Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
9 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
"First day: Dubai International Airport & Rome"

หลังจากที่จะต้องไปฝรั่งเศสด้วยเหตุผลบางอย่างในวันที่ 25-31 ม.ค. ก็เลยวางแผนจะไปเที่ยวอิตาลีค่ะ เพราะว่าไหนๆ ก็เสียตังค์ค่าตั๋วไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่แค่อาทิตย์เดียวหรือสามเดือนก็เป็นตั๋วราคาเดียวกัน ก็เลยนะ...ไหนๆ ก็ไหนๆ ไปอิตาลีประเทศที่เรายังไม่เคยไปดีกว่า แผนการต่างๆ จึงเกิดขึ้น...

ประมาณต.ค. ก็เริ่มวางแผนท่องเที่ยว หลายคนบอกว่าอย่าไปอิตาลีเลยอันตราย เพราะเดินทางคนเดียว เที่ยวคนเดียวด้วย แรกๆ ก็กลัวอ่ะค่ะ เลยไปตั้งกระทู้ถามความคิดเห็นจากคนในห้อง blue planet ก็มีหลายคนเลยบอกว่าอยู่ที่ไหนเที่ยวที่ไหนถ้าไม่ระวังตัวก็อันตรายเหมือนกัน เราก็เลย...เอาฟ่ะ ไปนี่ล่ะอิตาลี เพราะจะให้ประเทศอื่นก็ไม่ลงตั๋วในหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการเดินทาง เพราะจะไปเมืองนีช (Nice) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสค่ะ (แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงมากนะคะ รู้สึกดีที่มีความสำคัญ ^^)

ตอนแรกจะไปนีชก่อน พอเสร็จงาน (เอ๊ะ หรือเปล่า) ก็เที่ยวต่อ แต่เนื่องด้วยความเป็นห่วงของหลายๆ คน ก็ทำให้ทริปเปลี่ยนไปเล็กน้อย คือต้องไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยจบที่นีช และบินกลับไทยจากนีชเลย พอสรุปวันที่จะไป และอื่นๆ ได้แล้ว ก็เริ่มหาตั๋วเครื่องบิน และพบว่า...ตั๋วเครื่องบินแพงมาก T^T ฮา น้ำตาตกใน

แผนที่อิตาลี ที่วงกลมสีส้มที่เมืองที่จะไป และวงกลมสีแดงคือเมืองนีชประเทศฝรั่งเศส




เท่าที่ดูถูกสุดเป็นของ Alitalia Airline สายการบินของอิตาลีซึ่งมีบินตรงจากเมืองไทยไปยังโรม โดยบินร่วมกับสายการบิน China Air ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดราวๆ สามหมื่นหกนิดๆ แต่ไม่ได้ใช้บริการเพราะว่าตอนกลับเราจะกลับจากนีช ซึ่งของ Alitalia ไม่มีบินจากนีช (ถ้าเราจำไม่ผิดนะคะ) คือสรุปว่าไม่ได้ใช้ของ Alitalia แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของ Alitalia ที่รับโทรศัพท์จะพูดจาดีมากๆ ผิดจากเอเจนซี่ขายตั๋วเครื่องบินทั่วไป

จากนั้นเพื่อนน้องชายก็ช่วยหาเอเจนซี่ตั๋วเครื่องบินให้ ราคาถูกสุดราวๆ สามหมื่นหกนิดๆ เหมือนกันของ Turkish Airline เปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบลู ตุรกี บินกลับจากนีชได้ ก็โอเคเลยนะคะ ทั้งเวลาและอื่นๆ แต่...ตั๋วถูกเต็มหมดเลย เหลือตั๋วอีกระดับราคาที่แพงมากกว่า และ...waiting list ยาวมาก ถ้ามีที่ว่างระดับราคาสูงกว่าก็จะได้ไป แอบเหวอนิดหน่อย เพราะเราจองตั๋วเครื่องบินราวๆ ปลายต.ค. เพราะจะไปทำวีซ่าต้นพ.ย. ก่อนเริ่มตะลอนทัวร์กับแจ่มใส แต่ตั๋วเต็มหมดแล้ว...สุดยอด

ก็เลยมาลงท้ายที่เธอ เอ๊ย ไม่ใช่ ลงท้ายที่เอมิเรตต์แอร์ไลน์ จากผ่านเว็บเลย ซึ่งตั๋วช่วงนั้นก็เต็มบ้างว่างบ้าง (เช็กเอาจากเนต) แล้วแต่วันเลยล่ะค่ะ พอเห็นว่างปุ๊บก็รีบคว้า เป็นช่วงโปรโมชั่นของเว็บ ซึ่งพี่เอเจนซี่บอกว่าตั๋วเอมิเรตต์ซื้อจากเว็บราคาถูกกว่า เราก็เลยโอเคซื้อจากเว็บ...ได้ราคาที่ประมาณสามหมื่นเก้าพันบาท (แพงเนอะ T-T) และขอกลับรอเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบสิบชั่วโมง ก็โอเค...สู้กัน

หลังจากได้ตั๋วและทำการจองโรงแรมตามเมืองต่างๆ ที่จะไปเรียบร้อย ก็นำหลักฐานทั้งหมดที่มีไปทำวีซ่าแอบใจเต้นเหมือนกัน เพราะกลัวว่าวีซ่าจะไม่ผ่านเนื่องจากตอนนี้ไม่มีงานประจำ นอกจากงานหลักคือเที่ยว งานรองคือเขียนหนังสือ ฮา แต่ในที่สุดก็ได้วีซ่ามาครอบครองเรียบร้อยโดยไม่มีปัญหาอะไร และจากนั้นก็รอเวลาเดินทาง...

แม่พยายามเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า...ยังไม่แลกเงินยูโรอีกเหรอ ยังอีกเหรอ...เราก็บอกว่าไม่เป็นไรรอก่อนๆ แล้วก็รอก่อนเดือนม.ค. ค่าเงินยูโรพุ่งพรวดจนแทบจะกระอักเลือด อยากร้องไห้จริงๆ สรุปก็แลกเงินยูโรตอนมันลงมาได้นิดเดียวคือ 47.70 บาทต่อยูโร (ซึ่ง ณ ขณะนี้ยูโรละประมาณสี่สิบหกบาทเศร้าจังเลย) เตรียมเงินไปแบบกลัวๆ นิดหนึ่ง กลัวหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นกลัวไม่พอ กลัวหาย กลัวกลับบ้านไม่ได้ ถ้าสนามบินนีชที่ฝรั่งเศสมีประท้วงปิดสนามบิน แล้วเงินที่เตรียมไปไม่พอจะทำไง เพราะเป็นคนไม่มีเครดิต (ไร้บัตรเครดิต ฮา) พยายามจะทำติดตัวแล้ว แต่...ไม่มีเครดิตอ่ะ เลยอดทำ

และแล้ววันเดินทางก็มาถึง...

วันที่ 14 มกราคม

ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนห้าทุ่ม ก็ไปเช็กอินเรียบร้อย อำลาแม่กับป๊าที่มาส่ง แล้วก็นั่งเครื่องของเอมิเรตต์ที่มีจอทีวีทุกที่นั่งออกจากกทม. ตอนตีหนึ่งห้านาที (เครื่องเต็มเลย) ได้หลับนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะดูทีวีบนเครื่อง มาถึงสนามบินดูไบเกือบๆ ตีห้าของดูไบ หรือแปดโมงเช้าของไทย เพราะอาหรับฯ ช้ากว่าไทยสามชั่วโมง

สนามบินดูไบ





รอตอนเครื่องตอนเก้าโมงยี่สิบห้านาที (เช้า) ที่นั่งรอหน้าประตูยังไม่เปิด เลยไปเดินชมความกว้างขวางของสนามบินดูไบ เอาเงินสิบยูโรไปแลกเป็นเงินอาหรับ ได้มาสี่สิบเจ็ดเหรียญอาหรับ (เรียกว่าไหร่หว่า) ใช้ไปแค่หนึ่งเหรียญเอง ซื้อน้ำ แต่เดี๋ยวเก็บไว้ใช้วันกลับก็ได้ เพราะวันกลับรอเปลี่ยนเครื่องนานเลย จากนั้นก็นั่งเล่นเนต มีสัญญาอินเตอร์เนตให้เล่นด้วย แอบงีบหลับไปนิดหนึ่ง รู้สึกว่าเบาะที่นั่งดีกว่าสุวรรณภูมิบ้านเรามาก ให้รอเครื่องนานก็พองีบหลับได้ ไม่เหมือนเก้าอี้บ้านเราแข็งและเย็นเฉียบ หนาวอ่ะ แต่แอบเซ็งนิดหนึ่งตรงที่สนามบินดูไบไม่มีปลั๊กไฟให้เสียบเลย เราว่าไม่สะดวกก็ตรงนี้

จากดูไบไปโรมคนเยอะมากๆ ก่อนขึ้นเครื่องตรวจเช็กยังกับนึกว่ามาถึงอิตาลีแล้ว ถามทุกคนเลย คนไหนน่าสงสาร (คนอาหรับ) ก็ถูกกันไปสอบถามต่อ ทำให้เสียเวลาก่อนขึ้นเครื่องนาน แต่เครื่องก็ออกตามเวลานะคะ คนเต็มลำเหมือนเดิม มีอาหารเสิร์ฟเยอะดี และเราก็กินเยอะด้วย สงสัยหิว ฮา หลับบ้างดูทีวีบ้าง (เครื่องลำนี้ดีมาก มีปลั๊กไฟให้ตามที่นั่งด้วย) เครื่องบินมาถึงโรมตอนเที่ยงสี่สิบห้านาที เวลาที่อิตาลีจะช้ากว่าดูไบสามชั่วโมง และช้ากว่าเมืองไทยหกชั่วโมง จากนั้นก็ไปผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่พลิกพาสปร์อตเราทั้งเล่มเก่าเล่มใหม่ (เอาหนังยางรัดติดกันสองเล่ม) แทบทุกหน้า แล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนชิวๆ มาก (แบบพลิกพาสปอร์ตแต่ไม่มองดูอ่ะ) แล้วก็ถามว่ามาคนเดียวเหรอ มาจากไหน ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ไทยหรือที่ไหน ก็ตอบเขาไป และได้เข้าประเทศได้ในที่สุด ซึ่งคิดว่า...ง่ายกว่าขึ้นเครื่องจากดูไบมาโรมเสียอีก

ระหว่างนั้นรอกระเป๋านานมากๆ เสียวไส้สุดๆ กลัวกระเป๋าหาย แต่ในที่สุดกระเป๋าก็มา กระเป๋าเยอะมากๆ เลย (ก็คนเต็มเครื่องขนาดนั้น) แล้วเราก็เดินๆ ตรงมายังสถานีรถไฟ (ทำเสมือนว่าเชี่ยวชาญ ฮา) จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟสิบเอ็ดยูโรจากช่องขายตั๋ว นั่งมาประมาณสามสิบนาที ก็ถึงสถานีโรม เดินงุนงงๆๆๆ หาโรงแรมไม่เจอ แม้จะดูแผนที่แล้ว ฟ้าเมืองโรมมืดครึ้มราวฝนจะตกมากๆ หลังจากสงบสติอารมณ์ก็ตั้งต้นใหม่ หาใหม่ แล้วก็สมควรหาไม่เจอหรอก เพราะไม่มีป้ายใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแบบป้ายเล็กๆ อยู่ตรงปุ่มกดออดตรงหน้าประตู ดีนะที่หาแผ่นที่ให้ชัวร์อีกรอบ ไม่งั้นคงไม่มีทางหาเจอแน่ๆ เลย

ป้ายโรงแรมที่วงสีแดงๆ เอาไว้



กดออดเรียกคนข้างบนให้เปิดประตูให้ ก็พูดคุยกันนิดหน่อยว่าจะมาเช็กอิน เขาก็เปิดประตูให้เข้าไป


นี่คือลิฟต์



จากที่สังเกตลิฟท์ที่อิตาลีเก่ามากๆ เลย แต่ลิฟท์ที่โรมที่สุดยอดสุดแล้ว น่ากลัวมาก ประตูยังกะประตูห้อง เปิดเข้าไปก็จะเจอประตูสองบาน ผลักเปิดเข้าไป เอาตัวเราเข้าไป แล้วก็หันกลับมาปิดประตูบ้าน (ประตูแรกของลิฟท์ล่ะค่ะ) แล้วก็ปิดประตูสองบาน ก่อนจะกดปุ่มชั้นที่ต้องการ


ไม่มีป้ายหน้าห้อง คือจริงๆ ขึ้นชั้นผิดด้วย เห็นเขียนหมายเลขไว้หน้าป้ายข้างล่างตรงออดว่า 5 เราก็ด้วยความเข้าใจผิดเลยกดชั้นห้า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เป็นหมายเลขห้องที่ 5 ต่างหาก และอยู่ชั้นสาม (ไม่มีเขียนไว้จะบอกมั้ยอ่ะ) อ้อ ชั้นสามของอิตาลีหมายถึงชั้นสี่ของบ้านเรานะคะ

ก็โอเคหาเจอในที่สุด ก็เข้าไปเช็กอิน เป็นเกสต์เฮ้าส์จริงๆ ค่ะ ชั้นสี่ (หรือสามของอิตาลี) จัดเป็นห้องพักหลายห้อง เจ้าของเป็นคุณลุงน่ารักมากเลย ส่วนรีเซฟชั่น (และทำทุกอย่าง) เป็นสาวฟิลิปปินส์ พ่นอิตาเลียนเป็นไฟเลย ราคาถูกมากห้องเดี่ยวห้องน้ำในตัวราคา 35 ยูโร และใกล้สถานีรถไฟมาก

มาดูสภาพห้องกันค่ะ

เตียงนอนเดี่ยวสำหรับคนเดียว




ห้องน้ำ




ฝักบัว




ที่นี่เป็นเกสต์เฮ้าส์ และราคาถูกสุดในบรรดาโรงแรมที่พัก หากที่นี่เป็นที่เดียวที่มีมุมน้ำชาตั้งไว้ให้ในห้องค่ะ (แต่ไม่ได้ใช้บริการเลยนะ)



สภาพห้องโอเคมากๆ เหมือนกับเพิ่งทำห้องใหม่เลย (คือสร้างใหม่เลยอ่ะค่ะ) ชอบสุดๆ ได้เกินกว่าที่คิดไว้มากจากนั้นก็จัดการร่างกายนิดหนึ่ง ก็ออกไปตะลุย ไปซื้อ Roma Pass ตามที่มีคนใจดีในห้องบลูฯ แนะนำก่อนที่สถานีรถไฟ ราคายี่สิบสามยูโร (ราคาขึ้นอีกแล้ว เพราะจากข้อมูลบอกว่ายี่สิบยูโรเอง เหมือนว่าจะขึ้นทุกปี)

ด้านในของสถานี ด้านขวาคือที่ขายโรมาพาส (ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว)




โรมาพาสมีอะไรดีทำไมเราต้องหามาครอบครอง...





จะมีพาสสำหรับเข้าพิพิธภัฑณ์ โดยจะเข้าฟรีในสองแห่งแรกที่เปิดใช้ และที่อื่นๆ จะมีส่วนลดค่ะ (ด้านบนด้านซ้ายมือ) นอกจากนั้นจะมีพาสสำหรับยาพหนะใช้ได้ทั้งรถบัส, รถไฟใต้ดิน, รถไฟ และรถราง (แต่นั่งไปสนามบินไม่ได้นะคะ) ขึ้นกี่เที่ยวก็ได้ ภายในสามวัน หรือเวลาเที่ยงคืนของวันที่สามนับจากวันแรกที่เปิดใช้ ซึ่งพาสพิพิธภัณฑ์ก็เช่นกัน นอกจากนั้นก็จะมีแผนที่และคู่มือให้ค่ะ ว่าจะใช้เข้าที่ไหนได้บ้าง (แต่แผนที่ที่ได้จากที่พักจะเวิร์คกว่านะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะมีหรือไม่มีแผนที่ เดินในโรมก็หลงหมดล่ะค่ะ ฮา)

จากนั้นก็กางแผนที่ เดินๆ เดินมั่วมากเลย ไม่รู้ว่าผ่านไปเส้นไหนบ้าง แม้จะดูแผนที่แล้วก็ตาม

Piazza della Repubblica ใกล้สถานีรถไฟและชุมทางรถบัสมาก




น้ำพุ



ฟ้าครึ้มถ่ายรูปยากมาก และสิ่งของสร้างในโรม...ใหญ่อ่ะค่ะ T^T ถ่ายรูปให้สวยยากมากเลย สำหรับคนไม่มีฝีมือคนนี้ (ฮา)



ฝั่งตรงข้ามของจตุรัสคือโบสถ์ Santa Maria degli Ageli



เปิดให้เข้าชมฟรีค่ะ เลยเข้า ฟ้าดูมืดๆ แต่เพิ่งสามโมงนิดๆ เองนะ ประตูข้างทางเข้าโบสถ์



เราว่าในโบสถ์นี้เป็นศิลปะที่ดูน่ากลัว (สำหรับคนไม่มีความรู้เรื่องศิลปะ) คือดูเป็นชิ้นๆ (ชิ้นส่วนมนุษย์)

ในโบสถ์ มีคนประปรายแต่ไม่เยอะมาก





เดินชมสักพักก็ออกมา พยายามจะเดินไปบันไดสเปน หรือที่ไหนก็ได้ แต่ดูแผนที่แล้วมึน เลยเดินไปเรื่อยๆ เจอป้ายนี้น่ารักดี



จอดรถผิดที่ถูกยกรถ แถมเงินยังบินหนีด้วยน้า

สำหรับคนไปเที่ยวโรม แนะนำว่าไม่ควรใส่รองเท้าส้นเข็มไปเดินค่ะ เพราะถนนของเขาเป็นก้อนอิฐเอามาวางเรียงกัน พื้นจึงไม่เรียบ ขนาดรองเท้าส้นเตี้ยธรรมดายังเดินลำบาก




ระหว่างทาง (ที่ไหนก็ไม่รู้)




เจอนี่แล้วยิ้ม รีบถ่าย



คนญี่ปุ่นอยู่ทั่วโลกจริงๆ ห้างดังเก่าแก่ของญี่ปุ่นยังมีที่โรม


ร้านขายของที่ระลึกข้างทาง



ไปถึงโรมแรกๆ แอบเหวอๆ เพราะของแพงเมื่อคำนวณกลับมาเป็นเงินไทย จริงๆ ถ้าไปตอนอยู่ญี่ปุ่นจะไม่รู้สึกว่าแพงมาก (แต่ก็อาจจะแพงกว่าญี่ปุ่นนิดหนึ่ง)


เดินหลงไปหลงมาเจอ Piazza del Quirinale (น่าจะถูก)



ถ่ายภาพได้เอียงสุดๆ และแอบงงเล็กน้อยว่าทำไมทั้งอิตาลีและฝรั่งเศสชอบไปขโมยเสาโอบิลิกส์จากอียิปต์มาจัง

Quirinale



รอบกายไม่มีคน และฟ้าก็เริ่มมืดทั้งๆ ที่เพิ่งสี่โมง



เดินไปเรื่อยๆ แบบไร้ทิศทางงุนงงมากมาย แถมคนก็ไม่มี วันแรกในโรมซะด้วยกลัวจังเลย เพราะมีแต่คนเตือนว่าโรมน่ากลัว ทั้งยังบอกตัวเองว่าจะไม่อยู่ข้างนอกดึกๆ จะรีบกลับโรงแรม เพราะก็กลัวเหมือนกัน เลยเดินหาทางกลับไปทางเดิมเพื่อความอุ่นใจ ในที่สุดก็ข้ามกลับมาถนนใหญ่รถเยอะได้



การข้ามถนนที่โรมข้ามยากลำบากมาก เพราะไม่ค่อยมีไฟเขียวไฟแดง วัดใจกันเอาเองว่าถ้าเธอข้าม คนขับจะหยุดให้มั้ย ผลคือ...เกือบถูกรถชนตั้งแต่วันแรกที่เหยียบโรม ลุงไม่มองคนข้ามถนน เลยเกือบชนเรา เราก็เกือบกลายเป็นซุปเปอร์แมนเอามือดันกระโปรงหน้ารถลุงไว้ เครียดมากเลย...นึกว่าจบแล้วทริปฉัน (ฮา)

สำนึกว่าควรจะรีบกลับโรงแรมได้แล้ว ก็เลยจะใช้โรมาพาสให้เป็นประโยชน์ด้วยการนั่งรถบัสกลับ มองหาป้ายรถเมล์แบบนี้



และด้วยความซื่อบื้อไม่ยอมดูว่ารถสายไหนไปไหนบ้าง (ป้ายเหลืองๆ ข้างบนจะเขียนบอกทุกสายที่จอดค่ะ ว่าไปไหนบ้าง) เราก็คิดว่ารถเมล์ทุกคันไปหน้าสถานีรถไฟโรมหมดเลย ก็เลยขึ้นรถเมล์คันแรกที่มาถึง รถพาวนไปวนมาผ่านที่สำคัญคนถ่ายรูปมากมาย แถมยังผ่านถนนหน้าโรงแรมเราด้วย แต่เราก็ไม่ลง จะไปลงที่สถานีรถไฟอ่ะ แต่...รถไม่ผ่านหน้าสถานี มันเลี้ยวขวาไปไหนก็ไม่รู้ เหวอมากๆ รีบลงจากรถเลย แล้วฝนก็ตก...

ท่ามกลางสายฝนและฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ เดินกลับตามทางรถไฟ (แอบน่ากลัวนิดๆ) ไปยังสถานีรถไฟโรม เมื่อยขามากมาย แต่ในที่สุดก็กลับมาจุดเริ่มต้น (สถานีรถไฟ) ได้ ก็แวะซื้อน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้สถานีรถไฟ และซื้อพายผักโขมมาเป็นอาหารเย็นจากร้านขายอาหารแบบแพ็กกลับบ้านใกล้สถานี แล้วก็เดินกลับโรงแรม (ได้กุญแจสามดอกไว้ในครอบครอง กุญแจประตูใหญ่ด้านล่าง, กุญแจเปิดเกสต์เฮ้าส์ที่ชั้นสาม และกุญแจห้อง)

กลับถึงห้องก็จัดการอาหารเย็น และนั่งวางแผนต่อว่าวันพรุ่งนี้จะไปไหนดี สรุปว่าจะไปวาติกันก่อน เพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนตก และเราน่าจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วาติกันค่ะ

ทิ้งท้ายด้วยปลั๊กไฟของอิตาลี



ใช้ไฟ 220 โวล์ตเหมือนบ้านเรา และจากที่ทำการบ้านมา ไปจัดการซื้อปลั๊กไฟสำหรับเดินทางทั่วโลกมาแล้ว ก็เลยไม่มีปัญหากับการชาร์ตแบตกล้องนะคะ ^^

แล้วเจอกันใหม่กับทริปโรมวันที่สอง (และรูปน่าจะเยอะมากมาย ฮา)

เด็กทะเล
09.2.9



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 17:24:10 น. 15 comments
Counter : 5776 Pageviews.

 
เข้ามาติดตามบรรยากาศทริปค่ะ

,, รอตอนต่อไปนะค้า ^w^


โดย: loNliPop IP: 161.200.255.162 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:50:08 น.  

 
ท่าทางจะเป็นทริปที่ระหกระเหินกว่าตอนพวกเราไปลาวเยอะเลยนะครับ -''-

งือ โรมมมมม หนูอยากไปโรมมมมม


โดย: waidhaya วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:33:59 น.  

 
ชอบๆ ชอบอ่านเรื่องพาเที่ยวแบบที่ๆ ไม่เคยไปมาก่อน มันตื่นเต้นไปกับคนเล่าดีค่ะ (^^) เดี๋ยวจะตามอ่านด้วยความลุ้นระทึกอีกคน อิ้วว

แต่ว่าเจ้าพื้นถนนในยุโรปจะชอบเป็นอิฐจริงๆ ด้วยค่ะพี่อ้อม อารมณ์เก็บของเก่าไว้ ไม่ทำใหม่ อิงชอบนะคะ ได้ความเก๋ แต่เดินยากจริงๆ รองเท้าแบนๆ ก็ยังเดินยาก

ส่วนเสาต้นนั้น ถ้าให้อิงเดา (เดาล้วนๆ หากผิดขออภัยด้วยนะคะท่านผู้อ่านทุกคน) อิงว่าที่มีอยู่หลายที่น่าจะเป็นอารมณ์เสาแจ้งว่าข้าพเจ้าได้ยึดครองที่นี่แล้วมั้ยคะ (เดาจริงๆ) อารมณ์ไม่นโปเลียนก็อเล็กซานเดอร์ล่ะ (ฝรั่งเศสหรือโรมใช่ม้า ฮา) อารมณ์ไปยึดที่ใดได้ ก็มีเสาโผล่ไว้บอกว่าข้ามาแล้ว (ยังยืนยันว่าเดา) หากใครมีความรู้ที่ถูกต้อง โปรดบอกเป็ดตัวน้อยๆ ด้วยน้าา (^^)


โดย: นายน้อย IP: 58.9.121.204 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:40:45 น.  

 
เอิ๊ก อิจฉา คิดถึงโรม โรมสวยนะ แต่่วุ่นวายก่ายกอง ถ่ายรูปยากจริงๆ ด้วย ทุกอย่างใหญ่บึ้มไปหมด

โอบิลิกส์...จำไม่ได้ฟ่ะ เหมือนๆ กับว่า จะได้เป็นของขวัญไรทำนองนี้นะ ((มั่วง่ะ ต้องไปค้น))


ปล. ทำไมล็อกอินหลุดฟะ? แง่


โดย: Clear Ice (Clear Ice ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:31:11 น.  

 
อ้าว ไม่หลุดนี่หว่า แล้วทำไมถึงให้เติมเลข งงๆ @_@


โดย: Clear Ice วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:31:49 น.  

 
แผนของตูนที่เคยวางไว้กับเพื่อ คือ ไปสายการบิน EK ลงที่ดูไบ ฉลองดินเนอร์ นอนกลางทะเลทราย 1 คืนแล้วบินลงที่ปารีส นัดเพื่อนขับรถเที่ยวจากปารีสไปรับเพื่อนอีกคนที่บรัสเซล แล้ววกขับรถเที่ยวต่อลงมาเรื่อยๆถึงโรม แล้วบินกลับไทย
ทริปนี้วางแผนเมื่อปีที่แล้วเป็นอันล้มเลิกเพราะเพื่อนที่อยู่ฝรั่งเศสดันแต่งงานเสียนี่แผนพังลงครืด... เลยเปลี่ยนทริปเป็นอินเดียแทน เพิ่มวันเป็นเดือนให้สะใจ...
แต่ทริปยุโรปคิดว่าไม่หนักหนาเพราะว่ามีแต่สาวๆ 5 คน (เพื่อนที่อยู่ปารีสกะว่าจะขับรถเพื่อมาเปลี่ยนเป็นอีกคันที่บรัสเซลแทน อย่างไรก็ 4 คนอยู่แล้ว กะนอนโรงแรมระดับ 4 ดาวด้วยสวัสดิการของเพื่อนในราคานิดๆ ... เลยกะว่าขอดูปีนี้ก่อน มิเช่นนั้นงบบานเพราะค่าน้ำมันจะขึ้นอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ...

เที่ยวแบบถูกๆเพราะมีสวัสดิการเอาให้คุ้ม...


โดย: ColdOut วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:36:41 น.  

 
ขอบคุณสำหรับรูปนะคะ โรมเป็นเมืองในฝันอยู่ตอนนี้ แหะๆ

อ้อ...สารภาพนิดนึงค่ะว่าเป็นแฟนหนังสืออยู่ด้วยนะคะ


โดย: koipotter วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:55:56 น.  

 
อา... เป็นเมืองที่เหมาะแก่การไปถ่ายรูปมากๆ

T-T


อยากไปๆๆๆๆๆ แง๊ๆๆๆๆๆๆ



โดย: ตัว(Z) วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:58:12 น.  

 
ว้าว น่าเที่ยวจังเลยค่ะพี่อ้อม

หวังสักวันคงได้ไปบ้างนะ


โดย: lovekalo วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:16:03 น.  

 
น่าไปอ่าาา


โดย: nEung IP: 116.255.47.193 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:46:36 น.  

 
++ น้องนิ๋ง ++
อีกแป๊บตอนต่อมาแน่จ้า

++ น้องกิฟท์ ++
ระหกระเหินกว่ามากมาย ขอบอก ฮา

++ น้องอิง ++
ขอบคุณที่มาช่วยเดาจ้า ^^
ส่วนพื้นอิฐพี่ก็ชอบนะ แต่แบบว่ามันเดินยากจริงๆ เห็นด้วยน้า

++ ไอซ์ ++
เนอะ เข้าใจใช่ป่ะมันใหญ่หมดเลยอ่ะ ถ่ายยากมากๆๆๆ
โอบิลิกส์นี่ได้เป็นของขวัญจากอียิปต์เหรอ ไม่ใช่ไปเอาของเขามาเปล่าๆ เหรอ รอดูไอซ์ไปค้นมา (อ้าวเลว โยนงานเฉย ฮา)

++ น้องตูน ++
แผนน่าเที่ยวมากๆ ค่ะ ถ้าพักสี่ดาวได้ราคาพิเศษดีเลยน้า ของพี่ไม่ค่อยเน้นที่พัก (เพราะไม่มีเงิน ฮา) แบบว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ที่พักไง เลยเอาถูกๆ ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดอ่ะน้า
ขอให้ได้เที่ยวเร็วๆ น้า

++ คุณ koipotter ++
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามบล็อกนะคะ
แอบปลื้มติดตามผลงานของเด็กทะเลด้วย ^^

++ น้องกอล์ฟ ++
ถ้าคนถ่ายรูปเก่งๆ ไปนี่ปลื้มน้า ถ่ายเพลินเลย

++ น้องลี่ ++
ขอบคุณที่เข้ามาชมจ้า

++ น้องหนึ่ง ++
ถ้ามีโอกาสไปเยือนน้า


โดย: เด็กทะเล (ลิปิการ์ ) วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:18:21 น.  

 
เป็นเมืองที่สวยจริงๆ
มีมนต์มากๆ เลย

สักวัน จะไปบ้าง....T^T


โดย: วีสาม IP: 125.27.91.252 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:01:58 น.  

 
อิจฉา อยากไปด้วย จะไปอีกเมื่อไหร่จ๊ะ​ ฮา เมืองสวยอ่ะ อยากไปถ่ายรูป

ฟูจิฟิล์มบันไซมากๆ ขนาดไม่มีแดดนะเนี่ย


โดย: small Qpid วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:20:54 น.  

 
พี่อ้อมเก่งสุดเลย เป็นน้องปุ้มไม่กล้าไปคนเดียวแน่เลย เพราะไม่คุ้นเคย แต่เมืองเขาสวยจริง ๆ มันดูเก่าแก่และมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง


โดย: ปุ้ม IP: 158.108.8.123 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:8:22:32 น.  

 
สวยอ่าค่ะ

อยากไป 55+

สนุกไหมค่ะ? แต่ไปคนเดียว น่ากลัว เหอๆ [เหงาแย่เรย - -*]

พี่อ้อมก้อรักษาสุขภาพด้วยน๊าค่ะ


โดย: ความว่างเปล่า๐[พลอย]๐ IP: 124.120.32.201 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:45:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลิปิการ์
Location :
ตอนใต้ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add ลิปิการ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.