|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
นกขมิ้นท้ายทอยดำ
นกขมิ้นท้ายทอยดำ Oriolus chinensis (Black-naped Oriole) มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว 27 เซ็นติเมตร มีลำตัวหนา ปีกค่อนข้างยาว ปลายปีกแหลม หางยาวปานกลางปลายหางมน ปากแหลมโค้งปลายเล็กน้อยสีชมพู นกตัวผู้และนกตัวเมียมีสีสันต่างกัน นกตัวผู้เต็มวัยมีสีเหลืองสดใสไปทั้งตัว เว้นขนปลายปีกและขนหางมีสีดำ มีแถบคาดสีดำคาดผ่านตาจากโคนปากไปจนถึงท้ายทอย นกตัวผู้มีสีเหลืองอ่อนกว่าตัวผู้และขนคลุมลำตัวด้านบนมีสีออกเขียว นกที่ยังไม่เต็มวัยสีอ่อนคล้ายตัวเมีย ขนคลุมลำตัวด้านล่างค่อนข้างขาวมีขีดสีคล้ำประอยู่ทั่วไป ไม่มีแถบคาดตาสีดำ แต่เมื่อค่อยๆโตขึ้นก็จะค่อยๆมีแถบสีดำปรากฎชัดขึ้น
นกชนิดนี้ชอบอาศัยในป่าดิบและป่าผสมผลัดใบที่ไม่ค่อยรกทึบนัก ป่าชายเลน สวนผลไม้ สวนสาธารณะ ต้นไม้ในหมู่บ้าน โดยมักซ่อนตัวในพุ่มรกๆมากกว่ามาเกาะกิ่งโล่งๆ อาหารของนกชนิดนี้คือแมลงที่พบตามยอดไม้ เช่นด้วง จักจั่น ไข่และตัวอ่อนของแมลง ตัวบุ้ง ผลไม้สุกและน้ำหวานจากดอกไม้
นกขมิ้นท้ายทอยดำที่พบในประเทศไทยมีสองชนิดคือ นกขมิ้นท้ายทอยดำพันธุ์เหนือ( Oriolus chinensis diffussus ) และ นกขมิ้นท้ายทอยดำพันธุ์ใต้ ( Oriolus chinensis maculatus )นกชนิดแรกมีแหล่งทำรังวางไข่ในแถบเอเชียตอนเหนือ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน แมนจูเรียและเกาหลีเรื่อยลงมาถึงจีนตอนใต้ เมื่อถึงฤดูหนาวนกจะหนีหนาวลงมาทางใต้ของทวีปอันได้แก่ อินเดีย พม่า ไทย อินโดจีน และตอนเหนือของมลายู ส่วนชนิดหลังทำรังวางไข่ในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ต่อมาย้ายถิ่นหากิน ทำรังวางไข่มาที่มลายูและสิงคโปร์และเข้ามาทางภาคใต้ของไทย
เมื่อถึงแหล่งทำรังวางไข่แล้วนกจะจับคู่เกี้ยวพาราสี เมื่อผสมพันธุ์แล้วนกตัวเมียจะทำรังเป็นรูปถ้วยก้นลึกห้อยลงมาจากง่ามไม้ รังทำจากวัสดุนุ่มจำพวกหญ้าและเปลือกไม้ที่ฉีกเป็นชิ้นๆมาขัดสานตกแต่งภายนอกด้วยมอสและไลเคนส์ ภายในรองด้วยวัสดุนุ่มๆอีกชั้นหนึ่ง โดยรังจะซ่อนในพุ่มไม้ใบหนายากต่อการสังเกตเห็น บางครั้งนกตัวผู้อาจช่วยหาวัสดุมาสร้างรังบ้าง เมื่อเสร็จแล้วนกจะวางไข่ครอกละ2-4ฟอง เปลือกไข่สีเขียวอ่อนๆมีจุดกระสีคล้ำ เมื่อกกไข่ไปราว13-15วันลูกนกจะฟักเป็นตัว พ่อแม่นกหาอาหารพวกแมลง หนอน และผลไม้สุกมาป้อน เมื่ออายุราว 2 สัปดาห์ลูกนกก็จะหัดบินได้
สำหรับประเทศไทยนกชนิดนี้เป็นนกที่พบบ่อยมากตามสวนผลไม้ สวนสาธารณะใกล้เมือง ป่าดิบ ป่าผสมผลัดใบ ป่าชายเลนตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นกหนีความหนาวเย็นลงมาจากทางเหนือ อย่างไรก็ตามมีนกชนิดนี้บางส่วนทำรังวางไข่ในประเทศไทยแต่ก็เป็นปริมาณน้อย ภาพนกในบล็อกถ่ายมาจากพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐมซึ่งเป็นที่ที่นกมาปรากฎตัวทุกๆฤดูหนาว ส่งเสียง แก๊ก ไม่เพราะเสนาะหูลงมาจากต้นไม้เสมอๆ(แน่นอนว่ามักจะอยู่ตามต้นที่มีตัวหนอนตัวบุ้งเยอะๆ) บางครั้งก็มาทำตัวอาละวาดตีกันจนหนวกหูไปหมด
ข้อมูลจาก :
//www.bird-home.com
Create Date : 31 มกราคม 2551 |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 18:42:55 น. |
|
4 comments
|
Counter : 12191 Pageviews. |
|
|
|
โดย: wildbirds วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:9:58:36 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:18:31:05 น. |
|
|
|
โดย: เขาพนม วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:21:58:15 น. |
|
|
|
โดย: ขึ้น15ค่ำ วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:44:40 น. |
|
|
|
|
|
|
|