Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2560
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
19 ตุลาคม 2560
 
All Blogs
 
บันทึก เมลจากทางบ้าน ถามเรื่องการฝึกจิตเกาะพระ (คร่าวๆ)



 

เมลจากทางบ้าน ถามเรื่องการฝึกจิตเกาะพระ (คร่าวๆ)

เมลจากสมาชิกจิตเกาะพระท่านหนึ่ง ถามคุณลูกหว้าเมื่อเร็วๆ นี้ที่ได้ถามกันมา ขอขอบคุณทุกท่านในธรรมทานครั้งนี้ด้วยครับ

ตัวปกติ คือ จากทางบ้าน

ตัวหนา คือ คำตอบจากคุณลูกหว้า

----------------------------------------------------------------------------------

 

 

 

 

 

สวัสดดีครับคุณลูกหว้า

สวัสดีค่ะ

 

 

 

 

 

ตอนนี้ผมพยายามมองภาพพระ ทำมาได้ประมาณ 6-7 วันแล้ว

โมทนาสาธุ... ดีแล้วค่ะที่เริ่มทำด้วยตนเอง ขอให้มีความเพียรแบบนี้ยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

 

 

 

 

บางทีก็นึกถึงท่านได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

เป็นธรรมดาของผู้เริ่มฝึกค่ะ ไม่ว่าจะสายไหน ใหม่ๆ ก็เช่นนี้ทุกราย

และขนาดผู้ที่จิตยกเหนือขันธ์๕ แล้วนั้น บางท่านก็ยังนึกถึงพระบ้าง ไม่ได้บ้างเหมือนกัน

เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ ประมาทเรื่อง "สติ"

ก็ขอให้มีความเพียร และมีสติตลอดนะคะ

เน้นอารมณ์สบายๆ ทำไปเรื่อยๆ

คิดถึงพระให้เหมือนคิดถึงพ่อแม่

คิดถึงพระให้บ่อย เหมือนคิดถึงแฟน

 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านั้นก็ไหว้พระสวดมนต์ และนั่งสมาธิอยู่บ้าง ภาวนาพุทโธบ้าง นะมะพะทะบ้าง ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ค่อยสงบ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...นั่งจนขาเป็นเหน็บชา (ประมาณ 40 นาที) ไม่ไหวครับ

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะสายใด ปลายทางก็เหมือนกันนั้น คนที่ปฏิบัติแล้วไม่ไปไหนก็เป็นเพราะไม่เข้าถึง "แก่น" ที่เน้นของแต่ละสายนั่นเอง

แล้วยิ่งมีให้เลือกปฏิบัติเยอะ ก็มั่วมารวมกันก็มี

เหมือนหว้าเมื่อก่อน

ทำอาณาฯ เป็นหลัก

มรณาฯ เป็นรอง

นะมะพะทะ ... ท่องให้บ่อย

นั่งสมาธิ ฯลฯ

เยอะมาก... ในแต่ละวัน มันไม่ได้ช่วยให้กิเลสลดลงเลย ฮ่าๆ... หว้าเลยไม่สนใจรูปแบบแล้ว เอาแค่ศีลให้ครบ โดยดูที่เจตนา แล้วก็คิดถึงพระเป็นอารมณ์ (ช่วงนั้นยังไม่มีวิชา หรือการฝึกจิตเกาะพระอะไรทั้งนั้น) อาศัยว่าขอให้จิตได้อยู่กับพระ

อ้าว!!! เล่าเรื่องตัวเองซะงั้น.. ฮ่าๆ อย่าเครียดนะคะ สบายๆ

ที่เล่ามานี่จะบอกว่า หว้าเห็นแล้วว่ามันไม่ไปถึงไหน แล้วจิตที่มันดี (ได้ในระดับนึง) ก็เพราะการฝึกจิตเกาะพระที่เน้นสติ และเรื่องของจิตนี่ล่ะค่ะ

เพราะงั้นถ้าเราเดินมรรคตรง เดินกลางๆ เอาแต่แก่น มันก็จะถึงบ้านเราไวค่ะ เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์ไปนิพพานกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่พระสงฆ์ มันอยู่ที่จิต คือการฝึกจิตตัวเดียวเลย ตายไปก็ไปแค่จิต...เนอะ ท่านพี่

อีกอย่างเรื่องการนั่งสมาธินั้น ต่อให้จะนั่งนานก็ไม่ได้ทำให้จิตเราสูงขึ้น เพราะไม่ได้วิปัสสนาจริงจัง หรือไม่มีสมาธิต่อเนื่องเลยไม่เกิดวิปัสสนาในจิต จึงไม่ทำให้จิตค้นพบธรรมชาติที่แท้จริง

 

 

 

 

 

หันมาทดลองมองภาพพระ แล้วนึกภาพท่าน สงบดีกว่ามาก นิ่งดีครับ

ถั่วต้วมแล้ว เอาแค่ว่าสบายจิต สบายกาย มันก็นิ่งได้มาก

เพราะธรรมชาติของจิต มันไม่ชอบการบังคับ หรือความอึดอัดอะไรทั้งนั้น

จะสังเกตได้ว่า ตัวเองจะเห็นภาพพระได้ง่ายโดยเฉพาะเวลาที่สบายใจ หรืออารมณ์ดี (ดีสบายๆ) ไหมคะ?

 

 

 

 

 

แต่ยอมรับว่า พระพักต์ท่าน ผมนึกอย่างไร ก็นึกไม่ออก ครับ ยากที่สุดสำหรับผม บาปกับกิเลศคงเยอะกระมัง...

อย่าไปโทษบาป โทษกิเลสเลย.. ฮ่าๆ

ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองนี่ล่ะ ถ้าไปนึกแล้วมันจะไปนึกออกได้ยังไง?

ไปเค้นให้จิตมันเห็นหน้าพระ มันจะเห็นได้ยังไง? ในเมื่อเราไปบังคับมัน?

บอกแล้วว่าให้ทำด้วยใจสบายๆ นี่ไงจ้ะ

 

 

 

 

 

ผมก็ใช้วิธีอ่านจาก กระทู้ เตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ (อ่านได้ประมาณ 30 กว่าหน้า ไม่ทันแน่ ๆ จะ 500 อยู่แล้ว) โชคดี เจอ Facebook ไล่อ่านจนหมด (Phiphop Net-udorn) แล้วก็มาเข้า web จิตเกาะพระ อีก....(หมกหมุ่นมั้ง...หึหึ)

อ่านเยอะก็ไม่สู้ปฏิบัติจริงเนอะท่านพี่ อันนี้เรารู้กันดี โดยเฉพาะช่วงที่เริ่มฝึกนี้ ก็พอจะให้อ่านได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ให้เยอะ

พวกที่อ่านเยอะ เวลารายงานอารมณ์ประจำวัน (หรือที่เราเรียกกันว่า "ส่งการบ้าน) นี่ส่วนใหญ่พออ่านมาก จิตไม่นิ่ง ไม่สนใจจิตตนเอง

ก็พลอยทำให้ไม่มีอะไรจะส่งการบ้านมาให้ครูไปด้วย อันนี้ก็ค่อยว่ากันอีกที ตอนท่านพี่มีครูแล้ว

 

 

 

 

ถึงตอนนี้คงต้องขอคำแนะนำแล้วหละครับ เพื่อจะได้ถูกทาง ไม่เสียเวลา อย่างคุณลูกหว้าบอก.... เอาเป็นว่าผมขอเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์เลยละกัน....ขอบคุณมากครับ (ศีล 5 รักษาได้ครับ)

ดีมากค่ะ จดจำคำกล่าวตนเองไว้เป็นกำลังใจนะคะ

วันใดที่ท่านพี่ไม่รู้จะส่งการบ้านอะไรครู ขอให้กลับมาอ่านเมลแรก เมลนี้เพื่อเตือนสติตนนะ

เพราะวันที่ท่านพี่ไม่มีการบ้านส่งครู นั่นแปลว่าท่านพี่สติอ่อน สติตามจิตไม่ทัน

เมื่อสติตามอารมณ์จิตไม่ทัน มันก็ไม่รู้เรื่อง รายงานอะไร ก็ไม่ได้

 

 

 

 

ขออธิบายการฝึกจิตเกาะพระอย่างคร่าวๆ นะคะ

ของเก่าๆ ที่อ่านมา ไม่ว่าสายไหน หรือแม้กระทั่งสายนี้ก็ตาม ขอให้วางลงให้หมดค่ะ

เมื่อจะเริ่มต้นใหม่ มันก็ต้องมือเปล่า

เมื่ออยากกลับบ้านพระนิพพาน ก็ต้องทำจิตให้ว่างเปล่า

การฝึกจิตเกาะพระ คือ

พุทธานุสสติ + กสิณ (มองภาพพระเป็นอารมณ์) = สมาธิที่ทรงได้ตลอดวันตลอดคืน (เพราะจิตอยู่กับพระเป็นอารมณ์)

 

 

เมื่อมีสมาธิต่อเนื่อง มีสติทันจิตตลอด ก็จะเกิดวิปัสสนาตามธรรมชาติ (เห็นธรรมะตามจริงในชีวิตประจำวัน) นี่คือสิ่งที่จะช่วยทำให้จิตเราดีขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อุปกรณ์ในการใช้ขัดจิตก็มี

๑. สติ

คอยเป็นพี่เลี้ยง ดูแลจิต เปรียบเสมือนพี่ที่ดูแลน้อง ปล่อยน้องให้วิ่งเล่นได้บ้าง แต่อยู่ในขอบเขต กล่าวคือ สติไม่นำหน้าจิต แต่คอยดูแลจิต

ไม่ให้จิตนั้นซนเกินเหตุ เช่น เราฝึกสติให้อยู่ในศีล๕ ในตลอดวัน เมื่อมีสติดี ศีลก็ครบ แต่บางเวลาด้วยเป็นการฝึกสติ ในการกระทำบางอย่าง เรามักจะเอาสติไปขวางน้องจิต มันก็กลายเป็นดาบสองคมไป จึงต้องวางกำลังใจให้เป็นกลาง คือมีสติตลอดเวลา จิตรู้สึกอะไรก็รู้ จิตอยากทำอะไรก็รู้

ถ้าจิตเกิดกิเลสก็รู้ แต่ถ้าจิตอยากทำชั่ว ทำเลวเมื่อไร พี่สติจะเป็นคนแรกเลยที่ต้องไปเตือนน้องจิตไม่ให้ทำสิ่งไม่ดี

 

 

 

๒. ศีล

การถือศีลที่ถูก ไม่ได้อยู่ที่ทำได้ครบเพียงอย่างเดียว (ที่้เคร่งๆ กันมากๆ น่ะ ... ไม่ใช่) แต่ศีลที่ถือกันนั้นเขาให้ฝึกเรื่องเจตนาของจิตนี่เอง ขอให้ดูเจตนาตนเป็นหลักนะคะว่า ในศีลที่ตนถืออยู่นี้ (เช่น ศีล๕) ตนมีเจตนาทำให้ศีลขาด, พร่องหรือไม่? ถ้าไม่แล้ว แต่ทำศีลขาดก็ขอให้วาง ไม่ต้องสนใจ สนแค่ปัจจุบัน นี่ล่ะถือว่า "ถือศีลเป็น"

 

 

 

 

๓. พระ หรือ ภาพพระ

ให้เลือกภาพพระใดก็ได้ที่เป็น "พระ" จะเป็นพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ก็ได้ ภาพแบบใดก็ได้ เมื่อเลือกมาแล้วก็ขอให้ดูภาพพระบ่อยๆ ทั้งตาเนื้อ (กายหยาบ) และตาใน (ภาพในจิตของตน) บ่อยๆ

มองด้วยอารมณ์สบาย ว่างๆ ก็มอง, ทำงานแล้วพักสายตาก็มอง, จะโทรศัพท์ก็มองภาพพระหน้าจอในมือถือ เป็นต้น อาศัยว่ามองภาพพระ "เน้นถี่แต่ไม่ต้องนาน" ถ้าครั้งไหนไม่เห็นภาพพระก็ไม่ต้องตกใจ เอาจิตไปคิดถึงท่านแทนก็ได้ ภาพพระไม่เห็นในจิตก็เอาจิตระลึกถึงท่านแทน เช่น ระลึกว่าพระท่านอยู่กลางอกเรา หรือกลางหน้าผากเรา กล่าวคืออยู่ส่วนใดก็ได้ในกายเรา เราไปไหน พระไปด้วย ... แบบนี้ล่ะที่เราเอาจิตไปเกาะพระกัน

 

 

 

ทีนี้ลักษณะของภาพพระที่ปรากฏในจิตนั้น คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าต้องมองให้เหมือนกสิณ คือการเพ่งนั้น ... ไม่ใช่!! ภาพพระในจิตนั้นจะเป็นแบบใดก็ได้ สว่างก็ได้ มืดๆ ก็ได้, เห็นแค่ไหล่พระก็ดี, เห็นแค่ครึ่งพระองค์ก็ดี, เห็นเต็มพระองค์ก็ดี, เห็นเป็นองค์ทองก็ดี, เห็นเป็นองค์เพชรก็ดี ฯลฯ ก็แล้วแต่จิตจะเห็น ขอแค่ว่า "ภาพนั้น เป็นภาพพระก็พอ" แค่จิตอยู่กับพระได้ทั้งยามหลับและยามตื่นก็ดีแล้ว

 

 

หลักๆ ก็ประมาณนี้นะจ้ะ ถ้าสงสัยให้ถาม อยากรู้อะไรให้ถาม ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรก็ให้ถามครู ถามพี่เลี้ยงได้ ส่วนตัวหว้าเองนั้นในตอนฝึกแรกๆ มักจะนำจิตตนไปอยู่กับภาพพระเสมอ คือ เมื่อเห็นภาพพระในจิตก็จะเห็นตนเองนั่งอยู่กับพระด้วย เห็นภาพพระทุกครั้งก็จะกำหนดจิตกราบพระทุกครั้ง (คล้ายๆ มโนฯ) และก็จะคุยกับพระในจิตบ่อย ก่อนออกจากบ้าน ก่อนทานข้าว ตอนอาบน้ำ ฯลฯ ไม่ว่าเวลาไหนๆ ก็จะคุยกับพระ เป็นอุบายให้จิตเราได้อยู่กับพระได้ในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่มองไม่เห็นภาพพระ ก็จะใช้วิธีระลึกถึง และคุยกับพระในจิตแทน (ถึงจะไม่มีคำตอบจากพระ แต่ก็สุขใจที่จิตได้อยู่กับพระ)

 

 

 

 

 

ส่วนการบ้านที่เขาว่ากันนั้นก็คือ การรายงานอารมณ์ในแต่ละวันนั่นล่ะค่ะ

ว่าวันนี้จิตเป็นไง สติเป็นไง ทันกิเลสไหม, ภาพพระเป็นไง ฯลฯ

ไม่ต้องกลัว

 

 

สำหรับงานอบรมจิตเกาะพระนั้น มีทุกเดือนนะคะ เดือนนี้ไม่ว่าง เดือนหน้าก็มาได้

การฝึกจิต หรือ การปฏิบัติธรรมนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับบาปหนา หรือกิเลสหนา

แต่มันอยู่ที่ความเพียรต่างหาก เพราะคนเราเกิดมาก็เท่ากัน

มีกายเท่ากัน มีกิเลสเหมือนกัน มีบุญ มีบาปใกล้ๆ กัน ก็เพราะการฝึกฝนทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นอย่าไปรอเวลา อย่าไปโทษบุญ-บาป โทษกิเลสกันอีกเลย

ใส่ใจ เรียนรู้ความเลวในจิตตนวันนี้ดีกว่า บาปและกิเลสที่ท่านว่าหนามันจะได้ลดลงไง...

สู้สู้





Create Date : 19 ตุลาคม 2560
Last Update : 19 ตุลาคม 2560 3:18:49 น. 0 comments
Counter : 1205 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.