แดนสวรรค์นักชิม - ไต้หวัน: ตอน 1 เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen)
แดนสวรรค์นักชิม - ไต้หวัน ทริปนี้เกิดขึ้นแบบฉุกเฉิน (อีกแล้ว) เมื่อเพื่อนสาวโพสต์ข้อความลงใน FB สั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ไปเที่ยวไต้หวันกันมั้ย?" รีรออยู่สักพัก ยังไม่รีบตอบกลับในทันที เพราะเพิ่งไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ให้หลัง 3 เดือนจะไปอีกรอบแล้วเหรอ แต่เรื่องเที่ยวเรื่องใหญ่ ก็เลยตอบกลับไปสั้นๆ ง่ายๆ เหมือนกันว่า "ไป" ทริปนี้เราเดินทางกันเอง มีเพื่อนร่วมทางอีก 3 สาว โดยใช้บริการของสายการบิน KLM เดือนมีนาคมเป็นเดือนสุดท้ายที่ KLM ให้บริการเส้นทางกรุงเทพ-ไทเป เหมือนไปเที่ยวทิ้งทวนให้กับสายการบินนี้เลย วันนี้ขอนำเสนอ "เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen)" ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวที่พวกเราประทับใจกัน วิธีการเดินทางแบบง่ายๆ ก็คือ ลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Zhongxiao Fuxing ทางออก 1 เจอร้าน GNC ป้ายรถเมล์จะอยู่หน้าร้าน Pacific Realtor ฝั่งตรงข้ามเป็นห้าง SOGO เขียว ขึ้นรถเมล์สาย 1062 ค่ารถประมาณ 90 NTD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5 ชั่วโมง หลับได้สบายๆ 1 ตื่นเลย มีรถเมล์ 2 สายที่สามารถไปถึงจิ่วเฟิ่นได้ คือ สาย 319 และ 1062 แต่รถเมล์สาย 319 เราต้องต่อรถอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเป็น 1062 ไปลงที่หน้าเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นเลย จิ่วเฟิ่นเป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนเขาในเขตเมืองจีหลง เป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน ที่นี่เคยรุ่งเรืองเพราะเป็นเหมืองแร่ทองคำ แต่เมื่อแร่ทองคำน้อยลง ชาวบ้านจึงพากันอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น แต่ตอนหลังมีการถ่ายทำภาพยนตร์ที่นี่ ก็เลยกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง ลายแทงนักชิม อยู่ในมือพร้อมแล้ว ก่อนมาเที่ยวเราหาข้อมูลมาแล้วว่าถ้ามาที่นี่มีอะไรที่ห้ามพลาดบ้าง วันนี้เราเน้นชิมอย่างละนิดอย่างละหน่อยก็พอ เพราะจะได้กินได้หลายๆ อย่าง อย่างแรก คือ "ยู่หยวน (宇圓 Yu Yuan)" คล้ายๆ บัวลอยบ้านเรานี่ล่ะ มีทั้งแบบร้อนและเย็น วันนี้อากาศเย็นๆ เราก็เลยเลือกกินแบบร้อนๆ เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย หวานๆ คล้ายกับน้ำต้มถั่วเขียว เพราะเค้ายังใส่ถั่วเขียว และถั่วแดงอีกด้วย มีแป้งบัวลอยแพคใส่ถุงขายด้วย ที่เห็นเป็นสีๆ ก็คือส่วนผสมของเนื้อเผือกและเนื้อมัน ตอนแรกๆ ก็ว่าจะซื้อกลับบ้านมาให้แม่ต้มให้กินเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า กินเยอะไปอ้วนเปล่าๆ เดี๋ยวจะได้เห็นความนิยมชมชอบของคนไต้หวันในการกินยู่หยวนนี้ เดินมาอีกนิดเห็นเค้ากำลังย่าง "ชีสญี่ปุ่น" จัดมา 1 ไม้ หอมๆ อร่อยดี แพคเกจจิ้งของไต้หวันก็น่ารักไม่แพ้ญี่ปุ่นเหมือนกันนะ เห็นแต่ละอย่างแล้วอยากซื้อทันที ร้านนี้ขายขนมขึ้นชื่อของไต้หวัน คือ เค้กสับปะรด และโมจิแบบต่างๆ ลองชิมดูแล้ว อร่อยดี ยิ่งถ้าได้แช่เย็นๆ ความอร่อยยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถ้าใครอยากเดินสบายๆ ไม่อยากหิ้วของหนักๆ กลับไปซื้อในเมืองก็ได้ ตรงที่เราลงรถเมล์สาย 1062 ก็มีสาขาของร้านนี้เหมือนกัน ยังไม่พ้นแนวขนมหวานๆ "ไอติมโบราณ" แต่ของเค้ามาแปลกตรงที่รองด้วยแผ่นแป้งโรตี (สายไหม) แล้วขูดน้ำตาลถั่วใส่ลงไป โรยผักชีอีกนิดหน่อย แล้วก็โป๊ะหน้าด้วยไอติม 2 ลูก หลังจากนั้นก็ม้วนๆ ให้เราถือเดินกินได้สะดวก ได้ความแปลกที่ติดใจ ไม่น่าเชื่อว่า โรตี น้ำตาลถั่ว ผักชี และไอติมจะมารวมตัวแล้วได้ความอร่อยแบบนี้ ถึงเวลาอาหารกลางวันแบบเป็นจริงเป็นจังของพวกเราแล้ว "โร่วหยวน (肉圓 Rou yuan)" กับ "ลูกชิ้นใส่น้ำซุป" โร่วหยวนมีลักษณะเป็นแป้งใสๆ ข้างในเป็นไส้หน่อไม้กับหมูแดง แต่ทำไมสีมันแดงเว่อร์ก็ไม่รู้ แล้วเอาไปต้มหรือลวกในน้ำมัน ตอนเอาขึ้นมาเค้าใช้กรรไกรตัดให้ด้วย เห็นมีอยู่ขายอยู่หลายร้านเหมือนกัน แต่รสชาติแปลกๆ บอกไม่ถูก คงต้องแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ลูกชิ้นอร่อยดี มีหลายรสเลย ชอบกินสีแดงที่คล้ายๆ กับรสพริกแกง กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินเที่ยว เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่ เรายังไม่ได้ไปไหนเลย วนเวียนอยู่แต่ร้านของกินที่นี่ล่ะ อย่างที่บอกไว้ว่าหมู่บ้านที่นี่ตั้งอยู่บนเขา เวลาเดินมีขึ้นๆ ลงๆ เนินบ้างเล็กน้อย ร้านค้าส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นร้านขายของกิน ของกระจุกกระจิก ของฝากของที่ระลึก เดินเพลินๆ ได้เหมือนกัน ของกินอีกอย่างที่ได้แต่มอง แต่ไม่ได้ชิม หอยอะไรก็ไม่รู้ ตัวมันใหญ่น่ากลัวเกิน ก็เลยไม่กล้าชิม เห็นอยู่ร้านนึงเค้ามีรูปถ่ายติดเต็มหน้าร้าน ก็เลยเดินเข้าไปดูว่าเค้าทำอะไรกัน ถึงได้รู้ว่า ที่นี่เค้ามีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ต่างๆ ให้ใส่ถ่ายรูปกัน ในร้านจะจัดพร็อพไว้เยอะมาก ออกแนวจีนๆ โบราณ เด็กวัยรุ่นเพียบเลย นี่ล่ะความฮอทฮิตของการกินยู่หยวน หรือบัวลอยของคนไต้หวัน เป็นของหวานที่แนะนำเลยว่า ถ้าได้มาจิ่วเฟิ่นไม่ควรพลาดเด็ดขาด ราคาไม่แพงด้วยนะ ถ้วยนึงไม่น่าเกิน 50 NTD (ไปกินนานแล้ว จำราคาแน่นอนไม่นอน) วันนี้หมอกลงหนามากๆ เหมือนเราเดินเล่นอยู่ท่ามกลางเมืองในหมอกเลย กลับมาดูข่าวที่โรงแรม เห็นบอกว่า วันนั้นมีการดีเลย์และยกเลิกการบินหลายเที่ยวบินเลย อากาศที่จิ่วเฟิ่นจะเย็นกว่าในตัวเมือง เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง เดินกันเพลินๆ แล้วก็แวะหยุดพักเหนื่อยกันที่ร้านน้ำชา เห็นภายนอกแล้วดูน่าเข้าไปนั่งเล่นมากๆ ตรงระเบียงด้านนอกสามารถนั่งชมวิวได้ด้วย แต่วันนี้ไม่ค่อยได้เห็นวิวอะไร เพราะโดนหมอกหนาบดบังนี่ล่ะ แต่ร้านนี้ราคาเครื่องดื่มแพงเอาเรื่องเหมือนกัน เครื่องดื่ม 4 อย่าง จ่ายไปเกือบๆ 1,000 NTD ล่วงเลยมาถึงตอนบ่าย พวกเราก็ยังไม่หยุดกิน เห็นคนมุงที่ร้านนี้กันเยอะๆ ก็เลยเดินเข้าไปดู (อีกแล้ว) ร้านนี้ขายส้ม (อะไรไม่รู้) เสียบไม้ รสชาติคล้ายๆ เปลือกส้มแห้งที่ขายในบ้านเรา แต่นี่เป็นเปลือกส้มสด กินแล้วชุ่มคอ ชื่นใจ มีแบบโรยผงบ๊วยด้วย แต่พวกเราขอแบบไม่โรย เค้าเอาส้มแบบนี้มาบีบเอาน้ำออก แล้วแยกขายต่างหาก มีขายทั้งน้ำส้ม และเปลือกส้ม แต่เราไม่ได้ชิมน้ำกันว่ารสชาติเป็นยังไง เดินจนเกือบทั่วถนนคนเดินจิ่วเฟิ่น ถ้าจะให้เดินแบบถ้วนทั่วคงไม่ไหว แค่นี้ก็ขาลาก พุงกางกันแล้ว เย็นนี้มีแพลนจะไปกินเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังของไต้หวันกัน บ่ายแก่ๆ พวกเราจึงอำลาจิ่วเฟิ่นกัน ออกมาขึ้นรถเมล์ข้างนอกเห็นคนเพียบเลย ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไต้หวันเอง และชาวต่างชาติ พบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ ยังไม่รู้ว่าจะนำเสนอเรื่องอะไรดี มีเรื่องกิน และเรื่องเที่ยวคงค้างไว้เพียบเลย เพราะห่างหายจากการอัพบล็อกไปนาน
Create Date : 21 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 21 มิถุนายน 2555 9:10:22 น. |
|
40 comments
|
Counter : 27366 Pageviews. |
|
|
เวลาเที่ยว
เที่ยวได้เลย
ไม่ต้องรอ 555
พี่ก๋านี่รอไปเลย
แต่ไม่ได้เที่ยวครับ 5555