๒วัดพนัญเชิงวรวิหารขับรถต่อไปเพียงกิโลเมตรกว่าๆเมื่อออกจากวัดใหญ่ชัยมงคลเลี้ยวซ้ายลึกเข้ามาตามถนนเดิมวัดพนัญเชิงจะอยู่ทางขวามือนอกเกาะเมืองทางทิศใต่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตะวันออกบริเวณปากน้ำขนาดใหญ่ที่แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกันโดยในสมัยอยุธยารอบๆวัดมีชุมชนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่เช่นชาวจีนญี่ปุ่นและโปรตุเกสซึ่งเชื่อว่าเข้ามาอาศัยอยู่ก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
วัดพนัญเชิงเป็นวัดเก่าแก่และสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยามีชื่อเสียงขจรไปทั่วประเทศเราแหวกผู้คนเข้าไปกราบหลวงพ่อโตหรือเจ้าพ่อซำปอกง(หลวงพ่อที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนต่างให้ความเคารพนับถือมาช้านาน)
ตามคำกล่าวกันว่าเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตกปรากฏในคำให้การขาวกรุงเก่าว่าพระปฏิมากรใหญ่ที่วัดพนัญเชิงมีน้ำพระเนตรไหลเป็นที่อัศจรรย์ และวันนี้ผู้คนก็มากมายเหลือเกินจนต้องกราบรีบกราบมนัสการหลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายกแล้วเดินทางต่อไป
๓วัดแม่นางปลื้มเดินทางสู่วัดแม่นางปลื้ม ซึ่งอยู่ห่างจากวัดพนัญเชิงประมาณ 2.5 กิโลเมตร วัดแม่นางปลื้ม เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดนางปลื้ม หรือ วัดสมปลื้ม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ.1920 บริเวณที่ตั้งวัดเคยเป็นที่ตั้งค่ายของพม่า ซึ่งยกมาล้อมกรุงศรีอยุธยาหลายครั้ง ยังมีเนินค่ายปรากฏอยู่ชาวบ้านเรียกว่า โคกพม่า ลักษณะรูปแบบศิลปกรรม จากรูปแบบเจดีย์ประธานของวัด สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างสมัยเดียวกับวัดธรรมิกราช และวัดมเหยงคณะ กล่าวคือ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมองค์ระฆังคว่ำแบบเจดีย์ทรงลังกา ตั้งอยู่บนฐานสิงห์ล้อมเช่นเดียวกัน และยังประดับตกแต่งลวดลายปูนปั้นที่หน้าบันพระวิหารด้วย
วัดแม่นางปลื้มมีประวัติเล่ามาว่าแม่ปลื้มเป็นชาวบ้านอยู่ริมน้ำชานพระนครคนเดียว ไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงพายเรือมาแต่พระองค์เดียวท่ามกลางสายฝนเมื่อเสด็จมาถึงทอดพระเนตรเห็นกระท่อมยังมีแสงตะเกียงอยู่ เวลานั้นค่ำอยู่สมเด็จพระนเรศวรทรงแวะขึ้นมาในกระท่อมแม่นางปลื้มเห็นชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปียกขึ้นมาจึงกล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจแต่พระองค์ท่านทรงเสียงดังตามบุคลิกของนักรบชายชาตรีแม่ปลื้มได้กล่าวเตือนว่า"ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเสียงดังนักเลย เวลานี้ค่ำมากแล้วเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินท่านทรงได้ยินจะโกรธเอา"
พระองค์กลับตรัสด้วยเสียงอันดังขึ้นอีกว่า"ข้าอยากดื่มน้ำจันทน์ข้าเปียกข้าหนาวอยากได้น้ำจันทน์ให้ร่างกายอบอุ่น"พลันแม่ปลื้มได้ยินก็ตกใจขึ้นมาอีกเพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ แม่ปลื้มได้กล่าวว่า"ถ้าจะดื่มจริงๆ เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแพร่หลายเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินรู้จะอันตราย"พระนเรศวรรับปากแม่ปลื้มจึงหยิบน้ำจันทน์ให้ดื่ม สมเด็จพระนเรศวรได้ประทับค้างคืนที่บ้านของแม่ปลื้มจนเช้าและได้เสด็จกลับวัง
ต่อมาได้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวังด้วยความที่แม่ปลื้มเป็นคนมีเมตตาจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หลังจากแม่ปลื้มเสียชีวิต สมเด็จพระนเรศวรทรงจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติแล้วสมเด็จพระนเรศวรจึงสร้างวัดให้แม่ปลื้ม นามว่า วัดแม่นางปลื้ม พระประทานของที่นี่ คือ หลวงพ่อขาว ซึ่งมีลักษณะงดงามมากวัดแม่นางปลื้มนั้นถือเป็นวัดที่ความร่มรื่นสวยงามแต่ไม่ค่อยจะมีผู้คนรู้จักมากนักเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมแบบโบราณเป็นอย่างมากไฮไลท์ที่ห้ามพลาดก็คือซุ้มประตูวัดซึ่งเป็นซุ้มประตูศิลปะอยุธยาแบบโบราณ เมื่อได้เดินลอดผ่านซุ้มประตูนี้แล้วจะเหมือนกับได้เดินข้ามประตูมิติเลยทีเดียว ภายในวัดยังมีสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาอีกมากมาย
และวันนั้นมีพระอยู่ในโบสถ์เราถือโอกาสซื้อสังฆทานถวายหลังเสร็จพิธีถวายสังฆทานหลวงพ่อได้มอบเหรียญและรูปภาพหลวงพ่อขาวให้เราคนละ1ชุดด้วยนะคะด้วยบรรยากาศที่รื่มรื่นเย็นสบายมีฝนตกโปรยปรายลงมานิดหน่อยได้เวลาเที่ยงพอดีพักรับประทานอาหารที่เตรียมไว้บนรถแล้วเดินทางกันต่อค่ะ(อ่อมีลูกตาลเชื่อมแบบโบราณมาขายที่ในวัดด้วยซื้อกลับมาทานหวานอร่อยม้ากก)
๔วัดธรรมมิกราชมาจากถนนอู่ทองวัดธรรมิกราชอยู่ทางซ้ายมือค่ะออกจากวัดแม่นางปลื้มแล้วย้อนกลับไปยังที่แยกที่2แล้วเลี้ยวซ้ายประมาณ700เมตรวัดธรรมิกราชจะอยู่ทางซ้ายมือ วัดนี่เป็นวัดหลวงเก่าแก่ที่สร้างก่อนสถาปนากรุงอยุธยาพระมหากษัตริย์จะทรงเสด็จมาฟังธรรมกันประจำในวันพระและวัดนี้ยังเป็นสถานที่สอบเปรียญธรรมสำหรับพระสงฆ์ในสมัยโบราณอีกด้วย
สำหรับวัดธรรมิกราชมีเศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทองเดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มากกล่าวว่า..."ผู้ใดเป็นคดีความกันมาสาบานต่อหน้าพระพักตร์คนผิดต้องตายหรือจะมีอันเป็นไปทุกคนเป็นที่กล่าวขานกันมาก"ในสมัยที่พระยาโบราณราชธานินทร์เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในพระราชวังจันทรเกษมได้นำเศียรพระพุทธรูปนี้ไปต่อมากรมศิลปากรจึงนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา ความศักดิ์สิทธิ์จึงคลายไป
๕วัดหน้าพระเมรุ(ออกจากวัดธรรมมิกราชเลี้ยวซ้ายไปตามถนนไม่เกิน300เมตรจะเห็นสะพานข้ามคลองอยู่ขวามือ ข้ามสะพาน ขับไปแค่นิดเดียวเลี้ยวซ้ายก็ถึงวัดหน้าพระเมรุอยู่ขวามือ)เป็นวัดมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาเนื่อจากเคยเป็นวัดที่พม่าใช้ตั้งฐานบัญชาการจึงเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลายและยังคงปรากฏสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาและอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วัดหน้าพระเมรุเป็นวัดยอดนิยมที่ผู้คนมักเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา"เรากราบพระพุทธนิมิตพิชิตมารศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ"และ"พระคันทาราฐในโบสถ์แล้วไปต่อค่ะ
๖วัดศรีโพธิ์หลังจากออกจากวัดหน้าพระเมรุเป็นด้วยเหตุอย่างไรไม่ทราบนะคะฮ่าเราขับรถเลี้ยวขวาออกไปหลงทางนี่คือไปตามเส้นทางที่Googleบอกเลยออกซอยนั้นเข้าซอยนี้อยู่นานจนมาเจอวัดศรีโพธิ์ที่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมวัดนี้คนน้อยกว่าทุกวัดที่ผ่านมาค่ะเลี้ยวรถเข้าวัด ทำบุญกราบพระพุทธสมัยสุโขทัย-ลพบุรี-อยุธยาแล้วออกมาบริเวณด้านนอกหน้าวัดมีแผงขายผักจากชาวบ้านด้วย เราเลยถือโอกาสสอบถามทางไปวัดเชิงท่าและซื้อผักหอบใส่รถกลับ...ไปวัดต่อไปโดยคราวนี้ออกจากซอยแล้วเลี้ยวซ้ายขับรถกลับไปทางเดิมไม่ผิดแล้วจ้าวัดเชิงท่าจะอยู่ทางซ้ายมือเพียงระยะห่าง300เมตร(จริงๆนั่นล่ะค่ะ) ๗วัดเชิงท่าเป็นวัดที่ยังมีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่เราเข้าไปไหว้และทำบุญปิดทองพระประธานในพระอุโบสถแล้วจากนั้นเดินชมโบราณสถานเก่าแก่รอบๆบริเวณวัดได้ชมพระปรางค์ประธานมุขปรางค์ วิหาร เจดีย์รายฯลฯ สวยงามน่าสนใจศึกษาค้นหาจริงๆ
โดยสำหรับเจดีย์รายวัดเชิงท่าเป็นสถาปัตยกรรมอยุธยาประดิษฐานบริเวณหน้าวิหารและอุโบสถของตัววัดเชิงท่ามีรูปทรงต่างๆเช่น เจดีย์สี่เหลี่ยมย่อมุม และเจดีย์ทรงระฆังแปดเหลี่ยม สันนิษฐานว่าเป็นงานสร้างเพิ่มเติมขึ้นในสมัยหลังจากองค์ปรางค์ประธาน
๘วัดท่าการ้อง(ออกจากวัดเชิงท่าขับรถต่อไปโดยเลี้ยวซายวิ่งไปตามถนนเดิมตรงไปประมาณ160เมตรจะเจอถนนใหญ่เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนนั้นขับต่อไปอีกประมาณ250เมตรจะเจอสามแยกประตูชัยเลี้ยวขวาสู่ถนนอู่ทองขับไปเรื่อยๆเลียบแม่น้ำมาอีกประมาณ1.6กิโลเมตรจะเจอสี่แยกแล้วเลี้ยวขวาขึ้นสะพานกษัตราธิราชข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาลงสะพานไป 150 เมตรเจอสี่แยกหัวแหลมเลี้ยวขวาเข้าซอยขับเลียบคลองไปประมาณขับเข้าไปประมาณ 800 เมตรจะเจอโค้งซ้ายพอหมดช่วงโค้งให้สังเกตทางขวามือจะมีซอยทางเข้าวัด)
วัดท่าการ้องวัดนี้เป็นวัดไฮเทคเหมือนวัดในกรุงเทพเลยใครๆก็บอกว่าวัดนี้เป็นคอมเพล็กซ์ด้านศาสนาจริงเลยทีเดียวก็พอเข้ามาก็จะเจอตุ๊กตาปูนปั้น หุ่นคน หุ่นสัตว์ หุ่นกระดาษในละคร บางตัวขยับได้พูดได้และก็มีเครื่องทำบุญเสี่ยงทายออโตเมติกต่างๆมีห้องน้ำติดแอร์ด้วยนะมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ
ทางด้านานหลังของวัดติดริมน้ำเจ้าพระยาบรรยากาศดีมากๆจัดให้เป็นตลาดน้ำด้วยทางเดินที่ปูพรมยาวไป..ร้านค้าก็มีร้านขายอาหารนานาหลากหลายชนิดพอถึงก็ได้เวลาบ่ายสองกว่าๆเริ่มหิวกันอีกแล้วเราแยกย้ายกันไปหาอาหารมานั่งรับประทานด้วยกันที่ริมแม่น้ำอากาศสบายๆดี้ดีไม่ร้อนค่ะ
๙วัดกษัตราธิราชวรวิหารเมื่อออกจากวัดท่าการ้องขับรถย้อนกลับมาขึ้นสะพานทางเดิมก็ถึงวัดกษัตราธิราชวรวิหารซึ่งตามประวัติเป็นพระอารามหลวงเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งนอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันตกด้วยทำเลนี้เองพม่าจึงได้ยกทัพมาตั้งที่วัดและใช้เป็นที่ตั้งปืนใหญ่เพื่อใช้ยิงข้ามแม่น้ำเข้ามาในพระนคร