Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2560
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
16 ธันวาคม 2560
 
All Blogs
 
ธรรมทาน ภาพพระ 16ธค2560



#ธรรมาทาน
ขออนุญาตนำลงเป็นธรรมาทานแก่ผู้อื่น
หรือสายบุญเดียวกัน (เผื่อจะรับได้บ้าง)

ตอบครูจิตเกาะพระท่านนึง ที่ถามค้างไว้
(เพิ่งเห็น.เพิ่งมีเวลาตอบ) โมทนาสาธุ

ท่านถามทิ้งไว้ว่า..
ที่ท่านสอน เหมือนอย่างที่เราเรียนจิตเกาะพระทุกอย่างเลยค่ะ
(ในเทศน์ธรรมะของพระอริยเจ้าท่านนึง) 
(เรื่องกรรมฐานการฝึกอภิญญา)

เปลี่ยนตรงที่ภาพพระ จะวางภาพไว้ตรงไหน 
กระหม่อม คืออภิญญาสมาบัติ 
ระหว่างคิ้ว คือ ทิพยจักษุญาณ  
กลางอก คือ นิโรธะ สมาบัติ จุดที่วางภาพ การฝึกเหมือนกันหมด

กลางอก คือ นิโรธ อภิญญา คืออะไรค่ะครู 

แต่ที่ฝึกฌานลัดนิ้วช่วงเรียน 
น้องจะวางภาพไว้ที่กระหม่อมเป็นปกติ 
มาเปลี่ยนช่วงหลัง ที่พระท่านสอนมา

#ครูพี่ภูตอบ

#กระหม่อม เป็นส่วนที่รับรู้จากโลกทิพย์ 
(กระแสจิตจะส่งมาทางหยาบ คือกระหม่อม 
คือต่อมเล็กๆที่อยู่กลางสมองของมนุษย์นั่น 
วงการแพทย์เรียกไรไม่รุ๊ลืมไปแล้ว)

#ระหว่างคิ้ว(ดวงตาที่สาม) เป็นจุดมองเห็น 
หรือเป็นส่วนที่ถูกส่งออกไป เช่น คำถาม เป็นต้น
สภาวะนี้ จิตต้องทรงฌานสูงๆก่อนนะ 
ถ้าจิตไม่ทรงฌาน การถามก็จะตัดมาเป็นที่ปากแทน(กายหยาบ) 
เพราะโลกทิพย์เขาถามกันตรงระหว่างคิ้ว 
ปากไม่ขยับ ยิ้มริมผีปากเฉยๆ 
ในกรณีที่ใครเห็นพระยิ้มในจิตนะ

สภาวะจิต คือ รู้อย่างเดียว แค่รู้+เฉย
คนที่ไม่ได้ฝึกจิตมาดีก็เลยไม่เข้าใจ เรื่องสภาวะเดิมๆของจิต
ก็เลยมั่วหรือยุ่งหรือวุ่นวายไปหมดเสียทุกอย่าง
เพราะจิตไปรวมกับเจตสิกนั่นเอง 
จิตก็เลยมีอาการขึ้นๆลงๆ เหมือนหุ้น เหมือนราคาตลาดทองคำ 
เหมือนน้ำมัน หรือเงินตรานั่น

แต่ถ้าคนที่แยกจิตในจิตตนออกมาได้ 
ก็จะได้จิตเพียวๆ จิตบริสุทธิ์ จิตอิสระ เป็นต้น
เรียกว่า จิตหลุดพ้น
หลุดพ้น ตรงนี้ มิได้หลุดจากอะไร
กลายเป็นจิตว่าง แบบถาวรไป

พยายามแยกจิต ออกมาจากกิเลสละเอียดของตนให้ได้ 
เรียกว่า นามธรรม (นามทั้ง4นั่น) 
นอกจากแยกรูปเป็นแล้ว คือ ผู้ที่ไม่ติด ไม่ยึดติดในรูปนั่น
ผู้ที่ยึดติดในรูป เช่น ยังรักสวยรักงามอยู่นั่น
เสริมนู้นนี่นั่น เสริมส่วนที่ตนรู้สึกว่าหายไป
หรือยังไม่ได้ตามความต้องการของตนเอง เป็นต้น
แต่ดูแลพอประมาณ ไม่มาก หากมากก็จะกลายเป็นกิเลสไปเสีย 
เมื่อกิเลสมา ตัณหาตาม 
อุปาทานก็จะตามมาภายหลัง เพี๊ยบ
เรียกว่า สิ่งพันธการหลายทั้งทั้งปวงนั่น

#กลางอก เป็นการสมมุติ เป็นการทรงอารมณ์ใจเป็นกลางนั่น
โดยเฉพาะ สังขารุเขกขาญาณ เป็นต้น

เพราะนรกหรือสวรรค์ก็อยู่ที่อกของตนเองนั่นไง
ฉะนั้น สภาวะนิพพาน หรือ นิโรธนั้น ก็ปรากฏที่นี่
คือ กลางอก
ขยันทรงเข้าไว้นะ เคยสัมผัสกันมาบ้างแล้ว 
นิโรธจิต จิตที่มีความหลุดพ้นทั้งหลายเหล่านั้น
แต่ส่วนใหญ่ นิโรธเฉพาะในฌาน 
พอถอนถอยเท่านั้นแหละ หลุด (ทรงไม่ได้)
ฉะนั้น วิปัสสนาอัตโนมัติ ที่นักภาวนาต้องการ
แต่ต้องอาศัยฐานของสมาธิ หรือฌาน ต่อเนื่อง
คือ ทรงฌานให้ต่อเนื่อง เด่ววิปัสสนาโผล่ขึ้นเอง
หมายถึง จิตพิจารณาธรรมใดๆขึ้นมาเอง
หรือ ที่ธรรมผุดขึ้นมาสอนตนเอง 

#สภาวะธรรม คือ ธรรมมาสอนในจิตภายใน
ในขณะจิตที่นิ่งได้ที่แล้ว เป็นต้น

ดังนั้น ถึงได้บอกกับพวกเราว่า พยายามทำจิตนิ่งๆเฉยๆไว้
คนที่เฉยไม่เป็น เพราะจิตไม่เคยหยุดนิ่งเป็นเลย
ฉะนั้น อยากให้จิตนิ่ง เราก็ต้องขยันฝึก อบรมจิต 
คือการภาวนานั่นเอง

สรุปแล้ว ทำจิตตนนิ่งๆก่อน ปัญญาถึงเกิดขึ้น
พระพุทธองค์ทรงปรารถนาให้นักภาวนา เกิดปัญญา
เพราะปัญญานี้ ถ้าสว่างมากก็รู้แจ้งแทงตลอดเอง
สว่างน้อย หรืออาการิตติดๆดับๆ หมายถึง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง 
เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เป็นอยู่แบบนี้ 
ส่วนวิปัสสนาเราก็เลยไม่ขาดสิ้นซะที
ความจริงแล้ว เรื่องการวิปัสสนานั้น ใช้เวลาไม่มากเหมือน.สมถะ
ถ้าวิปัสสนาขาดแล้วก็ขาดเลย
เสมือนจิตก้าวข้ามถึงเขตโลกุตตระนั่น
จิตจะไม่มีวันกลับมาที่เดิมอีก 

ถึงกลับก็ไม่กลับมาอยู่ มาเป็นเดิมๆอีก ต่อไปแล้ว
การกลับมาของจิตในครั้งนี้นั้น ..
เป็นการกลับมาช่วยหรือสงเคราะห์ผู้คน 
เช่น หลวงปู่โลกอุดร และครูบาอาจาจารอีกหลายท่าน เป็นต้น 
เพราะ ติดภาระหน้าที่ของตนเอง 
เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ไปแล้ว ไปลับไม่กลับมาอีก 
แต่จิตพุทธภูมิ จิตพระโพธิสัตว์ยังต้องกลับมาอีก
เพื่อบำเพ็ญบารมีตนต่ออีก เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ 
การบำเพ็ญแต่ละชาตินั้น ยาวนาน เป็นกัปป์ เป็นกัลล์

เรียกว่า ไปแล้วไปเลย 
ไปไม่กลับมาสู่มิติหรือภพภูมิเดิมๆอีก ที่เรียกว่า สังสารวัฏ

สรุปอีกครัั้ง ...
ถึงกลับมาก็ไม่ติดใจอะไรอีกแล้ว
เสมือนเด็กสองคนแก้ผ้า เตรียมกระโดดน้ำ หรือ น้ำคันนา
แต่พอขึ้นมาแล้ว อีกคนนึง เปียก หรือเปื้อนโคลน
แต่อีกคนนึง กลับไม่เปียก หรือ ไม่เปื้อนโคลน เป็นต้น
นี่คืออุปมาให้ฟังดังนี้
ไม่มีอะไรติด หรือ เข้าถึงจิตอีกต่อไปแล้ว
เพราะ สภาวะอนัตตาเป็นต้น
สิ่งสกปรกโสโครก หาจิตไม่เจอ แล้วจะเกาะอะไรได้อีก
นี่แหละ ผู้ที่ขยันๆทำจิตตนเองนิ่ง 
พอจิตนิ่งๆมาก ปัญญาจะเกิด จะผุดรู้ขึ้นมาเอง 
สภาวะนี้ ไร้สังขาร หมายถึง ความคิด 
ส่วนปรุงแต่งที่เป็นเหตุให้จิตเป็นทุกข์.ไม่ต้องพูดถึง
เพราะไม่มีแน่นอน

อย่าลืม มรรคมีองค์๘ ย่นย่อแล้ว ได้อะไรบ้าง
ศีล.สมาธิ.ปัญญา

ขณะนี้...สมาธิของนักภาวนาไปไหนเสียแล้ว
แล้วปัญญา เราคิดนึกเอาเองได้หรือ...ไม่ได้นะ 
อย่ามักง่าย อย่าข้ามขั้นตอน พระพุทธองค์ท่านสอนมาดีแล้ว 
อย่าเอาแต่กะทิ โดยไม่สนใจว่า ต้นมะพร้าว เป็นยังไง 
แถมปลูกก็ไม่เป็นอีก

การปลูก หมายถึง การเดินมรรคานั่น 
ถึงจะได้มาคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
โดยเฉพาะสมาธิจิต หมายถึง สมถะ นักภาวนาต้องเข้าให้ถึงก่อน
แต่ถ้ายังเข้าไปไม่ถึง วิปัสสนา หรือว่าด้วยการปล่อยวางทุกสิ่งนั้น 
อย่าหวัง เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ปล่อยวางไม่ได้ ทำใจยอมรับอะไรไม่ได้สักอย่างแน่นอน 
ทุกข์แน่นอน ทุกข์ เต็มๆ

เพราะตัวที่เป็น อวิชชา หรือ วิชชานั้นคืออะไร
ตัวที่รู้ที่เห็นธรรมนั้นคือ อะไร ถ้าไม่ใช่จิต
เห็นธรรม เพราะจิตปัญญา
จิตนิ่งเป็นสมาธิหรือฌานเท่านั้นที่เป็น จิตปัญญา
ตรงตามปริยัติที่ว่า ภาวนามยปัญญา
คือ ความรู้ที่ได้จากการอบรมจิต หรือทำภาวนานั่น

เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติใหม่ อย่าเพิ่งเรียนลัด 
ถึงเรียนไปก้ได้แค่.สัญญาๆเท่านั้น มิใช่ ปัญญา
เพราะปัญญาที่อยู่ในจิตผู้ใดนั้น 
จิตจะวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรมเห็นแจ้งเอง 
เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น ขอให้เราเข้าใจจิตตนเองก่อน 
จิตถึงสงบสุขก่อน 
หมายถึง สมถกรรมฐาน เข้าให้ถึงก่อน 
ส่วนตัวปัญญาถึงจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจิตสงบ 
เราก็พบความสุข เป็นต้น

เพาะฉะนั้น การปฏิบัติ อภิญญา มิใช่เป้าหมาย
แต่อภิญญานั้นเป็นเสมือนยานพาหะ 
ที่ๆนำจิตตนไปสู่อีกสภาวะนึง ภพภูมิ หรือดินแดนๆนึงเท่านั้นเอง 
เช่น แดนนรก สวรรค พรหม หรือแดพระนิพพาน เป็นต้น

ส่วนการมองเห็นนู้นนี่นั่น 
ก็มิใช่เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมเช่นกัน

เพราะเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมนั่นก็คือ
#การหลุดพ้น 
คือการไม่กลับมาเกิดอีก
ไม่ว่าจะเกิดมามีกายอะไร กายมนุษย์หรือเทวดาพรหมเป็นต้น

ส่วนกายสัตว์เดรัจฉาน คงไม่เอ่ยถึง 
เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น..ตัวใครตัวมัน 
ไม่มีใครมาสนใจอะไรตรงนี้ 
โดยเฉพาะ การสนใจจริยาผู้อื่นเขาเป็นต้น
เพราะเสียเวลามาก คือสียเวลามรรคผล.. 
ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยเอ่ยมาดีแล้วนั้น 
ลูกหลานทุกคน ต้องนำมาปฏิบัติ นำมาหรือเข้าสู่จิตตนให้มากๆ
อย่ามาพูดว่า เราเป็นลูกเป็นหลานของท่านพ่อ หลวงพ่อ
แต่ว่าเราไม่เคยน้อมนำธรรมะของท่านมาปฏิบัติเลย
เราจะทำตัว หรือเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นกัน.ใช่ไหม 
ถึงไม่ยอมทำตามพ่อสอน
ใครไม่ทำตามก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา
แต่เรา.ต้องปฏิบัติ.ต้องทำตามที่พ่อสอนมาทั้งหมด
ถ้าใครสามารถทำตามก็จะหาท่านพ่อเจอ หลวงพ่อเจอแน่นอน
พากันกลับบ้านพ่อนะ.พ ร ะ นิ พ พ า น 

อยากพ้นทุกข์ 
อยากหลุดพ้น 
หรือ อยากไปพระนิพพาน
เราก็ต้องลงมือปฏิบัติ..
ลงมือทำเดี๋ยวนี้ .. 
อย่าไปรอ เพราะเวลาเหลือน้อย

ทำศีล ทำสมาธิจิต และทำปัญญาให้เกิดขึ้นจิตตนเอง
ทำนะทำ ..
มิใช่แค่อ่านหรือฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างเดียว
อันนั้น ฝึกสมอง มิใช่ ฝึกจิต
ฝึกจิต เราต้องลงมือทำ และก็ทำลูกเดียว อย่าสนใจใคร
ยิ่งเราไปสนใจผู้อื่นมาก เราก็เสียเวลา
คือ เสียเวลามรรคผล เสียเวลาเห็นธรรม
เสียเวลาพ้นทุกข์ หรือออกจากสังสารวัฏ
เสียเวลานิพพานจริงๆนะ 
ถ้าเราไปยุ่งวุ่นวายกับใครมากเกินไป
หากเรายังตัดสิ่งพันธการทั้งหลายไม่ได้ 
เราก็หมดโอกาสทำจิตให้ว่าง (หมดโอกาสไปพระนิพพาน)

อะไรเป็นคนตัด.สิ่งพันธการเหล่านั้น
คำตอบคือ จิตนะจิต 
คือ จิตเป็นผู้ตัด เป็นผู้ละ ทิ้ง@ภายใน

ส่วนภาระ หรือหน้าที่ทางโลก.ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ
ตัดแค่ภายในอย่างเดียวพอแล้ว
เพราะการปฏิบัติ.เป็นเรื่องภายใน
ซึ่งไม่เกี่ยวกับภายนอกเลยสักนิดเดียว

สรุปเรื่องการปฏิบัติ.เป็นเรื่องภายใน
ส่วนภายนอกนั้น เป็นเรื่องของกรรมของแต่ละบุคคล
ที่จะเกี่ยวเนื่องกันยังไง ต่อไปฯ เป็นต้น

#จิตเกาะพระวันนี้ 
จะกลายเป็นอภิญญาในอนาคตกาล
(พวกเธอรู้ไหม..)
พระท่านผ่านมาสอนให้ไปหมดแล้ว

#เริ่มต้นตั้งแต่..จิตเกาะพระ ในเบื้องต้น
นี่แค่ว่าด้วยสติเท่านั้นนะ

#ขั้นที่สอง.ว่าด้วยสมาธิ (หมายถึงฌานลัดนิ้ว)
จะไม่ขอเอ่ยถึงตรงนี้ เพราะจะอยู่ในหลักสูตรจิตเกาะพระ
แต่ครูจะสอน หลังจากจิตผู้เรียน จับภาพพระเป็นอัตโนมัติไปแล้ว
หรือจะสอนคนที่มาต่อยอดกับทางคณะเรา เป็นต้น
แต่ถ้าใครหวังมาถามเพื่อประดับเป็นความรู้
(((ไม่ต้องมาถาม.เสียเวลา)))
เพราะผู้ให้มีความตั้งใจให้ แต่ผู้รับ.ตั้งใจรับไหม
ถ้าไม่ตั้งใจ มาเพื่อลองภูมิ ไม่ต้องมาถาม
เพราะต่อนี้ไป จะพูดให้น้อยลง
และจะเอาเฉพาะสายบุญเดียวกัน
หรือที่มีจิตใกล้ๆเคียงกัน คือจริตคล้ายๆกัน
ถ้าคุณยื่นมือมาแล้วไม่ถึง ทางนี้ก็ปล่อยเลย
อย่าหาว่าใจดำนะ เพราะครูที่พร้อมเป็นผู้ให้ทุกอย่างแล้ว
แต่ถ้าห่างกันมาก หรือสงเคราะห์ไม่ได้ ก็ปล่อยวาง.ง่ายดี

#ขั้นสุดท้าย.ว่าด้วยการปล่อย
คือสอนการครอบกาย ครอบจิตด้วยพุทธคุณ.พระมหาเมตตาฯ
พระท่านเมตตามาสอนนานแล้ว
ที่ให้ภาวนาว่า..พระเป็นลูก ลูกเป็นพระ
และก็ผู้ที่มีกำลังใจสูงแล้ว ก็ให้ภาวนาคำว่า..
พอก่อน ไม่ขอเอ่ยในที่สาธารณะ เพราะปัจจัตตังมากเกินไป
เพื่อให้เรามีกำังใจมากกว่านี้ ไม่ใช่กำลังใจแบบเราทุกวันนี้
หมายถึง พระท่านให้เรามีกำลังใจเป็นบวช 
บวชจิตก่อน ระหว่างบวชจิต เราก็ฝึกตัวตนหายไปด้วยพร้อมกัน
เพราะในขณะที่ทำการครอบกายครอบจิตตนอยู่นั้น
จิตจะเป็นสมาธิค่อนข้างสูง พอครอบไปครอบมาอยู่นั้น
เราจะรู้สึกว่า ตัวตนหายไป เพราะจิตทรงสมาธิสูงนั่นเอง
จึงไม่แปลกอะไร นี่คือการฝึกจิตเข้าถึงคุณของพระ
เรียกว่า พระรัตนตรัย เป็นต้น
นี่แหละ ทำกำลังใจตามพระ แบบพระนั่นเอง
เพราะการก้าวข้ามคำว่า ขันธ์5 มิใช่เรื่องง่าย
ฉะนั้น เราต้องทำจิตให้มีพลัง คือ ต้องมีกำลังใจมากเป็นพิเศษ
อาการจิตตรงนี้ จะเป็นการฝึกจิตตัดขันธ์เรา ขันธ์เขา เป็นต้น

แต่ถ้าเรามานั่งสมาธิจนดูดด้าน 
หรือเดินจงกรมจนเท้าแตก
ก็ยากที่จะได้สภาวะตรงนี้นะ..

เพราะว่าด้วยการทรงอารมณ์พระพุทธคุณ 
ทรงอารมณ์พระมหาเมตตาของพระพุทธองค์เป็นหลัก

ลูกเข้าใจแล้วว่า ..
การทรงอารมณ์พระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์นั้น
หมายถึงอะไร อย่างไร ...

โมทนาสาธุ
ภูทยานฌาน
...
สาธุๆอนุโมทามิ นิพพานะปัจจะโยโหตุ
ขอบพระคุณที่มาจากเฟสบุค ครูภู PhuBodin 16ธค2560
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1112984042172015&id=100003812895876
...






Create Date : 16 ธันวาคม 2560
Last Update : 16 ธันวาคม 2560 16:01:24 น. 0 comments
Counter : 547 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.