ลำเนาป่า


มีหนังสืออีกหลายเล่มที่ซื้อมามาเก็บมาตั้งนานแต่ไม่ยังเคยอ่าน รู้แต่ว่าอยากซิ้อมาเก็บไว้ก่อน และจะหาเวลาและโอกาสมาอ่านภายหลัง แต่ก็นั้นแหละ ใช้เวลาไปทำอะไรอีกหลายอย่าง จนลืมไปว่าหนังสือเล่มไหนบ้างเลยที่ไม่เคยอ่านเลยแล้วแต่อารมณ์และจังหวะที่พาไปทำอย่างอื่น บางครั้งหนังสือที่เก็บไว้จึงอยู่บนชั้นเสียหลายปี

สายตาไล่ไปตามชั้นหนังสือในหมวดชั้นนิยายไทยชั้นบนจัดเป็นห้องสมุดที่วางหนังสือเอาไว้มากมายหลายแนว ไปสดุดเอาชื่อหนังสือที่จำได้ว่าไม่เคยหยิบมาอ่านเลย ประมาณว่าน่าจะเป็นนิยายประโลมโลกแนวเพื่อชีวิตยุคแสวงหาชีวิตของหนุ่มสาว จริงๆก็ยังอ่านนิยายประเภทนี้อยู่ แต่จะหนักไปทางของนักเขียนชายเสียส่วนมาก และหนังสือที่กล่าวถึงนี้เป็นหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนหญิง ศิเรมอร อุณหธูป และหนังสือที่ผมกำลังหยิบออกมาเปิดอ่านมีชื่อที่หน้าปกว่า ลำเนาป่า จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต้นหมาก เมื่อปี 2527 สำนักพิมพ์นี้ส่วนใหญ่จะพิมพ์หนังสือดีเช่น คำพิพากษา บนเส้นหลวด หรือกินรีลุยฟอร์

หยิบถือลงมาชั้นล่างที่โต๊ะอาหารชงเครื่องดื่มวางขนมนมเนย กินพลางเปิดหนังสือไล่หน้าตัวดูอักษรบอกตามตรงว่ายังไม่ค่อยจะเพลิดเพลินเท่าไร อาจจะยังไม่ตั้งใจอ่านแต่ก็อ่านไปได้หลายหน้า จำใจความได้ว่าพระเอกชื่อชด นางเอกชื่อลำเนา สงสัยว่าป่าเกี่ยวอะไรด้วย อ่านข้ามๆไปบ้าง พอจับใจความเกือบจบเล่มได้ว่า เธอทำงานอยู่บนดอยสูงในโครงการพัฒนาและช่วยเหลือชาวเขา สรุปก็ยังอ่านไม่จบเล่มอยู่ดีทั้งๆที่หนังสือเก่าเล่มนี้ไม่หนา แม้มีขนาด 200 หน้า ที่ทำให้หนังสือหนาขึ้นเพราะมีภาพประกอบเป็นภาพถ่ายดอกไม้บ้าง นกบ้าง ภาพลายเส้นบ้าง ซึ่งจริงๆถ้าตัดภาพประกอบไป เนื้อเรื่องก็เป็นเพียงเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องหนึ่งประมาณนั้น

ชักเบื่อขึ้นมาขึ้นไปชั้นบน คราวนี้นึกได้ว่าเคยซื้อหนังสือบทภาพยนต์เอาไว้หลายเล่ม ไล่ตามชั้นดู เอ้าเจอแล้วนั้นไง บทภาพยนต์ชื่อ ..คือฉัน ที่เอามาจากเรื่องลำเนาป่า


เอาลงนั่งอ่านอีกเหมือนเช่นเดิม อ่านๆเปิดๆไปก็ไม่ตั้งใจจะอ่านให้จบ แต่ก็แบบว่าอยากจะรู้ว่าบทหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องลำเนาป่าจะเดินตามนิยายมากน้อยอย่างไร..ทั้งๆที่ไม่ได้อ่านให้จบทั้งสองเล่ม ยังจะมาอยากรู้อีกว่านิยายกับบทหนังจะต่างกันอย่างไร ใจหนึ่งก็บอกว่าทำไมไม่อ่านเสียให้จบทั้งสองเล่มเล่าจะได้หายข้องใจ

ความขี้เกียจนี้ซิ มันคงมาจากติดนิสัยมาจากที่เริ่มมีอินเตอร์เนทกระมั่งอยากรู้อะไร คลิกหาก็ได้คำตอบ เพราะมันไม่ยาวยืดเหมือนหนังสือ อ่านได้เร็วเข้าใจทันที ไม่ต้องรำพันมาก ประเภทอ่านเร็ว ข้อความสั้นๆก็รู้เรื่องแล้วนี้เองหลังๆเวลาจับหนังสือมาอ่านสักเล่ม จึงมักจะไม่จบเล่ม แบบอยากจะรู้เรื่องเร็วว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร เลยไปดูหนังเสียมากกว่าอ่านหนังสือเพราะหลังๆมักจะดูหนังเสียมากว่าการอ่านหนังสือเล่มหนาๆใหญ่ๆ

ความสงสัยของนิยายเรื่องนี้กับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ มันจะเป็นอย่างไร จะให้รู้เรื่องลองไปค้นหนังมาดูดีกว่าว่ามีหนังเรื่อง..คือฉันหรือเปล่า

คราวนี้ไปที่ชั้นของพวกหนังต่างๆไล่ไปที่หมวดหนังไทย จำได้ (อีกแล้ว) ว่าเคยกว้านซื้อหนังหนังไทย VCD ถูกๆมาจำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่าซื้อมามากมายทำไม แต่อยากจะมีหนังไทยเก่ามาอยู่ในคลังห้องสมุดบ้าง อาจจะเป็นประโยชน์วันหนึ่งได้บ้างเมื่อเกิดมีอารมณ์อยากดูหนังไทยสมัยก่อนขึ้นมา

..พบแล้ว VCD เรื่อง..คือฉัน กำกับโดยแจ๊สสยาม สร้างปี 2533 มาจากหนังสือบทหนัง..คือฉันของ ทัตภูมิ บุณยทัต ที่ดัดแปลงจากหนังสือลำเนาป่าของศิเรมอร อุณหธูป


หนังสองแผ่นความยาว 130 นาที เรื่อง..คือฉัน นี้ตั้งใจดู เพราะหนังมันให้ความเพลิดเพลินและมีสมาธิกว่าการอ่านเรื่องนี้ แม้ภาพและเสียงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ขอบคุณบริษัทโซลาร์ มาเก็ตติ่ง จำกัด บริษัทหนึ่งที่นำหนังไทยดีๆหลายเรื่องที่หาดูยาก มาเก็บอนุลักษณ์ไว้ใน VCD ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันว่าบรรยากาศสมัยก่อนเป็นอย่างไร แม้คุณภาพของภาพความสดใสจะไม่ดีเท่าไร

ถ้าเทียบกับหนังรักในยุคปัจจุบันแล้ว จะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีจุดบกพร่องเยอะ เดินเรื่องน่าเบื่อ ถ่ายทำไม่สวย การตัดต่อไม่เนียนการแสดงไม่รื่น เรื่องราวของตัวละครเหมือนกำลังดูละครไทยทางทีวีเรื่องหนึ่ง

หนังปูเรื่องว่าพระเอกพบนางเอกบนยอดดอยที่นางเอกทำงานอยู่และรักกัน ซึ่งบรรยากาศช่วงนี้ดูแล้ว น่าอึดอัด จนมาถึงช่วงที่หนังพาไปถึงจุดหักเหเมื่อพระเอกและนางเอกตกลงแต่งงาน พาไปให้ผู้ใหญ่ดูตัว ฝ่ายนางเอกไม่เท่าไรแม่และน้องสาวรับได้ แต่ฝ่ายญาติพระเอกนี้ซิ เป็นเรื่องเป็นราวซะใหญ่โตด้วยว่ามีครอบครัวเป็นตระกูลผู้ดีเก่า แบบอย่างประเพณีไทยต้องให้มีการแต่งงานและจดทะเบียนให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่มาอยู่กันเฉยแบบนี้ ซึ่งพี่สาวและป้าของฝ่ายพระเอกรับไม่ได้ แต่นางเอกเธอมีอุดมการณ์แน่วแน่และจุดยืนมั่นคง แม้จะรักพระเอกขนาดไหนก็จำเป็นต้องยอมรับการตัดสินใจของเธอ สุดท้ายเธอจึงกลับไปยังงานของเธอและลูกศิษย์ตัวน้อยคอยเธอที่ดอยสูงต้องจากพระเอกไปอย่างทางใครทางมัน จบเรื่องหนัง..คือฉันไว้อย่างนี้

เมื่อรู้แล้วว่าหนังเดินเรื่องเป็นอย่างไร คราวนี้ถึงเวลาตั้งใจอ่านนิยายลำเนาป่าให้จบว่าหนังสือเหมือนในหนัง หรือว่าหนังเหมือนนิยายหรือเปล่า

บทหนังหรือหนังเพิ่มตัวละครขึ้นมาหนึ่งตัวคือหญิงสาวสวยมีชื่อว่ามีน เพื่อนสาวของพระเอกมีอาชีพเป็นช่างภาพ ซึ่งในนิยายไม่มี แต่เพื่อให้หนังดูสนุกขึ้นจึงเพิ่มขึ้นมา ซึ่งในหนังไม่บอกว่าเป็นแฟนหรือไม่ และมีนคนนี้เธอขึ้นไปถ่ายถาพชีวิตชาวเขา เอามาจัดนิทรรศการนางเอกมาดูงานนิทรรศการกับพระเอก และเห็นภาพเด็กชาวเขาเป็นอีกจุดหักเหให้เธอชักลังเลว่าจะอยู่กับพระเอกหรือว่ากลับไปตามหัวใจเรียกร้องบนดอยสูงโน้น หลังจากที่ตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ยังเมืองกรุงเทพ ซึ่งต้องตัดใจทิ้งอุดมการณ์มาตามหารักแท้ จนมาตัดสินใจก็เมื่อมาพบกับครบครัวพระเอกนั้นแหละหนังจึงสรุปให้เธอตัดสินใจกลับไปดอยในที่สุด

หนังเดินเรื่องเหมือนกับในนิยายเปี๊ยบ ประมาณยกมาทั้งไดอาล็อกเลย

เพียงแต่หนังเปลี่ยนจากนิยายที่มีพี่สาวชื่อชมและก็มีพี่ชายชื่อชัด และน้าสาว ชื่ออุษา แต่ในหนังตัดบทของพี่ชายชื่อชัดออกไป มีแต่น้าสาวคนนี้ในหนังก็แทบจะไม่มีบทบาทมากนัก รู้แต่ว่าเธอสวยทีเดียว ถ้าจำไม่ผิดนักแสดงที่รับบทน้าสาวนี้ชื่อศิรินนภา สว่างล้ำ ไม่แน่ใจว่าเป็นนางงามประกวดอะไรสักอย่างนี้แหละ เป็นน้าสาวที่เห็นใจพระเอกว่างั้นเถอะ ออกมาพูดไม่กี่ประโยค บทจะไปอยู่ที่พี่สาวพระเอกที่รับบทโดยเดือนเต็ม สารีบุตร เห็นภาพสมัยนั้นสวยพริ้ง รวมถึงปวีณา ชารีพสกุล ที่รับบทมีน ซึ่งสมัยนั้นเธอก็สวยไม่แพ้กัน ทั้งสองคนแสดงได้อย่างมืออาชีพ

ที่น่าผิดหวังคือดาราสาวใหม่ สปันนา วงศ์โสภา ที่รับบทตัวเอกคือลำเนานั้น ดูยังไม่เป็นธรรมชาติ แสดงยังไม่รื่นการพูดการจาและท่าทาง ค่อนข้างแข็ง บุคคลิกและท่าทางยังเข้าไม่ถึงบทบาทอย่างผู้หญิงที่มีอุดมการณ์ณ์กล้าแกร่งในยุคแสวงหาเป็นกัน แต่หน้าตานั้นพอจะเป็นลำเนาป่าได้

พระเอกรับบทโดยสันติสุข พรหมศิริ พระเอกขายดีในยุคนั้น บทแบบเรื่อยๆเรียงตามสไตร์ของคุณสันติสุข ที่คงจะเอื่อยๆเฉื่อยๆหน้าเศร้าหน้าบึ้งมากกว่าจะร่าเริงเฮฮาเหมือนในยุคของบุญชู หรือเป็นบทด้วยที่พระเอกจะต้องอมทุกข์อมเศร้าอยู่อย่างนี้ที่มารักนางเอกแล้วเธอไม่ยอมทำพิธีแต่งงาน จะเป็นแบบอยู่กันแบบคิดถึงก็มาหาแล้วก็จากไปแล้วไปๆไปมาอยู่อย่างนี้ตามนิสัยของนางเอก ซึ่งบรรยากาศหนังช่วงนี้ให้กลิ่นอายของหนังสไตย์ร่วมสมัยได้ดีทีเดียว เสียดายที่หนังไม่สามารถสร้างอารมณ์ได้เต็มที่ขาดๆไม่เต็มอารมณ์อย่างไรไม่รู้

ดูหนังไทยสไตล์นี้แล้ว หงุดหงิดข้องใจอยู่อย่างว่า ทำไมสาวๆอารมณ์ออกแนวติสย์นี้ทำไมต้องสูบบุหรีเสียเกือบทุกเรื่องหรือเกือบทุกคนที่รับบทแสดงอย่างนี้ ไม่ว่าเรื่อง รักออกแบบไม่ได้ ความรักครั้งสุดท้าย หรือรักสามเศร้า ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ที่อยู่ในแวดวงศิลปกรเป็นส่วนใหญ่ หรือผู้หญิงติสย์อย่างคนไทยต้องสูบบุหรี่อย่างนี้ทุกคน ซึ่งในเรื่อง..คือฉันพระเอก นางเอก และนางรอง(มีน) สูบบุหรี่พ่นควันกันแทบทุกฉากที่ออกมาให้เห็น นี้ยังดีฝ่ายพระรองกลับไม่สูบบุหรี่เสัยงั้น

เออ..อีกเรื่องยังไม่สร้างเป็นหนังในนิยายนั้นนางเอกสูบบุหรี่เสียด้วย แต่นี้เธอเป็นหมอ กำลังทำดอกเตอร์ เป็น ม.ร.ว.ก้ากั่น ยิงปืนแม่น ร่ำรวย มีสกุล เป็นน้องสุดท้องของพี่ชาย 2 คนไม่รู้ว่าถ้าเป็นหนังแล้ว จะจุดบุหรี่สูบพ่นควันอีกหรือเปล่า

แปลกใจว่าคราวนี้ทำไมทั้งๆที่ดูหนังมาก่อนแล้วมาอ่านหนังสือทีหลัง (แบบว่าตั้งใจอ่านจริง) เสียอีก พออ่านหนังสือได้จบรู้สึกว่าสนุกอารมย์ร่วมไปกับเรื่องราวการเขียนของนักประพันธ์

บ่อยครั้งที่อ่านนิยายติดภาพ เมื่อมาสร้างเป็นหนัง สร้างตัวละคร เขียนบทและถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวไม่ตรงตามจินตานาการ บางคนก็บอกว่าหนังไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง

ซึ่งก็น่าเห็นใจในเงื่อนไขของขบวนการสร้างภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง ยิ่งถ้าเอามาจากนิยายแล้ว เสี่ยงกับการถูกวิจารย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในกระบวนการสร้างหนังจากหลายๆกระบวนการ ไม่ว่าจากการหานักแสดงมาสวมบทบาท การสดงของดารา การตีความของผู้กำกับ การใช้มุมกล้องและสีสรรในการถ่ายภาพ การหาสถานที่และจำลองสถานที่ภายนอกภายในตามท้องเรื่อง ซึ่งทั้งสามารถที่เดินไปกับตัวเรื่องได้อย่างกลมกลืน ก็รอดตัวไป ถ้าขัดหูขัดตาแฟนๆละเป็นเรื่องได้เชียว

ที่สำคัญคือทุนในการสร้างหนัง หนังสามารถถ่ายซ่อมได้ทันทีที่เห็นจุดบกพร่องว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร เพราะนั้นมันหมายถึงค่าใช้จ่ายในงบที่อาจจะบานปลายของทุนสร้างหนังสักเรื่องหนึ่งทีเดียว หรือการถ่ายออกมาหลายเท็กหลายมุม เผื่อเลือกเอามาตัดต่อให้ได้คัตที่ดีที่สุดซึ่งในที่สุดเจ้าของเงินผู้ออกทุนคือผู้ตัดสินว่าจะยอมหรือไม่ บางครั้งหนังไทยก็ต้องยอมปล่อยเลยตามเลยออกมาให้ถูกวิจารย์ในทางเสียๆหายๆ

การดูหนังแล้ว ถ้าไม่จริงจังนักเรื่องไหนไม่สนุก ไม่ตรงรสนิยม ความชอบ ก็อย่าดูต่อ หรืออย่าดูไปเลย

แต่ถ้าจะดูแบบจริงจังประมาณชอบจับผิดชาวบ้านละก็ ให้ดูมันทุกเรื่องก็ไม่มีใครว่า เพราะมีแต่ตัวเราเองที่ด่าตัวเองได้ก็อยากไปมันดูทำไม แล้วมาบ่นกัน

แต่ก็นั้นแหละ อยากรู้จริงๆว่าหนังคืออะไร อะไรคือหนังที่ดี อะไรคือหนังไม่ดี และไม่ดีตรงไหน ดีอย่างไรนี้ก็เป็นความชอบส่วนตัวอีกเช่นกัน ต่างคนต่างไม่เหมือนกัน อาจคิดตรงกันหรือไม่ตรงกันก็ได้

ก็ว่ากันไปว่าจะดูหนังแบบให้สบาย หรือจะดูหนังแบบเคร่งเคลียดแบบทำร้ายอารมย์ตัวเอง ก็ไม่มีใครว่าอีกเหมือนกัน ซึ่งผมเองนั้นถ้าจะจัดคงจะเป็นแบบหลังเสียด้วยซิ ชอบนักที่ชอบดูแล้วจับผิดโน้นผิดนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าพวกเขาก็รู้จุดบงพร่องอยู่เช่นกันไม่เห็นต้องไปบอกมั่ง

ถามว่าตั้งใจดูหนังเรื่อง..คือฉัน

ตอบว่าไม่ตั้งใจดูเลยแต่เพราะหนังสือลำเนาป่าและหนังสือบทภาพยนต์เรื่อง..คือฉัน ที่พาไปได้ดูหนังเรื่องนี้

ทั้งสามสิ่งที่เกี่ยวโยงนี้ต่างอยู่คนละที่มากลายเป็นเรื่องเดียว

ถามอีกว่าอะไรประทับใจ

ประทับใจคนละอย่าง หนังสือทำให้เราเลือกอ่านได้ไม่ว่าเวลาใดสถานที่ใด ก็พกพาติดตัวไปได้ทุกที่ หนังก็เป็นความบันเทิงที่มีทั้งที่แฝงสาระและตลกสนุก แต่นั้นต้องไปที่โรงหนัง และถ้ามีหนังแผ่นก็ต้องไปนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์หรือหน้าคอม ทั้งหมดคือความบันเทิงครับ เพื่อสร้างพลังให้กับชีวิตได้เดินต่อไปด้วยความฝันและความหวัง




Create Date : 11 ตุลาคม 2560
Last Update : 11 ตุลาคม 2560 15:30:32 น. 2 comments
Counter : 1521 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณruennara


 
เป็นหนังสือที่เก่าพอดูเลยนะครับ


โดย: ruennara วันที่: 12 ตุลาคม 2560 เวลา:4:00:02 น.  

 
เคยอ่านหนังสือนานมากแล้วค่ะ แต่ภาพยนตร์ นีไม่เคยดู


โดย: Serverlus วันที่: 24 ตุลาคม 2560 เวลา:20:21:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปางนู
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Group Blog
 
 
ตุลาคม 2560
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 ตุลาคม 2560
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปางนู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.