สำหรับคนอยากขาวด้วยกลูตาไธโอน
ช่วงนี้มีพี่ๆน้องๆหลายคนปรึกษาเรื่องอยากขาวๆ กันมากๆ โดยเฉพาะการใช้สารพวกกลูตาไธโอน หรือบางคนเรียกกลูต้า ซึ่งในปัจจุบันวางขายกันเกร่อตามร้านขายยา หรือจะสั่งผ่านเน็ตก็มีโฆษณามากมายหาซื้อกันง่ายยิ่งกว่าน้ำยาล้างจานซะอีก แถมมีแบบฉีดตามคลีนิคต่างๆมากมาย เลยลองเก็บข้อมูลจาก แหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น FDA, Thaiclinic.com, บทให้สัมภาษณ์ของคุณหมอเก่งๆที่ไม่มีผลประโยชน์จากเรื่องนี้ มาลองแชร์กันดูครับ ข้อระมัดระวังของคนอยากขาวด้วยกลูตาไธโอน อันสืบเนื่องมาจากข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องการฉีดยาทำให้ตัวขาว ทางองค์การอาหารและยาของไทยออกมาเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังการฉีดสารชนิดนี้ สารที่ใช้ฉีดชนิดนี้คืออะไร?? สารที่ฉีดมีชื่อว่า กลูตาไทโอน ( Glutathione) ซึ่งนับว่าเป็นยาชนิดหนึ่งไม่ใช่วิตามินหรืออาหารเสริมใดๆ มีทั้งในรูปแบบของยากินและยาฉีด ปัจจุบันยังไม่เป็นยาที่ได้รับอนุญาติให้ใช้ในประเทศไทย กลูตาไทโอน( glutathione ) เป็นยาที่ใช้ในคนไข้โรคตับ ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคหัวใจ ส่วนรายงานในเรื่องการรักษาทำให้ผิวขาวยังไม่มีรายงานที่แน่ชัด ส่วนความปลอดภัยในการฉีดพบว่าสารกลูตาไทโอนสามารถทำให้เกิดการแพ้ชนิดร้ายแรงได้ ดังนั้นการฉีดเพื่อตัวขาวจึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง นพ. สมนึก อมรสิริพาณิชย์ อเมริกันบอร์ดทางผิวหนัง สารตัวนี้มีลักษณะ เป็นอณูของโปรตีนที่เกิดจาก กรด อะมิโน 3 ชนิด มาประกอบกันคือ Cysteine Glutamate และ Glycine โดยปกติเซลล์ในร่างกายสามารถสร้างเองได้ จากกระบวนปฏิกิริยา ชีวเคมีในเซลล์ทั่วไป แต่ที่ทำงานสร้าง สารนี้มากที่สุดก็คือ ที่ตับของเรา การสร้างสารนี้ต้องอาศัย เอนไซม์ อย่างน้อย 2 ชนิด ดังนั้น หากมียีนผิดปกติเกี่ยวกับเอนไซม์ ทั้ง2 ชนิดนี้ก็จะไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้ สารชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสารอณุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซม เซลล์ และ ทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย หากการสร้างสารนี้ผิดปกติหรือไม่สร้าง จะทำให้เสียชีวิตใน1-2 เดือนหลังคลอดได้ สารชนิดนี้เมื่อถูกสร้างก็จะถูกใช้ไปเป็นลำดับ หาก การใช้มีมากก็ต้องทดแทนมากขึ้นโดยการสร้าง ถ้ามีการวัดสาร Glutathione ว่าถูกใช้ไปเท่าไรก็จะสามารถบ่งบอกสภาวะความเครียดของร่างกายได้ การให้สาร Glutathione ทดแทนและเสริมนั้นสามารถทำได้โดยการรับประทาน สารที่เป็นวัตถุดิบคือ N-acetyl cysteine หรือรับประทานอาหาร ที่มีสารวัตถุดิบหลักนี้ตามธรรมชาติ เช่น รับประทาน yogurt, granola, duck, oatmeal flakes, toasted wheat germ, cottage cheese โปรตีน นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม แต่การกินสาร Glutathione โดยตรงจะไม่สามารถดูดซึมได้ดีเท่าที่ควร ความนิยมทีใช้สาร Glutathione เพื่อให้ผิวขาวขึ้นนั้น อาจจะมาจาก ความพยายามที่จะให้สาร Glutathione ไปยับยั้งการสร้าง เม็ดสี เพราะสาร Glutathione สามารถกดการทำงานของของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว แต่ทำไมถึงต้องนำมาฉีดกัน คำตอบง่ายๆก็คือ พยายามทำให้ซับซ้อนขึ้นจะได้ต้องมาพบแพทย์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้นเอง โทษของการฉีดสาร Glutathione น่าจะต้องมีเพราะ ปฏิกิริยาในการสร้าง สารนี้ถูกจำกัดด้วยเอนไซม์โดยตรงที่ต้องหยุดสร้างเพื่อรักษาสมดุล ดังนั้นสารนี้จึงห้ามมีมากเกินไปในธรรมชาติ หากจะอ้างเรื่องการฉีดเพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย คงต้องมีการเจาะวัดระดับ สารตัวนี้ว่าอยู่ในระดับที่สมดุลหรือไม่เป็นการควบคุมโดยตรงในทุกครั้งที่มีการฉีดจึงจะมีเหตุผล การฉีดสารนี้มีการทำกันเฉพาะกรณี ฉุกเฉินและเป็นกังวลต่อชีวิต เช่น การฉีดเพื่อรักษากล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเพราะมีเส้นเลือดอุดตัน หรือ ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ระหว่างการผ่าตัดทำ cardiopulmonary bypass ทั้งนี้เพราะสาร Glutathione สามารถกระตุ้นการสร้าง Nitric oxide ซึ่งมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดได้ แต่การขยายตัวของเลือดจะทำให้เกิดความดันต่ำและทำให้หัวใจเกิดปัญหาได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกร็ดเลือดไม่จับตัวกันทำให้เลือดหยุดช้ากว่าปกติ มีผู้รู้หลายท่าน มีความกังวลว่าหากมีสาร Glutathione ในร่างกายมากเกินไปจะสามารถทำให้มะเร็งลุกลามได้เร็วกว่าปกติ เพราะเลือดสามารถไปเลี้ยงมะเร็งได้มากขึ้น และกระบวนการทำลายมะเร็งก็จะลดประสิทธิภาพลง ในธรรมชาติพบสารชนิดนี้ได้ในพืชผักชนิดต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่จะพบมากใน Asparagus อะโวกาโด และ Walnut ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูตาไทโอนได้และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการสร้างได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2 , Vitamin C และ Selenium ภาวะการขาด : โดยปกติแล้วร่างกายเราจะไม่ขาดกลูตาไทโอน นอกเสียจากจะเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้เกิดความต้องการสารตัวนี้มากขึ้น หรือโรคที่ต้านการสร้าง Glutathione โรคหรืออาการบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขาด สารนี้หรือต้องการสารนี้ในปริมาณเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคตับ เบาหวาน โรคความดัน ต้อหิน มะเร็ง เอดส์ ฯลฯ ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะพบว่ามีระดับกลูตาไทโอน ในเลือดต่ำ เนื่องจากอัตราในการใช้กลูตาไทโอน เพิ่มขึ้น
ชนิดและขนาดรับประทาน : ปัจจุบันกลูตาไทโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคชนิดต่างๆ ที่ตรวจพบว่ามีการขาดสารนี้ควรใช้ตามแพทย์แนะนำ ในแง่ของการป้องกัน หรือเพื่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ขนาดที่รับประทานคือ 500-1000
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังไม่รับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไทโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่เคยมีผลรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้น จึงไม่ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย จะสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตอย่างไร แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้องแต่เป็นใช้สารดังกล่าวในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ส่วนการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นถือเป็นเพียงผลข้างเคียง ซึ่งกลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาโรคนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ โดยใช้ในการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็กภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มี fibrosis ที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยา cisplatin เพื่อป้องกันพิษต่อสมอง เป็นต้น โดยยังไม่มีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรง มีเพียง Cutaneous eruptions ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น นอกจากนี้การที่ผิวขาวขึ้นนั้นเป็นเพียงผลข้างเคียงของการรักษาเท่านั้น ไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไทโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร หากนำสารกลูตาไทโอนมาฉีดเข้าร่างกาย โดยหวังผลให้ผิวขาวต้องใช้ยาในปริมาณที่สูงมากเพื่อให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาวได้ ซึ่งจะมีอันตรายทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย เพราะเซลล์สีถูกกดจากสารที่ฉีดก็จะสร้างเม็ดสีน้อยลง โดยเม็ดสีมีความจำเป็นในการป้องกันอันตรายจากแสงอัลตราไวโอเลต และเป็นองค์ประกอบสำคัญของจอตาในลูกตา การฉีดยาที่มีผลให้เม็ดสีลดลงส่งผลกระทบต่อจอตาและการรับแสงโดยตรง และเมื่อลดกระบวนการป้องกันอันตรายจากแสงอัตราไวโอเลต เซลล์ก็จะเสื่อมเร็วขึ้น ผิวขาวมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่สำคัญคือการฉีดสารชนิดนี้เข้าเส้นเลือดดำโดยตรงในปริมาณมากถือเป็นเรื่องอันตรายมาก คนไข้อาจช็อกตายขณะฉีดได้ ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานเกี่ยวกับผู้แพ้ยาฉีด กลูตาไทโอนอย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งอันตรายขนาดเสียชีวิตได้ทันที หากแพทย์ไม่มีอุปกรณ์กู้ชีพเตรียมพร้อมไว้ ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว เพราะสารชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึม และจะถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000-5,000 บาท ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิมจึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ
ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้กลูตาไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว เนื่องจาก กลูตาไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูตาไธโอนสูงถึง 500-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ คือ ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือส่งผลในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้ และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูกทำลาย แม้การบริโภคกลูตาไธโอนในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อน อาจทำให้ปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายผลิตได้ลดลง ทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้งเหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูตาไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด สรุปว่าไม่ว่าจะกินหรือจะฉีด ก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวขึ้น หรือทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการฉีดให้ผิวขาวนั้น ยังไม่มีผลการยืนยันที่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง การทานก็เช่นเดียวกัน กลูตาไธโอนที่ผลิตขึ้นเป็นเม็ดแคปซูล ไม่สามารถย่อยและดูดซึมในกระเพาะได้ ดังนั้น การรับประทานจึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย ร่างกายจะสามารถใช้ประโยชน์จากการกลูตาไธโอนก็ต่อเมื่อมีการย่อยอาหารและสังเคราะห์สารนี้ขึ้นมาในร่างกายเราเองเท่านั้น
Free TextEditor
Create Date : 02 เมษายน 2552 |
| |
|
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 17:16:45 น. |
| |
Counter : 4074 Pageviews. |
| |
|
|