Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

วิธีคุมกำเนิดที่คุณใช้นั้น มีโอกาสท้องกี่เปอร์เซ็นต์ ? ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด


ข้อสังเกต .. " ไม่ว่าใช้วิธีคุมกำเนิดแบบไหน ก็สามารถท้องได้ทั้งนั้น... ยกเว้น  ไม่มีเพศสัมพันธ์
 

วิธีคุมกำเนิดที่คุณใช้ มีโอกาสท้องกี่เปอร์เซ็นต์
https://th.theasianparent.com/วิธีคุมกำเนิดที่คุณใช้-มีโอกาสท้องกี่เปอร์เซ็นต์/
https://allmomsclub.blogspot.com/2017/04/10_38.html
 

ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
การคุมกำเนิด : 34 วิธีการคุมกําเนิด & คุมกําเนิดแบบไหนดีที่สุด ??

https://medthai.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94/
https://medthai.com/family-pregnancy/birth-control/

คุมแล้วยังจะท้องไม๊หมอ -=Byหมอแมว=-
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=mormaew&month=04-01-2007&group=2&gblog=1

คุณจะป้องกันการท้องไม่พร้อมครั้งต่อไปได้อย่างไร ?
https://www.womenonweb.org/th/page/495/how-can-you-prevent-a-future-unwanted-pregnancy

 




**************************************



วันที่ 26 กันยายนของทุกปีเป็นวันคุมกำเนิดโลก เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธี วันนี้เลิฟแคร์เลยขอนำเสนออุปกรณ์คุมกำเนิดและประสิทธิภาพให้ได้เห็นกัน

ปล.1 อุปกรณ์คุมกำเนิดแต่ละชนิดจะมีประสิทธิภาพ หากใช้ให้ถูกวิธี

ปล.2 ***วัยรุ่นอายุ 10-20 ปี ฝังยาคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวร โดยฝังไว้ใต้ผิวหนังท้องแขน มีทั้งแบบชนิด 3 ปี และ 5 ปี ฟรี!!!!***

------------------------------------------

ปรึกษาเรื่องเพศ ที่ https://www.lovecarestation.com/ หรือ inbox มา 📩
#lovecarestation
ฟรี! สี่โมงเย็น ถึง เที่ยงคืน ทุกวัน

ที่มา FB @ Lovecare Station
https://www.facebook.com/lovecarestation/photos/a.170386643004115/2591059284270160/?type=3&theater


 



Create Date : 13 กันยายน 2560
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2562 21:26:12 น. 3 comments
Counter : 25234 Pageviews.  

 
คนไทยคุมกำเนิดครอบคลุม 80% แต่พบท้องไม่พร้อมอื้อ
Wed, 2017-09-27 14:20 -- hfocus
https://www.hfocus.org/content/2017/09/14619

“กรมอนามัย” ชี้ คนไทยคุมกำเนิดครอบคลุม 80% แต่ยังพบปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อมอื้อ ผงะ! เกินครึ่งของคนทำแท้งอายุเกิน 25 ปี ด้าน “นายกสมาคมวางแผนครอบครัว”ระบุ วัยรุ่นชายเมินใช้ถุงยางอนามัย ย้ำเทคโนโลยีการคุมกำเนิดพัฒนาทุกด้าน การใช้ยาเม็ดมีความปลอดภัย-ลดกระทบสุขภาพได้

นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมและการคุมกำเนิดในประเทศไทย ภายในงานแถลงข่าว “คุมกำเนิดไทยในยุค 4.0” เนื่องในวันคุมกำเนิดโลก 2017 (World Contraception) เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2560 ตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยมีนโยบายการวางแผนครอบครัวมาร่วม 50 ปี ส่งผลให้อัตราการคุมกำเนิดสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันครอบคลุมถึง 80%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการคุมกำเนิดอยู่ในระดับสูงแต่ก็ยังพบปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมและการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน แต่จากข้อมูลการเฝ้าระวังของกรมอนามัยพบอีกว่ามากกว่า 50% ของผู้ที่ทำแท้งมีอายุมากกว่า 25 ปี นั่นสะท้อนว่าจำเป็นต้องให้ความรู้และจัดบริการให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มวัย

“ทุกวันนี้สังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก การตั้งครรภ์ในเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ภาพรวมของการเกิดกลับน้อยลง โดยในอดีตอัตราการเกิดอยู่ที่ 1 ล้านราย ปัจจุบันเหลือเพียง 7 แสนราย แต่ใน 7 แสนรายนี้ มีถึง 1 แสนรายที่เกิดโดยแม่ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือเฉลี่ยวันละ 252 ราย มากไปกว่านั้นก็คือยังพบปัญหาการคลอดซ้ำในกลุ่มวัยรุ่นมากถึง 12%” นพ.กิตติพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ สธ.ได้ร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มวัยรุ่นเข้าถึงการคุมกำเนิดทุกวิธี โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหลังคลอดเข้าถึงการคุมกำเนิดกึ่งถาวร โดยสามารถขอรับบริการฟรีได้จากสถานบริการทุกแห่งที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช.

ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล นายกสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กล่าวถึงการคุมกำเนิดไทยในยุค 4.0 ว่า วิวัฒนาการของการคุมกำเนิดเริ่มตั้นขึ้นเมื่อ พ.ศ.2500 โดยยาเม็ดคุมกำเนิดเม็ดแรกเกิดขึ้นในยุโรป ก่อนจะขยายเข้าสู่สหรัฐอเมริกา จากนั้นก็มีการพัฒนาไปสู่ยาฉีดคุมกำเนิด ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นทั้ง 2 วิธีได้เข้ามาประมาณ พ.ศ.2510 จากนั้นก็มีการพัฒนาไปสู่ห่วงอนามัย ยาฝังคุมกำเนิด แหวนคุมกำเนิด การทำหมันถาวร

ศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีการคุมกำเนิดขึ้นทุกด้าน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนต่ำ มีความปลอดภัย และเป็นธรรมชาติที่สุด โดยยาเม็ดบางชนิดสามารถช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือนได้ ขณะที่ยาฉีดมีการพัฒนาจากที่ต้องฉีด 3 เดือน เหลือเพียง 1 เดือน และลดขนาดจาก 3 ซีซี เหลือเพียง 1 ซีซีเท่านั้น ส่วนยาฝังคุมกำเนิด เดิมทีต้องใช้มากถึง 6 หลอด เพื่อคุมกำเนิดใน 5 ปี ปัจจุบันใช้เพียง 2 หลอด คุมได้ 5 ปี หรือ 1 หลอด คุมได้ 3 ปี หรือแม้แต่ห่วงอนามัย ในอดีตเป็นห่วงที่มีทองแดง ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเพื่อลดประจำเดือนและอาการปวด รวมทั้งช่วยรักษาโรคบางโรคได้

“ในอนาคตจะมียาเม็ดคุมกำเนิดที่มีขนาดน้อยลง มีการกินที่น้อยลง ในอนาคตอันใกล้อาจจะมียาที่เกินเพียง 1 สัปดาห์ แต่สามารถใช้คุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะต้องกินทั้งเดือนเหมือนปัจจุบัน” ศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว

ศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเพศชาย พบว่าจำเป็นต้องมีการรณรงค์เรื่องการใช้ถุงยางอนามัยให้มากขึ้น เพราะเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยผลการสำรวจพบว่าวัยรุ่นเพศชายเกินครึ่ง หรือเกิน 50% มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

พญ.ปานียา สูตาบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัทไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวถึงการรณรงค์การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ว่า ปัจจุบันบริษัทไบเออร์ไทยได้วิจัยการคุมกำเนิดด้วยการปรับฮอร์โมนให้เหมาะสมกับธรรมชาติที่สุด โดยมีเจตนารมณ์ในการร่วมกันลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนซึ่งพบการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร และตั้งครรภ์ซ้ำซาก

ทั้งนี้ เว็บไซต์ //www.your-life.com ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลด้านการวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิด ได้เผยแพร่รายงาน “วัยรุ่นกับการคุมกำเนิด” เนื่องในโอกาสครบรอบ 10ปี วันคุมกำเนิดโลก โดยระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงตั้งครรภ์ 208 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 41% ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และเกือบ 50% ตัดสินใจทำแท้ง

สำหรับสถานการณ์ประเทศไทย มีการสำรวจความคิดเห็นวุยรุ่นอายุ 13-25 ปี จำนวน 201 คน พบว่า วัยรุ่น 87.1% ทราบถึงความสำคัญของการคุมกำเนิด แต่ 60.2%ของผู้มีเพศสัมพันธ์ กลับไม่มีการคุมกำเนิด โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการทำลายความสนุก ไม่มีเครื่องมือ ลืม และมั่นใจว่าจะไม่ตั้งครรภ์



โดย: หมอหมู วันที่: 28 กันยายน 2560 เวลา:15:06:48 น.  

 
สปสช.ชดเชย ‘ทำหมันแล้วท้อง’ ไม่ถูก ชี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เดือดร้อน รพ.ต้องจ่ายสิทธิอื่นด้วย

Wed, 2017-11-15 11:45 -- hfocus
https://www.hfocus.org/content/2017/11/14899

โฆษกแพทยสภาชี้การจ่ายเงินชดเชยความเสียหายกรณีคุมกำเนิดชั่วคราว/ทำหมันแล้วท้องไม่น่าจะถูกต้อง ชี้เป็นการสร้างมาตรฐานว่าทำหมันแล้วท้องต้องได้เงิน เดือดร้อนโรงพยาบาลต้องจ่ายเงินชดเชยให้คนไข้ประกันสังคม-สวัสดิการข้าราชการด้วย หวั่นแพทย์อาจไม่กล้าทำหมันเพราะต่อให้ทำถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพก็เดือดร้อนต้องช่วยจ่ายเงินอยู่ดี

พญ.ชัญวลี ศรีสุโข

พญ.ชัญวลี ศรีสุโข โฆษกแพทยสภา กล่าวถึงมติแพทยสภาที่แสดงจุดยืนให้คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หยุดจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากบริการทางการแพทย์กรณีการตั้งครรภ์หลังจากทำหมันหรือคุมกำเนิดชั่วคราว โดยระบุว่าอยากให้มีการทบทวนเรื่องดังกล่าวเพราะการตั้งครรภ์หลังจากทำหมันหรือคุมกำเนิดชั่วคราวไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย เนื่องจากไม่มีวิธีการคุมกำเนิดใดๆ ที่ได้ผล 100% นอกจากนี้ฝ่ายกฎหมายของแพทยสภาได้ตรวจสอบข้อกฎระเบียบต่างๆ แล้วคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

พญ.ชัญวลี กล่าวต่อไปว่า คำว่าสุดวิสัยแปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันโดยไม่คาดการณ์ แต่การทำหมันแล้วท้องไม่ใช่เหตุสุดวิสัยเพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว แม้แต่วิธีการทำหมันที่ราชวิทยาลัยสูติฯ แนะนำก็ยังมีโอกาสท้อง 0.2% และงานวิจัยที่มีการรีวิวล่าสุดยังพบว่าเมื่อทำหมันในปีแรกมีโอกาสท้อง 1:1000 แต่ผ่านไป 10 ปีมีโอกาสท้อง 10:1000 หรือ 1% ยิ่งการคุมกำเนิดชั่วคราวด้วยวิธีการฉีดยาคุมก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ถึง 6% ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายคำว่าสุดวิสัยเพราะเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ และในกฎหมายก็เขียนนิยามเอาไว้ชัดเจน

“หลังจากคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขสั่งให้จ่ายเงินชดเชยกรณีที่คุมกำเนิดชั่วคราว ได้แก่ ฉีดยาคุม ฝังยาคุม และใส่ห่วง โดยอ้างว่าเมื่อไหร่ที่คนไข้ปฏิบัติตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยสูติฯ อย่างเคร่งครัดแต่ยังเกิดการท้อง ให้จ่ายเงิน 30,000 บาทและถ้ามีผลกระทบจากการท้องให้จ่ายอีก 20,000 บาท ทีนี้มันก็จะเกิดความโกลาหลตามมา” พญ.ชัญวลี กล่าว

พญ.ชัญวลี กล่าวอีกว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นเรื่องแรกคือเกิดการตั้งมาตรฐานไว้แล้วว่าเมื่อทำหมันแล้วท้องหรือคุมกำเนิดแล้วท้องจะได้รับเงินชดเชย ซึ่งคนไข้ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพจะได้รับเงินเยียวยา แต่คนไข้ที่ใช้สิทธิประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการจะไปเอาเงินเยียวยาจากไหน

“ล่าสุดที่แพทยสภารู้สึกว่ามีผลกระทบรุนแรงคือที่ จ.อุดรธานี เนื่องจากทางประกันสังคมไม่มีจ่าย คนไข้ก็ไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรม แล้วศูนย์ดำรงธรรมก็ให้ข้อมูลไม่ตรงกับความจริง ไปบอกว่าควรจะจ่าย 200,000 บาท แล้วไม่มีใครไปคัดค้านว่าถูกหรือไม่ถูก ทีนี้คนก็เข้าใจว่าทำหมันแล้วท้องได้เงินชดเชย ซึ่งสุดท้ายแล้วโรงพยาบาลอุดรธานีก็ต้องรวมเงินกับประกันสังคมและทางจังหวัดจ่ายให้คนไข้รายนี้ไป 250,000 บาท” พญ.ชัญวลี กล่าว

ขณะเดียวกัน ก็สร้างความทุกข์ของแพทย์ในปัจจุบัน กล่าวคือหมอที่ทำหมันทุกคนจะต้องพิสูจน์ว่าตัวเองได้ทำหมันจริง เช่นตัดท่อรังไข่ทั้ง 2 ด้านแล้วถ่ายรูปไว้หรือส่งท่อไปพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา ซึ่งการส่งพิสูจน์ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นคนละ 800-1,200 บาท แต่ก็ต้องทำเพื่อให้เห็นชัดๆ ว่าไม่ได้เป็นความผิดพลาดของแพทย์ และแม้จะทำอย่างถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพแล้วก็ตาม เมื่อคนไข้ท้องขึ้นมาก็ยังได้รับเงินชดเชยอยู่ดี

“ยิ่งมีมาตรฐานจ่าย 250,000 บาทเกิดขึ้น ในส่วนของประกันสังคมกับข้าราชการจะเอาเงินใครจ่าย โรงพยาบาลตอนนี้ยากจนเกือบ 100 โรงพยาบาลแต่ก็ต้องมาจ่ายชดเชยให้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย สิ่งที่กระทบต่อไปคือหมอทำหมันต้องระมัดระวังทุกขั้นตอน และถ้ายังต้องจ่ายเงินชดเชยตลอดแบบนี้ คาดว่าเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นคือหมอจะไม่ทำหมันให้เพราะทำแล้วเดือดร้อนกลัวว่าต้องชดใช้ การคุมกำเนิดก็ไปคุมกันเองไม่ได้เป็นเรื่องของหมอแล้ว หรือมีคนเสนอว่าต่อไปถ้าจะทำหมันอาจต้องไปแจ้งความก่อนว่าถ้าตั้งท้องขึ้นมาจะต้องไม่เอาผิด ไม่เรียกร้องค่าเสียหาย มันก็จะวุ่นวายกันพอสมควร” พญ.ชัญวลี กล่าว

พญ.ชัญวลี กล่าวทิ้งท้ายว่า ความเห็นดังกล่าวเป็นจุดยืนที่แพทยสภาแสดงออกเพื่อคัดค้านแต่ก็คงไม่ไปก้าวล่วงอำนาจของผู้ทำการตัดสินใจ แต่ถ้าการจ่ายเงินชดเชยลักษณะนี้ผิด พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้นมา สุดท้ายแล้วใครต้องเป็นคนรับผิดชอบเงินเยียวยานี้ และหากไม่มีการทบทวนแล้ว ก็ต้องคงไปดูกฎหมายว่าถ้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาตรวจสอบแล้วยังคิดว่าทำถูกต้องอยู่หรือไม่


โดย: หมอหมู วันที่: 2 ธันวาคม 2560 เวลา:4:59:35 น.  

 
สวัสดีจ้ะ เราแวะมาทักทายนะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน ร้อยไหม adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้วถาวร สักคิ้ว 6 มิติ ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: สมาชิกหมายเลข 4286561 วันที่: 22 ธันวาคม 2560 เวลา:17:11:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]