Christmas/Christ-Mass คริสมาสไม่ใช่....
"จงเรียนรู้ที่จะกระทำสิ่งที่ถูกต้อง..." อิสยาห์ 1:17


"พวกท่านควรดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์และอยู่ในทางพระเจ้า...จงพยายามทุกวิถีทางที่จะให้พระองค์เห็นว่าท่านปราศจากข้อด่างพร้อย ไร้ตำหนิและมีสันติสุขในพระองค์" 2 เปรโตร 3:11,14 ( NIV)






Christmas/Christ-Mass


คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ต้นกำเนิดนั้นมาจากไหน? แม้ว่าผู้คนโดยทั่วไปจะเข้าใจว่ามีรากเหง้ามาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น แต่คำตอบสั้นๆคือไม่จริง!

ถ้าพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นผู้ที่บอกให้เราฉลองวันคริสต์มาส ก็แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

แล้วซานตาคลอสล่ะ มาจากไหน?

ได้มีการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสในสังคมของชาวตะวันตกที่ไม่นับถือพระเจ้าองค์จริง(พระยาห์เวห์)มานานมาก ตั้งแต่ก่อนการมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์เสียด้วยซ้ำ


(Note: Pagan เป็นคำศัพท์ที่เรียกรวมๆทุกคนทุกชาติทุกภาษาที่ไม่เชื่อและไม่เคารพบูชาและไม่ได้นมัสการพระเจ้าองค์จริง แต่บูชาสิ่งอื่นหรือพระอื่นแทนพระเจ้า)

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นทางทิศเหนือและเคลื่อนไปอย่างช้าๆบนท้องฟ้า บรรดาชาวตะวันตกผู้ไม่ได้บูชาพระเจ้าหรือชาวPaganนั้น จะมีการฉลอง Winter Solstice (ช่วงเวลาที่หนาวที่สุด) โดยการเผาท่อนไม้ขนาดใหญ่ในกองไฟ (Yule log) และเนื่องจากดวงอาทิตย์ได้เปลี่ยนทิศทางของมันบนบนท้องฟ้า ชาว Pagan โบราณจึงมีความเชื่อว่านี่เป็นสัญญาณของการบูชามนุษย์ที่พระเจ้าของพวกเขาพอใจซึ่งได้ทำไปแล้วในช่วงวันฮาโลวี (Halloween)

เทศกาลคริสต์มาสนั้นพบว่ามีรากฐานมาจากวัฒนธรรมและศาสนาของชาวโรมัน หลักฐานพบว่ามีการฉลองเทศกาลคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมนั้นได้เริ่มมีขึ้นประมาณ 300+ ปีหลังจากพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ซึ่งในการฉลองครั้งแรกนั้นเป็นการฉลองร่วมกับเทศกาล Saturnalia หรือการเลี้ยงฉลองเทพเจ้าแห่งการเกษตรของพวกเขา ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวพืชผลของชาวโรมันสมัยนั้นในช่วง Winter Solstice ซึ่งดวงอาทิตย์ได้หมุนกลับมา พร้อมทั้งเป็นการบูชาดาวเสาร์ซึ่งเป็นดวงดาวแห่งการหว่านของชาวนา




การฉลอง Saturnalia เป็นเทศกาลการฉลองที่ทุกคนจะสนุกสุดเหวี่ยงแบบลามก มีความเชื่อกันว่า การฉลองคริสต์มาสนั้นได้เกิดขึ้นด้วยการเปลี่ยนความหมายของ การบูชาดวงอาทิตย์คือSun มาเป็นการบูชาพระบุตรของพระเจ้าซึ่งคือThe Son ซึ่งในเทศกาลนี้นั้น ชนทุกชั้นจะมีการแลกเปลี่ยนของขวัญและของขวัญที่ให้กันโดยทั่วไปก็คือเทียนปลายแหลมที่ใช้จุดไฟ และตุ๊กตาดินเหนี่ยว ซึ่งตุ๊กตานี้ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนการมนุษย์เพื่อบูชาพระเจ้าของเขาที่มีการทำกันมาตั้งแต่โบราณ


อย่างไรก็ตามจากข้อเขียนทางบทความที่พบใน The Catholic Encyclopedia ในหัวข้อ “Christmas” นั้น พบว่าคริสตจักรในยุคเริ่มต้น จริงๆแล้วนั้นพวกเขาไม่ได้มีการฉลองวันคริสต์มาสเลย Irenaeus และ Tertullian ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรโรมันในยุคแรกนั้นไม่ได้เอาด้วยกับเรื่องนี้ และตามการบันทึกในพระคัมภีร์เองในเรื่องการประสูติของพระเยซูนั้น ก็ไม่พบว่าพระองค์ประสูติในช่วงฤดูหนาวเลย จากลูกาบทที่ 2 จะพบว่า ผู้เลี้ยงแกะยังเฝ้าฝูงแกะอยู่ในทุ่งหญ้า ซึ่งถ้าช่วงนั้นเป็นเดือนธันวาคมที่หนาวเหน็บที่สุดแล้วพวกเขาก็คงอยู่กลางทุ่งกันไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วทั้งโยเซฟ นางมารีย์และพระเยซูที่เพิ่งประสูติออกมาก็อยู่กันในคอกสัตว์ ถ้าเป็นวันที่หนาวเหน็บหนาวจริงๆแล้ว พวกเขาก็คงอยู่กันอย่างนั้นไม่ได้ด้วย

เป็นที่รู้กันว่าชาวโรมันในยุคของจักรพรรดิ์ Aurelian (270 BC -5 AD) มีการฉลองเทศกาล Natalis Invicti ในวันที่ 25 ธันวาคม กันอย่างครึกครื้น ซึ่งเป็นการบูชาพระอาทิตย์หรือพระบาอัลที่สืบทอดกันมาจากทางซีเรีย (Syrian sun-god Baal

ไม่มีการบันทึกใดๆในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งในพระคัมถีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ที่ระบุว่ามีการฉลองวันคริสต์มาสเลย!!! ไม่มีแม้แต่การบอกเป็นนัยๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือแม้แต่การบอกใบ้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลย!!




เมื่อดูธรรมเนียมแบบอย่างของคริสต์มาส(แบบตะวันตก) ก็เป็นการตกแต่งด้วยต้นสน Evergreenด้วยกล่องของขวัญ รูปดาว ไฟระยิบระยับ พวงหรีดที่หน้าประตูบ้านหรืออาคารต่างๆ




พระเจ้าได้เตือนเรื่องนี้ไว้แล้ว...
“พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า "อย่าเรียนรู้วิถีทางแห่งบรรดาประชาชาติ....เพราะธรรมเนียมของชนชาติทั้งหลายก็ไร้สาระ เขาตัดต้นไม้มาจากป่าต้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่มือช่างได้กระทำด้วยขวาน เขาทั้งหลายก็เอาเงินและทองมาประดับ เขาตอกไว้แน่นด้วยค้อนและตะปู มันก็เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้” เยเรมีย์ 10:2,3-4 ซึ่งก็หมายถึงต้นคริสต์มาสนั่นเอง

โดยความเชื่อของชาว Paganนั้น มีการเล่าที่มาของเรื่องนี้แตกต่างกันไป เช่น ในบางที่มาก็ว่า “Mithras, the sun-god หรือเทพเจ้าแห่งแสงสว่างนั้นได้ถือกำเนิดอย่างบริสุทธิ์ในถ้ำ ในวันที่ 25 ธันวาคม และการนมัสการพระอาทิตย์ในวันอาทิตย์ซึ่งเชื่อว่าเป็นวันแห่งชัยชนะของพระอาทิตย์ ผู้เชื่อในพระอาทิตย์นั้นเชื่อว่าพระอาทิตย์คือพระผู้ไถ่ของเขาผู้ซึ่งเป็นคู่ปรับกับพระเยซูคริสต์ในด้านความนิยม เขายังเชื่อว่าพระอาทิตย์นั้นได้ตายแล้วและเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งและได้มาเป็นผู้ถือสารหรือผู้สื่อสารของพระเจ้า เป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้าแห่งแสงสว่างกับมนุษย์(เกือบจะถอดแบบพระเยซูคริสต์มาเลยล่ะ) และเป็นผู้นำในการต่อสู้กับซาตาน(ซึ่งจริงๆแล้วตัวพระอาทิตย์นี่แหละคือซาตานหรือลูซีเฟอร์(Lucifer)ในอีกรูปหนึ่ง)


แล้ววันที่ 25ธันวาคมได้กลายมาเป็นวันเกิดพระเยซูได้อย่างไร?



จากการบันทึกประวัติศาสตร์ เชื่อว่ามีการเริ่มฉลองคริสต์มาสจริงๆประมาณ 300+ ปีหลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนเรื่องวันที่มีการเฉลิมฉลองนั้นก็ได้เหมารวมเข้าไปในวันฉลองของชาวPagan ที่เขาฉลองในเทศกาลบูชาพระอาทิตย์ของเขานั่นเอง ซึ่งก็คือวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี เขาได้เอาพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกมาเล่นเป็นตุ๊กตาไปซะแล้ว เขาพยายามลดความสำคัญของพระเยซูโดยเอาพระองค์มารวมๆเข้าไว้ในกลุ่มพระต่างๆที่พวกเขากราบไหว้ ซึ่งคริสเตียนบางคนคิดว่าเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเพราะเป็นการร่วมกันฉลองวันเกิดให้พระองค์ แต่ความจริงแล้วสิ่งนี้กลับเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างรุนแรง it’s Blasphemy!!!!


และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือพระเจ้าไม่เคยยกย่องวันเกิดเลย ดังที่ได้ทรงตรัสไว้ใน ปัญญาจารย์ 7:1 "ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ และวันตายก็ดีกว่าวันเกิด"

ส่วนชื่อ Christmas ได้นำมาใช้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาตั้งแต่ยุคกลางของคริสตจักโรมันคาทอลิค โดยในยุคนั้น ชาวคริสตจักรโรมันคาทอลิคได้มาร่วมกัน (Mass) ที่โบสถ์เพื่อทำพิธีทางศาสนาในคืนก่อน(eve) วันที่ 25 ธันวาคม ในช่วงรุ่งอรุณ และในช่วงเวลาเช้าของวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จึงมีคำว่า Christ-Mass ที่ผันมาเป็น Christmas ในที่สุด

จากพระคัมภีร์: หลังน้ำท่วมโลก โนอาห์และลูกๆของเขารอดชีวิต ซึ่งได้แก่ เชม ฮาม และยาเฟท

ต่อมาฮามเป็นบิดาของคูท และคูทเป็นบิดาของนิมโรด
อับราฮัมเป็นรุ่นที่ 10 จากโนอาห์ เป็นบุตรของเทราห์ ทางเชื้อสายของเชม

เมื่อสืบค้นกลับไปจากข้อเขียนทางประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งที่เกี่ยวข้องกับ Christ-mass นั้น ได้พบหลักฐานว่าพิธีกรรมต่างๆที่ทำกันอยู่นั้นได้สืบเนื่องมาจากพิธีกรรมทางศาสนา(False Religion)ที่ถูกริเริ่มโดยนิมโรด Nimrod (ชื่อของเขาพบในปฐมกาล 10:8) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของมหานครบาบิโลนในครั้งโบราณกาล ซึ่งนิมโรดคือชายคนแรกที่รักการบูชารูปเคารพเป็นชีวิตจิตใจ และจากหลักฐานงานเขียนของชาวยิวและอิสลามนั้นพบว่า นิมโรดเองก็เป็นคู่ปรับกับอับราฮัม ด้วยว่าอับราฮัมเกลียดรูปเคารพ นิมโรดซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพลมากจึงส่งผลให้ผู้คนในกรุงนั้นที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาทำตามเขาทุกอย่าง เขาและบิดาของเขาคือคูทเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมผู้คนในการก่อสร้างหอบาเบลเพื่อต้องการไปให้ถึงสวรรค์เพื่อต้องการเทียบเคียงพระเจ้าผู้สร้าง แต่ทำไม่สำเร็จเพราะพระเจ้าเห็นว่าพวกเขากำลังก่อการกบฎ จึงทำให้พวกเขาแตกภาษากระจัดกระจายไป (ปฐมกาล 11:5-9)


จากการสร้างหอบาเบลนี่เอง นิมโรดจึงถูกนับถือจากคนกลุ่มฟรีเมซั่นว่าเป็นต้นกำเนิดของฟรีเมซั่น(Freemasonry Foundation) และนิมโรดนั่นเองที่เป็นผู้เริ่มก่อกบฎต่อพระเจ้าเป็นคนแรก และยังได้ชักชวนให้ผู้คนในยุคนั้นเริ่มนับถือตนเองแทนการเคารพยำเกรงพระเจ้าพระผู้สร้าง เขาเป็นคนที่มีกำลังมากเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ และเป็นผู้แรกที่ปลุกระดมการทำสงครามในมนุษย์และล่าอาณานิคมในยุคนั้น

จากการที่หอบาเบลสร้างไม่สำเร็จเพราะพระเจ้าไม่พอใจนั้น ต่อมาคูทผู้เป็นพ่อของนิมโรดได้ฆ่าตัวตายด้วยความอับอาย

จากงานเขียนบันทึกหลักฐานทางประวัติศาตร์พบว่า นางเซมิรามิสซึ่งภรรยาของคูทนั้นเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งเมื่อคูทตายไปเธอก็เอาลูกคือนิมโรดมาเป็นสามีของเธอ เธอจึงได้ตำแหน่งเป็นราชินีแห่งบาบิโลน ซึ่งต่อมานิมโรดได้ตายไปจากการถูกสับเป็นชิ้นๆโดยเชมซึ่งลูกคนหนึ่งของโนอาห์ และมีศักดิ์เป็นลุงของนิมโรดที่ทนเห็นความเลวร้ายของเขาไม่ไหว จึงนำพวกมาลอบสังหารเขาเสีย ต่อมานางเซมิรามิสได้ตั้งครรภ์ซึ่งเธออ้างวว่าการตั้งครรภ์ของเธอเกิดขึ้นโดยความบริสุทธิ์ ซึ่งมาจากวิญญาณ(Spirit) ทำให้เธอตั้งครรภ์ เพราะเธออ้างว่าไม่ได้นอนร่วมกับใคร และเธอได้คลอดลูกออกมาชื่อว่า ทัมมุส (Tammuz) ซึ่งเกิดในช่วงฤดูหนาว Winter Solstice ประมาณวันที่ 25 ธันวาคม และเพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์และเป็นการให้เกียรติแก่นิมโรด เธอจึงประกาศแก่ผู้คนทั้วไปในบาบิโลนซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเธอว่า นิมโรดนั้นไม่ได้ตายไปเลย แต่ได้กลับมาเกิดใหม่(reincarnate)อย่างบริสุทธิ์เป็นทัมมุสบุตรของเธอ และเธอก็ตั้งตนเองขึ้นเป็นแม่ของผู้บริสุทธิ์หรือเทวีแห่งสวรรค์ (Queen of Heaven) ซึ่งได้กลายมาเป็นเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งของชาวบาบิโลน


เทวีแห่งสวรรค์


ในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกเกี่ยวกับนางว่า “พวกเด็กๆก็เก็บฟืน พวกพ่อก็ก่อไฟ พวกผู้หญิงก็นวดแป้ง เพื่อทำขนมถวายแก่เจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายแก่พระอื่นๆ เพื่อยั่วยุให้เราโกรธ" เยเรมีย์ 7:18 (และยังพบอีกในเยเรมีย์ 44:17-19 และ 25)



ทัมมุสเองนั้นกลายมาเป็นพระเจ้าของชาวบาบิโลนหรือ sun-god ซึ่งต้นคริสต์มาส และ Yule log ได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในการฉลองวันเกิดของพระทัมมุสและต่อมาจึงกลายมาเป็นเทศกาลประจำปีของชาวบาบิโลน

พระคัมภีร์กล่าวถึงทัมมุส… “..และดูเถิด ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนนั่งร้องไห้อาลัยเจ้าพ่อทัมมุส” (เอเสเคียล 8:14)

ในนิทานปรัมปราของชาวบาบิโลนในยุคหลังจากนิมโรดตายไปนั้น ได้กล่าวถึงนิมโรดว่าเขาได้รับการนมัสการและบูชา และถูกเรียกชื่อแตกต่างกันไปเช่น พระบาอัล (Baal/the Lord Marduk), Mithras, Ahura, Mazda, Gott, Aton, and Dagon, etc.

ชาวคริสเตียนถูกวัฒนธรรมของเทศกาลเหล่านี้สอดแทรกเข้าอย่างกลมกลืน ซึ่งเป็นการผสมสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนน่ารังเกียจในสายพระเนตรพระเจ้า (Abomination) เข้ามาอย่างแนบเนียนจนคนส่วนใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ทั้งหลายที่ไม่ได้ตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของคำสอนจากบรรดาผู้สอนทั้งหลาย เอาแต่เชื่อและก็ทำตามๆเขาไปนั้น ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองนมัสการผิดองค์ซะแล้ว!!!



เรื่องซานตาคลอสเองก็เป็นนิยายปรำปราที่กุขึ้น


Santa = Satan ซานต้า คือ ซาตาน


จากข้อมูลโดย Doc Marquis ซึ่งเดิมนั้นเขาเป็นสมาชิกในกลุ่มIlluminati (เป็นอีกกลุ่มสมาคมลับหนึ่งจากหลายๆกลุ่มที่นับถือลัทธิบูชาซาตาน) ตามสายเลือด ซึ่งเขาเป็นสืบต่อมามาในครอบครัวที่อยู่ใน Illuminati ถึง 7 generation แล้ว เขาได้ออกมาและได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ จึงได้เอาข้อมูลความเชื่อของพวกลัทธิซาตานมาเปิดเผยดังนี้….

1. Christmas Tree ต้นEvergreen เป็นต้นไม้ที่จะเขียวตลอดแม้ช่วงที่หิมะตกหนักต้นไม้ชนิดอื่นจะผลัดใบเหลือแต่กิ่ง แต่ต้นไม้ชนิดนี้ยังคงความเขียวอย่างไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็นของอากาศ ซึ่งแสดงถึงการไม่ตาย เขาถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าฤดูหนาว ชาวDruid ซึ่งเป็นพวกพ่อมดหมอผีเชื่อว่าพระเจ้าของพวกเขาอาศัยอยู่ในต้นไม้นั้น ผู้คนในยุคโบราณรู้กันดีว่า ต้นไม้นี้แสดงถึงการที่นิมโรดได้เกิดใหม่มาเป็นพระทัมมุส ชาวPagan ยังมองต้นไม้นี้ที่ตั้งตรงอยู่นั้นว่าเป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศชายด้วย


2. Star หรือดาว Pentalpha ที่ใช้ประดับที่ยอดของต้นคริสต์มาสซึ่งเป็นดาว 5 แฉกนั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังอำนาจของซาตาน ซึ่งสำคัญรองลงมาจากรูป 6 แฉก(Hexagram) รูปดาวนี้แสดงถึงการบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีต่อนิมโรด ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคริสเตียนเลย


3. Candles เทียน แสดงถึงพระอาทิตย์และการเกิดใหม่ของไฟที่ลุกอยู่ตลอดเวลา ชาวPagan ทั่วโลกชอบใช้เทียนในพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเทียนแต่ละสีนั้นก็แสดงถึงอำนาจที่ต่างกันอย่างเฉพาะเจาะจง



4. ต้นไม้ Mistletoe เป็นไม้จำพวกกาฝาก พวกพ่อมดถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นการจูบกันใต้ต้น Mistletoe นี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี พวกแม่มดยังใช้พืชชนิดมาสกัดเพื่อทำยาเสน่ห์และยาพิษด้วย



5. Wreath หรือพวงหรีด เป็นวงกลมใช้เป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศของหญิง พวงหรีดนี้ใช้เป็นสื่อแสดงถึงการเจริญพันธุ์และวงวียนของชีวิตที่มีการกลับมาเกิดใหม่นั่นเอง

6. Santa Claus ซานต้ามาจากคำว่า “ซาตาน” Santa = Satan


ter>

7. Reindeer กวางเรนเดียร์ มีเขาแสดงถึง Horned-god หรือ stag-god พระเจ้าในศาสนาของชาวPagan ซึ่งซานต้านั้นจะมีกวาง 8 ตัว ในพวกลัทธิซาตานนั้น เลข 8 แทนการเริ่มต้นใหม่ หรือเป็นวงจรการมาเกิดใหม่ ในกลุ่ม Illuminati (อิลูมินาติ) นั้นใช้เลข 8 เป็นสัญลักษณ์ของ โลกใหม่ หรือ “New World Order”



8. Elves ตุ๊กตาเล็กๆหรือปีศาจน้อย คือผู้ช่วยของซาตาน ซึ่งก็คือพวกวิญญาณชั่วหรือผี(demons)นั่นเอง

9. Green and Red สีเขียวและสีแดงที่ใช้ในเทศกาลคริสต์มาสนั้น สีเขียวเป็นสีโปรดของซาตาน สีแดงหมายถึงเลือดของมนุษย์ซึ่งแสดงถึงการบวงสรวงสังเวยที่ทำเพื่อบูชาซาตาน ด้วยเหตุผลนี้นี่เองที่กลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์ใช้สีแดงเป็นหลักในสีประจำชาติ หรือเป็นสีของธงชาติ




10. December 25 แสดงถึงการเกิดของพระอาทิตย์ของพวกเขา เป็นวันเกิดของพระทัมมุส ซึ่งเป็นการกลับมาเกิดใหม่ของพระอาทิตย์ ตามธรรมเนียมเดิมนั้นวันที่ 21 ธันวาคมเป็นช่วงคริสต์มาสของชาวโรมันคาทอลิค แต่ต่อมาภายหลังคริสต์จักรโรมันคาทอลิคได้เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 25 ธันวาคม อย่างเป็นทางการ



11. December 25 ยังเป็นที่รู้กันในชาวโรมันกันดีว่าเป็นเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยวหรือ Saturnalia ซึ่งเป็นเวลาของการตั้งใจที่จะปล่อยตัวสำมะเลเทเมากันอย่างสุดเหวี่ยง ทั้งเรื่องการดื่มสุราเมามายและการร่วมประเวณีกันอย่างเสื่อมทราม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของต้น Mistletoe นั่นเอง และสุดท้ายจบลงด้วยงานเลี้ยงสังสรรค์ Christmas Dinner


12. ชื่อ Christmas เป็นชื่อของPaganโดยสิ้นเชิง โดย Christi = Christ ในขณะที่ “mas” มาจาก “Mass” สืบเนื่องจากศาสนานอกรีตทั้งหมด Masses เป็นคำพูดที่แสดงถึง “Death” หรือความตาย เพราะฉะนั้นชื่อ “Christmas” จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า “death of Christ” หรือความหมายของคริสต์มาสจริงนั้น “วันตายของพระผู้ไถ่ ” ไม่ใช่หมายถึงการเกิดของพระเยซูคริสต์เหมือนอย่างที่ชาวคริสต์ทั่วไปเข้าใจกันมา

และที่สำคัญคือ Christ ของพวกเขาคือ Lucifer หรือซาตานซึ่งเขาเชื่อว่าchrist ของพวกเขาได้ตายไปและมาเกิดใหม่เป็น Jesus ซึ่งหมายถึงคนละ Jesus ซึ่งไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ที่ชาวคริสต์แท้เชื่อในพระนามของพระองค์ว่าเป็นพระผู้ไถ่

ทั้งหมดนี้เป็นมาจากผลของการทำงานอันแยบยลของ Satan/Fallen Angel/Lucifer/Horus/Mystery of Babylon the great/the best/หมายเลข 666/งูโบราณ/พญานาค/พ่อของการโกหก/ /ปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่กล่าวถึงในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 13 ที่ได้พยายามล่อลวงมนุษย์มาตั้งแต่โบราณและมันก็ทำได้สำเร็จด้วย แล้วก็ทำให้ผู้ที่คิดว่าตนเองมาถูกทางแล้วต้องถูกล่อลวงซ้ำอีกซึ่งได้เทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อโดยไม่รู้ตัว!! ตื่น ตื่น ตื่น ตื่นได้แล้ว!!!




พระคัมภีร์พูดถึงซาตานว่า“..มันมีอำนาจเหนือชนทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกประชาชาติ...และบรรดาคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก ผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก...ใครมีหูก็ให้ฟังเอาเถิด”
วิวรณ์ 13:7-10 Thai KJV


พระเจ้าได้เตือนบรรดาลูกของพระองค์ไว้แล้ว... “...ชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น...”วิวรณ์ 18:4 Thai KJV

พระเยซูตรัสว่าพระองค์ได้ปล่อยลูกแกะของพระองค์ไปทั่วทุกทิศ...และ “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และเรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา เหมือนพระบิดาทรงรู้จักเรา เราก็รู้จักพระบิดาด้วย และชีวิตของเรา เราสละเพื่อฝูงแกะ แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว”ยอห์น 10:14-16 Thai KJV

เปาโลเตือนพี่น้องผู้ร่วมในความเชื่อไว้ว่า “ท่านอย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร พระคริสต์กับเบลีอัล(Baal)จะลงรอยกันอย่างไรได้ หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า `เราจะอยู่ในเขาทั้งหลาย และจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา' องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า `เหตุฉะนั้นเจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย อย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย เราจะเป็นบิดาของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรสาวของเรา' องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” 2โครินทร์ 6:14-18 Thai KJV

ขอทุกท่านที่แสวงหาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้นั้นอย่างสุดหัวใจของท่าน จะได้ขอกำลังและฤทธิ์เดชจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อพระองค์จะทรงนำท่านกระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและทำตามน้ำพระทัยขององค์พระบิดาจริงๆ เพื่อท่านจะได้ดำรงอยู่ในเส้นทางอันชอบธรรมของพระองค์ตลอดไป เพราะเมื่อท่านได้ผ่านประตูที่คับทางพระเยซูมาได้แล้วนั้น ท่านจะได้ผ่านทางที่แคบนั้นได้ด้วยฤทธิ์เดชและกำลังในพระองค์ และในวันนั้นที่พระองค์ผู้ที่นั่งบนบัลลังค์สีขาวแห่งการพิพากษาจะทรงจำท่านได้จริงๆและจะได้ไม่กล่าวกับท่านว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา'” (มัทธิว 7:23)

ขอพระเจ้าช่วยทุกท่านด้วยเถิดเจ้าข้า...ขอสรรเสริญพระองค์ผู้สูงสุด องค์จอมกษัตริย์ พระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ ฮาเลลูยา...!!!


"ในเรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าจะต้องปฏิบัติด้วยความอดทน คือการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และคงความสัตย์ซื่อต่อพระเยซูคริสต์" วิวรณ์ 14:12 (แปลภาษาจากพระคัมภีร์ต้นฉบับภาษาอังกฤษให้เข้าใจง่ายขึ้น-ผู้เขียน)

และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า "จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข" และพระวิญญาณตรัสว่า "จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขา และ การงานที่เขาได้กระทำจะติดตามเขาไป" วิวรณ์14:13















Create Date : 06 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 ธันวาคม 2555 20:41:54 น.
Counter : 10447 Pageviews.

7 comments
  
เป็นบทความที่ดีมากครับ
โดย: แปม IP: 223.207.62.71 วันที่: 8 ธันวาคม 2554 เวลา:0:27:24 น.
  
อ่านแล้ว เข้าใจ กระจ่าง
โดย: palmydesign IP: 115.67.6.95 วันที่: 8 ธันวาคม 2554 เวลา:2:16:40 น.
  
ขอบคุณพระเจ้า

และขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน และให้กำลังใจค่ะ

ขอพระเจ้าทรงเทพระพรอันประเสริฐลงมายังทุกท่านอย่างล้นเหลือ เอเมน
โดย: Narno7 วันที่: 8 ธันวาคม 2554 เวลา:19:01:11 น.
  
ช่วยกรุณาตีแผ่ความจริงของพระเจ้าด้วยคับ ในหลายๆเรื่องที่เราถูกปกปิกหรือซ่อนเร้น ด้วยคับผม ขอบคุณมากคับผม
โดย: palmydesign@hotmail.com IP: 103.1.164.5 วันที่: 9 ธันวาคม 2554 เวลา:15:02:16 น.
  
อีกเรื่องที่จะต้องตีแผ่ คือ วันอีสเตอร์ เมื่อมีเวลาจะเขียนเล่าให้ค่ะ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า
โดย: Narno7 วันที่: 9 ธันวาคม 2554 เวลา:22:47:05 น.
  
เรียนคุณที่ใช้ชื่อว่า "วิวรณ์".......ข้อมูลทั้งหมดมีที่มาที่ไปที่เชื่อถือได้!!

อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการศึกษาเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ เพราะอินเตอร์เน็ตนั้นมีทุกสิ่งที่คุณต้องการอยากรู้ ขอเพียงอ่านออกและเข้าใจ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแหล่งข้อมูลภาษาไทย เพราะเรารับจากเขามาหมดที่เขาให้มา เขาเอาแบบผสมมาให้ ก็รับมาเต็มๆ เชื่อถือกันมาแบบผิดๆ แบบไม่มีการตรวจสอบ

แม้ข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ เราก็ต้องตรวจสอบก่อนที่จะเอามาเผยแพร่ต่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทำให้เราหลงทาง แต่ผู้ที่พึ่งพามนุษย์หลงทางทุกราย ถ้ายังไม่ยอมกลับใจ สารภาพบาป นรกรอท่านอยู่!!!

เราเตือนคุณด้วยความหวังดีและรักในจิตวิญญาณของคุณ คนที่ฉลองคริสมาส ....คุกเข่าลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเยซู แล้วสารภาพบาปซะ ก่อนที่จะไม่มีเวลาเหลือให้ท่านได้สารภาพ...ขอพระเจ้าโปรดเมตตาต่อคุณด้วย เอเมน
โดย: Narno7 วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:17:43:19 น.
  
ขอบคุณครับ เพราะคริสมาสก็คงจะเหมือนกับคาอินที่นำผลที่เกิดจากดินมานมัสการพระเจ้าแหล่ะครับ สุดท้ายแล้วก็จบตรงที่ฆ่าน้อง เพราะเรื่องนี้อธิบายไว้อย่างละเอียดในหนังสือ The two babylons ของ alexander hislop แล้วล่ะครับ
โดย: ปอม IP: 125.24.27.3 วันที่: 22 มกราคม 2555 เวลา:1:28:36 น.

Narno7
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



โยบ 38 / Job 38


38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา

38:4 Where wast thou when I laid the foundations of the earth? declare, if thou hast understanding.

38:7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน

38:7 When the morning stars sang together, and all the sons of God shouted for joy


"I am a spirit that live in a body and communicate and perceive the exterior world through my soul."

"This world is not my home. I am here on a mission. Not all of children of God have or will come on this earth but I was chosen. Not all who come fulfill their mission and purpose for being here. Through the Cross of Jesus, I enter into the Kingdom of God. And as a daughter of God, my mission is to bring Heaven to earth."

New Comments
All Blog