่งกำนันรู้อยู่เต็มอกว่า ตนเป็นพวกใคร และจมื่นศรีเป็นพวกใคร หวังแต่ว่าความแตกต่างทางความคิดและเป็นคนละฝ่าย คงจะไม่ทำให้เกิดอุปสรรค ดีเสียอีกที่ตนจะมีคนที่มีอำนาจคุ้มกะลาหัวถึงสองฝ่าย
            “ยินดีเช่นกันที่ได้รู้จักจมื่นศรีอย่างเป็นอย่างทางการ ต่อไปนี้จะไปมาหาสู่ จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจว่าไม่รู้เป็นผู้ใดที่มาเยือนเรือนบ่อยครั้งเกิน” กำนันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงออกอย่างออกนอกหน้านอกตาว่าดีใจหรือผิดหวัง เป็นการไว้มาดของกำนันนิด ๆ ไม่ใช่ตื่นเต้นยินดีที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนกับขุนนาง
           
            เข้าตามตรอกออกตามประตู
            คือหนทางที่ถูกต้องของชายหนุ่ม
            ที่หมายปองหญิงสาวมาเป็นของตน
            เมื่อผู้ใหญ่ยินยอมพร้อมใจรักจึงเดินต่อได้
 



Create Date : 26 มิถุนายน 2563
Last Update : 26 มิถุนายน 2563 8:42:04 น.
Counter : 705 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments