Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

อย. ประกาศคุมผลิตภัณฑ์จาก..... " สเต็มเซลล์ " ..... เป็นยาผลิตต้องขออนุญาต

//breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=375658&lang=T&cat=


อย. ประกาศคุมผลิตภัณฑ์จากสเต็มเซลล์เป็นยาผลิตต้องขออนุญาต

14:49 น.

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีการนำสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดและผลิตภัณฑ์จากเซลล์ต้นกำเนิด มาใช้เพื่อการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค หรือความเจ็บป่วยของมนุษย์อย่างมากมาย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัย ประกอบกับผู้ประกอบการ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และนักวิชาการ ผู้ทำการศึกษาวิจัย ได้มีการดำเนินการที่แตกต่างกัน จนอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยจากการใช้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

สำนักงานคณะกรรมการ-อาหารและยา (อย.) จึงได้ออกประกาศสำนักงาน ฯ เรื่อง การควบคุม กำกับ ดูแลยาที่เป็นผลิตภัณฑ์เซลล์ต้นกำเนิดและผลิตภัณฑ์จากเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการ ศึกษาวิจัย ให้มีคุณภาพมาตรฐานตามหลักวิชาการและจริยธรรม โดยยืนยันว่าสเต็มเซลล์และผลิตภัณฑ์จากสเต็มเซลล์ทุกชนิดที่มุ่งหมายสำหรับ ใช้ในการวินิจฉัย บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยของมนุษย์ หรือมุ่งหมายให้เกิดผลแก่สุขภาพ โครงสร้าง หรือการกระทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายของมนุษย์ ให้จัดเป็นยา ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้น การผลิต/นำเข้าสเต็มเซลล์และผลิตภัณฑ์จากสเต็มเซลล์ที่เป็นยา จะต้องขออนุญาตผลิต/นำเข้ายาแผน-ปัจจุบัน และขึ้นทะเบียนตำรับยา โดยสถานที่ผลิตต้องได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์และวิธีการในการผลิตยาแผนปัจจุบัน

กรณีการใช้สเต็มเซลล์หรือผลิตภัณฑ์จากสเต็มเซลล์ที่อยู่ในระหว่างการศึกษา วิจัย เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคอัมพาต เป็นต้น ต้องขออนุญาตจาก อย.เช่นกัน โดยมีหนังสือแสดงว่าผ่านการรับรอง หรือ อนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคน (Ethical Review Committee for Research in Human Subjects) และคณะกรรมการทางวิชาการ (Scientific Committee) ที่แต่งตั้งโดยกระทรวงสาธารณสุข ประกอบการพิจารณาอนุญาต

ทั้งนี้ จะต้องแสดงรายละเอียด หลักเกณฑ์และวิธีการผลิตที่ดี (GMP) ข้อกำหนดเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ และการควบคุมคุณภาพ แนบเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาอนุญาต และต้องดำเนินการศึกษาวิจัยให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์การศึกษาวิจัยทางคลินิกที่ดี

เลขาธิการ ฯ กล่าวต่อไปว่า การกำกับดูแลดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช้กับกรณีการผลิตในประเทศไทยเพื่อการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก หรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานการรักษาและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่ง วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 ที่ใช้สำหรับการรักษาโรคเลือด เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ที่มิได้ขออนุญาตผลิต ขาย นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งมิได้นำผลิตภัณฑ์มาขึ้นทะเบียนตำรับ หรือมิได้ขออนุญาตโฆษณา ถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม มีโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ เลขาธิการ ฯ กล่าวในที่สุด




มาช้า ยังดีกว่า ไม่มา ::)


แถมเพิ่ม ....

จริยธรรมเกี่ยวกับ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด

//www.tmc.or.th/detail_news.php?news_id=242&id=1&s_head=5



ช่องทางร้องเรียน เกี่ยวกับ เรื่อง ...ยา ....หมอ ....คลินิก .....โรงพยาบาล ...

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-02-2009&group=7&gblog=18




Create Date : 18 เมษายน 2552
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 17:32:04 น. 6 comments
Counter : 5781 Pageviews.  

 
อ่า เค้าไม่ให้ฉีดเหรอคะ เพิ่งไปทำมาเมื่อวานก่อนเองง่าค่ะ ก็ถามว่ามานคือ placenta เปล่าเค้าบอกว่าไม่ใช่อ่าค่ะ นู๋แค่อยากหน้าขาวขึ้นแค่น้าน แต่เค้าบอกว่านี่เร็วสุด แถมยังมาทำยาหยดใส่ ตาอีก เวรกรรม กัว...เป็นไรเหมือนกัน TT
เหมือนตัวเองเป็นหนูทดลองยาเลยอ่า ม่ะอยากบอกว่าลองมาหมดทุกอย่าง... ด้วยความม่ะรู้เท่าทันง่า....จะเป็นไรไหมคะเนี่ย...


โดย: apple (maplemar ) วันที่: 24 เมษายน 2552 เวลา:12:50:30 น.  

 

//www.thairath.co.th/content/edu/97725


จับเครื่องสำอางเก๊ มูลค่า10ล้าน มีใบสั่งซื้อจากหมอ

'อย.' ร่วมกับ 'บก.ปคบ.' บุกจับเครื่องสำอาง 'Boo White Phyto stem cell' แอบอ้างผสมสเต็มเซลล์ โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ยึดผลิตภัณฑ์ละเมิด 26 รายการ มูลค่า 10 ล้านบาท จนท.อึ้ง พบใบสั่งซื้อจากหมอ เร่งตรวจสอบเอาผิดแล้ว...

เมื่อเวลา 08.30 น. 20 ก.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และพล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจจับเครื่องสำอางผิดกฎหมาย

โดยนาย จุรินทร์ กล่าวว่า จากการที่อย.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผสมสเต็มเซลล์ ยี่ห้อ 'Boo White Phyto stem cell' ที่มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณว่า ลดรอยเหี่ยวย่น ชะลอความแก่

ดังนั้นเมื่อวัน 19 ก.ค. อย.ประสานไปยังบก.ปคบ. นำหมายค้นศาลแขวงพระนครใต้ เลขที่ ค.22/2553 เข้าตรวจค้นบริษัท คิว.บี.ซี.ไอ.(ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1138/60 ซอยตรอกวัดจันทร์ใน ถ.พระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตเครื่องสำอางดังกล่าว และรับจ้างผลิตเครื่องสำอางให้แก่คลินิกต่างๆ ขณะตรวจค้นพบคนงานกำลังผลิตและบรรจุเครื่องสำอางประมาณ 10 คน และพบเครื่องจักร เช่น เครื่องผสม เครื่องบรรจุ วัตถุดิบ เครื่องสำอางกึ่งสำเร็จรูปพร้อมรอบรรจุ เครื่องสำอางสำเร็จรูป บิลเงินสด และใบสั่งซื้อวัตถุดิบที่เป็นสารห้ามใช้ เช่น ไมน็อกซิดิล และไฮโดรควิโนน

"จาก การตรวจสอบพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยี่ห้อ Boo White Phyto stem cell ที่แสดงฉลากโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เช่น ข้อความ “ซ่อมแซมและเสริมสร้างเซลล์ส่วนที่สึกหรอได้อย่างมหัศจรรย์ ผิวจึงตึงกระชับ ด้วยการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในทันทีที่ได้สัมผัส” และข้อความ “ลดริ้วรอยร่องลึก กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ตึงกระชับ” จึงได้ยึดผลิตภัณฑ์จำนวน 26 รายการ รวมทั้งเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ต่อไป รวมมูลค่าสินค้าที่ตรวจพบประมาณ 10 ล้านบาท" นายจุรินทร์ กล่าว

นอกจากนี้ ในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจสอบบริษัท ชิเนเต้ เบบี้เฟซ เน็ทเวิร์ค จำกัด เลขที่ 20 ซอยสุขุมวิท 23 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เป็นสถานที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่ผสมสารห้ามใช้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต

ซึ่งก่อนหน้านี้ อย.ได้สั่งซื้อผลิตภัณฑ์นี้ผ่านทางเว็บไซต์ //www.shinete.biz จำนวน 1 ชุด ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางชุดกลางวันและชุดกลางคืน จึงส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ ปรากฏว่าพบสารที่อย.เคยประกาศให้เป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ได้แก่ สารไฮโดรควิโนน สารปรอท และกรดวิตามินเอ จึงได้ยึดและอายัดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไว้จำนวน 300 ชุด รวมมูลค่า 200,000 บาท

รม ว.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า จากผลการเข้าตรวจจับทั้ง 2 กรณี ได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีประกอบด้วย

1.ฉลากแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.เครื่องสำอางแสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.หากผลการตรวจวิเคราะห์ พบสารห้ามใช้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะที่นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการอย. กล่าวว่า อย.ยังไม่เคยอนุญาตให้ใช้สเต็มเซลล์ในเครื่องสำอาง เพราะนอกจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้แล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองโดยเปล่าประโยชน์

ขณะเดียวกันยังพบด้วยว่าจากการตรวจสอบบริษัท คิว.บี.ซี.ไอ.(ประเทศไทย) จำกัด มีใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากแพทย์จำนวนมากกว่า 10 รายด้วย ซึ่งอย.จะมีการติดตามตรวจสอบต่อไป เพราะพบเพียงหลักฐานการสั่งซื้อยังไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้


โดย: หมอหมู วันที่: 22 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:51:49 น.  

 
“สเต็มเซลล์” กระชากเหี่ยวหรือเสี่ยงมะเร็ง? ดารา นักการเมือง นักธุรกิจ คลั่งฉีด!!
//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000021493
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 19 กุมภาพันธ์ 2556 21:44 น

ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา
หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ฉีดStem Cells…แทนที่จะเสริมความงามอาจกลับกลายเป็น“มะเร็ง”

สเต็มเซลล์ เป็นชื่อสร้างปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ให้ความหวังว่าจะสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค มันเป็นชื่อของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุคใหม่ ไม่แปลกที่ไม่นานต่อมา สเต็มเซลล์จะกลายเป็นเชื่อของสิ่งวิเศษที่สามารถเสริมความงาม กระชากวัย จนมีข่าวว่าดาราหลายคนบินรัดฟ้าไปฉีดสเต็มเซลล์ที่ดึงเอาความเยาว์วัยกลับมากันหลายคน

แม้แต่นักธุรกิจ นักการเมือง สเต็มเซลล์ก็เป็นชื่อของความปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตยืนยาว ไม่ต่างจากการพูดถึงตำนานน้ำพุแห่งความเยาว์วัย หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ใครได้ดื่มน้ำจากจอกนั้นจะมีชีวิตเป็นอมตะ
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งที่ได้แทนที่จะเป็นความหนุ่มสาวกลับกลายเป็น“มะเร็ง”

การไขว่คว้าการมีชีวิตอันยืนยาว หรือการยืดความหนุ่มสาวของมนุษย์นั้นเป็นไปได้จริงๆ หรือ? สเต็มเซลล์มหัศจรรย์วิทยาศาสตร์ของโลกยุคใหม่สามารถตอบโจทย์ความฝันของมนุษยชาติได้จริงๆ หรือเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อที่เอาภาพลวงความยิ่งใหญ่ของสเต็มเซลล์มาเป็นชื่อหลอกขายกันแน่

สเต็มเซลล์ในปัจจุบัน
สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดเป็นชื่อที่สั่นสะท้านวงการแพทย์ ด้วยความหวังที่ว่ามนุษย์จะนำไปรักษาโรคที่รักษาไม่ได้หลายชนิด เพราะโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ที่รักษาไม่ได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เซลล์ของเนื้อเยื่อมนุษย์บางชนิดเมื่อตายไปแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างใหม่ได้ เช่น สมอง หัวใจ ดังนั้นการค้นพบสเต็มเซลล์จึงเป็นเสมือนการค้นพบแหล่งสร้างเซลล์ชนิดที่ต้องการเพื่อนำไปพัฒนาเป็นการรักษาต่อไป

ในช่วง10 ปีที่ผ่านมางานวิจัยทางด้านสเต็มเซลล์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก ทำให้เกิดความหวังกับนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่จะหาแนวทางรักษาโรคที่ในอดีตคิดกันว่า ไม่มีทางรักษาได้แน่นอน

ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เห็นถึงความเป็นไปได้ของความฝันที่จะมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในทางการแพทย์อย่างกว้างขวางในอนาคต แต่อย่างไรก็ดียังมีสิ่งที่บุคคลทั่วไปเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ปัจจุบันโรคที่ใช้สเต็มเซลล์รักษาได้จริงยังมีจำกัดไม่กี่โรค ถึงนำไปสร้างเซลล์ที่ต้องการได้ในหลอดทดลองก็ไม่ใช่ว่าฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วจะเกิดประโยชน์ในทางตรงข้ามกันการนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสมก็ทำให้เกิดอันตรายได้ ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ยังต้องศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์จริงและลดอันตรายต่อผู้ป่วย ที่แน่ๆคือยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะสามารถรักษาโรคได้ทุกโรคตามที่หลายคนในสังคมเข้าใจด้วยเพราะสเต็มเซลล์นั้นจริงๆแล้วมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน นำไปใช้สร้างเซลล์ของเนื้อเยื่อคนละชนิด มีประโยชน์และโทษแตกต่างกันเมื่อนำไปปลูกถ่ายตัวอย่างง่ายๆคือ สเต็มเซลล์ของเลือดก็สร้างเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง สเต็มเซลล์ของสมองก็สร้างเฉพาะเซลล์ประสาท และเซลล์เยื่อหุ้มประสาทเป็นต้น ส่วนสเต็มเซลล์ที่สร้างเซลล์ร่างกายได้ทุกชนิดมีเพียงสเต็มเซลล์ตัวอ่อน (human embryonic stem cells) ซึ่งยังต้องวิจัยพัฒนาอีก 5-10 ปี ก่อนคนไข้ทั่วไปจะมีโอกาสได้ใช้
โดยในปัจจุบัน หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด เผยว่าการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคอย่างมีมาตรฐานนั้นในประเทศไทยนับเพียงสเต็มเซลล์เลือด(จากไขกระดูก หรือสายสะดือทารก)สำหรับโรคเลือดเท่านั้น ในต่างประเทศบางแห่งการเพาะและปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ผิวหนัง และกระจกตา เป็นการรักษามาตรฐาน แต่เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงมาก ทำให้ในทางปฏิบัติมีการใช้ในยุโรปบางประเทศเท่านั้น โรงเรียนแพทย์ของไทยมีการพัฒนาเทคนิคดังกล่าวแต่ยังเป็นโครงการวิจัยไม่ใช่การรักษามาตรฐาน

“การนำสเต็มเซลล์ของอวัยวะใดๆนำไปรักษาอวัยวะนั้นๆ มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์คือ ไม่ใช่ว่าเราแค่เอาเซลล์ไปปลูกเฉยๆ เราต้องการเซลล์ที่ไปปลูกแล้วมันสร้างเซลล์ใหม่ได้เรื่อยๆ เราไม่ได้ต้องการให้สร้างเซลล์เลือดของวันนั้น เราต้องการให้หลังจากปลูกถ่ายไปแล้วเซลล์นั้นสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดให้เราใช้ไปได้ตลอดชั่วชีวิตเรา ถ้าไม่ใช่สเต็มเซลล์ของอวัยวะเดียวกัน ก็จะสร้างเซลล์ผิดชนิดได้ เช่นกลายเป็นกระดูกในหัวใจหรือสมองเป็นต้น”

ความก้าวหน้าในการวิจัยสเต็มเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดกับงานวิจัยที่คว้ารางวัลโนเบลของศ.ชินยะ ยามานากะ ค้นพบวิธีการการนำเซลล์ชนิดใดก็ได้ในร่างกายมนุษย์มาทำให้กลายเป็นเซลล์ไอพีเอส (induced pluripotent stem cell)ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนสเต็มเซลล์ตัวอ่อน ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ใดก็ได้ในร่างกายเนื่องจากเป็นเซลล์ของตัวผู้ป่วยเองจึงมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาการรักษาใหม่
ตัวอย่างเช่น หากเป็นโรคทางพันธุกรรมเลือดในทางทฤษฎีสามารถนำเซลล์ผิวหนังของคนไข้ออกมาทำเป็นเซลล์ไอพีเอสแล้วแก้ความผิดปกติทางพันธุกรรมทำกลับเป็นสเต็มเซลล์เลือดที่ไม่มีอาการป่วย เพื่อนำกลับไปปลูกถ่ายเพื่อรักษาผู้ป่วยได้

นอกจากนี้เซลล์ไอพีเอสยังมีประโยชน์ในด้านของการทดลอง โดยเอานำเซลล์ไอพีเอสไปสร้างเป็นเซลล์จำลองที่เกิดโรคเพื่อเรียนรู้กลไกการเกิดโรคและการใช้ยารักษา ทำให้สามารถรักษาผู้ป่วยในโรคนั้นๆ ได้โดยใช้ยาที่เป็นผลมาจากการทดลองกับเซลล์ไอพีเอส

ทั้งนี้ การใช้สเต็มเซลล์ในทางที่ผิดนั้น ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ แสดงความเป็นห่วงว่ามีอยู่หลายกรณี

“การใช้สเต็มเซลล์กับผิวหนังนั้น เราพูดถึงกรณีถูกไฟไหม้ ไม่ได้ช่วยให้ผิวสวยงามอย่างที่เข้าใจกันในประเทศไทย อันนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ”


ภัยร้ายของสเต็มเซลล์

จากกระแสข่าวที่พบว่า มีดาราพากันไปฉีดสเต็มเซลล์เพื่อหวังผลด้านความสวยความงาม ตั้งแต่บุ๋ม ปนัดดาที่ฉีดสเต็มเซลล์จากแกะในราคากว่า6 แสนบาทเคม ภูภูมิ และอั้ม พัชราภา จนถึงเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ที่พูดถึงกันมากที่สุดก็หนีไม่พ้น เบิร์ด ธงไชยที่มีข่าวว่าฉีดสเต็มเซลล์ตั้งแต่รุ่นรกแกะรุ่นแรก โดยก่อนคอนเสิร์ตใหญ่ก็มีข่าวว่าได้บินไปฉีดสเต็มเซลล์ถึงเยอรมนีด้วยเงินสูงถึง 1 ล้านบาท

รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และกรรมการห้องปฏิบัติการฮาร์ท จีเนติกส์ เผยถึงผลการตรวจที่พบความผิดปกติอย่างน่าสงสัยของผู้ที่มาใช้บริการตรวจดีเอ็นเอกับเธอว่า“ทางสถาบันเราจะเชี่ยวชาญด้านมะเร็ง โดยจะสามารถตรวจพบมะเร็งในระยะก่อนเริ่มแรกจากดีเอ็นเอได้ ซึ่งเราทำมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้วก็พบความผิดปกติในดีเอ็นเอของลูกค้ากลุ่มหนึ่งซึ่งมีการกลายพันธุ์”

โดยข้อสังเกตของเธอพบว่า การกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอนั้นเป็นการกลายเป็นพันธุ์จากคนไปเป็นของสัตว์ และพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นมะเร็ง

“พอมาสอบถามดูก็ได้รับคำตอบว่า ได้ไปใช้บริการฉีดสเต็มเซลล์มา ซึ่งทั้งหมดที่พูดมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ เพราะขั้นตอนในการตรวจสอบดีเอ็นเอต้องส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศด้วย”

กลุ่มคนที่เธอตรวจพบอาการดังกล่าวนั้นเป็นนักธุรกิจ หรือนักการเมืองที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพการฉีดสเต็มเซลล์ที่ใช้ค่าใช้จ่ายสูงก็เพื่อให้ตัวเองหายจากโรคที่เป็นอยู่ แต่กลับทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายมากขึ้น

ปัจจัยของการฉีดสเต็มเซลล์แล้วทำให้เกิดมะเร็งนั้นก็สอดคล้องกับ ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ ที่บอกว่า การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ที่ผ่านการเพาะเลี้ยงจะยิ่งมีปัจจัยที่ทำให้มีผลข้างเคียงเป็นโรคมะเร็ง

“เซลล์ยิ่งผ่านการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการนานยิ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติในโครโมโซม การปนเปื้อน จำต้องมีการตรวจสอบ คัดเลือกเซลล์อย่างรอบคอบเพื่อความปลอดภัย และใช้ในโรคที่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น”

แต่การใช้สเต็มเซลล์ในความเข้าใจที่ผิดนั้นมีอยู่มากมาย อย่างการฉีดสเต็มเซลล์ของสัตว์เพื่อใช้ในด้านความงามนั้น หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด เผยว่าการฉีดเซลล์ของสัตว์เข้ามาในร่างกายนั้นถือว่ามีอันตรายมากกว่ามีประโยชน์

“ย้อนกลับมาสเต็มเซลล์คืออะไร...คือเซลล์ที่สร้างเซลล์ใหม่ให้เรา ถ้าเราฉีดเซลล์ที่ไม่ใช่เซลล์ผิวหนังของเรา มันก็ไม่ได้สร้างเซลล์ผิวหนังให้เรา ง่ายๆ สั้นๆ มันก็สร้างเซลล์อื่น ถ้าเอาเซลล์สัตว์ฉีดไปมันก็สร้างเซลล์อื่น ยิ่งถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ เกิดอะไรขึ้นอีก ภูมิคุ้นกันเราก็ทำงาน ถ้าภูมิคุ้มกันชนะมันก็ไม่มีผลเหมือนฉีดน้ำเปล่ามีแสบร้อยแปลบๆ แต่ถ้าแย่เป็นยังไง แพ้สมองอักเสบถึงตายก็มี”

ในส่วนที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นนั้น อาจมีการฉีดสารด้านความงานอื่นๆที่เป็นอันตรายอย่าง สารหนู สารต้องห้ามทางการแพทย์ที่ในระยะยาวอาจทำให้เป็นมะเร็งได้ ส่วนสเต็มเซลล์ที่จากตัวเองนั้น หากใช้ผิดวิธีก็มีอันตรายเช่นกัน

“มันมีคำโฆษณาชวนเชื่อมากมาย เซลล์ของตัวเองไม่เป็นไรปลอดภัย อันนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะเซลล์เจ้าของเองก็กลายเป็นพิษได้ เซลล์เลือดฉีดไปในไตกลายเป็นเนื้องอกในไตได้ ฉะนั้นเซลล์ของตัวเองไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด เซลล์ตัวเองก็อันตรายได้ ข้อเสียคือภูมิคุ้นกันเราไม่ป้องกัน คืออะไรมันเป็นเนื้องอกง่ายมาก เหมือนเพาะแล้วเพิ่มจำนวนแล้วมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ในยีนของเซลล์ พอปลูกเข้าไปในร่างกายเรา ระบบภูมิคุ้มกันบอกว่าเป็นเซลล์เรานี่ แต่จริงๆมันเป็นตัวเริ่มต้นของเนื้องอก”

เนื่องจากแม้แพทยสภาจะห้ามการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในผู้ป่วยนอกจากจะเป็นโรคระบบเลือดหรือเป็นโครงการวิจัยที่ได้ผ่านการตรวจสอบแล้ว แต่ก็ยังข่าวมีคลินิคเปิดรักษาด้วยสเต็มเซลล์ในโรคที่ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่เสมอๆ

ในทางจริยธรรมแล้ว ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ เอ่ยว่า“ในทางการแพทย์เราคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้เป็นสำคัญที่สุด การรักษาต้องมีพื้นฐานจากหลักฐานที่เชื่อถือได้และต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับคนไข้ สำหรับผู้ป่วยที่ไม่เข้าใจว่าสเต็มเซลล์คืออะไรและเป็นโรคเรื้อรังรุนแรง พอหมอบอกว่า จ่ายมา 10 ล้านแล้วจะฉีดสเต็มเซลล์ให้ มีความเป็นไปได้ที่จะรักษาได้ แต่หมอไม่รับรองและห้ามฟ้องหมอทีหลัง คนไข้ที่ไม่มีอะไรจะเสียก็อาจตกลง แต่มันทั้งอันตรายต่อคนไข้ และผิดจริยธรรม”

ทั้งนี้ หากมีการใช้สเต็มเซลล์รักษาคน นอกจากโรคเลือดซึ่งเป็นมาตรฐานแล้วในประเทศไทย ก็ยังถือว่าเป็นการทำเพื่อการพัฒนาการแพทย์จึงห้ามคิดค่าใช้จ่ายกับคนไข้

ยังมีการให้เก็บสเต็มเซลล์ของเด็กแรกเกิดเพื่อให้ใช้รักษาโรคในอนาคต เขาก็ให้ความเห็นว่า ไม่จำเป็น เพราะค่าใช้จ่ายที่สูงมาก โดยคิดค่าเก็บรักษาตามระยะเวลา หากเก็บไว้เพียง10 ปีก็ไม่คุ้มเพราะอาจยังไม่ได้ใช้รักษาโรค และหากเก็บในตอนโตก็ไม่ต่างกันเพราะปัจจุบันมีวิทยาการของเซลล์ไอพีเอสที่ย้อนไปสู่เซลล์กำเนิดได้

“ในทางการแพทย์ นอกจากความปลอดภัยของคนไข้ เราต้องคำนึกถึงค่าใช้จ่าย ประโยชน์ที่มากที่สุดต่อตัวคนไข้ด้วยการรักษาแบบนั้นจึงจะเป็นมาตรฐานที่สามารถใช้ในทางปฏิบัติจริงได้”

ปัจจุบันนี้ มีการนำชื่อของสเต็มเซลล์ไปใช้ในทางที่ผิดซึ่งอันตรายมาก

“คนที่ไม่รู้แต่พร้อมจะยอมเสี่ยงเพราะเชื่อว่าสเต็มเซลล์นั้นดี เชื่อว่ารักษาได้ทุกโรค เชื่อว่าบินไปฉีดในประเทศบางประเทศที่ดังๆ ในยุโรป เชื่อว่ามันเป็นไฮ - เทคโนโลยีที่คนอื่นไม่รู้ มันไม่ใช่ เทคโนโลยีที่พูดนั้นมันไม่ใช่เทคโนโลยีเลย เราสามารถพูดได้ทั่วโลก หรือสมาคมสเต็มเซลล์ทั่วโลกพูดด้วยประโยคเดียวกันว่า ไม่มี ตัวอย่างในต่างประเทศก็มีมาแล้วที่คนไข้ตายและหมอที่ฉีดสเต็มเซลล์ให้ต้องติดคุก”

มาถึงตอนนี้ ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ ก็ขอบอกว่า สเต็มเซลล์ในด้านดีก็มีอยู่จริง เพียงแต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง ถูกกระบวนการ

“มาตอนนี้ความก้าวหน้าของสเต็มเซลล์ที่เทคโนโลยีมันก้าวไปเร็วมาก มันก็ทำให้ความฝันทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างใกล้จะเป็นจริง iPS technology เองในประเทศไทยก็พัฒนาไปพอสมควรแล้ว ผมเองศึกษาด้านประสาท ความฝันในการรักษาโรคพาร์กินสันมันเริ่มเห็นความเป็นไปได้แล้ว”

อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ยังรอก้าวต่อไปของการพัฒนา ความหวังในการจะรักษาโรคทุกโรคที่เกิดกับมนุษย์ ในต้นทุนที่คุ้นค่าพร้อมด้วยความปลอดภัย รวมถึงความหนุ่มสาว ที่ยังไม่มาถึงในปัจจุบัน

ข่าวโดย ทีมข่าวผู้จัดการ LIVE


โดย: หมอหมู วันที่: 22 มีนาคม 2556 เวลา:13:31:21 น.  

 


บ่องตง!สเต็มเซลล์หากินกับความไม่เข้าใจ
//www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/356486


“หากินกับความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยว กับสเต็มเซลล์”

ถือเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนยามนี้

ผศ.นพ.ดร. นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าหน่วยสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด และ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อยากฝากข้อมูลเอาไว้ เพื่อปลูกปัญญา... ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

แม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์การแพทย์มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยสเต็มเซลล์เกิดขึ้น อย่างรวดเร็วจริง จนทำให้เป็นข่าวไปทั่วโลกและนำสู่ความหวังในการจะหาทางรักษาโรคที่ยังไม่มี ทางรักษาหลายๆโรค แต่ความก้าวหน้านั้นยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้ในผู้ป่วย

เพราะ...ยังไม่มีประสิทธิภาพพอและอาจเกิดผลร้ายได้ถ้าไม่ควบคุมให้ดี

ขณะ เดียวกันในหลายๆประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มเกิดธุรกิจที่หาประโยชน์จาก สเต็มเซลล์โดยอาศัยความดังของสเต็มเซลล์เป็นจุดขาย ทั้งที่ขาดหลักฐานสนับสนุน

อาศัยความเข้าใจที่ผิดของประชาชน ทำให้องค์กรแพทย์และนักวิจัยที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ เช่น สมาคมการวิจัยสเต็มเซลล์นานาชาติ (International Society for Stem Cell Research หรือ ISSCR) ต้องออกมาเตือนให้ระวังการหลอกลวงและฉกฉวยโอกาส ประเทศไทยก็มีแพทยสภาที่ตั้งกฎควบคุมและออกมาเตือนเป็นระยะๆ

สเต็มเซลล์สำคัญอย่างไร? ใช้รักษาอย่างไร?

คำ ตอบมีว่า... “โรคหลายโรคที่รักษาไม่หาย เป็นเพราะเมื่อเซลล์ร่างกายตายไปแล้ว ไม่สามารถสร้างใหม่ได้ ถ้าเราสร้างเซลล์ชนิดที่ตายไปแล้วนำมาปลูกถ่ายได้ก็อาจรักษาโรคได้ บางอวัยวะสเต็มเซลล์ของอวัยวะนั้นไม่ทำงาน การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็อาจรักษาโรคได้”

อย่างไรก็ดี การปลูกถ่ายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้มีเซลล์ชนิดที่ต้องการ ก็ไม่แน่ว่าจะปลูกเข้าไปแล้วจะรวมตัวกับอวัยวะของเราอย่างดี ในปัจจุบันมีเฉพาะสเต็มเซลล์เลือด

สเต็มเซลล์มีหลายชนิด...แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน

ความ จริงเกี่ยวกับข้อมูลข้างต้นมีว่า...จริงๆแล้วในร่างกาย แต่ละอวัยวะมีสเต็มเซลล์ของตัวเอง ใช้สร้างเซลล์ของระบบนั้นๆ เช่น สเต็มเซลล์เลือดจากไขกระดูก ใช้สร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ สเต็มเซลล์สมองใช้สร้างเซลล์ประสาทและเซลล์เยื่อหุ้มประสาท เป็นต้น

สเต็มเซลล์เลือดสร้างเซลล์ประสาทหรือกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้

“สเต็มเซลล์ ที่สร้างเซลล์ได้ทุกชนิดคือเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน แต่เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนยังมีการทดสอบในผู้ป่วยน้อยกว่า 10 รายทั่วโลก ยังไม่พร้อมใช้ในทางคลินิกเพื่อการรักษาหรือการบริการ”

คนมักเข้าใจผิดว่า “สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก” เป็น “เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน”

จริงๆแล้วไม่ใช่ ถึงแม้ว่าสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกจะเป็นแหล่งของสเต็มเซลล์เลือด แต่ก็ใช้รักษาได้เฉพาะโรคเลือดเท่านั้น

น่า สนใจว่า...แต่ในใบโฆษณาธุรกิจของธนาคารสายสะดือทารกหลายแห่งที่ใส่ว่า ใช้รักษาได้มากกว่า 100 โรคนั้น ซึ่งรวมถึงโรคพันธุกรรมหรือโรคมะเร็ง และโรคสมอง เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ไปจนถึง ไตวาย เบาหวาน นั้นไม่เป็นความจริง

ต้องย้ำว่า...“สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก” รักษาโรคที่ว่าไม่ได้ สเต็มเซลล์ชนิดที่มีงานวิจัยในโรคกลุ่มที่กล่าวมานั้นไม่ใช่สเต็มเซลล์จาก สายสะดือทารก

นอกจากนี้การรักษาโดยใช้สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกโดยโฆษณาว่าเป็นการเก็บไว้ให้ตัวเองก็ไม่เป็นความจริง

“สเต็มเซลล์ จากสายสะดือทารกเป็นการเอาเซลล์ของเราไปรักษาผู้อื่น หรือเอาของผู้อื่นมารักษาเรา ไม่ใช่ใช้ของตัวเอง เพราะสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกของตัวเองก็จะมีความผิดปกติอยู่ แพทย์ไม่ใช้มารักษาตัวผู้ป่วยเอง”

ถึงตรงนี้ คงต้องยอมรับความจริงที่ว่า...ธุรกิจการค้าอาศัยจุดที่ประชาชนไม่เข้าใจว่า สเต็มเซลล์แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน และเข้าใจว่าสเต็มเซลล์รักษาได้ทุกโรค มักสกัดเซลล์ที่พอจะมีชื่อว่า “สเต็ม-เซลล์”...แล้วนำมาฉีดให้คนไข้ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร

ทั้งๆที่ ไม่มีคุณสมบัติ ที่จะสร้างเซลล์ชนิดที่ต้องการได้หลังปลูกถ่าย ไม่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ สเต็มเซลล์ชนิดที่แยกมาได้ง่าย...สำหรับธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “สเต็มเซลล์เลือด” จากไขกระดูกหรือรก

สเต็มเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่เรียกกันว่า mesenchymal stem cells (MSC) ซึ่งได้จากไขมัน ไขกระดูก ซึ่งสเต็มเซลล์อย่างหลังนี้เพาะเลี้ยงง่าย ไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการเพาะ แต่พอมีชื่อว่าสเต็มเซลล์ก็สามารถโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อ ขายบริการได้ราคาดีเป็นล้าน ทั้งที่ต้นทุนไม่มาก

บางแห่งต้องการลดต้นทุนลงไปอีกก็ใช้คำว่า “สารสกัดจาก สเต็มเซลล์”...ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร ใส่อะไรลงไปบ้าง

อีก ธุรกิจที่เกาะกระแส “สเต็มเซลล์” ก็คือ “เซลล์ซ่อมเซลล์” หรือกระทั่งไปจนถึงการใช้เซลล์จากสัตว์มาฉีดในผู้ป่วย ซึ่งมีมานานแล้วในบางประเทศแต่ไม่เป็นที่ยอมรับในแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะขาดเหตุผลหลักฐานข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ และมีผู้ป่วยที่ได้รับอันตรายถึงชีวิต

เนื่อง จากแพทยสภาห้ามการฉีดสเต็มเซลล์เข้าในผู้ป่วยนอกจากสเต็มเซลล์เลือดที่ใช้ ได้ในโรคเลือด และที่ทำเป็นโครงการวิจัยที่มีการควบคุมดูแลสถานบริการทางธุรกิจเพื่อการค้า ก็อ้างว่า กฎของ แพทยสภาไม่ครอบคลุมถึงเซลล์อื่นๆ จริงๆการฉีดเซลล์เข้าร่างกายผู้ป่วย ถ้าเกิดอันตรายหรือแม้แต่ไม่ได้ผลจริงตามที่โฆษณา ผู้ป่วยสามารถฟ้องร้องได้แม้จะเซ็นยินยอมแล้วเพราะผิดหลักการทางการแพทย์

ข้อมูล ทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวกับ “สเต็มเซลล์” นอกจากใช้หลอกผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังไม่มีทางรักษาแล้ว ลูกค้ากลุ่มใหญ่อีกกลุ่มของธุรกิจนี้คือเรื่องเสริมความงาม ต้านวัยชรา แม้ไม่มีเหตุผลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับก็ขายได้ดี โดยอาศัยการโฆษณา การกล่าวอ้างความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้ โดยเฉพาะที่เชื่อว่าดาราใช้แล้วได้ผล

...เป็นที่ทราบกันในทางการแพทย์ว่า มีสารอันตรายหลายชนิดที่ใช้แล้วให้ผลดีในช่วงแรกแต่ให้ผลเสียอย่างมากในระยะ ยาว สิ่งที่ใช้ในธุรกิจเชิงการแพทย์พาณิชย์นี้มีหลากหลายมากโดยไม่มีการตรวจสอบ ว่าใส่สารอันตรายอะไรลงไปบ้าง ทำให้ อย.มีประกาศห้ามเครื่องสำอางที่ใช้คำว่าสเต็มเซลล์

จบเรื่องราวเกี่ยวกับสเต็มเซลล์เอาไว้ปลูกปัญญากันเพียง เท่านี้...โอกาสหน้าค่อยคุยกันว่า “สเต็มเซลล์”...ฉีดแล้วเสี่ยงเป็นอะไรบ้าง.




โดย: หมอหมู วันที่: 13 กรกฎาคม 2556 เวลา:10:45:33 น.  

 



"นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!?
“ฮาร์ท เจเนติกส์” ถอดรหัสยีนพบมะเร็งก่อนระยะที่ 1 (ตอนที่ 1)
//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077078

"นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!?
ทุนใหญ่!กำจัด “คล้ายอัปสร” พ้นเส้นทางถอดรหัสยีน (ตอนที่ 2)
//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077272

"นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!?
"แพทย์จุฬาฯ” ชี้คนไทย!ถูกหลอกรักษา “สเต็มเซลล์” (ตอนที่ 3)
//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077735

“นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!?
แพทยสภา!ปลุกคนไทยอย่าตกเป็นเหยื่อ (ตอนที่ 4)
//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078775

“นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!?
มาเฟียธุรกิจ “เจ๊ ด.” เอี่ยวหนุน “Stem cell” (ตอนจบ)
//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078867



โดย: หมอหมู วันที่: 19 สิงหาคม 2556 เวลา:13:51:38 น.  

 
"สเต็มเซลล์" กับความงาม นพ.สุรเดช หงส์อิง อันตรายจากเซลล์กลายพันธุ์

//m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1379573122

ความเชื่อที่ว่าสเต็มเซลล์สามารถนำมารักษาอาการผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และนำมาใช้ในธุรกิจความงาม ที่กำลังได้รับความนิยมมากในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีสถาบันใดออกมารองรับผลสำเร็จของสเต็มเซลล์ก็ตามที

หากสำรวจตามถนนสายธุรกิจอย่างสุขุมวิท จะพบว่ามีสถาบันความงามที่รับฉีดสเต็มเซลล์เพื่อความงามกันมาก โดยพยายามเลี่ยงใช้คำโฆษณา จนตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งที่ได้ชื่อว่าใช้สเต็มเซลล์ผิดวิธีระดับต้น ๆ ของโลก โดยตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ หรือบางคนบินไปฉีดไกลถึงต่างประเทศก็มีให้เห็น

หลายสถาบันพูดถึงแต่ผลดีที่ยังไม่มีการพิสูจน์ แต่ไม่มีใครออกมาพูดถึงผลเสียที่เกิดขึ้น อาจเพราะไม่เกิดผลอะไรเลย หรืออาจจะไม่กล้า เพราะอับอาย และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เสียแน่ ๆ คือเสียเงินฟรี แม้ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายระดับ 7 หลักขึ้นไปได้สบาย ๆ ก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีคำเตือนจากแพทย์หลายสถาบัน ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับสเต็มเซลล์ที่ถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพ่ายการตลาดทางธุรกิจของสถาบันความงามที่พยายามพลิกแพลงกลยุทธ์ แม้แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็มิอาจเข้าถึงได้ หากไม่ได้รับการร้องเรียนก็เข้าตรวจสอบได้ยาก หรือแม้แต่แพทยสภาเองก็เข้าไปจัดการไม่ได้ เพราะไม่ใช่ "หมอ"

น.พ.สุรเดช หงส์อิง แพทย์กุมารเวชผู้เชี่ยวชาญโรคเลือดและโรคมะเร็งในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายระดมทุน มูลนิธิรามาธิบดีฯ จัดหาทุนเพื่อทำการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต อาจารย์สุรเดชยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต อธิบายว่า ปัจจุบันสเต็มเซลล์ใช้รักษาเฉพาะโรคโลหิตวิทยาที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ ส่วนการนำไปใช้อย่างอื่นยังไม่มีการอนุมัติจากหน่วยงานใด

สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิด (เซลล์ตัวอ่อน) ปัจจุบันมีความเข้าใจผิดอยู่มาก เพราะเราเข้าใจว่าเซลล์ต้นกำเนิดกับเซลล์ตัวอ่อนมีอยู่อย่างเดียว แต่จริง ๆ มีความหลากหลายมาก สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ

ประเภทแรกคือ "เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน" อาจจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ก็ได้ ซึ่งได้จากการนำไข่และอสุจิมาผสมกันจนเป็นตัวอ่อนภายใน 1 สัปดาห์ แล้วดึงเนื้อเยื่อจากตัวอ่อนมาผลิตเป็นเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมีการจดลิขสิทธิ์หลายร้อยแห่ง ในประเทศไทยก็มีการทำแห่งแรกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

"เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ สามารถที่จะเป็นอวัยวะใดก็ได้ เพราะเป็นต้นกำเนิดมาก ๆ เราจะสร้างเป็นอวัยวะใดก็ได้หมด แต่ปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ ยังไม่มีใครนำมาใช้ในคน เนื่องจากคุณสมบัติเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ เมื่อเวลาฉีดในสัตว์ทดลอง การควบคุมให้เป็นอวัยวะที่เราอยากได้มันยาก เพราะมันจะเป็นอวัยวะใดก็ได้ หรืออาจจะเจริญผิดอวัยวะก็ได้ แทนที่จะได้ตับกลับกลายเป็นไต หรืออะไรอย่างอื่นแบบผิดที่ผิดทาง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการเอามาใช้ในคน"

ฉะนั้นเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ที่นำมาใช้ในมนุษย์ยังไม่มี และยังไม่มีการทดลองหรือวิจัยใดประสบความสำเร็จในโลกใบนี้

"ดังนั้น ใครที่มาบอกว่าเอาเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์มาใช้ในคน โกหก...! ยิ่งการใช้เซลล์จากสัตว์มาใส่ในคนยิ่งยากไปกันใหญ่ เพราะข้ามสายพันธุ์ เรียกว่า โกหกทั้งเพ การนำเอาผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์จากสัตว์มาใช้ในคน นี่มันเป็นการข้ามสปีชีส์เลยนะ ในทางการแพทย์เราเรียนรู้ว่า ร่างกายเราไม่มีทางรับสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายได้ ถ้าไปฉีดบ่อย ๆ อาจจะเกิดโรคภูมิคุ้มกันมันเสีย กลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง"

เซลล์ต้นกำเนิดประเภทที่สองคือ "เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวเต็มวัย" ซึ่งสามารถนำมาจากมนุษย์ที่โตเต็มวัย แต่ปัญหาคือ การบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดจากมนุษย์มันมีความจำเพาะของอวัยวะ ต่างกับเซลล์ตัวอ่อนที่มาจากอสุจิมาผสมกับไข่ แล้วออกมาเป็นตัวอ่อนประมาณ 1 สัปดาห์แล้วดึงออกมาใช้ สามารถไปอวัยวะใดก็ได้

แต่เซลล์ต้นกำเนิดของตัวเต็มวัย ต้องประจำอวัยวะเท่านั้น เช่น จากสมองก็ต้องเป็นสมอง จากตับก็ต้องเป็นตับ เพราะแต่ละอวัยวะของมนุษย์มีสเต็มเซลล์ประจำอวัยวะนั้น ๆ

"การที่เซลล์จะเจริญข้ามอวัยวะ ข้ามสายพันธุ์แทบจะไม่ได้หรือน้อยมาก เพราะมันถูกกำหนดมาแล้วในเซลล์ต้นกำเนิดตัวเต็มวัย ซึ่งประจำอวัยวะนั้น ๆ"

อาจารย์แพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี สรุปอีกครั้งว่า สเต็มเซลล์ที่กล่าวถึงกันในปัจจุบันซึ่งนำมาใช้ในการรักษาคนมีอยู่ชนิดเดียวคือ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่ดูดมาจากไขกระดูก ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่จะเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่อไป

"ไม่ว่าจะเอามาจากไขกระดูก หลอดเลือด หรือรก ล้วนเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตทั้งนั้น ฉะนั้นการรักษาโดยตรงคือ การรักษาโรคทางโลหิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ ภูมิคุ้มกันผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อันนี้ถือเป็นมาตรฐานที่รักษามาแล้วทั่วโลกมาเกือบ 50 ปี ถือว่าอนุมัติแล้ว ไม่ต้องผ่านกระบวนการวิจัย ถือว่าเป็นการรักษามาตรฐาน"

อย่างไรก็ตาม หลายคนเข้าใจว่า การนำเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตมารักษาอวัยวะอื่นที่เสื่อมได้นั้น เพราะมีหลักฐานในหลอดทดลองว่าทำได้คือ เอาเซลล์เม็ดโลหิตมาเลี้ยงสมองหรือหัวใจก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้การนำมารักษาในคน กำลังอยู่ในขั้นการทดลอง ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจะกลายเป็นสมองหรือกลายเป็นหัวใจได้ ในบางคนอาจจะได้ผลดี บางคนอาจจะได้ผลเสีย

"ความยากคือ สเต็มเซลล์เม็ดโลหิตต้องนำมาตอนยังมีชีวิต แต่อยู่ดี ๆ ใครจะไปเจาะกะโหลกเอาเซลล์จากสมองมาตอนเป็น ๆ ใครจะไปเจาะตับเจาะหัวใจมาบริจาค ฉะนั้นการบริจาคสเต็มเซลล์ที่ง่ายที่สุดคือ การเจาะไขกระดูก ที่ได้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด"

"ที่ว่าสเต็มเซลล์มาใช้กับความงามนั้นไม่จริง"

อาจารย์สุรเดชอธิบายให้เห็นภาพว่า เรื่องสเต็มเซลล์กับความงามยังไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าคนที่ฉีดสเต็มเซลล์แล้วจะงดงาม แต่ได้แน่ ๆ คือ เสียตังค์

"เราไม่มีทางรู้ว่าเขาจะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายเรา เพราะสูตรความงามมีตั้งหลายสูตร แต่กลับมาบอกว่า ฉีดสเต็มเซลล์แล้วเวิร์ก ซึ่งตอนนี้เป็นแค่การทดลอง เพราะไม่ใช่การรักษา ดังนั้นต้องไม่เก็บเงินคนไข้"

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์สุรเดชได้ยกตัวอย่างคนไข้ที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดสเต็มเซลล์ว่า มีการตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์เล่มหนึ่งว่า มีคนไข้เป็นโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง นำเอาเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกตัวเองไปเพาะแล้วฉีดเข้าไปในไต ผลปรากฏว่าคนไข้ตาย จากเซลล์ที่ฉีดเข้าไปจนกลายเป็นเนื้องอกแตกตาย

อาจารย์สุรเดชชี้แจงถึงอันตรายของสเต็มเซลล์หากใช้แบบผิด ๆ อาจจะเกิดโรคร้ายแรงที่เราไม่รู้จักก็เป็นได้ รวมถึงกระบวนการผลิตสเต็มเซลล์ที่อาจจะไม่ผ่านการฆ่าเชื้อตรวจสอบก่อนฉีดเข้าร่างกาย ตามคลินิกต่าง ๆ ที่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ จึงไม่มีใครรับรองว่าจะปลอดภัย อาจจะกลายเป็นมะเร็งและผลาญเงินไปหลายล้านบาท

อันตรายที่สุดคือ มีการนำเอาผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์จากสัตว์มาใช้ในคน !



โดย: หมอหมู วันที่: 24 กันยายน 2559 เวลา:13:09:17 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]