อย่าซื้อหัวเดอร์มาโรลเลอร์มาทำเองที่บ้าน

สวัสดีครับ ไม่ได้เขียน Blog มาเนิ่นนานมาก แต่รีบเข้ามาเขียน เพราะ search เจอ ข้อเขียนของผมเองโดนก็อปไป ประกอบโฆษณาขายหัวเดอร์มาโรลเลอร์ทางอินเทอร์เน็ตให้ไปทำเองที่บ้านเยอะมาก ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว :D ผมไม่เคยแนะนำการซื้อหัวเดอร์มาโรลเลอร์ไปทำเองที่บ้านเลยนะครับ ลองอ่านข้อเขียนเก่าๆผมดูได้ มีแต่เตือนว่าอย่าซื้อไปทำเอง

กลัวจะเข้าใจผิดกันครับว่า ซื้อหัวเดอร์มาโรลเลอร์มาทำเองที่บ้านก็ได้ผลเหมือนๆกัน หรือมองไม่เห็นอันตรายต่างๆที่แฝงมา
ผมเลยต้องขอเข้ามาแนะนำเพื่อให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมกันนะครับ


ก่อนอื่น ทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ หัวเดอร์มาโรลเลอร์ที่คุณไปซื้อมาจากร้านในต่างประเทศที่ขายถูกต้องแบบที่ให้ไปทำเองที่บ้าน เข็มจะสั้นกว่าแบบที่ใช้ในคลินิคเยอะครับ ส่วนหัวจีนไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่งอไม่หลุดตอนกลิ้งก็เป็นบุญแล้ว ที่เอามาแอบๆขายกันใน internet ราคาถูกๆนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของจีนนะครับ อย่าไปซื้อมาใช้ครับ สงสารหน้าคุณเถอะครับ

ทีนี้หลักการทำเดอร์มาโรลเลอร์มันคือการกลิ้งลูกกลิ้งโรลเลอร์ลงไปบนผิวหนัง ให้เกิดรอยเข็มเล็กๆๆทั่วหน้า แล้วให้ผิวซ่อมตัวเอง แต่ว่าในทางปฏิบัติมันไม่ใช่ง่ายๆแบบนี้นะครับ ไม่งั้นเราเอาเข็มมานั่งจิ้มหน้าตัวเองทุกวัน คงหน้าเด้งดึ๋งดั๋งเป็นซุปตากันทุกคนแล้ว จริงมั้ยครับ มันมีอะไรเยอะกว่านั้นครับ องค์ประกอบที่ทำให้มันได้ผลก็ประมาณนี้ครับ

1. ความลึกของเข็ม ต้องลึกพอดี ตื้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เกาหน้าตัวเองเล่นจะสนุกกว่า ลึกไปก็บาดเจ็บเกินอักเสบเป็นหนองได้ กว้างไปก็เป็นแผลเป็นรอยได้ ต้องพอดีๆ
2. ความสะอาดของเข็ม ต้องสะอาดหมดจดไม่ใช้ร่วมกัน ไม่งั้นติดเชื้อหน้าเยินสถานเดียว
3. ต้องเตรียมหน้าเป็น ไม่ใช่นั่งรถเมล์กลับมาบ้าน ปุ๊บก็ลุยเลย หน้าก็ไม่ล้างไม่เช็ด สกปรกติดเชื้อได้นะครับ ต้องเช็ดล้างทำความสะอาดอย่างดียิ่งให้ปลอดเชื้อที่สุด
4. ที่คลินิคเค้าไม่ได้จิ้มเปล่านะครับ เค้าจะมีสารละลายทาด้วย พวกนี้เป็นสูตรเฉพาะของใครของมัน เพื่อลดการติดเชื้อ ฟื้นฟูสภาพผิวและอื่นๆอีกมากมาย จะดีมากดีน้อยให้ผลแตกต่างกันในแต่ละคลินิคก็ตรงนี้แหละครับ
ไม่ใช้เอาหัวเดอร์มาโรลเลอร์มากลิ้งเปล่าๆนะครับ
5. การดูแลผิวหลังทำ ควรจะมีคุณหมอดูนะครับ ว่าแพ้มั้ย เป็นรอยมากมั้ย แล้วก็ต้องมียามาทาหลังจากนั้นบ้าง แล้วแต่สูตรนะครับ


ซึ่งจะเห็นได้ว่า มัน DIY ซื้อมาทำเองยาก และที่สำคัญยิ่งกว่าสำคัญคือ
ใน Official wesite ของบริษัทเดอร์มาโรลเลอร์เองก็ห้ามทำเอง ให้ทำโดยแพทย์เท่านั้น ด้วยนะครับ เค้าไม่ได้ขายให้ไปทำ DIY เอง
ดังนั้นการซื้อมาทำเองที่บ้านนั้นมีความเสี่ยงต่อการ ไม่ได้ผลแล้ว การทำอย่างไม่ระมัดระวังเพียงพอยังเสี่ยงต่อหน้าพังเพราะแพ้ หรือติดเชื้อได้ด้วยนะครับ ย้ำครับ อย่าซื้อหัวเดอร์มาโรลเลอร์ทางอินเทอร์เน็ตมาทำเองที่บ้าน


ส่วนท่านใดที่ copy งานเขียนของผมเพื่อไปเผยแพร่ให้ความรู้ต่อ ผมยินดีมากครับ ช่วยๆกันให้ความรู้กับเพื่อนๆที่ไม่รู้ครับ แต่ขอร้องอย่าเอาไปเพื่อใช้โฆษณาขายสินค้าของตัวเอง เอาไปบิดเบือนตัดต่อหลอกลวงให้คนอื่นเข้าใจผิดซื้อสินค้าผิดๆ ทำร้ายคนที่ไม่รู้เท่าทัน นี่บาปนะครับ อย่าทำเลยนะครับมันไม่ดี :D




 

Create Date : 07 กันยายน 2554   
Last Update : 7 กันยายน 2554 10:07:39 น.   
Counter : 13716 Pageviews.  

Update ข้อควรคิดก่อนเลือกที่ทำเทอร์มาจ

Update ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มาครับ
เทอร์มาจ ( Thermage ) อันนี้คือที่สุดแห่งเทคโนโลยีทำให้หน้าตึงครับ ชอบมากเพราะมันเป็นธรรมชาติกว่าการผ่าตัด ค่อยๆตึงขึ้นทีละนิด คงผลสองปีกว่า แต่ราคาก้อค่อนข้างสูงเหมือนกัน ดังนั้นก่อนจะทำควรต้องศึกษาให้ดีก่อนนะครับ

อันนี้ขอย้อนไปอธิบายหลักการก่อน เพราะหลายคนยังไม่ค่อยคุ้นเคย

การทำเทอร์มาจ เป็นการส่งผ่านคลื่นวิทยุไปยังชั้นผิวหนังอย่างปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า "Monopolar Capacitive Radio Frequency" ทำให้มีการผ่านความร้อนไปยังผิวหนังที่มีคลอลาเจนอยู่ ทำให้เกิดการกระชับตัวและสร้างคลอลาเจนใหม่ ทำให้หลังทำจะรู้สึกและเห็นผิวที่ตึงกระชับและเนียนขึ้น มีรูปทรงหน้าที่ดีขึ้น เปรียบเทียบง่ายๆมันคือเตารีดไอน้ำดีๆนี่เองครับ เทอมาจให้ผลตึงสู้การผ่าตัดไม่ได้ แต่ผมว่าดีกว่าในหลายแง่มุม โดยเฉพาะความเป็นธรรมชาติ (จะค่อยๆตึงขึ้นทีละน้อยๆ) FDA อเมริกา approved ปี 2002 จึงเป็นอะไรที่น่าจะปลอดภัยนะครับ

เทอร์มาจราคาค่อนข้างสูง เพราะหัวยิงเทอร์มาจใช้แล้วต้องทิ้ง ราคาก็สูงมากนำเข้าจากอเมริกา (ไม่มีของจีน J) นอกจากนี้หัวยังมีหลายขนาดหลายราคา หัวราคาสูงจะยิงได้จำนวนหลายช็อต 600 มั่ง 900 มั่ง (เรียกหัว 600 ช็อต 900 ช็อต) ซึ่งยิงได้ทั้งหน้าทั้งคอจะได้ตึงทั้งหน้าทั้งคอ ไม่ใช่หน้าตึงแต่คอย้อย การได้ส่วนลดประหลาดๆ หรือราคาที่ต่ำผิดปกติ จึงให้พิจารณาที่หัวเทอร์มาจเป็นหลัก ถามคุณหมอก่อนว่าเอ๊ะ ราคาที่บอกเนี่ยถูกมากเลย ใช้หัวอะไร กี่ช็อต? ข้อที่ดีอย่างนึงคือ เทอร์มาจต้องยิงจนจบ เช่น หัว 600 ก็ต้องยิงครบ 600 ครั้ง ยิงแค่ 300 แล้วเก็บไปยิงคนอื่นวันถัดไปไม่ได้ ดังนั้นการสังเกตุจึงไม่ค่อยยากนัก เทคนิคที่เอามาลดราคากันเช่น

1. ย้อมแมว เอาหัว 200 มาขายเป็นหัว 600 ต้องขอดูหน้าจอ เพราะทุกหัวหน้าตาเหมือนกันหมด ถ้าดูหน้าจอแล้วขึ้น 600 ก็โอเค แล้วตอนยิงเสร็จหน้าจอต้องเหลือ 0 ด้วย แสดงว่ายิงครบ เชื่อใจคุณหมอได้ ถ้าขึ้น 200 ก็ต้องคุยกันหน่อย แต่ถ้าคุณหมอไม่ให้ดูหน้าจอเช่นจับเราใส่แว่น(จริงๆไม่ใช่เลเซอร์ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นเลย) หรือใดๆก็ตามแล้วเราไม่อยากจะเถียง ให้นอนนับจำนวนที่ถูกยิงก็ได้ จะเป็นจังหวะ ปี๊บ หยุด ปี๊บ หยุด ไปเรื่อยๆ 1 ปี๊บ เท่ากับ 1 ช็อต (บางทีไม่ได้ตั้งเป็นเสียงปี๊บ เป็นเสียงอื่นก็อย่า งง นะครับ นับเหมือนกัน) หรือใช้จับเวลาเอา สำหรับหัว 600 ชอต ควรจะใช้เวลายิงอย่างน้อย 40 นาทีขึ้นไป ถ้ายิง 15 นาทีเสร็จนี่ ขอดูหน้าจอได้เลย

2. รีไซเคิล... อย่างที่บอกครับหัวเทอร์มาจแท้ๆ ใช้แล้วทิ้ง แต่ก็มีคนหัวแหลม เอาไปรีไซเคิลซะอีก ซึ่งอันนี้แย่มากๆ ราคาตั้งได้ถูกมากๆ หรือให้ส่วนลดได้มากๆ ยิงทุกอย่างได้เหมือนปกติ แต่ไม่รับรองผล (อันนี้คลินิคมักจะออกตัวก่อนว่าขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคนไข้นะคะ แปลว่าถ้าไม่ได้ผลแสดงว่าผิวเราผิดปกติเอง... แฟร์ดีจังเลยนะ) หมายความว่าหัวรีไซเคิลจะได้ผลไม่เท่า ไม่เหมือน หัวแท้ๆ นั่นคือเหตุผลที่บางคนบ่นว่าทำแล้วไม่ได้ผลเลย วิธีการสังเกตุยากมากๆ แนะนำได้เลยว่า ถ้าคลินิคไหนคิดราคาหรือให้ส่วนลดแล้วราคาเหลือสองสามหมื่น(สำหรับยิงทั้งหน้าหรือหน้า+คอ) แปลว่า ไม่ใช่หัวแท้แน่นอน รับรองได้




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2552   
Last Update : 11 ตุลาคม 2553 23:59:50 น.   
Counter : 4336 Pageviews.  

การฉีดใต้ตาแบบดาราเกาหลี

การฉีดใต้ตาแบบดาราเกาหลี
ระยะนี้เห็นดาราหลายๆคนนิยมไปฉีดใต้ตากัน เพื่อจะให้ดูแอ๊บขึ้น เด็กขึ้น ดูคล้ายตาโตขึ้น ตามแบบดาราเกาหลี
ซึ่งสวยไม่สวยก็แล้วแต่จะคิดจะนิยมกันนะครับ เนื่องจากมีใครๆหลายคนอยากรู้ๆ อยากทำอะไรหลายๆอย่าง
แบบที่เรียกว่าจะให้อินเทรนกับเกาหลีทุกกระเบียดนิ้ว เลยมีข้อคิดเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับการฉีดใต้ตาแบบดาราเกาหลีมาฝากกันครับ

การฉีด คือ ฉีดสารเติมเต็มfillerเข้าไปใต้ตา บางคนอ้างว่าเติมร่องใต้ตาไปในตัว มันจะดูสวยหรือดูเต็มในระยะแรก
ผ่านไปสักระยะหนึ่ง มันสามารถจะค่อยๆไหลไปกองอยู่บริเวณโหนกแก้มดูเป็นคลื่นๆได้เพราะใต้ตาเป็นเบ้า
ไม่เหมือนร่องแก้มหรือปากที่ผมได้เคยเขียนไว้นะครับ(อ่านดูอันเดิมได้ครับ) ถ้าโชคไม่ดี แต่ละข้างอาจไหลลงมาไม่เท่ากัน
ก็ต้องจินตนาการเอาครับ ว่ามันจะเป็นยังไง คิดว่าคงต้องซ่อมด่วน ซึ่งถ้าเป็นสารเติมเต็มที่ดีอาจจะค่อยๆสลายไปเองแต่ก้อใช้เวลาครับ
แต่หากไปฉีดพวกซิลิโคนหรือ fillerกึ่งของแข็ง เหมือนที่เคยมีข่าวเกรียวกราวอื้อฉาวมาก มันจะไม่สลายนะครับ
จะรวมเป็นก้อนแข็งๆดูน่าเกลียด และแก้ไขได้ยากเอามากๆด้วยครับ บางครั้งต้องผ่าไปขูดออกก็มีกลายเป็นแผลเป็นน่าเกลียดไปกันใหญ่

ปัญหาอีกอันที่ควรนึกถึงไว้คือถ้าคุณไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ผิวหนังยังตึงๆ อยากฉีดใต้ตาให้ตึงหรือเพื่อดูแบ๊วก็อย่าลืมว่าหลังจากfiller
สลายไปผิวหนังที่เคยโดนขยายจากfillerที่ฉีดเข้าไปอาจดูเหี่ยวย้อยเป็นถุงใต้ตาหรือหนังยานกว่าเดิมนะครับ คิดดูแล้วคงน่าเกลียดไม่น้อย
มีข้อมูลก้อช่วยๆกันเตือนนะครับ

ลองดูตัวอย่างดาราเกาหลีที่เข้าข่ายน่าจะไปฉีดใต้ตามาให้ดูกันครับ
บางอันก็ดูเหมือนก่อนฉีดใต้ตาจะดูดีกว่าหลังฉีดแต่บางรูปหลังฉีดเค้าทำศัลยกรรมอื่นๆด้วย เทียบแต่ตาแล้วกันครับ)
แต่เค้าไม่มีรูปที่มีปัญหามาให้เราดู และไม่มีดาราเกาหลีที่แก่มากกว่านี้แล้วไปฉีด หรือระยะหลังจะเป็นไง เค้าก็ถ่ายเฉพาะตอนดูดีมา ดูเลยละกันนน :D

คนแรกขอเป็น ซองเฮเคียว (Song Hye Kyo) ก่อนละกัน :)
อันนี้ลองสังเกตุใต้ตาก้อพอนะครับ เพราะเทอไปทำอย่างอื่นมาเยอะมาก เด๋วงง


ต่อด้วยตัวอย่างที่สอง อ่ะนี่เลย อึนเฮ (Yoon Eun Hye) หน้าเปลี่ยนทุกปีเลย
เข้าใจว่าเทอฉีดใต้ตามานานแล้วนะ


ถัดมาก้อ คิมแตฮี (Kim Tae Hee) อันนี้ผมว่าก่อนฉีดน่ารักกว่าเยอะเลยยย


เอาอีก หนึ่งคิมละกัน คิมฮีซุน (Kim Hee Sun)


อยากดูหนุ่มๆ กันมั่งช่ายมะ :D อ่ะ จัดปายยย Rain !!!! งึมๆๆๆ ทำมาเยอะอยู่นะเนี่ย




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552   
Last Update : 11 ตุลาคม 2553 23:59:03 น.   
Counter : 14730 Pageviews.  

เดอร์มาโรลเลอร์ รักษาอะไรได้บ้าง Update

Update ข้อมูลเรื่องเดอร์มาโรลเลอร์ (Derma roller) ครับ

หลังจากที่คยเขียนเรื่องเดอร์มาโรลเลอร์ ที่ได้ทำไปเมื่อปีที่แล้ว โดยคุณหมอบี ก้อมีเพื่อนๆ พี่น้อง และญาติๆ สอบถามมาเยอะมากๆๆๆ คำถามส่วนใหญ่มักจะหนีไม่พ้นเรื่อง มันช่วยในเรื่องไหนบ้าง ปลอดภัยมั้ย ได้ผลดีทุกคนหรือเปล่า ราคาเป็นยังไง แนะนำคุณหมอ หรือคลีนิคไหนดี ฯลฯ

ผมได้ลองสืบค้นเพิ่มเติม โดยเฉพาะจาก Official Web Site ของ Derma Roller ฝรั่งเศสเอง รวมถึง Blog ต่างๆที่พูดถึงเดอร์มาโรลเลอร์ในต่างประเทศ ซึ่งมีผลการรักษาจากคลินิคต่างๆ ทั่วโลกมาอัพเดทกันเพิ่มมากขึ้นอีกมาก เพื่อแนะนำสำหรับหลายๆคนที่กำลังต้องการหาข้อมูลอยู่ ผมมีข้อมูล Basic พื้นฐานมากๆเรื่องเดอร์มาโรลเลอร์ที่เคยเขียนไปแล้วนิดนึงต่อท้ายนะครับ ใครที่เป็นมือใหม่ก็อ่านตอนท้ายๆด้วยก็จะเข้าใจมากขึ้นครับ


เดอร์มาโรลเลอร์ทำอะไรได้บ้าง
อันนี้เจ๋งมากครับ จากผลการรักษาทั่วโลกพบว่าเดอมาโรเลอร์ให้ผลในการซ่อมแซมผิวหน้าดีมากๆ ซึ่งทำให้เกิดผลการรักษาหลักๆ 4 อย่างคือ

1 Scar & Acne Scar รอยแผลเป็น และรอยแผลสิวดูรูปประกอบครับ


อีกรูปครับ

อันนี้น่าสนใจมากครับ เพราะคนทั่วโลก 80% ล้วนมีปัญหาแผลสิวทั้งนั้นเลย ซึ่งบางคนโชคร้ายมากๆ เป็นแผลลึก หรือแผลที่สังเกตุเห็นได้ชัด ทำให้หมดสวยไปเยอะซึ่งสมัยก่อนนี้รักษาแผลเป็นพวกนี้ให้หายไปได้ยากมากๆๆครับ แล้วเดอมาโรลเลอร์ทำได้ยังไง?
เดอมาโรเลอร์เกิดมาเพื่อสิ่งนี้เลยครับ ได้ผลดีมาก
ซึ่งอันนี้อธิบายยากเหมือนกันครับ ผมสรุปให้เข้าใจง่ายๆว่า เข็มของเดอมาโรลเลอร์จะทำให้เกิดหลุมเล็กๆๆ (microneedles) บริเวณแผลเป็น ซึ่งจะทำให้ร่างกายซ่อมแซมโดยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ค่อยๆแทรกมาแทนที่เนื้อเยื่อเดิม และแนวเส้นเลือดฝอยเล็กๆสามารถส่งเลือดและสารอาหารมาบำรุงผิวตรงนั้นได้ดีขึ้น จนค่อยๆกลับกลายเป็นผิวปกติได้ในที่สุดครับ ซึ่งตาม Research จะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ 70-80% ถ้าดีกว่านี้ถือเป็นกำไรแล้วครับ แต่จะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะร่างกายจะค่อยๆซ่อมครับ
อันนี้มีข้อควรระวังและข้อแนะนำด้วยครับ คือต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเดอมาโรลเลอร์ และห้ามพยายามทำเอง หรือทาสารบำรุงเองโดยเด็ดขาดครับ เดี๋ยวจะยิ่งเยิน

2 Wrinkles ริ้วรอยต่างๆ
ดูรูปประกอบครับ
ริ้วรอยรอบๆตาครับ


รอบๆปาก


ริ้วรอยนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอแน่ๆ โดยเฉพาะรอบตา รอบปากเพราะพออายุมากขึ้นผิวจะยิ่งขาดความยืดหยุ่นไปเรื่อยๆ คิดถึงหมอนตึงๆตอนซื้อมาใหม่ครับ พอใช้ไปนานๆ เริ่มฟีบเริ่มเหี่ยวๆ อันนี้หลักการคล้ายๆกันครับ คือเดอร์มาโรลเลอร์จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนใต้ผิวหนังพร้อมปรับโครงสร้างผิวใหม่ เหมือนหมอนที่เอาไปเติมใส้ในให้แน่นขึ้น หมอนมันย่อมดูตึงขึ้นเรียบขึ้นนั่นเอง :D เช่นเดียวกับหลุมแผลสิวครับ เดอมาโรเลอร์เกิดมาเพื่อการนี้แท้ๆ :D

3 Striae ปัญหาหน้าท้องลาย หลังคลอด
ดูรูปครับดูรูป น่ากลัวหน่อยนะครับ





อันนี้เป็นความเสียสละของคนเป็นแม่ครับ เพราะตอนท้องหน้าท้องโตขึ้นอย่างรวดร็ว ซึ่งตามสถิติผู้หญิงมักเจอปัญหานี้มากกว่า 80% แล้วจะใส่บิกินี่กันยังไงครับเนี่ย เพราะการรักษาหน้าท้องลายเป็นไปแทบไม่ได้ด้วยการทาครีมใดๆ ในทางการแพทย์ถือว่ารักษายากสุดๆอีกอันนึง มีการทดลองการรักษาหน้าท้องลายด้วยเดอมาโรเลอร์ อย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2007 ผลการรักษาอย่างเป็นทางการคือดีขึ้น 70% โดยเฉลี่ย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วย Co2laser ซะอีก ข้อดีคือไม่กลัวผิวเปลี่ยนสีหรือคล้ำขึ้น แต่ผมว่ามันไม่น่าจะได้ผลขนาดนั้นนะครับ โดยเฉพาะทางฝั่งเอเชียที่มีความเข้มของสีผิวที่มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ตามปกติแก้ไขค่อนข้างยากครับ อย่าคาดหวังเยอะน่าจะดีกว่า
การรักษาหน้าท้องลายนี้อธิบายได้คล้ายข้อ 1 + 2 ครับ เดอมาโรลเลอร์ช่วยสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ครับ

4 Hyper Pigmentation หรือ การทำให้ผิวขาว หน้าใสขึ้น โดยเฉพาะคนเอเชีย
ดูรูปประกอบนะครับ


อีกด้านนึงครับ


ซี่งการที่ทำให้ขาว ใส ขึ้นได้ อธิบายได้จากการทำ เดอมาโรลเลอร์แล้วให้ผลในการซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวกลับไปสู่สภาพปกติ(เหมือนตอนเป็นเด็กหรือเปล่า) จุดดำๆหลายๆจุดบนใบหน้าที่ดูรวมๆกันแล้วหน้าหมองๆดำๆ จางหายไปแบบถาวรครับ (แต่เกิดขึ้นใหม่ได้อีกนะครับ ถ้าไปตากแดด หรือทำให้หน้าเสียอีก)

ทั้งสี่ข้อนี้คือหลักๆที่เดอร์มาโรลเลอร์ทำได้จากการรายงานของคลินิคต่างๆครับ ซึ่งรายละเอียดดูได้เพิ่มเติม ที่ Official Web Site ของ DermaRoller (France) เอง หรือ Blog ของแพทย์ผิวหนังระดับโลกที่เขียนถึงครับ หมอบางคนถึงกับบอกเลยว่า เป็นนวัตกรรมการรักษาที่ได้ผลและง่ายที่สุดในตอนนี้แล้ว
ส่วนข้อมูลว่าทำยังไง หมอคนไหนทำดี ดูในข้อเขียนข้างล่างนี้ได้ครับ

เดอร์มาโรลเลอร์คืออะไร
เป็นวิธีการในการรักษาหน้าโดยการทำให้เกิดหลุมเล็กๆๆๆ เพื่อให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจน และปรับผิวให้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้ผิวหนัง เรียบ เนียนขึ้น จะมีประโยชน์ในการรักษาหลุมแผลสิว แผลเป็นชนิดต่างๆ คุ้มค่ากว่าวิธีการรักษาแบบอื่นๆ นอกจากนี้เดอมาโรลเลอร์ยังมีคุณสมบัติในการช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ลดริ้วรอย ลดฝ้าและรอยดำตื้นๆ ได้ดีอีกด้วย

หลักการทำงาน
เหมือนกับการเติมสารบำรุง และออกซิเจนให้กับสนามหญ้า ด้วยการทำ top soil หรือกลิ้งพื้นผิวสนามหญ้าให้มีความพรุน แล้วเติมปุ๋ย+สารบำรุงต่างๆให้บำรุงสนามโดยตรง ผิวหนังก็เช่นเดียวกัน การทำเดอมาโรเลอร์คือการใช้ลูกกลิ้งหัวเข็มเล็กๆสั้นๆจำนวนมากกลิ้งเบาๆไปบนผิวหน้า เพื่อทำให้เกิดรูเล็กๆและเกิดการซ่อมแซม สร้างคอลลาเจนทั้งนี้หากใช้ร่วมกับสารบำรุงที่ทาลงไป จะทำให้ร่างกายซ่อมแซมตนเอง พร้อมทั้งกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนใหม่เร็วขึ้น

วิธีทำการรักษาด้วยเดอร์มาโรลเลอร์
คุณหมอจะนำหัวของเดอมาโรลเลอร์ซึ่งประกอบด้วยเข็มขนาดเล็ก(198 เข็ม) กลิ้งไปบนผิวหน้า (ทายาชาไว้ก่อนแล้ว 45-60 นาที ให้ชาจะได้ไม่เจ็บมาก) เพื่อให้เกิดแผลตามรูขุมขนเล็กๆทั่วทั้งใบหน้า (มองไม่เห็นรอยแผลจากเข็ม) ระหว่างนั้นจะมีการทาสารละลาย ยา หรือสารบำรุงต่างๆ เพื่อให้ซึมลงไปตามรูเล็กๆนั้น ซึ่งชนิดของสารละลายและปริมาณการใช้ ขึ้นอยู่กับสูตรการรักษาของแต่ละคลีนิก อันนี้สูตรใครสูตรมัน

ข้อควรระวังและค่าใช้จ่าย
1. เดอร์มาโรลเลอร์ต้องใช้หัวของใครของมัน ไม่ใช้ปนกับของคนอื่น เพราะเป็นหัวเข็ม ควรเลือกคลีนิกที่มีมาตรฐานและไว้ใจได้

2. หัวเดอร์มาโรลเลอร์มีหลายเกรด ของแท้ตัวริเริ่มที่ดีที่สุดในตลาดเท่าที่ทราบคือของฝรั่งเศส ถูกสุดๆคือของจีน เนื่องจากหัวที่ใช้จะเป็นของเราคนเดียว ควรขอคุณหมอดูหัวด้วยว่า เป็นหัวเก่า หรือหัวที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือหัวจีนหรือเปล่า

3. หัวเดอร์มาโรลเลอร์คือหัวเข็มอันเล็กๆ ถ้าของไม่ดีไม่มีมาตรฐาน เคยเจอในเว็บ หัวหลุดได้ (เข็มหลุดปักคาผิวหนัง) หรือองศาบิดเบี้ยวเพราะยึดหัวเข็มไม่ดี ก็อาจจะครูดปกับผิวหน้า ทำให้เป็นแผลที่ไม่ควรจะเป็นได้

4. ผิวหน้า ผิวหนังของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความอดทนของผิวก็แตกต่างกัน ปัญหาผิวของแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถตั้งโปรแกรมอัตโนมัติว่ากลิ้งซ้ายสองทีกลิ้งขวาสองทีแล้วให้พยาบาลหรือใครก็ไม่ทราบมากลิ้งให้ได้ การกลิ้งโรลเลอร์ให้ได้ผลดี ต้องกลิ้งด้วยแพทย์ เพื่อพิจารณาว่ากลิ้งพอหรือยัง ตรงไหนต้องกลิ้งมาก ตรงไหนน้อย และต้องใช้ยาหรือสารบำรุงสำหรับแต่ละคนอย่างไร เพื่อช่วยแก้ปัญหาของแต่ละคนได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

5. ยาและสารละลายที่ใช้ประกอบกับการกลิ้งโรลเลอร์

อันนี้เจอกับกลุ่มเพื่อนๆที่ไปทำที่คลีนิกบางที่ รายงานว่า ไม่มีการใช้ยาหรือสารบำรุงอะไรเลย แค่กลิ้งเดอมาโรเลอร์เฉยๆ เลยได้คุยปรึกษากับคุณหมอบี ซึ่งแนะนำให้ความรู้ว่า จริงๆแล้วการใช้สารบำรุงประกอบไปด้วย วิตามินต่างๆ ที่จะดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดี ยาลดการอักเสบ และสารจำเป็นอื่นๆตามแต่สภาพผิวและปัญหาของคนไข้แต่ละคน ย่อมมีต้นทุนการรักษาที่สูงกว่าแน่นอน แต่ก็ให้ผลการรักษาที่ตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพกว่า ไม่ใช้สารบำรุง หรือใช้น้อยแน่ๆ ซึ่งการไม่ใช้เลยร่างกายก็ซ่อมแซมตัวเองได้ แต่อาจจะช้าและด้อยประสิทธิภาพกว่า

อ้อสำหรับบางที่ก็มีการใช้สารบำรุงที่น้อยมากๆเพื่อลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นใช้ปริมาณที่น้อย หรือใช้แค่วิตามิน 1-2 อย่าง (จากที่ควรใช้เกิน 5 ชนิด) ข้อควรสังเกตุคือเวลากลิ้งสารบำรุงควรถูกทาจนชุ่มเพื่อให้ซึมลงผิวหนังเต็มๆ ไม่ใช่ทาบางๆ และให้สังเกตุผลหลังทำด้วยว่าหน้ากลับสู่สภาพเดิมเร็วแค่ไหน จุดแดงลดลงเร็วไหม ผิวกระจ่างขึ้นไหม ซึ่งเป็นผลจากการกลิ้งและสารบำรุง

6. ค่าใช้จ่ายและการพิจารณาเลือกคลินิคที่จะทำ

จากการสืบค้น การทำโรลเลอร์ทั่วหน้า มีราคาตั้งแต่ 3,000 บาท - 8,000 บาท ต่อครั้ง ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกัน ขอให้พิจารณาที่

- ความน่าเชื่อถือ... เช่นเดิม ราคาถูกแบบโอเวอร์ ตัดทิ้งไปเลย

- แพทย์ทำเอง หรือพยาบาลทำ อย่าเสียเงินเพื่อให้พยาบาลทำ ทำกับแพทย์มือใหม่ยังดีกว่าเอาหน้าไปอยู่ในมือพยาบาลหรือใครก็ไม่ทราบ

- หัวเดอร์มาโรลเลอร์ เป็นของอะไร อย่าใช้ของจีน หรือของไม่มีมาตรฐานกับหน้าเราเด็ดขาด

- ใช้สารบำรุง หรือไม่ใช้ (กลิ้งโรลเลอร์เปล่าๆ) หรือใช้สารบำรุงมากน้อยขนาดไหน

- เทคนิคความชำนาญและการเอาใจใส่ในการกลิ้งเดอร์มาโรลเลอร์ของแพทย์ ถ้าคุณหมอกลิ้งให้ห้านาทีเสร็จ (ได้รอบ-สองรอบ) ถือว่าคุณหมอใจร้ายและเอาเปรียบเกินไป

7. แนะนำคุณหมอ ที่ผมไปทำมาครับ

คลินิค หมอบี ทีผมไปทำ จากการค้นคว้ามาอย่างยากลำบากจากเพื่อนๆที่ทำงานด้านยา พบว่า เป็นคุณหมอที่มี case เดอม่าโรลเลอร์ มากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย น่าจะมีประสบการณ์การทำที่น่าไว้ใจ จริงๆแล้วมีคุณหมอเก่งๆ อีกหลายท่าน ปัญหาคือผมไปไม่เคยได้ทำด้วยสักที เพราะท่านจะยุ่งกันมากๆ ส่วนใหญ่จะให้หมอคนอื่นมาตรวจมาดูแลเราแทน สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่สนใจจะทำโรลเลอร์แล้วไม่ทราบจะเริ่มต้นยังไง ผมเลยขอแนะนำคุณ หมอบี เพราะรับรองว่า คุณหมอมีเวลาอธิบายและแนะนำทุกคนได้ดีแน่นอน แต่จะเลือกทำกับคุณหมอท่านใดสุดแต่จะพิจารณาเองตามความสะดวกนะครับ ส่วนผมกว่าจะเจอคุณหมอที่ถูกใจ ลงทุนและแสวงหาไปเยอะมากแล้ว ขอเป็นแฟนคลับคุณหมอบีไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันครับ :D

อ้อ เบอร์โทรคลินิคคุณหมอบีครับ 02- 953 9112-3




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 12 ตุลาคม 2553 0:00:24 น.   
Counter : 27883 Pageviews.  

สำหรับคนอยากขาวด้วยกลูตาไธโอน

ช่วงนี้มีพี่ๆน้องๆหลายคนปรึกษาเรื่องอยากขาวๆ กันมากๆ โดยเฉพาะการใช้สารพวกกลูตาไธโอน หรือบางคนเรียกกลูต้า ซึ่งในปัจจุบันวางขายกันเกร่อตามร้านขายยา หรือจะสั่งผ่านเน็ตก็มีโฆษณามากมายหาซื้อกันง่ายยิ่งกว่าน้ำยาล้างจานซะอีก แถมมีแบบฉีดตามคลีนิคต่างๆมากมาย เลยลองเก็บข้อมูลจาก แหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น FDA, Thaiclinic.com, บทให้สัมภาษณ์ของคุณหมอเก่งๆที่ไม่มีผลประโยชน์จากเรื่องนี้ มาลองแชร์กันดูครับ

 


ข้อระมัดระวังของคนอยากขาวด้วยกลูตาไธโอน

 


อันสืบเนื่องมาจากข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องการฉีดยาทำให้ตัวขาว ทางองค์การอาหารและยาของไทยออกมาเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังการฉีดสารชนิดนี้

 


สารที่ใช้ฉีดชนิดนี้คืออะไร?? สารที่ฉีดมีชื่อว่า กลูตาไทโอน ( Glutathione) ซึ่งนับว่าเป็นยาชนิดหนึ่งไม่ใช่วิตามินหรืออาหารเสริมใดๆ มีทั้งในรูปแบบของยากินและยาฉีด ปัจจุบันยังไม่เป็นยาที่ได้รับอนุญาติให้ใช้ในประเทศไทย

 


“กลูตาไทโอน( glutathione ) เป็นยาที่ใช้ในคนไข้โรคตับ ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคหัวใจ ส่วนรายงานในเรื่องการรักษาทำให้ผิวขาวยังไม่มีรายงานที่แน่ชัด ส่วนความปลอดภัยในการฉีดพบว่าสารกลูตาไทโอนสามารถทำให้เกิดการแพ้ชนิดร้ายแรงได้ ดังนั้นการฉีดเพื่อตัวขาวจึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง”

 


นพ. สมนึก อมรสิริพาณิชย์
อเมริกันบอร์ดทางผิวหนัง

 


สารตัวนี้มีลักษณะ เป็นอณูของโปรตีนที่เกิดจาก กรด อะมิโน 3 ชนิด มาประกอบกันคือ Cysteine Glutamate และ Glycine โดยปกติเซลล์ในร่างกายสามารถสร้างเองได้ จากกระบวนปฏิกิริยา ชีวเคมีในเซลล์ทั่วไป แต่ที่ทำงานสร้าง สารนี้มากที่สุดก็คือ ที่ตับของเรา การสร้างสารนี้ต้องอาศัย เอนไซม์ อย่างน้อย 2 ชนิด ดังนั้น หากมียีนผิดปกติเกี่ยวกับเอนไซม์ ทั้ง2 ชนิดนี้ก็จะไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้

 


สารชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสารอณุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซม เซลล์ และ ทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย หากการสร้างสารนี้ผิดปกติหรือไม่สร้าง จะทำให้เสียชีวิตใน1-2 เดือนหลังคลอดได้

 


สารชนิดนี้เมื่อถูกสร้างก็จะถูกใช้ไปเป็นลำดับ หาก การใช้มีมากก็ต้องทดแทนมากขึ้นโดยการสร้าง ถ้ามีการวัดสาร Glutathione ว่าถูกใช้ไปเท่าไรก็จะสามารถบ่งบอกสภาวะความเครียดของร่างกายได้

 


การให้สาร Glutathione ทดแทนและเสริมนั้นสามารถทำได้โดยการรับประทาน สารที่เป็นวัตถุดิบคือ N-acetyl cysteine หรือรับประทานอาหาร ที่มีสารวัตถุดิบหลักนี้ตามธรรมชาติ เช่น รับประทาน yogurt, granola, duck, oatmeal flakes, toasted wheat germ, cottage cheese โปรตีน นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม

 


แต่การกินสาร Glutathione โดยตรงจะไม่สามารถดูดซึมได้ดีเท่าที่ควร

 


ความนิยมทีใช้สาร Glutathione เพื่อให้ผิวขาวขึ้นนั้น อาจจะมาจาก ความพยายามที่จะให้สาร Glutathione ไปยับยั้งการสร้าง เม็ดสี เพราะสาร Glutathione สามารถกดการทำงานของของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว แต่ทำไมถึงต้องนำมาฉีดกัน คำตอบง่ายๆก็คือ พยายามทำให้ซับซ้อนขึ้นจะได้ต้องมาพบแพทย์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้นเอง

 


โทษของการฉีดสาร Glutathione น่าจะต้องมีเพราะ ปฏิกิริยาในการสร้าง สารนี้ถูกจำกัดด้วยเอนไซม์โดยตรงที่ต้องหยุดสร้างเพื่อรักษาสมดุล ดังนั้นสารนี้จึงห้ามมีมากเกินไปในธรรมชาติ หากจะอ้างเรื่องการฉีดเพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย คงต้องมีการเจาะวัดระดับ สารตัวนี้ว่าอยู่ในระดับที่สมดุลหรือไม่เป็นการควบคุมโดยตรงในทุกครั้งที่มีการฉีดจึงจะมีเหตุผล

 


การฉีดสารนี้มีการทำกันเฉพาะกรณี ฉุกเฉินและเป็นกังวลต่อชีวิต เช่น การฉีดเพื่อรักษากล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเพราะมีเส้นเลือดอุดตัน หรือ ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ระหว่างการผ่าตัดทำ cardiopulmonary bypass ทั้งนี้เพราะสาร Glutathione สามารถกระตุ้นการสร้าง Nitric oxide ซึ่งมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดได้ แต่การขยายตัวของเลือดจะทำให้เกิดความดันต่ำและทำให้หัวใจเกิดปัญหาได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกร็ดเลือดไม่จับตัวกันทำให้เลือดหยุดช้ากว่าปกติ

 


มีผู้รู้หลายท่าน มีความกังวลว่าหากมีสาร Glutathione ในร่างกายมากเกินไปจะสามารถทำให้มะเร็งลุกลามได้เร็วกว่าปกติ เพราะเลือดสามารถไปเลี้ยงมะเร็งได้มากขึ้น และกระบวนการทำลายมะเร็งก็จะลดประสิทธิภาพลง

 


ในธรรมชาติพบสารชนิดนี้ได้ในพืชผักชนิดต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่จะพบมากใน Asparagus อะโวกาโด และ Walnut ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูตาไทโอนได้และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการสร้างได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2 , Vitamin C และ Selenium

 


ภาวะการขาด :
โดยปกติแล้วร่างกายเราจะไม่ขาดกลูตาไทโอน นอกเสียจากจะเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้เกิดความต้องการสารตัวนี้มากขึ้น หรือโรคที่ต้านการสร้าง Glutathione โรคหรืออาการบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขาด สารนี้หรือต้องการสารนี้ในปริมาณเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคตับ เบาหวาน โรคความดัน ต้อหิน มะเร็ง เอดส์ ฯลฯ ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะพบว่ามีระดับกลูตาไทโอน ในเลือดต่ำ เนื่องจากอัตราในการใช้กลูตาไทโอน เพิ่มขึ้น

ชนิดและขนาดรับประทาน :
ปัจจุบันกลูตาไทโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคชนิดต่างๆ ที่ตรวจพบว่ามีการขาดสารนี้ควรใช้ตามแพทย์แนะนำ ในแง่ของการป้องกัน หรือเพื่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ขนาดที่รับประทานคือ 500-1000

 



 


สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังไม่รับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไทโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่เคยมีผลรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้น จึงไม่ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย จะสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตอย่างไร แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้องแต่เป็นใช้สารดังกล่าวในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ส่วนการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นถือเป็นเพียงผลข้างเคียง

 


ซึ่งกลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาโรคนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ โดยใช้ในการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็กภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มี fibrosis ที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยา cisplatin เพื่อป้องกันพิษต่อสมอง เป็นต้น โดยยังไม่มีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรง มีเพียง Cutaneous eruptions ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น นอกจากนี้การที่ผิวขาวขึ้นนั้นเป็นเพียงผลข้างเคียงของการรักษาเท่านั้น ไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไทโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร หากนำสารกลูตาไทโอนมาฉีดเข้าร่างกาย โดยหวังผลให้ผิวขาวต้องใช้ยาในปริมาณที่สูงมากเพื่อให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาวได้ ซึ่งจะมีอันตรายทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย เพราะเซลล์สีถูกกดจากสารที่ฉีดก็จะสร้างเม็ดสีน้อยลง โดยเม็ดสีมีความจำเป็นในการป้องกันอันตรายจากแสงอัลตราไวโอเลต และเป็นองค์ประกอบสำคัญของจอตาในลูกตา การฉีดยาที่มีผลให้เม็ดสีลดลงส่งผลกระทบต่อจอตาและการรับแสงโดยตรง และเมื่อลดกระบวนการป้องกันอันตรายจากแสงอัตราไวโอเลต เซลล์ก็จะเสื่อมเร็วขึ้น ผิวขาวมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่สำคัญคือการฉีดสารชนิดนี้เข้าเส้นเลือดดำโดยตรงในปริมาณมากถือเป็นเรื่องอันตรายมาก คนไข้อาจช็อกตายขณะฉีดได้ ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานเกี่ยวกับผู้แพ้ยาฉีด กลูตาไทโอนอย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งอันตรายขนาดเสียชีวิตได้ทันที หากแพทย์ไม่มีอุปกรณ์กู้ชีพเตรียมพร้อมไว้

 


ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว เพราะสารชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึม และจะถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000-5,000 บาท ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิมจึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ

      ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้กลูตาไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว เนื่องจาก กลูตาไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูตาไธโอนสูงถึง 500-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ คือ ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน และ
อาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือส่งผลในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้ และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูกทำลาย

 


แม้การบริโภคกลูตาไธโอนในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อน อาจทำให้ปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายผลิตได้ลดลง ทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้งเหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูตาไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด

 


ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

 


สรุปว่าไม่ว่าจะกินหรือจะฉีด ก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวขึ้น หรือทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการฉีดให้ผิวขาวนั้น ยังไม่มีผลการยืนยันที่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง การทานก็เช่นเดียวกัน กลูตาไธโอนที่ผลิตขึ้นเป็นเม็ดแคปซูล ไม่สามารถย่อยและดูดซึมในกระเพาะได้ ดังนั้น การรับประทานจึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย ร่างกายจะสามารถใช้ประโยชน์จากการกลูตาไธโอนก็ต่อเมื่อมีการย่อยอาหารและสังเคราะห์สารนี้ขึ้นมาในร่างกายเราเองเท่านั้น

 






Free TextEditor




 

Create Date : 02 เมษายน 2552   
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 17:16:45 น.   
Counter : 4074 Pageviews.  

1  2  3  

brothervoohoo
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add brothervoohoo's blog to your web]