สองฝ่ายคิดต่าง สองเจ้านายคนละขั้ว
สองฝ่ายคิดต่าง สองเจ้านายคนละขั้ว
            ขุนนางเริ่มแบ่งขั้วเป็นสองฝ่าย ต่างคิดสะระตะจะเลือกข้างใดดี มันหมายถึงอนาคต และชะตากรรม แรก ๆ ยังเจรจาหาข้อมูล ไม่เปิดเผยตัวตนให้ชัดเจน กลุ่มหนุ่มมักเอนเอียงไปทางจ้าวทัศน์
            “มันชักจะยังไงซะแล้วนะ” คนแรกเริ่มเปิดประเด็น พวกพ้องเขยิบชิดเข้ามาใกล้วงกว่าเดิม
            “เบา ๆ หน่อย รู้นะว่าจะพูดเรื่องอะไร” คนนี้มีแวววิตกกังวล ”เผื่อมีใครได้ยิน”
            “แต่มันน่าคุยกัน ไม่งั้นไม่รู้อะไรเป็นอะไร ตกข่าวอาจยิ่งแย่” พออีกคนเปิดทาง วงนี้เริ่มคึกคักขึ้น ด้วยแน่ใจว่ามีแต่พวกเราเท่านั้น
            “กลุ่มนั้นเปิดเต็มหน้าตักเลยนะ นายใหญ่สุด เห็นมั้ย ชัด ๆ พวกลิ่วล้อเสนอหน้าสลอน ไม่รู้คิดการณ์ใหญ่ใด ทำลับ ๆ ล่อ ๆ”
            “จะอะไรล่ะ รู้รู้กันอยู่ หมดหนทางอดได้นั่นแหละ เคยได้จนชิน ทำทำจะชวด ก็คราวนี้แหละ”
            “เขาไม่เรียกอดกินหรอก น่าจะเป็นสวาปามไม่ได้ต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้ว่า ถ้าหัวไม่ขยับ หางจะส่ายรึ ทุกวันนี้ มีใครบ้างไม่โดนรีดไถ กลัวจนหัวหด ยอม ๆ จ่ายไป ทั้งที่แทบจะไม่เหลือกันแล้ว”
           
            ศึกการแย่งชิงอำนาจเริ่มต้นแล้ว และจะยุติเมื่อไร ต้องใช้ฝีมือพละกำลังเหนือกว่าอีกฝ่าย ทั้งเปิดเผยและแทงข้างหลัง
            ศึกการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุด ระหว่างขั้วอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ จะเป็นไปแบบดุเดือดเลือดพล่าน เปิดหน้าตักให้เห็นซึ่งหน้า หรือจะซุ่มแยบยล ทำสงครามเย็น สาดสีใส่โคลน ให้ชาวประชามาเป็นพวก เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม
ขั้วอำนาจเก่าทำทุกวิถีทาง ปกป้องตัวเองอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช เพื่อครองอำนาจให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าด้วยวิถีใด ทั้งสาดสีใส่โคลนพวกขั้วอำนาจใหม่ ยัดข้อหากบฏซะเลย
ทำไมต้องข้อหากบฏ
ทำไมต้องสาดสีใส่โคลน จนอำนาจใหม่เละตุ้มเป๊ะ
สมุหพระกลาโหมประกาศตนอย่างเปิดเผย ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง โดยมีลิ่วล้อรับกันเป็นทอด ๆ เพื่อจัดการกับจ้าวทัศน์ให้หลุดจากวงโคจรอำนาจใหม่ อีกคนที่โดนตั้งข้อสงสัยคือออกพระนายไวยคนสนิทของเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์
 
จ้าวทัศน์รู้สึกว่า โดนรุกไล่มากเกิน จะมัวแต่ตั้งรับ ไม่ได้แล้วมั้ง
วงสนทนาที่มีแต่คนใกล้ชิด ทหารสนิท คนรู้ใจ
“พระองค์จะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้กระมังขอรับ
“อุเหม่ มันจะปล่อยเลยตามเลยได้ยังไง กลุ่มนั้นเน่าเหม็นฟอนเฟะเกินกำลัง มีแต่ฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ข่มเหงราษฎร ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมซะขนาดนั้น”
“แต่มันยังไม่ถึงเวลารึเปล่า พวกเรายังมีกำลังไม่กล้าแข็ง จะไปสู้กับพญาเหยี่ยวได้ไง”
“เฮ้ย แต่พวกเราน่ะ พญาอินทรีเหมือนกันนะ” ทุกคนหรี่ตามอง “จริงรึ พวกเราเป็นพญาอินทรีแล้วจริงรึ กำลังทหารในเมืองน่ะ น่ากลัว พวกเรามีแค่ทหารรักษาพระราชวัง”
“นอกจากทหาร ชาวบ้านน่ะเทิดทูนทีเดียว พวกนั้นเกาะกุมอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ คงยากที่
จะปล่อยไปจากมือง่าย ๆ แล้วใครหน้าไหนจะกล้ามาแหยมต่อกรด้วย ยกเว้นแต่พวกเรากระมัง”
“จะสู้ ให้ชนะ ต้องมีฝีมือเก่งกาจและฉลาดหลักแหลมกว่ามาก ไม่เช่นนั้น อย่าไปคิดต่อกรด้วย เป็นอันขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
“พูดแบบนี้ ก็เกินไป พวกเราไม่กระจอกนัก ต้องตั้งหลักกันให้ดี โอกาสชนะ มองเห็น ๆ”
วงนี้คุยกันแบบเคร่งเครียด เพื่อหาทางต่อสู้กับกลุ่มนั้น
 
ผู้นำขั้วอำนาจใหม่ได้แก่จ้าวทัศน์ พระโอรสในเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ผู้หวังจะพัฒนาบ้านเมืองตามแนวสมัยใหม่อย่างคนต่างชาติต่างภาษาที่ได้ชื่อว่ามีอารยธรรม
จ้าวทัศน์ ผู้ซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าเหนือหัวลำดับต่อไป ยังไม่มีสมัครพรรคพวกที่จงรักภักดี และประชาชีที่หนุนด้วยใจที่จงรัก มากเท่ากลุ่มนั้น
            การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
ระหว่างขั้วอำนาจเก่ากับขั้วอำนาจใหม่
มีเสมอมาทุกยุคทุกสมัย
            อำนาจเก่าเป็นทหารที่ร่วมกอบกู้เอกราช มีแต่ชาวบ้านที่เทิดทูนว่าเก่งกล้าสามารถ มีทหารหาญอยู่ในกำมือ พร้อมสั่งลุย ให้ตายในสนามรบได้ทันที
ถ้ารู้ว่ามีหนุ่มหน้ามนคนหน้าใหม่มาลองเชิง ยะโสโอหังเข้าใส่ อาจโดนดี ด้วยอำนาจที่มีสามารถทำให้ผู้ท้าชิงโดนโทษทัณฑ์ได้เกือบทุกคดี ปิดปากเงียบ ๆ หรือตั้งข้อหาให้ติดคุกหัวโต ความผิดน่ะหาง่าย ยัดข้อหาให้ จากถูกเป็นผิดได้ไม่ยากนัก
           ส่วนฝ่ายตน ผิดเป็นถูก ไม่มีวันเสียล่ะ ที่จะเป็นฝ่ายผิด ในเมื่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด เป็นพวกเดียวกัน ที่พร้อมใจจะทำตาม แม้แต่เรื่องใหญ่เช่นโค่นบัลลังก์ยังทำได้
ใครจะชนะ ใครจะเพลี่ยงพล้ำ
           
            หลังพิธีแต่งตั้งจ้าวทัศน์เป็นพระมหาอุปราช บรรยากาศทางการเมืองเริ่มอึมครึม และหม่น หมองมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่า จ้าวทัศน์คิดก่อกบฏ หวังจะเป็นเจ้าเหนือหัวเสียโดยเร็ว ไม่คิดจะรอให้สิ้นพระบิดาเสียก่อน
“อย่างนี้เป็นลูกอกตัญญูนะ ใจบาปหยาบช้า” เสียงก่นด่ารุนแรงตามมาติด ๆ เมื่อเสียงกระซิบนินทาว่าร้าย แผ่ขยายไปยิ่งกว่าไฟไหม้ฟาง ลามทุ่งรวดเร็ว
เหตุการณ์บานปลายที่เกิดจากการสร้างความรู้สึกเกลียดชัง จากคำยุแยงของบรรดาบ่างช่างยุได้ก่อตัวอย่างรุนแรงราวพายุบ้าคลั่ง แผนแรกดูสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ปากต่อปาก ช่วยกันโพนทะนา จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสิบ จากกลุ่มเล็กเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วทั้งบ้านทั้งเมือง ทุกครัวเรือน รู้กันไปทั่วว่า ลูกคิดล้มพ่อ ไม่ยอมรอให้พ่อสิ้น หวังเป็นใหญ่ในเร็ววัน
ไม่มีใครแก้ข้อกล่าวหานี้ได้เลย ได้แต่เออออห่อหมก เห็นจริงเห็นจัง แล้วเล่าต่ออย่างเมามันในอารมณ์ ราวกับรู้เห็นด้วยตา แจ้งแก่ใจแล้วฉะนั้น
วิธีการนี้อาจสกปรกในสายตาบางคน แต่ใช้ได้เกือบทุกยุคทุกสมัย
การสร้างความเกลียดชังอย่างฝังจิตฝังใจ แล้วเกิดอคติ พร้อมจะเข้าร่วมกับพัวพันพวกที่คิดเห็นเหมือนตน เข้าโรมรันด่าทอฝ่ายตรงข้าม อย่างปากไม่มีหูรูด
 
ขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ใช้กลยุทธ์เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ และดึงฐานอำนาจทางทหารมาฝ่ายตนให้มากที่สุด
ต่างฝ่ายต่างหาวิธีช่วงชิงอำนาจมาเป็นของตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จ้าวทัศน์ตกเป็นเป้าสังหาร คิดหาวิธีแก้เกม
ศัตรูทางการเมือง กลุ่มอำนาจเดิม มีกองทหารพร้อมลุย แล้วเขาล่ะ ไม่มีฐานอำนาจทางการทหารเลย นอกจากกรมทหารรักษาพระองค์เท่านั้น คงยากที่จะต่อกรกับทหารของแผ่นดิน ภายใต้อำนาจของสมุหพระกลาโหม
เมื่อจ้าวทัศน์ได้มีรับสั่งให้คนสนิทกลุ่มเดิมมาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อปรึกษาหารือวางแผนรับมือ ได้รับคำแนะนำที่อาจต่อกรได้
“อย่าลืมว่า การยอมอ่อนข้อต่อขั้วอำนาจเก่า อาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ตอนนี้น่าจะเลยเวลาของการอ่อนข้อแล้ว มีหนทางเดียวคือสู้และสู้ อย่างมีชั้นเชิงเท่านั้น” สิงห์เอ่ยปากก่อน
“มันเล่นสกปรก กล่าวหาว่า ข้าคิดกบฏ จะทำเช่นนั้นทำไม ในเมื่ออีกไม่นาน ข้าจะได้ในสิ่งที่ควรได้อยู่แล้ว ใครกันนะที่หลงเชื่อ” จ้าวทัศน์บ่นขึ้นมา
“คนส่วนใหญ่เริ่มเชื่อและเชื่อมากแล้ว ข้อหาเช่นนี้ปัดออกไปเถอะ มันเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในเกมจัดการคู่ต่อสู้ อย่าหวั่นไหว มาลองคิดวิธีต่อสู้กันดีกว่า เช่น ถึงพวกเราจะมีกำลังน้อยนิด แต่ถ้าพวกนี้มีฝีมือเต็มที่ อาจรับมือได้บ้าง ดีกว่ายอมแพ้แล้วเลิกรา การยอมทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ นั่นเท่ากับเราแพ้ไปแล้วนะขอรับ”
สิงห์พูดต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อหวังให้จ้าวทัศน์สงบลง จะได้คิดหาวิธีแก้เกมได้บ้าง
“ถ้าข้าสามารถสับเปลี่ยนกองกำลังที่แข็งแกร่งและเก่งกาจให้มาอยู่ฝ่ายเรา ตัดกองกำลังที่เก่งออกมา และย้ายพวกเก่งน้อยกว่าให้ไปเป็นมือขวาของพวกนั้นแทนจะดีไหม” จ้าวทัศน์หยั่งเชิง
“ตอนนี้พวกนั้นยังคิดว่า เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ยังอยู่ฝ่ายพวกเขาอยู่ เพราะเสียงลือใส่ไคล้ว่าพระองค์จะก่อกบฏ อาจทำให้ไขว้เขวได้ ถ้าเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ยอมใช้อำนาจสับเปลี่ยนกองกำลังตามที่พวกเราต้องการ จะเกิดปฏิกริยาแน่นอน พวกนั้นอาจคิดว่า เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์อยู่ฝ่ายพวกเรา ซึ่งไม่ดีต่อพวกเราเท่าใดนัก เหมือนหักด้ามพร้าด้วยเข่า พวกนั้นอาจรุกคืบต่อสู้อย่างเปิดเผย เกิดสงครามกลางเมืองได้ เท่าที่ผ่านมา เราแอบสับเปลี่ยนกองกำลังได้มาส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าขืนบุ่มบ่าม ทำอย่างเปิดเผยตอบโต้อย่างรุนแรงก่อน ไม่แน่ว่า ผลจะลงเอยเช่นไร”
สิงห์ค่อย ๆ พูด ให้เห็นว่า ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดผลเช่นไรบ้าง
“ใช่ การปล่อยให้พวกนั้นชะล่าใจว่า เจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์ยังไม่ได้เข้าข้างพวกเราอย่างเปิดเผย อาจเป็นผลดีต่อพวกเราก็เป็นได้” สิงห์กล่าวตอบ “แต่พระองค์ควรพูดคุยเป็นการส่วนพระองค์กับพระราชบิดา โดยไม่ให้ใครได้รู้เห็นหรือแอบได้ยินเป็นอันขาด เราไว้ใจใครไม่ได้แม้สักคน”
“ไม่ได้แม้สักคนเลยรึ แม้แต่ออกพระนายไวยคนสนิทที่แทบจะเฝ้าพระราชบิดาตลอดเวลาอย่างนั้นรึ” จ้าวทัศน์เอ่ยปากถาม เพื่อความแน่ใจ
“กระผมคิดว่า ออกพระนายไวยอาจจะเป็นหนึ่งในพวกของสมุหพระกลาโหมก็เป็นได้ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจนัก” แก้วกล่าวเสริม ด้วยรู้ระแคะระคายมาบ้างนิดหน่อย
“พวกเราคงต้องฝึกกองกำลังที่มีอยู่ให้เก่งที่สุด อย่างน้อยเพื่อปกป้องตัวเองจากกองกำลังของพวกสมุหพระกลาโหม แต่ต้องทำในทางลับ อย่าเปิดเผยให้มากความ อาจเสียแผนได้”
ขวัญเสนอความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง ด้วยเสียงเบา ๆ แบบไม่ค่อยแน่ใจนัก แล้วเสริมต่อว่า
“เพราะถ้าเราไว้ใจใครไม่ได้ เราต้องพยายามหาคนใหม่ที่เราคิดว่าไว้ใจได้ ให้อยู่ใกล้ตัวของเราให้มากที่สุดด้วย อย่าไว้ใจออกพระนายไวยให้อยู่ใกล้ และอย่าให้พวกของออกพระนายไวยได้ใกล้ตัวและรู้ความทั้งหมดที่พวกเราวางแผนเจรจาความกันด้วยนะขอรับ”
“ข้าจะลองหาเวลาไปพูดคุย เสนอข้อคิดเห็น ถวายรายงานต่อพระราชบิดาเป็นการส่วนพระองค์ให้ได้ อย่างน้อยจะได้เปิดใจเรื่องเสียงลือเหล่านั้น ให้หายคลางแคลงพระทัย”
จ้าวทัศน์กล่าวสรุป “และจะหยั่งท่าทีของพระองค์ที่มีต่อข้าด้วย ว่าเชื่อในข่าวลือ และไม่ไว้ใจ หรืออาจได้รับคำแนะนำที่ดี ๆ ที่จะรับมือฝ่ายนั้นด้วย”
ทั้งหมดพูดคุยกันในที่ลับ ที่ที่ไม่มีพวกของสมุหพระกลาโหมหรือออกพระนายไวยได้ยิน แต่ทว่าคงไม่พ้นสายตาสอดแนมของพวกนั้น ที่รู้ว่า ทั้งสาม สิงห์ ขวัญ แก้ว และข้าหลวงคนสนิทได้เข้าพบกับจ้าวทัศน์และพูดคุยกันเป็นนานสองนาน แต่ไม่รู้ความที่พูดคุยกัน
พวกนั้น คงได้แต่คาดเดาว่า พูดคุยปรึกษาหารือเรื่องใดกัน เพราะมองไกล ๆ เห็นแต่สีหน้าที่เคร่งเครียด ไม่มีเสียงหัวเราะเฮฮา และไม่ได้ยินเสียงที่พูดคุยกันแม้สักนิด
 
ด้วยตำแหน่งของพระมหาอุปราชแห่งกรุงราฐมัณฑ์มีอำนาจรองจากเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์เท่านั้น เรียกว่า รองเพียงหนึ่งแต่เหนือกว่าคนทั่วหล้า จึงมีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์กระทำการสิ่งใดก็ได้
ในความเป็นจริงมิอาจเป็นเช่นนั้นเต็มร้อย ด้วยสมุหพระกลาโหมผู้กุมอำนาจทางทหารทั่วราชอาณาจักรไม่ค่อยเป็นมิตรและสนับสนุนจ้าวทัศน์สักเท่าใดนัก
ด้วยเห็นว่าอ่อนเยาว์กว่าตนมาก แถมยังไม่กริ่งเกรงต่อตนเท่าที่ควรจะเป็น ออกจะกระด้างกระเดื่องเสียด้วยซ้ำ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สิ่งที่เกิดนี้เริ่มต้นจากคนใกล้ชิดที่คอยเติมเชื้อไฟแห่งความเกลียดชังสุมขึ้นมาวันละเล็กวันละน้อย จนเพลิงสามารถเผาผลาญสิ่งใหญ่ ๆ ให้วอดวายไปจนหมดสิ้นได้ แล้วรอยร้าวทั้งหมด เกิดจากจุดเล็ก ๆ ภายในใจที่เต็มไปจิตริษยาของตนเท่านั้น
ฝ่ายหนึ่งคิดว่าตนใหญ่โตเป็นถึงพระมหาอุปราช เมื่อชี้นกเป็นไม้ ทั่วทั้งหล้าย่อมต้องคล้อยตามเห็นนกเป็นไม้เช่นกัน จะมาอ้างเหตุผลความถูกต้องใด ๆ ไม่ได้ แล้วสิ่งที่ตนคิดนี้ดีต่อชาติยิ่งนัก จะปล่อยให้ล้าหลังไม่ทันสมัย คงโดนต่างชาติมาฮุบเมืองเสียได้
อีกฝ่ายคิดว่าตนเป็นถึงสมุหพระกลาโหม ใหญ่โตคับฟ้า เป็นรองเพียงเจ้าเหนือหัวอิศเรศรังสรรค์เท่านั้น เมื่อสิ้นเจ้าเหนือหัวลักษมันตราธิราช ตนเท่านั้นที่มีอำนาจทางทหารดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งในกรุงและป้องกันต่างชาติมารุกราน เหตุไฉน เด็กน้อยเมื่อวานซืนจึงมาทำอหังการ์ได้
ต่างฝ่ายต่างคิดว่า ตนเป็นรองเพียงหนึ่งเท่านั้น คือ เจ้าเหนือหัว เมื่อมีผู้มาแข่งอำนาจ มีหรือจะยอมกันได้ง่าย ๆ
เมื่อเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ จำต้องหาทางริดรอนอำนาจของอีกฝ่ายให้น้อยลง
 
 



Create Date : 10 กรกฎาคม 2566
Last Update : 10 กรกฎาคม 2566 5:18:54 น.
Counter : 413 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments